ไม่ว่าเราจะลงขายของในตลาดไหนก็ตามย่อมจะต้องเจออุปสรรคมากมายไม่เว้นแม้แต่ร้านค้าที่เคยบอกว่าตนเองขายดี ก็อาจจะขายไม่ได้หากเราไม่มีการวิเคราะห์คู่แข่งตลอดเวลา ยกตัวอย่างง่ายๆเลยก็คือ ร้านขายของโชห่วยแถวละแวกบ้านเรา ใครจะคิดว่าวันนึงจะมีเซเว่นอีเลฟเว่นมาสร้างเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเดินไปทางซ้ายหรือขวาก็เจอ แถมมีความสะดวกสบายกว่าแอร์เย็น มีไมโครเวฟอุ่นข้าว ทำให้ร้านค้ารายเล็กๆก็ต้องปรับตัวไปขายอย่างอื่น ไม่ก็ต้องมีบริการอื่นเพิ่ม จะเห็นได้ว่าหากเราไม่ทำการวิเคราะห์คู่แข่งตลอดเวลาเราก็อาจจะเป็นผู้แพ้ได้ในที่สุด Show อยากที่บอก ธุรกิจเหมือนสงคราม รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งยังเป็นคำที่ใช้ได้เสมอสำหรับการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ตามแต่ก็ที่เราไม่วิเคราะห์คู่แข่ง ไม่สนใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แค่ทำของเราให้ดีก็เพียงพออาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ยิ่งถ้าเป็นธุรกิจที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าเดียวที่สามารถทำได้ อย่าได้วางใจเพราะปัจจุบันสินค้ามีทดแทนมากขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ใครจะรู้ว่าวันนึงธุรกิจสิ่งพิมพ์จะเป็นสิ่งที่คนเลือกใช้เป็นอันหลังสุด เพราะโดนสิ่งที่เรียกดิจิตอลเข้ามาแทนที่วันนี้เราก็เลยมีเทคนิคการวิเคราะห์คู่แข่งมาฝากกัน รู้จักฟีเจอร์ของเรา สมัครสมาชิก 5 เทคนิควิเคราะห์คู่แข่งก่อนทำธุรกิจวิเคราะห์แข่งในตลาดวิเคราะห์คู่แข่งว่ามีใครบ้างในตลาด ลองจินตนาการดูว่าธุรกิจในสายของเรานั้นมีคู่แข่งเป็นใครบ้างเขียนมาให้หมดเลย ไมว่าจะตลาดเดียวกับเราหรือไม่ใช่ตลาดเดียวกับเรา ทางตรงทางอ้อม (เดี๋ยวจะอธิบายอีกทีคืออะไร) ที่นี้เราก็จะเห็นแล้วเราอยู่ตรงไหนของตลาด แยกประเภทคู่แข่งแยกประเภทคู่แข่งขัน การวิเคราะห์คู่แข่งเราอาจจะต้องแบ่งเป็น 2 แบบ ก็คือ ทางตรงและทางอ้อม
วิเคราะห์กลยุทธ์ของคู่แข่งดูเราอาจจะลองศึกษาเบื้องต้นว่าเขาใช้ภาพในการสื่อสารเป็นอย่างไร คำพูดของพ่อค้าแม่ค้าทำไมถึงดึงดูดการขายของ หรือการทำกลยุทธ์เรื่องของราคาหรือเปล่า เราก็ลองศึกษาเพื่อวิเคราะห์คู่แข่งว่าเขามีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหน เพื่อเราจะได้เข้าไปแทรกในจุดๆนั้น ให้เรามีสิ่งที่เหนือกว่าคู่แข่ง วิธีการเข้าไปศึกษาง่ายๆเลยก็คือ ช่องทางที่เขาโปรโมทสินค้าเขา เช่น Facebook IG Line วิเคราะห์ตัวเราเองเมื่อเราศึกษาคู่แข่งมาครบทุกมุม ทุกด้านของสินค้าเขาแล้ว เราก็ต้องมาคิดถึงกลยุทธ์ตัวเราเองว่า จะสามารถแตกต่างจากคู่แข่งได้อย่างไร ทำตัวเองให้เหนือกว่าเขาได้อย่างไร อาจจะใช้สิ่งที่เรียกว่า SWOT analysis เข้ามาวิเคราะห์ หา จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และ อุปสรรค เพื่อที่จะได้ง่ายจับจุดกันว่าอะไรที่เราสามารถทำได้และเหนือกว่าคู่แข่ง หาจุดเด่นตัวเองให้เจอเมื่อทำข้อ 1-4 เรียบร้อยแล้ว เราก็ใช้สิ่งที่เราค้นพบมาหาจุดเด่นของตัวเอง เพื่อช่วยให้เราสามารถวางตัวเองให้ถูกกลุ่มเป้าหมาย วางตำแหน่งที่เราจะสามารถสื่อสารไปให้ลูกค้าได้ถูกกลุ่ม เน้นว่าเรามีสินค้าและบริการอย่างไร ทำให้แตกต่างนั้นเอง หลังจากที่เราได้ข้อมูลเรียบร้อยแล้วเราก็ลองเอามาลงแผนการตลาดของเราดู ทางเราก็มีทริกเล็กๆน้อยๆมาฝากกัน หลักการง่ายๆเลยก็คือ
2. ช่องทางการสื่อสาร ลองดูว่าลูกค้าเราส่วนใหญ่แล้วมักจะดู content ประเภทไหนเราอาจจะทดลองไปลงโฆษณากับเขา หรือ ว่าเอา content เราฝากเขา share ในเพจ เพื่อให้กลุ่มลูกค้าได้เห็นและรู้จักเรา ไม่จำเป็นที่ต้องโยนเงินไปทุกช่องทางเพราะอาจจะทำให้เราเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ 3. Mood & Tone ลองศึกษาว่าเทรนตลาด ณ ปัจจุบันเขาเน้นการทำเนื้อหาไปในแนวทางไหน เพื่อที่เวลาทำออกมาจะได้ตรงใจกับลูกค้า และยังเป็นการฉีกตัวเองให้เหนือกว่าคู่แข่งอีกด้วย ปัจจุบันปลาไวกินปลาเล็ก วิธีการวิเคราะห์คู่แข่งก่อนทำการตลาดนั้นสามารถนำไปปรับใช้กับร้านค้าที่เริ่มต้นหรือกำลังทำอยู่ก็ได้ ดังนั้นนักการตลาดหรือพ่อค้าแม่ค้าก็ลองนำกลยุทธ์ที่เขียนมาข้างต้นไปลองปรับใช้กับสินค้าหรือบริการของตนเองดู นำไปวิเคราะห์ วิจัยว่าอะไรควรจะปรับปรุงหรืออะไรดีอยู่แล้ว เราเชื่อว่าถ้าได้ลองนำไปปรับใช้จะสามารถทำให้บริษัทนั้นเติบโตขึ้นได้อย่างแน่นอน ความรู้เกี่ยวกับคู่แข่งขัน รายการสอนและรายการเรียน ผลการเรียนรู้ 1. ความรู้เกี่ยวกับสภาพของตลาด 2. ความรู้เกี่ยวกับคู่แข่งขัน 3. ประโยชน์ที่ได้รับจากการมีความรู้เกี่ยวกับ คู่แข่งขัน สามารถอธิบายความรู้พื้นฐานของพนักงานขายเกี่ยวคู่แข่งขันได้ ในสภาพการณ์ปัจจุบัน ตลาดสินค้าไม่ใช่ตลาดผูกขาด การแข่งขันจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าได้มากมาย ทั้งที่เป็นสินค้าชนิดเดียวกันหรือทดแทนกันได้ ดังนั้น พนักงานขายจึงจำเป็นต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับสภาพของตลาดโดยส่วนรวมและข้อมูลของคู่แข่งแต่ละรายให้มากที่สุด เพื่อจะได้นำมาใช้ในการเสนอขายต่อไป ความรู้เกี่ยวกับสภาพของตลาด 1. องค์ประกอบและขนาดของตลาด 2. แนวโน้มของตลาดในอนาคต สำหรับนักการตลาด การมองแนวโน้มการตลาด (Marketing trend) ก็คือ การมองแนวโน้มของเส้นทางลูกค้า (Customer journey) ที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการพัฒนาแผนงานที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน และเป็นการเปิดโอกาสให้กับสิ่งใหม่ ความรู้ใหม่ที่จะเข้ามาช่วยส่งเสริมการตลาดในอนาคต แนวโน้มการตลาดที่น่าจับตามอง 3. โอกาส ปัญหาและอุปสรรค โอกาส 1.