อำนาจในการปกครองประเทศไทยนั้นแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน อำนาจตุลาการถือว่าเป็นอำนาจสำคัญอย่างหนึ่งที่ออกมาในรูปแบบของศาล โดยศาลไทยนั้นมีรายละเอียดที่หลายคนไม่รู้จัก ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกันว่า ศาลไทยมีอะไรบ้าง ความรู้เกี่ยวกับประเภทของศาลไทยมีอะไรบ้าง หากแบ่งตามกฎหมาย นั่นคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 197 ถึง มาตรา 228 ศาลไทยจะแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มได้แก่ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลทหาร โดยทั่วไปเราจะรู้จักศาลยุติธรรมเป็นหลัก ซึ่งศาลยุติธรรมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้ ศาลชั้นต้น เริ่มกันจากศาลชั้นต้น ศาลนี้จะเป็นด่านแรกในการพิจารณาคดีตามกระบวนการของศาลไม่ว่าจะเป็นไต่สวน การสืบพยานทั้งวัตถุและบุคคล จนถึงขั้นตอนการตัดสิน ศาลชั้นต้นนอกจากศาลทั่วไปตามพื้นที่อย่างศาลจังหวัด ศาลแขวง ยังมีศาลแพ่ง (ศาลพิจารณาคดีแพ่งเป็นหลัก รวมถึงคดีอื่นที่ไม่สามารถระบุว่าต้องไปศาลไหนอีก) ศาลอาญา ยังมีศาลเฉพาะทางเพื่อพิจารณาคดีพิเศษอีกด้วย ศาลกลุ่มนี้ได้แก่ศาลภาษีอากรกลาง ศาลแรงงาน เป็นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ เป็นศาลลำดับต่อมา หากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาออกมาแล้ว จำเลย ไม่พอใจคำตัดสิน สามารถขอยื่นเรื่องไปยังศาลอุทธรณ์ต่อไป เพื่อพิจารณาคดีนี้อีกครั้ง เมื่อผ่านกระบวนการไต่สวน สืบพยานเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์จะตัดสินคดีอีกครั้งซึ่งอาจจะยืนยันคำตัดสินเดิมจากศาลชั้นต้น หรือ อาจจะเปลี่ยนแปลงคำตัดสินเป็นอื่นก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับรูปคดี พยานหลักฐาน ที่นำมาแสดงเพิ่มเติม ศาลฏีกา ศาลฏีกานับว่าเป็นศาลชั้นสูงสุดในการดำเนินคดีอะไรก็ตาม ไม่ว่าผลออกมาเป็นเช่นไรทุกอย่างถือว่าสิ้นสุดลงตามกฎหมาย ขั้นตอนกระบวนการศาลฏีกาจะเหมือนกับศาลอุทธรณ์นั่นคือ เข้าสู่กระบวนการไต่สวน ด้วยพยานทั้งวัตถุและบุคคล หลักฐานอื่น จากนั้นศาลท่านก็จะตัดสิน ศาลฏีกาจะต้องประกอบด้วยผู้พิพากษาอย่างน้อย 3 ท่านเพื่อให้ความเห็นของรูปคดีออกมาให้ชัดเจนที่สุดทั้งแง่ของกฏหมายและการวินิจฉัย ศาลฏีกาเองจะมีกรณีพิเศษอยู่นั่นคือ ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง แผนกนี้จะพิจารณาคดีเกี่ยวกับนักการเมืองเป็นหลัก ทำให้ต้องใช้ผู้พิพากษามากกว่าปกติเนื่องจากเป็นคดีสำคัญอย่างมาก ศาลปกครอง นอกจากระบบศาลยุติธรรมทั้ง 3 ศาล ยังมีศาลอื่นด้วย อย่างเช่น ศาลปกครอง อันนี้สำคัญมาก ศาลปกครองเป็นศาลที่กฎหมายจัดขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประชาชนกับหน่วยงานของรัฐ ศาลปกครองจะมีสองระดับคือ ศาลปกครองชั้นต้น และ ศาลปกครองสูงสุด ศาลทหาร ศาลทหารโดยหลักจะทำหน้าที่พิจารณาความผิด ข้อขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับทหารเป็นหลัก แบ่งออกเป็น 3 ระดับได้แก่ศาลทหารในเวลาปกติ ศาลทหารในเวลาไม่ปกติ และ ศาลอาญาศึก แต่ละศาลก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป ตามสถานการณ์ รู้อย่างนี้แล้วเวลาเกิดเหตุจะได้ฟ้องศาลถูกต้อง (ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550) ศาล รัฐ มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนและผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมในสังคม ศาลรัฐธรรมนูญ องค์ประกอบของของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม
