3.Web Application คือแอพพลิเคชั่นที่แสดงหน้าเว็บผ่านตัว Application แทนการเข้าเบราว์เซอร์ (Browser)ซึ่งการใช้งานแอพพลิเคชั่นจะต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลา และอาจจะไม่สามารถใช้ทรัพยากรบางอย่างของระบบได้ ทั้งนี้ข้อดีของการพัฒนาแอพพลิเคชั่นแบบนี้ก็คือใช้เวลาในการพัฒนาได้รวดเร็ว Show
มีคำถามที่น่าสนใจในกลุ่ม Thailand Android Developer ว่า โดยใน comment มีการตอบที่น่าสนใจเยอะเลย ตัวอย่างเช่น
แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ Native และ Hybrid app กันก่อนมิเช่นนั้นอาจจะเข้าใจผิดและเลือกผิดก็เป็นไปได้ Native app
โดยปกติแล้วการพัฒนาด้วย Native นั้นจะมีประสิทธิภาพการทำงาน Hybrid app โดยที่ Hybrid app จะสร้างส่วนการติดต่อสื่อสาร เมื่อทำการ build Hybrid app นั้น มาลองเปรียบเทียบกันหน่อยNative app
Hybrid app
ส่วน Hybrid app นั้นมี tool และ framework มากมาย การพูดคุยหรือถกเถียงเรื่องของ Hybrid และ Native appมักจะคุยเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
เมื่อคุยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็มักจะเอนเอียงไปยัง Hybrid app เสมอ ส่วนทาง Native app นั้นก็มีข้อได้เปรียบ ดังนั้นก่อนจะเลือกได้นั้นคำถามที่ต้องตอบให้ได้คือ
ขอให้สนุกกับการ coding ครับ ปิดท้ายด้วย Decision Tree ของการตัดสินใจที่น่าสนใจReference Websties Tags:android,ios,mobile ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนผู้จดทะเบียนการใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ 854 ล้านเลขหมาย ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรทั้งหมดรวมกันด้วยซ้ำ สิ่งนี้กำลังหมายความว่า ธุรกิจทุกอย่างควรจะมีแอปพลิเคชันบนมือถือเป็นของตัวใช่หรือไม่? คำตอบคือ ไม่จำเป็นเสมอไป แม้ว่าโทรศัพท์มือถือจะเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน แต่ว่าแอปพลิเคชันบนมือถือนั้น เหมาะกับธุรกิจบางกลุ่มเท่านั้น เช่น ธุรกิจแฟชั่น ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะถูกค้นพบและผู้บริโภคมีความถี่ที่จะใช้จ่ายกับสินค้าในหมวดนี้สูง ภาพจาก Deloitte แอปพลิเคชันมือถือยังถูกนำไปใช้ในแวดวงการตลาดด้วย เช่น การส่งการแจ้งเตือน (Push Notification) เช่น หากธุรกิจที่มีหน้าร้านต้องการจับกลุ่มผู้ที่เปิดฟังก์ชันแสดงพิกัดพื้นที่ (Location Finder) บนมือถือ ก็สามารถส่งส่วนลดสำหรับสาขาที่อยู่ใกล้ที่สุดไปให้ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าร้านของตนได้ และหากธุรกิจของคุณสามารถใช้แอปพลิเคชันมือถือให้เป็นประโยชน์ได้ ด้านล่างนี้เป็นข้อมูลที่ควรทราบ ก่อนที่จะตัดสินใจสร้างแอปพลิเคชันของคุณขึ้นมา แอปพลิเคชันแบบ Native หรือ Hybrid ดีกว่ากัน ? แล้วหลักมันต่างกันอย่างไร?แอปพลิเคชันแบบ Native นั้น ต้องพัฒนาขึ้นมาเฉพาะ โดยสร้างขึ้นมาแยกกันระหว่างระบบปฏิบัติการ iOS และ Android แต่แอปพลิเคชันแบบ Hybrid ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในกรอบที่ทำให้สามารถทำงานได้ทั้งบนเครื่องที่ใช้ iOS และ Android การที่จะเลือกว่าจะใช้แอปพลิเคชันแบบไหนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจ และขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน ซึ่งในเรื่องนี้ eIQ ได้พูดคุยกับคุณ Mandy Arbilo Regional Project Manager ที่ aCommerce ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการให้บริการเกี่ยวกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับฟีเจอร์และข้อแตกต่างหลักๆ ของแอปพลิเคชันแบบ Native และ Hybrid แอปพลิเคชันแบบ Nativeระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนา : 3 – 4 เดือนต่อแพลตฟอร์ม (iOS หรือ Android) ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา : 30,000 – 35,000 ดอลลาร์ต่อแอปพลิเคชัน เหมาะสำหรับ : ผู้ที่มีความต้องการที่จะใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นๆ เช่น Google Maps รวมถึงแพลตฟอร์มสำหรับการจ่ายเงินอย่าง Samsung Pay, Android Pay หรือ Apple Pay นอกจากนี้ยังเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการใช้ฟังก์ชันอื่นๆ อย่างการค้นหาที่ตั้งร้านค้า การนำทาง เนื่องจากแอปพลิเคชันแบบ Native จะสามารถทำงานได้แม่นยำและเสถียรกว่าในการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันภายนอกอื่นๆ สิ่งที่ควรรู้ : บางแบรนด์เลือกที่จะสร้างแอปพลิเคชันสำหรับ iOS ก่อนเพื่อจับกลุ่มผู้ใช้งาน Apple ซึ่งมีกำลังซื้อมากกว่า โดยคนกลุ่มดังกล่าวมักใช้จ่ายบนแอปพลิเคชันมากกว่าผู้ใช้งาน Android ถึง 2.5 เท่า แต่หากแบรนด์ต้องการจะจับกลุ่มลูกค้าที่กว้างกว่า การพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับ Android จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพจาก Deloitte ข้อได้เปรียบของแอปพลิเคชันแบบ Native
ข้อเสียเปรียบของแอปพลิเคชันแบบ Native
ตัวอย่างของแอปพลิเคชันแบบ Native
แอปพลิเคชันแบบ Hybridระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนา : 3 เดือน ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา : 30,000 ดอลลาร์ต่อแอปพลิเคชัน เหมาะสำหรับ : ผู้ที่กำลังมองหาตัวเลือกที่มีราคาเป็นมิตรกว่าเพื่อเริ่มต้นธุรกิจและต้องการสร้างแอปพลิเคชันเพื่อให้ลูกค้าได้ใช้เร็วที่สุด แอปพลิเคชันแบบ Hybrid นั้น เป็นการสร้างแอปพลิเคชันที่ใช้เงินต่ำที่สุดและมีความคุ้มทุนมากกว่าสำหรับแบรนด์ที่ต้องการจะจับทั้งกลุ่มผู้ที่ใช้งาน iOS และ Android แต่ยังมีงบประมาณไม่มากพอ สิ่งที่ควรรู้ : วิธีที่ดีที่สุดที่จะอธิบายเกี่ยวกับแอปพลิเคชันแบบ Hybrid ก็คือมันเป็นแอปพลิเคชันลูกผสมระหว่างแอปพลิเคชันแบบ Native และแอปพลิเคชันบนเว็บไซต์ ผู้ใช้งานจะต้องติดตั้งแอปพลิเคชันแบบ Hybrid แบบเดียวกันกับที่ติดตั้งแอปพลิเคชันแบบ Native แต่ที่จริงแล้วแอปพลิเคชันแบบ Hybrid นั้น เป็นเหมือนกับก้อนเบราเซอร์ที่รวมกันอยู่ในแอปพลิเคชัน โดยคุณสามารถเพิ่มฟังก์ชันใหม่ๆ เข้าไปในแอปพลิเคชันแบบ Hybrid ได้ผ่านการเขียนโค้ดเพียงภาษาเดียว กระบวนการจึงคล้ายกับการสร้างเว็บไซต์แบบ responsive ที่ไม่ซับซ้อนนัก และความเร็วของแอปพลิเคชันแบบ Hybrid นั้นจะขึ้นอยู่กับความเร็วของอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้ ในขณะที่ความเร็วของอินเทอร์เน็ตจะส่งผลต่อแอปพลิเคชันแบบ Native น้อยกว่า ข้อได้เปรียบของแอปพลิเคชันแบบ Hybrid