สามารถสร้างหรือขยายตลาดได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะอินเตอร์ เน็ตสามารถเชื่อม ต่อกับลูกค้าได้ทั่วโลก ไม่จำกัดเวลาและระยะทาง 2. ช่วยลดต้นทุน เช่น ค่าโฆษณา แคตตาลอกสินค้า ค่าจัดส่งเอกสาร 3. สามารถให้ข้อมูลลูกค้าได้เป็นมาตรฐานเดียวกันได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ขายได้ตลอดเวลา ช่วยลดขั้นตอนการขาย 4. รูปแบบการดำรงชีวิต (Life Style) เน้นความสะดวก และประหยัดเวลา มีผู้เล่นอินเตอร์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 5. หน่วยงานภาครัฐและเอกชนให้การสนับสนุนการขายแบบ e-commerce อุปสรรค ปัญหา
4. สภาพการแข่งขัน
5. แนวปฏิบัติในตลาด แนวทางปฏิบัติการตกลงร่วมกันทางธุรกิจตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 บทบัญญัติ ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจใดร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจอื่นกระทำการใดๆ อันเป็นการผูกขาด หรือลดการแข่งขัน หรือจำกัดการแข่งขันในตลาดสินค้าใดสินค้าหนึ่ง หรือบริการใดบริการหนึ่ง ในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) กำหนดราคาขายสินค้าหรือบริการเป็นราคาเดียวกัน หรือตามที่ตกลงกัน หรือจำกัด ปริมาณการขายสินค้าหรือบริการ (2) กำหนดราคาซื้อสินค้าหรือบริการเป็นราคาเดียวกัน หรือตามที่ตกลงกัน หรือจำกัด ปริมาณการรับซื้อสินค้าหรือบริการ (3) ทำความตกลงร่วมกันเพื่อเข้าครอบครองตลาดหรือควบคุมตลาด (4) กำหนดข้อตกลงหรือเงื่อนไขในลักษณะสมรู้กัน เพื่อให้ฝ่ายหนึ่งได้รับการประมูล หรือประกวดราคาสินค้าหรือบริการ หรือเพื่อมิให้ฝ่ายหนึ่ง เข้าแข่งขันราคาในการประมูลหรือ ประกวดราคาสินค้าหรือบริการ (5) กำหนดแบ่งท้องที่ที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายจะจำหน่าย หรือลดการจำหน่ายสินค้า หรือบริการได้ในท้องที่นั้นหรือกำหนดลูกค้าผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายจะจำหน่ายสินค้าหรือบริการให้ได้ โดยผู้ประกอบธุรกิจอื่นจะไม่จำหน่ายสินค้าหรือบริการนั้นแข่งขัน (6) กำหนดแบ่งท้องที่ที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายจะซื้อสินค้าหรือบริการได้หรือกำหนด ตัวผู้ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจจะซื้อสินค้าหรือบริการได้ (7) กำหนดปริมาณของสินค้าหรือบริการที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละราย จะผลิต ซื้อ จำหน่าย หรือบริการ เพื่อจำกัดปริมาณให้ต่ำกว่าความต้องการของตลาด (8) ลดคุณภาพของสินค้าหรือบริการให้ต่ำลงกว่าที่เคยผลิต จำหน่าย หรือให้บริการ โดยจำหน่ายในราคาเดิมหรือสูงขึ้น (9) แต่งตั้งหรือมอบหมายให้บุคคลใดแต่ผู้เดียวเป็นผู้จำหน่ายสินค้าหรือให้บริการ อย่างเดียวกัน หรือประเภทเดียวกัน (10) กำหนดเงื่อนไข หรือวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการซื้อ หรือการจำหน่ายสินค้า หรือการบริการ เพื่อให้ปฏิบัติเป็นแบบเดียวกันหรือตามที่ตกลงกัน
