การประกอบธุรกิจของคน ต่างด้าว บัญชี 3

รมต.กระทรวงอุตสาหกรรม จี้ สมอ. เร่งประกาศยางหล่อดอกซ้ำ เป็นสินค้าควบคุม เพื่อความปลอดภัยของประชาชน หลังบอร์ด สมอ. เห็นชอบ พร้อมรถยนต์ขนาดเล็กต้องได้มาตรฐานความปลอดภัยจากการชนของรถยนต์ ทั้งด้านหน้า และด้านข้าง

พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อควบคุมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยกฎหมายดังกล่าวอนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจในประเทศไทยได้ ยกเว้นธุรกิจที่อยู่ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ ซึ่งห้ามคนต่างด้าวประกอบธุรกิจ หรือต้องดำเนินการตามเงื่อนไขก่อน จึงจะประกอบธุรกิจได้

สาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมีสองส่วน ส่วนแรกคือการกำหนดนิยามของ ‘คนต่างด้าว’ และส่วนที่สองคือการกำหนดประเภทธุรกิจที่ห้ามคนต่างด้าวประกอบกิจการ

สำหรับนิยามของคนต่างด้าว มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติ กำหนดไว้ว่า ‘คนต่างด้าว’ หมายความว่า

(1) บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (2) นิติบุคคลซึ่งไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย (3) นิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งมี ‘คนต่างด้าว’ ตาม (1) หรือ (2) ถือหุ้นอันเป็นทุนจดทะเบียน หรือลงทุนเกินกึ่งหนึ่ง หรือห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียน ซึ่งหุ้นส่วนผู้จัดการหรือผู้จัดการเป็นคนต่างด้าว และ (4) นิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งมี ‘คนต่างด้าว’ ตาม (1) หรือ (2) หรือ (3) ถือหุ้นอันเป็นทุนจดทะเบียน หรือลงทุนเกินกึ่งหนึ่ง

ในส่วนของการกำหนดประเภทธุรกิจที่ห้ามคนต่างด้าวประกอบกิจการ บัญชีท้ายพระราชบัญญัติแบ่งเป็น 3 บัญชีย่อย ดังนี้ บัญชีหนึ่ง ธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบกิจการด้วยเหตุผลพิเศษ  บัญชีสอง ธุรกิจที่เกี่ยวกับความปลอดภัยหรือความมั่นคงของประเทศ ธุรกิจที่มีผลกระทบต่อศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณี หัตถกรรมพื้นบ้าน หรือธุรกิจที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  และบัญชีสาม ธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันในการประกอบกิจการกับคนต่างด้าว

ทั้งนี้ มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติ กำหนดห้ามคนต่าวด้าวประกอบกิจการที่กำหนดไว้ในบัญชีหนึ่ง ขณะที่การประกอบกิจการที่กำหนดไว้ในบัญชีสองและบัญชีสาม คนต่างด้าวที่ต้องการประกอบกิจการต้องได้รับอนุญาต จึงจะประกอบกิจการได้

จากสาระสำคัญทั้งสองส่วนของพระราชบัญญัติ มีข้อสังเกตว่า การนิยามคนต่างด้าวตาม ‘หุ้นอันเป็นทุนจดทะเบียน’ โดยไม่ได้พิจารณาทุนของคนต่างด้าวในนิติบุคคลอื่นที่ร่วมลงทุนในบริษัทนั้นๆ ไม่ได้สะท้อนสภาพ ‘ความเป็นเจ้าของ’ ที่แท้จริง เนื่องจากมิได้พิจารณาถึงที่มาของทุน หรืออำนาจในการบริหารจัดการนิติบุคคลนั้นๆ ส่งผลให้ในทางปฏิบัติ นักลงทุนต่างชาติจึงสามารถมีอำนาจในการบริหารจัดการนิติบุคคลหนึ่งๆ ได้ เช่น ใช้วิธีการถือหุ้นโดยตรงในสัดส่วนร้อยละ 49 และถือหุ้นโดยอ้อมผ่านนิติบุคคลไทยอีกชั้นหนึ่ง

จากสาเหตุดังกล่าว นักลงทุนต่างชาติจึงสามารถประกอบธุรกิจในประเทศไทยได้อย่างเต็มที่ เช่น ใน ‘ภาคการผลิต’ ซึ่งไม่ต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจ และไม่มีข้อกำหนดเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มิได้อยู่ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ  ต่างจาก ‘ภาคบริการ’ อันเป็นธุรกิจตาม (21) ของบัญชีสาม ซึ่งห้ามคนต่างด้าวประกอบธุรกิจ “บริการอื่นๆ ยกเว้นธุรกิจบริการที่กำหนดในกฎกระทรวง” ทว่าจนถึงปัจจุบัน มีการออกกฎกระทรวงเพียงฉบับเดียวในปี 2556 ซึ่งธุรกิจบริการที่คนต่างด้าวประกอบกิจการได้ มีเพียงแค่ (1) ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจอื่นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (2) ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และ (3) การประกอบธุรกิจเป็นทรัสตีตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน

การกำหนดรายการธุรกิจไว้เช่นนี้ ทำให้เกิดปัญหาอย่างน้อย 3 ด้าน

ด้านแรก การกำหนดรายการประเภทธุรกิจที่ได้รับความคุ้มครองแบบ ‘ครอบจักรวาล’ ดังกล่าว ทำให้ทุนต่างชาติจำนวนมากอำพรางตนเข้ามาประกอบธุรกิจในฐานะนิติบุคคลไทย ทั้งอย่างถูกกฎหมาย ด้วยการถือหุ้นทางอ้อม และอย่างผิดกฎหมาย ด้วยการถือหุ้นผ่านบุคคลหรือนิติบุคคลไทย (nominee) เพื่อลดความยุ่งยากในการขออนุญาต

