1. แบบทดสอบแบ่งเป็น 2 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 แบบทดสอบเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก ตอนที่ 1 ข้อที่ 1 : ขั้นตอนการวิเคราะห์ปัญหาขั้นตอนใดที่ผู้พัฒนาโปรแกรมต้องศึกษาถึงวิธีการประมวลผลมากที่สุด ก. สิ่งที่ต้องการ ข้อที่ 2 : ขั้นตอนใดเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวิเคราะห์ปัญหา ก. ทำความเข้าใจกับปัญหา ข้อที่ 3 : ข้อใดคือความหมายของอัลกอริทึม ก. การทำความเข้าใจกับปัญหา ข้อที่ 4 : การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเขียนจากขั้นตอนใด ก. พิจารณาข้อมูลอินพุต ข. พิจารณาข้อมูลเอาต์พุต ค. การอธิบายวิธีประมวลผล ง. สิ่งที่ต้องการทางเอาต์พุต ข้อที่ 5 : ถ้าหากต้องการให้คอมพิวเตอร์คำนวณหาพื้นที่สามเหลี่ยม ท่านคิดว่าข้อมูลใดคือข้อมูลอินพุต ก. พื้นที่, ความสูง ข้อที่ 6 : การทดสอบความถูกต้องของขบวนการแก้ปัญหาควรจะทำกับข้อมูลตัวอย่างกี่ชุด ก. อย่างน้อย 1 ชุด ข้อที่ 7 : ข้อใดคือการวิเคราะห์สิ่งที่ต้องการทางเอาต์พุต ก. การวิเคราะห์ว่าโปรแกรมนั้นต้องทำงานบนเครื่องรุ่นใด ข้อที่ 8 : จากปัญหาต่อไปนี้ " ให้หาค่าเฉลี่ยของเลขจำนวนเต็ม 3 จำนวน ที่ป้อนผ่านแป้นพิมพ์ และแสดงค่าเฉลี่ยออกทางจอภาพ" ผลลัพธ์ที่ต้องการจากปัญหานี้คือข้อใด ก. ค่าของตัวแปร 3 ตัว ข้อที่ 9 : ประโยชน์ของการวิเคราะห์ปัญหาคือข้อใด ก. ทำให้เข้าใจและแยกแยะปัญหาต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ข้อที่ 10 : ในชีวิตประจำวันบุคคลใดจัดว่าวิเคราะห์ปัญหาไม่เป็น ก. นิดฝึกคิดวิเคราะห์ และหารายได้เสริม การเขียนโปรแกรม หมายถึง กระบวนการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อกำหนดโครงสร้างของข้อมูลและกำหนดขั้นตอนวิธีเพื่อใช้แก้ปัญหาที่ได้ออกแบบไว้ โดยอาศัยหลักเกณฑ์การเขียน โปรแกรมคอมพิวเตอร์แต่ละภาษา การเขียนโปรแกรมมี 3 แบบ ได้แก่ การเขียนโปรแกรมโครงสร้าง (Structure Programming) การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-oriented Programming : OOP) และการเขียนโปรแกรมเชิงจินตภาพ (Virus Programming) ซึ่งการเขียนโปรแกรมแต่ละแบบมีแนวคิดและวิธีการเขียนโปรแกรมงานอย่างง่ายแตกต่างกันไป การเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง การเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง (Structure Programming) ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้ ในการเขียนโปรแกรมมีให้เลือกมากมายหลายภาษา เช่น ภาษาชี ภาษาจาวา ภาษาเดลไฟล์ ผู้เขียนโปรแกรมอาจใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ที่จะนำมาใช้ในการเขียนโปรแกรมตามลักษณะของปัญหาความสามารถ และความถนัดของตนเอง ซึ่งแต่ละภาษาก็จะมีรูปแบบคำสั่งและหลักการในการเขียนโปรแกรมที่แตกต่างกัน สำหรับภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง ซึ่งเป็นวิธีการเขียนแบบดั้งเดิม เช่น ภาษาปาสกาล ภาษาชี จะมีโครงสร้างในการเขียนโปรแกรม 3 แบบ ได้แก่ โครงสร้างแบบลำดับ (Sequential Strcture) โครงสร้างแบบมีทางเลือก (Selection Structure) และโครงสร้างแบบทำซ้ำ (Repetition Structure) ถึงแม้ว่าปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมเปลี่ยนไป แต่แนวคิดเกี่ยวกับวิธีการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้างก็ยังเป็นความรู้พื้นฐานในการเขียนโปรแกรมแบบสมัยใหม่อย่างการเขียนโปรแกรม มีรายละเอียดดังนี้ 1. โครงสร้างแบบลำดับ (Sequential Structure) เป็นโครงสร้างที่แสดงขั้นตอนการทำงานที่เรียงเป็นลำดับก่อนหลัง จากคำสั่งที่ 1 ไปคำสั่งที่ 2 ต่อไปจนถึงคำสั่งสุดท้ายและแต่ลพคำสั่งจะมีการประมวลผลเพียงครั้งเดียวเท่านั้น การเขียนโปรแกรมโครงสร้างแบบลำดับจึงเป็นการเขียนโปรแกรมที่ง่ายที่สุด |