ความรู้เกี่ยวกับคู่แข่งขัน การที่จะไปสู่ความสำเร็จนั้นได้ก็คือ จะต้องปรับตัวให้ดีขึ้น มีจุดขายแปลกใหม่อย่างที่คู่แข่งไม่มี รวมทั้งต้องมีกลยุทธ์ที่จะป้องกันไม่ให้คู่แข่งสามารถตีจนตกไป เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำหากคิดจะขึ้นมาอยู่เหนือคู่แข่งทั้งมวล ก็คือ การเรียนรู้ว่าคู่แข่งคิดจะทำอะไร อะไรคือจุดขายที่ทำให้คู่แข่งขึ้นมายืนหยัดอย่างทุกวันนี้ได้ และอะไรที่เป็นช่องโหว่ของคู่แข่ง อันจะสามารถนำมาประยุกต์ แล้วใช้ช่องโหว่นั้นขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับคู่แข่ง หรือเหนือกว่าคู่แข่งได้ ต้องมีการเรียนรู้ การพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อเอาชนะคู่แข่งแล้ว ย่อมทำให้เรามีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา มีความ Active อยู่เสมอ 1. ต้องรู้จักสินค้าของคู่แข่ง เท่า ๆ กับรู้จักสินค้าของตน 2. ต้องรู้จักอาณาเขตขายและกลุ่มลูกค้าของคู่แข่งขัน 3. ต้องรู้ว่าคู่แข่งขันให้บริการแก่ลูกค้าอย่างไร 4. ต้องรู้นโยบายการตลาดของคู่แข่งขัน เช่น ราคา ระยะเวลาให้สินเชื่อ ส่วนลด 5. ข้อมูลอื่น ๆ เช่น ชื่อเสียงด้านการค้า ฐานะการเงิน การวิจัยตลาด ช่องทางการ จำหน่าย ฯลฯ ประโยชน์ที่ได้รับจากการมีความรู้เกี่ยวกับคู่แข่งขัน 1. สามารถประเมินสภาพคู่แข่งขัน โดยพิจารณาข้อมูลของคู่แข่งขัน ดังนี้ - นโยบายหลัก เช่น ขายสดหรือเชื่อ ขายตรงหรือผ่านคนกลาง การโหมโฆษณา การบุกเบิกตลาด - ความชำนาญและเทคนิคในการผลิต เช่น ผลิตเองและขายเอง หรือ ผลิตมาแล้วให้บริษัทที่ชำนาญเรื่องการตลาดมาดำเนินการขายแทน - ประสบการณ์การจำหน่าย เช่น ขายสินค้ามานานกว่า 30 ปีเป็นที่รู้จักและยอมรับแล้ว หรือเป็นสินค้าที่เพิ่งวางตลาด - ความรู้ความสามารถของคณะผู้บริหาร เช่น จ้างบุคคลที่มีความรู้การตลาดมาเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด หรือเป็นธุรกิจในครอบครัว - กลยุทธในการเสนอขายของคู่แข่งขัน เช่น คู่แข่งเสนอให้ส่วนลดจากยอดซื้อที่มากกว่า และมีการลด แจก แถม เสริมด้วย เมื่อรู้ข้อมูลแล้ว พนักงานขายจะได้รู้ว่าคู่แข่งขันมีความสำคัญขนาดไหน และต้องใช้เทคนิคในการเสนอขายอย่างไรจึงจะเหมาะสม ท่านคิดว่า สินค้าใด ที่ ใช้เทคนิคการเสนอขายที่ประสบความสำเร็จ 2. เพื่อเปรียบเทียบหาจุดแข็ง ( Strength) และจุดอ่อน ( Weakness )พนักงานขายต้องเสนอขายด้วยจุดแข็งของตน ส่วนจุดอ่อนพยายามอย่าพูดถึง และที่สำคัญพนักงานขายต้องไม่พูดโจมตี ติเตียนคู่แข่งขันอย่างไร้จรรยาบรรณ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าขาดความเชื่อถือได้ แต่ควรจะค่อย ๆ เสนอว่าสินค้าของตนมีข้อดีอย่างไร แล้วให้ลูกค้าเลือกและตัดสินใจเองว่าจะซื้อสินค้าของใครเองจะดีกว่า |