ด้านที่สอง การกำหนดประเภทธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันในการประกอบกิจการกับคนต่างด้าว เป็นการปิดกั้นการลงทุนโดยตรงในภาคบริการจากต่างประเทศ ซึ่งไม่สอดคล้องกับทั้งแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

ด้านที่สาม การกำหนดประเภทธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันในการประกอบกิจการกับคนต่างด้าว เป็นการสร้างอุปสรรคในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ  การเปลี่ยนแปลงประเภทธุรกิจที่ได้รับการคุ้มครองเหล่านี้แทบไม่เกิดขึ้นเลยตลอดช่วงเวลา 40 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยขาดแผนที่ชัดเจนในการเปิดเสรีภาคบริการ

ประเทศไทยต้องการการลงทุนจากต่างประเทศในภาคบริการ ทั้งเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของภาคบริการผ่านเงินลงทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และเพื่อเพิ่มสภาพการแข่งขันในสาขาของภาคบริการที่มีการผูกขาดหรือมีลักษณะกึ่งผูกขาด แต่พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 กลับเป็นอุปสรรคสำคัญที่กีดขวางการลงทุนในภาคบริการของไทย

การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงมีความจำเป็น เช่นเดียวกันกับการปรับปรุงกฎกติกาในรายสาขาของภาคบริการภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน รวมไปถึงการทบทวนนโยบายการลงทุนที่เน้นส่งเสริมเฉพาะภาคการผลิตเพียงด้านเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ขณะนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เสนอให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ พิจารณาเห็นชอบการถอดธุรกิจบริการอื่นๆ ตาม (21) ออกจากบัญชีแนบท้าย 3 พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ.2542 รวมประมาณ 6 ธุรกิจ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนต่างด้าวที่จะเข้ามาประกอบธุรกิจในไทย ไม่ต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจจากคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่มีปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ภายใต้กฎหมายฉบับบนี้ โดยหากนายจุรินทร์ เห็นชอบ จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ และเข้าสู่กระบวนการออกเป็นกฎกระทรวงพาณิชย์ กำหนดธุรกิจบริการที่ไม่ต้องขออนุญาตการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว คาดจะมีผลบังคับใช้ในปี 65

สำหรับหลักการถอดธุรกิจบริการออกนั้น จะเน้นไปที่ธุรกิจที่มีกฎหมายกำกับดูแลเป็นการเฉพาะ ธุรกิจที่ต่างชาติมาขออนุญาตเป็นประจำ เช่น ธุรกิจที่ให้บริการบริษัทในเครือ ในกลุ่ม รวมถึงธุรกิจเป้าหมายที่รัฐบาลให้การส่งเสริมการลงทุน โดยธุรกิจบริการ ที่เสนอให้ถอดออกครั้งนี้ เช่น ธุรกิจบริการโทรคมนาคม สำหรับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม แบบที่หนึ่ง ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งเป็นใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ไม่มีโครงข่ายโทรคมนาคมเป็นของตนเอง และเป็นกิจการที่มีลักษณะสมควรให้มีการบริการได้โดยเสรี เช่น เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์จากจีนมาเช่าโครงการโทรคมนาคมในไทย เพื่อให้บริการโทรศัพท์สำหรับลูกค้าจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย 

นอกจากนี้ ยังธุรกิจศูนย์บริหารเงิน ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศให้กับบริษัทในกลุ่มในเครือ, ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในไทย และประกอบธุรกิจ ดังต่อไปนี้ 1. พัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์ด้านวิเคราะห์และเชื่อมโยงเพื่อบริหารจัดการข้อมูล Big Data, Data Analytics รวมถึง Predictive Analytics 2. พัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศและไซเบอร์ 3. พัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการควบคุมหรือเชื่อมโยงอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการจัดการกระบวนการทางธุรกิจ และ 4. พัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ในงานสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิต  

ขณะเดียวกัน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังอยู่ระหว่างร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง พิจารณาถอดธุรกิจบริการอื่นๆ ออกจากบัญชีแนบท้าย 3 เพิ่มเติมอีก เพราะตามกฎหมาย จะต้องพิจารณาปลดล็อกทุกปี โดยธุรกิจที่อยู่ระหว่างการเสนอให้นายจุรินทร์ พิจารณานี้ เป็นการพิจารณาในรอบปี 62 และ 63 ส่วนที่กำลังพิจารณาล่าสุด เป็นการทบทวนรอบปี 64 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกกฎกระทรวง กำหนดธุรกิจบริการที่ไม่ต้องขออนุญาตการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แล้วรวม 4 ฉบับ มีธุรกิจที่ถอดออกแล้ว คือ 1.ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจอื่นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 2.ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 3.ธุรกิจทรัสตีตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน 4.ธุรกิจสถาบันการเงินและธุรกิจอื่นตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน 5.ธุรกิจประกันชีวิต 6.ธุรกิจประกันวินาศภัย  

7.ธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ 8.ธุรกิจบริการเป็นสํานักงานผู้แทนของนิติบุคคลต่างประเทศในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ 9.ธุรกิจบริการเป็นสํานักงานภูมิภาคของนิติบุคคลต่างประเทศในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ 10.ธุรกิจบริการที่มีส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณเป็นคู่สัญญา 11.ธุรกิจบริการที่มีรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณเป็นคู่สัญญา 12.ธุรกิจบริการให้กู้ยืมเงินในประเทศ บริการให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน พร้อมสาธารณูปโภค บริการให้คำปรึกษา แนะนำเฉพาะด้านบริหารจัดการ ด้านการตลาด ด้านทรัพยากรบุคคล และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระหว่างนิติบุคคล ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน