Digital Business Model โมเดลการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล!276 Show ShareTweet เมื่อต้องเผชิญกับ Digital Disruption ควบคู่กับการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ทำให้ธุรกิจดำเนินการต่างไปจากเดิม จึงทำให้เกิดโมเดลที่เรียกว่า Digital Business Model คือการเพิ่มมูลค่าของธุรกิจโดยการใช้ดิจิทัลเข้ามาเสริมเพื่อรับมือกับคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน Digital Business Model แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้ 1. Freemium 2. Subscription 3. Peer-To-Peer, two-sided marketplace 4. E-Commerce 5. On-demand 6. Ad-Supported 7. Open Source ในทางกลับกันหากทุกแพลตฟอร์มใช้โมเดลเดียวกันจะทำให้คู่แข่งในตลาดยิ่งสูงขึ้น ทั้งนี้แบรนด์จึงต้องสร้างเอกลักษณ์และมีจุดยืนที่แตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริการที่ดีกว่าเพื่อสร้าง Customer Experience หรือการสร้าง Customer Relationship ในระยะยาวนั่นเอง ที่มา #digitalmarketingdigital marketing คุกกี้พื้นฐานที่จำเป็น เพื่อช่วยให้การทำงานหลักของเว็บไซต์ใช้งานได้ รวมถึงการเข้าถึงพื้นที่ที่ปลอดภัยต่าง ๆ ของเว็บไซต์ หากไม่มีคุกกี้นี้เว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม และจะใช้งานได้โดยการตั้งค่าเริ่มต้น โดยไม่สามารถปิดการใช้งานได้ คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ จะช่วยให้เว็บไซต์เข้าใจรูปแบบการใช้งานของผู้เข้าชมและจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการใช้งานของผู้ใช้งาน คุกกี้ในส่วนการตลาด ใช้เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อแสดงโฆษณาที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้งานแต่ละรายและเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการโฆษณาสำหรับผู้เผยแพร่และผู้โฆษณาสำหรับบุคคลที่สาม อย่างที่เราทราบดี โลกของธุรกิจในปัจจุบัน ได้พัฒนาไปไกลและมีความ ซับซ้อนมากขึ้น การดำเนินธุรกิจมีหลากหลายรูปแบบไม่จำกัด โมเดลธุรกิจใหม่ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้นอยู่เสมอ เราลองมาดูโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการพัฒนาธุรกิจในก้าวทันกับโลกยุคนนี้กัน
โมเดลธุรกิจประเภท Asymmetric นี้ เป็นธุรกิจที่องค์กรไม่ได้ทำเงินกับผู้ใช้บริการโดยตรง แต่สร้างรายได้จากการนำข้อมูลที่เก็บได้จาก user มาผนวกกับเทคโนโลยี เพื่อนำข้อมูลนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ องค์กรที่ทำเงินมากที่สุดจากวิธีนี้ คือ 2 องค์กรที่เรียกได้ว่าเป็นที่รู้จักดีที่สุดในโลก อย่าง Google และ Facebook นั่นเอง ทั้งคู่สร้างรายได้มหาศาล จากการนำข้อมูลของผู้บริโภค มาใช้เพื่อการขายโฆษณาให้กับธุรกิจอื่นๆ Google และ Facebook มีข้อมูลผู้บริโภคอยู่ในมืออย่างไม่จำกัด ซึ่งมาจากการ offer online products อย่าง Google search engine ที่ให้ผู้บริโภคนับพันๆ ล้านคนทั่วโลก ได้ใช้อย่างฟรีๆ และในขณะเดียวกัน ก็ทำเงินจากการขายข้อมูลของ user นั้นๆ ทั้ง 2 บริการนี้ user ทั่วโลกต่าง rely on มาก จนเลือกที่จะมองข้ามการที่ข้อมูลของตนเองนั้นถูกเก็บและนำไป monetize เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจขององค์กร
Key Learning สำหรับโมเดลนี้:
เมื่อพูดคำว่า blockchain เราอาจจะนึกถึง Bitcoin ในฐานะสกุลเงินที่ใช้ระบบ blockchain ในการดำเนินการ แต่จริงๆ แล้ว ในโลกยังมีธุรกิจอีกมากมาย ที่ใช้เทคโนโลยี blockchain มาเป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจ ด้วยระบบ blockchain องค์กรต่างๆ สามารถเปลี่ยนการดำเนินงานทางธุรกิจให้เป็นแบบ decentralized มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ระบบการทำงานเปลี่ยนไป เช่นเปลี่ยนรูปแบบของการทำธุรกรรม หรือการเข้าถึงข้อมูลของ user ธุรกิจดนตรี เป็น 1 ธุรกิจที่ในอดีต ศิลปินต่างพบกับ common pain คือการต้องออกอัลบั้มผ่านค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของบริษัทเหล่านี้ และพบกับความวุ่นวายในเรื่องการจัดสรรรายได้ ลิขสิทธิ์เพลง และอื่นๆ การมาของเทคโนโลยี Blockchain สามารถช่วยปิดจุดบอดต่างๆ เหล่านี้ได้ โดยการตัด หรือลดความสำคัญของตัวกลางอย่างค่ายเพลงออก และให้ศิลปินได้สื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรง แพลตฟอร์มอย่างเช่น Mycelia ได้นำข้อได้เปรียบของเทคโนโลยีใหม่นี้ มาสร้าง music ecosystem ที่เปลี่ยนรูปแบบของวงการเพลงไปจากเดิม โดยที่ศิลปินสามารถอัพโหลดผลงานเพลงเข้าสู่ platform ได้โดยตรง และผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อเพลง และชำระเงินตรงไปที่ศิลปินเจ้าของผลงานได้เลย
Key Learning สำหรับโมเดลนี้:
Freemium คือรูปแบบการให้บริการที่องค์กรเสนอแก่ลูกค้า โดยแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ free และ premium ในระดับของ free นั้น ลูกค้าจะมีโอกาสได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์อย่างเต็มที่ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาการใช้งาน เพียงแต่อาจจะมี feature การใช้งานบางอย่างที่ถูกตัดออกไป ซึ่งถ้าจะใช้งาน feature เหล่านี้ ลูกค้าจะต้อง upgrade เป็นแบบ premium แทน ซึ่งโมเดลแบบนี้ ทำให้ทุกฝ่ายต่าง win-win กันทั้งนั้น ลูกค้าได้ใช้งานฟรี หรือคนที่ต้องการ ก็มีให้เลือกอัพเกรดให้ถึงระดับที่ตัวเองอยากใช้ ฝั่งองค์กร ก็ได้ผลตอบแทน จากผู้ที่ใช้งานฟรี = ได้ spread the brand from free publicity และสร้าง lead จากการเข้าถึงลูกค้าเยอะๆ หรือได้ revenue จาก premium
Spotify
เป็น 1 ตัวอย่างของธุรกิจแบบ freemium ที่ใกล้ตัวพวกเราทุกคน ด้วยการเสนอบริการ music streaming ที่รวบรวมเพลงไว้นับล้านเพลง Spotify จึงมีผู้ใช้บริการมากถึง 200 กว่าล้านคน และตัวเลขนี้กำลังขยายมากขึ้นในทุกๆ ปี ในจำนวน 200 กว่าล้านคนนี้ มีถึง 100 ล้านคน ที่เป็น paid user คิดเป็นอัตรา conversion ที่สูงถึง 46% เลยทีเดียว ทำให้ Spotify สร้าง revenue อย่างมหาศาลในแต่ละปี
Key Learning สำหรับโมเดลนี้:
โมเดลธุรกิจแบบ peer-to-peer นั้น มีหลักการก็คือเป็นการซื้อขายระหว่างคน 2 คน โดยทั่วไป จะหมายถึงการซื้อขายแบบผู้บริโภคถึงผู้บริโภค (C2C) และโดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นโดยมี platform เป็นตัวกลางเพื่อให้ผู้บริโภคทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายได้มาเจอกัน Platform ประเภทนี้มีวิธีการทำเงินได้หลากหลาย เช่นค่าคอมมิชชั่นจากการขาย ค่าการวางสินค้า ค่าโฆษณา เป็นต้น ธุรกิจที่ใช้โมเดลประเภทนี้เราต่างคุ้นเคยกันดี และอาจจะใช้อยู่ทุกวัน เช่น Shopee, Lazada หรือ Grab เป็นต้น Etsy ก็เป็นอีก 1 peer-to-peer platform ที่น่าสนใจ เพราะถึงแม้จะเป็น marketplace เหมือนกับอีกหลายๆ platform แต่ Etsy นำเสนอความ unique คือ เป็น platform ที่เน้นผลงานด้าน arts & crafts โดยให้ศิลปิน และผู้ซื้อที่นิยมชมชอบในศิลปะ ได้มาเจอกัน และแลกเปลี่ยนซื้อขายผลงานกัน
Key Learning สำหรับโมเดลนี้:
The crowd economy คือระบบ ecosystem ที่กลุ่มคนที่มีความสนใจเดียวกัน มา participate กัน เพื่อจุดประสงค์ในการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งรูปแบบ business model นี้ ได้เปลี่ยนแปลงโลกของธุรกิจ และทำให้องค์กรสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างง่ายๆ ที่ใกล้ตัว เช่น AirBnB ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็น เครือข่ายโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งๆ ที่ AirBnB ไม่มีห้องของตัวเองแม้แต่ห้องเดียว แต่ AirBnB ได้ใช้ “asset” ของกลุ่มคนทั้งโลก จนในปัจจุบัน AirBnB มีห้องพักมากกว่า 7 ล้านห้อง มากกว่าที่โรงแรมไหนๆ เคยมีมาก่อน
Key Learning สำหรับโมเดลนี้:
ทั้งหมดนี้คือ Business Model ใหม่ๆ หลายรูปแบบ ขอให้แนวทางว่าการใช้โมเดลเหล่านี้ ไม่ควรใช้แค่ตามกระแส หรือแค่การหยิบเทคโนโลยีมาใช้ แต่โมเดลที่ดีนั้นต้องตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้ด้วย |