ทุกวันนี้ Technology ได้มีพัฒนาอย่างก้าวกระโดดอย่างมาก รวมไปถึงภาษา Programming Language น่าสนใจใหม่ ๆ มากมาย กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมกับ Community ที่กำลังใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ Show
ซึ่งในทักษะการเขียนโปรแกรมนั่น เรียกได้ว่าความรู้เกี่ยวกับภาษา Programming นั้นเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญ และทักษะที่จำเป็นสำหรับชาว Developer และคนทำงานด้าน Technology ในบทความนี้ ทาง Skooldio ได้รวม 7 ภาษา Programming ที่น่าเรียนรู้สำหรับ 2021-2022 มาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกัน Table of Contents
1. JavaScriptJavaScript (JS) เป็นภาษาสำหรับการทำ Frontend Development ซึ่งมักจะใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำ Frontend Web Application ต่างๆ โดยเฉพาะ Web App ที่มีความ interactive ยกตัวอย่างเช่น การทำให้มี Popup เด้งขึ้นมาตอนที่เรากดปุ่ม Button เป็นต้น ทุกวันนี้ ในหลายๆ องค์กร โดยเฉพาะบริษัทสตาร์ทอัป จะนิยมใช้ NodeJS ซึ่งเป็น Runtime Environment ที่ใช้ภาษา JavaScript ซึ่งตัว NodeJS นั้น ทำให้ developer สามารถใช้ Javascript สำหรับการทำฝั่ง Server หรือก็คือฝั่ง Backend ได้ ทำให้ในตอนนี้ สำหรับภาษา JS นั้น สามารถที่จะใช้ได้ทั้งในฝั่งของการทำฝั่ง Frontend และ Backend ได้ในภาษาเดียว ทำให้การเรียนรู้ JavaScript นั้นคุ้มมากๆ เพราะเรียนรู้ครั้งเดียว แต่สามารถทำงานได้หลากหลายทั้ง Frontend และ Backend JavaScript ยังเป็นภาษาที่ถูกใช้มากที่สุดในโลกอีกด้วย ทั้ง Social Media ระดับโลกอย่าง Facebook, Google, YouTube หรือบริษัทสตาร์ทอัปชื่อดังอย่าง Uber นั้นก็ล้วนใช้ JavaScript ในการพัฒนา และ JavaScript ยังติดอันดับ Top 10 ภาษา Programming ยอดนิยมที่สุดมาอย่างต่อเนื่องหลายปีอีกด้วย นอกจากนี้ JavaScript ก็ยังสามารถนำไปพัฒนา Mobile Application หรือแม้กระทั่งเกมได้ด้วยเช่นกัน ระดับความยากในการเรียนรู้ภาษา JavaScript: ง่าย (ปานกลางสำหรับ JavaScript ขั้นสูง) ข้อดีของ JavaScript
ข้อเสียของ JavaScript
JavaScript ทำอะไรได้บ้าง?
2. Pythonความสำคัญที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของเรื่อง Data ในธุรกิจนั้น ทำให้ความนิยมและความต้องการของภาษา Python นั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ภาษา Python นั้นเป็นภาษาที่สามารถใช้ได้ทั้งสำหรับการพัฒนาฝั่ง server-side development , การพัฒนา Web Application, การเขียน Automation Script อย่าง Web Scraping, การวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการทำ โมเดล Machine Learning จนเรียกได้ว่าภาษา Python นั้น เป็นภาษามีความสามารถรอบด้านมากทีเดียว ในการทำ web application ขนาดใหญ่ ทั้ง Youtube, Instagram, Pinterest ต่างก็ใช้ Python ในการพัฒนาด้วยกันทั้งสิ้น และอีกหลากหลายบริษัทที่ใช้ Python เป็นภาษาหลักในการพัฒนาระบบ backend หลังบ้าน นอกจากนี้ Python ก็ยังมี library tools และ framework ต่างๆ จำนวนมาก และมี community ที่ใหญ่มากด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นก็คือภาษา Python นั้น เป็นภาษาที่สามารถเข้าใจและเรียนรู้ได้ง่าย แม้สำหรับมือใหม่ก็ตาม และก็ยังเป็นภาษาที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า เป็นหนึ่งภาษาที่ดีที่สุด เหมาะที่สุด ที่จะเรียนรู้เป็นภาษาแรก ซึ่งเหมาะมากที่จะเป็นภาษาสำหรับผู้ที่เริ่มต้นในการเขียนโปรแกรม ความเรียบง่ายของภาษา Python นั้นทำให้การพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วย Python นั้นมีความลื่นไหลและมีประสิทธิภาพ จึงไม่น่าแปลกใจที่ว่าทำไม Python ถึงได้เป็นหนึ่งในภาษาที่มีคนนิยมและชื่นชอบมากที่สุดภาษานึง และมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย และ Python เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงสุดอันดับ 2 ใน GitHub (เป็นรองจาก JavaScript) ระดับความยากในการเรียนรู้ภาษา Python: ง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้น ข้อดีของ Python
ข้อเสียของ Python
Python ทำอะไรได้บ้าง?