ศาลฎีกา เป็นศาลสูงสุดเพียงศาลเดียวเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้ว คู่ความที่ยังไม่พอใจคำพิพากษา อาจฎีกายังศาลฎีกาได้อีกเป็นครั้งสุดท้าย คำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นอันสิ้นสุดคู่ความไม่สามารถฟ้องร้องต่อไปยังศาลอื่นได้อีก องค์คณะผู้พิพากษา ผู้พิพากษาอย่างน้อย 3 คน อำนาจ ศาลฎีกามีอำนาจ ดังนี้ 1. พิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำส่งของศาลอุทธรณ์ (หรือศาลชั้นต้นในกรณีที่กฎหมายกำหนดไว้) 2. มีคำสั่ง หรือพิจารณาพิพากษาคำร้องคำขอ หรือพิจารณาพิพากษาคดีที่กฎหมายอื่นกำหนดให้ศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยหรือพิจารณาพิพากษา นอกจากนี้ตามรัฐธรรมนูญยังกำหนดให้มีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง มีอำนาจพิจารณาพิพากษากรณีที่ที่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการ การเมืองอื่นถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น องค์คณะผู้พิพากษาประกอบด้วยผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวน 9 คน ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาโดยลงคะแนนลับ และเลือกเป็นรายคดี เหตุที่กำหนดให้มีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็คือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นและการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูง ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรงทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง รวมทั้งอาจกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพหรือทรัพย์สินของประชาชนได้ การบริหารงานศาลยุติธรรม ข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ข้าราชการศาลยุติธรรม ราชการในศาลยุติศาล ศาลปกครอง ศาลปกครองมี 2 ชั้น ได้แก่ ศาลปกครองชั้นต้น และศาลปกครองสูงสุด อำนาจในการพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่ง เรื่องต่อไปนี้ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง คณะกรรมการตุลาการศาลการปกครอง ศาลทหาร องค์กรอิสระ องค์กรที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ผู้มีอำนาจในการตรวจสอบ การถอดถอนออกจากตำแหน่ง ขั้นตอนในการดำเนินการถอดถอน มติของวุฒิสภาในการถอดถอนออกจากตำแหน่ง ผลของการถอดถอน ถ้าไม่มีมติให้ถอดถอน การดำเนินคดีอาญากับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การดำเนินการฟ้อง การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คำสั่งและคำพิพากษา
3ศาล มีอะไรบ้างศาลยุติธรรมมี 3 ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เว้นแต่ที่มีบัญญัติเป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมายอื่น โดยศาลยุติธรรมมีจำนวน 274 ศาล และ 9 สาขา
ศาล หมาย ถึง อะไร ประกอบด้วย อะไร บ้าง(สาน) น. องค์กรฝ่ายตุลาการซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดี, ผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ศาล ที่ชำระความ เช่น ศาลแพ่ง ศาลอาญา
ศาลมีไว้เพื่ออะไรศาล เป็นองค์กรสาธารณะที่มีหน้าที่ในการวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับพลเมือง แรงงาน กิจการ และอาชญากรรมภายใต้กฎหมาย ในกฎหมายทั่วไปและกฎหมายพลเมือง ศาลนับว่าเป็นทางออกของข้อพิพาทต่าง ๆ เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ทุก ๆ คนมีสิทธิ์ที่จะนำข้อกล่าวหามาใช้ในศาลได้ ในขณะเดียวกัน ผู้ถูกกล่าวหาก็มีสิทธิ์ที่จะแก้ต่างในศาลได้เช่นกัน
ศาลมีกี่แห่งศาลยุติธรรมตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มีอยู่ทั่วราชอาณาจักร ระบบศาลยุติธรรมสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ชั้นฎีกา รวมเป็นศาลทั่ว ราชอาณาจักรจานวน 264 ศาล และศาลสาขาจานวน 9 ศาล
|