ข้อเสียเปรียบของแอปพลิเคชันแบบ Hybrid
WebView มีหน้าที่ในการแสดงหน้าตาของเว็บไซต์ต่างๆ และอ่าน JavaScript ซึ่ง Google และ Apple ก็ไม่ได้เปิดให้ WebView สามารถทำงานได้เหมือนกับเบราเซอร์สำหรับโทรศัพท์มือถืออย่าง Chrome หรือ Safari ดังนั้นแอปพลิเคชันแบบ Hybrid จึงไม่สามารถทำงานได้ดีเท่ากับแอปพลิเคชันแบบ Native
Mandy กล่าวเสริมว่า “แอปพลิเคชันแบบ Hybrid ไม่สามารถปรับแต่งเพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานทั้ง 2 ระบบปฏิบัติการได้ แต่หากคุณพยายามที่จะปรับแต่งมันมากเกินไป สุดท้ายแล้วคุณอาจจะเสียเงินเท่ากับการสร้างแอปพลิเคชันแบบ Native 2 แอปพลิเคชัน” ตัวอย่างของแอปพลิเคชันแบบ Hybrid อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างด้านล่างได้แสดงให้เห็นแล้วว่าแอปพลิเคชันแบบ Hybrid เอง ก็สามารถทำงานได้ดีเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจาก HTML5
Uber app สรุปแล้วควรเลือกแบบไหนดีล่ะ?Mandy กล่าวว่า “หากคุณต้องการจะสร้างแอปพลิเคชันสำหรับอีคอมเมิร์ซ หรือใช้งานแพลตฟอร์มที่มีคุณภาพ และคุณมีงบประมาณที่มากพอ คุณก็ควรจะเลือกแอปพลิเคชันแบบ Native เนื่องจากมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า สามารถทำงานกับแอปพลิเคชันอื่นๆ อย่าง Google Maps ได้ดีกว่า และสามารถทำงานในขณะที่ไม่อินเทอร์เน็ตได้” และสำหรับคนที่มีงบประมาณที่น้อยกว่า การสร้างแอปพลิเคชันแบบ Hybrid ก็เป็นตัวเลือกที่ดี หากต้องการจะทดสอบศักยภาพของแอปพลิเคชันว่ามีแนวโน้มที่สมควรจะนำทรัพยากรต่างๆ มาใช้เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันแบบ Nativeหรือไม่ อย่างที่ Facebook เคยทำ Hybrid Application มีอะไรบ้างแอปพลิเคชันแบบ Hybrid จำเป็นต้องทดสอบการทำงานบนแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากมันสามารถเข้าถึงฟังก์ชันต่างๆ ของตัวเครื่องได้น้อยกว่า. Evernote.. Amazon App Store.. Instagram.. แอ ป พลิ เค ชัน มี 2 ประเภท อะไร บ้างแอปพลิเคชันบนมือถือแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ Native Application, Hybrid Application และ Web Application.
ข้อใดคือเป็นประเภทของ Applicationโมบายแอพฯ จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ Native Application, Hybrid Applicationและ Web Application.
แอพพลิเคชั่นแบ่งออกเป็นกี่ประเภทโมบายแอพพลิเคชั่น จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ Native Application,Hybrid Application และ Web Application.
|