3. Golangภาษา Golang หรือ Go เป็นภาษาที่ถูกพัฒนาโดย Google ในปี 2007 เพื่อเอามาใช้แทนภาษาอย่าง Java, C และ C++ และเป็นภาษาที่เป็น Open Source โปรเจคอย่าง Kubernetes, Docker และ Blockchain ใช้ Golang ในการทำ Multi-Threading และการทำ Concurrent Programming เพราะว่า Golang ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทำงานประเภทนี้ได้ง่าย นอกจากนี้ ภาษา Golang ยังเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน Silicon Valley ด้วย สำหรับมือใหม่ ภาษา Golang ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในภาษาที่เรียนรู้ได้ง่ายภาษานึง เพราะว่า Golang นั้นจะเน้นที่ความ simple หรือความเรียบง่ายของภาษา ทำให้เรียนรู้ได้ง่าย และนอกจากนี้ ภาษา Golang นั้นยังเป็นภาษาที่รันได้เร็วมากที่สุดภาษานึงอีกด้วย ภาษา Golang นั้นสามารถใช้ทำได้หลายอย่าง ทั้งทำ Web Development ในฝั่ง Backend, ทำเกี่ยวกับ DevOps Automation, Command Line Tools และรวมถึงการทำ Cloud Application และ Network Application ด้วย ระดับความยากในการเรียนรู้ภาษา Golang: ค่อนข้างง่าย ข้อดีของ Golang
ข้อเสียของ Golang
Golang ทำอะไรได้บ้าง?
สำหรับผู้ที่สนใจภาษา Go เพิ่มเติม สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษา Go ได้ที่นี่ 4. Kotlinระบบปฏิบัติการ Android บนมือถือนั้น คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นหนึ่งในระบบที่มีความนิยมที่สุดทั่วโลก ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ Google ได้ทำการประกาศให้ภาษา Kotlin นั้นเป็นภาษาหลักสำหรับการพัฒนา Android Application โดยภาษา Kotlin นั้น ถูกออกแบบมาให้สามารถทำงานร่วมกันกับภาษา Java ได้ 100% ซึ่งเป็นภาษาเดิมที่ใช้สำหรับการพัฒนา Android ก่อนหน้านี้ที่จะมี Kotlin แต่ว่า Kotlin เองนั้น ไม่ได้มีดีแค่สำหรับการทำ Android Application เพียงอย่างเดียว เพราะ Kotlin ก็สามารถนำมาใช้ในการพัฒนา Web Application, Backend Development และล่าสุด Kotlin สามารถทำ Mobile Application แบบ Cross Platform ได้อีกด้วย ซึ่งภาษา Kotlin เองก็เป็นหนึ่งในภาษาที่น่าจับตามอง และมี Community ที่กำลังเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นภาษาที่หากเรียนรู้ไว้จะทำให้มีความได้เปรียบในด้านการทำงานสำหรับชาว Developer ระดับความยากในการเรียนรู้ภาษา Kotlin: ปานกลาง ข้อดีของ Kotlin
ข้อเสียของ Kotlin
Kotlin ทำอะไรได้บ้าง?
5. Swiftเมื่อพูดถึง Android OS แล้ว แน่นอนว่าก็ต้องมีฝั่งคู่แข่งสำคัญอย่าง iOS ของ Apple ด้วยเช่นกัน ซึ่งภาษาหลักที่ใช้ในการพัฒนาสำหรับ iOS Application นั้นก็คือภาษา Swift นั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่า iOS device ต่างๆ นั้นก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงมาก เช่น iPhone ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงมากของโลกที่เป็นการแข่งขันสำคัญของ Android ซึ่ง Swift นั้นก็สามารถนำมาใช้พัฒนา Application สำหรับ macOS ที่ใช้ในเครื่อง MacBook รุ่นต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าถ้าอยากทำ Application สำหรับชาว Apple แล้วละก็ เลือกภาษา Swift เป็นคำตอบที่ตอบโจทย์นี้ที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งภาษา Swift เป็นภาษา Open Source ที่ออกแบบมาเพื่อเน้นความปลอดภัยของโค้ดเป็นหลัก และเน้นในเรื่องของความเร็วของการทำงานของโค้ดด้วยเช่นกัน และภาษา Swift ก็ยังเป็นภาษาที่เมื่อเรียนรู้แล้ว สามารถเขียนได้ง่าย ทำให้เป็นที่ชื่นชอบในกลุ่ม iOS Developer อีกด้วย ระดับความยากในการเรียนรู้ภาษา Swift: ปานกลาง ข้อดีของ Swift
ข้อเสียของ Swift
Swift ทำอะไรได้บ้าง?
6. Dartเมื่อพูดถึงการพัฒนา Mobile Application แล้ว หนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงในสาย Mobile ขณะนี้เลยนั่นก็คือ Flutter นั่นเอง ซึ่ง Flutter นั้นเป็น Toolkit ที่ใช้ภาษา Dart สำหรับพัฒนา Native Mobile Application ที่สามารถรันได้บนทั้ง Android และ iOS แบบ Cross Platform ซึ่ง Dart นั้น เป็นภาษาที่ Google ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นภาษาทางเลือกของ JavaScript โดยสามารถนำ Dart มาสร้าง Application ต่างๆ ได้ทั้ง Mobile, Desktop, Server และ Web Application ได้ เรียกได้ว่าภาษา Dart นั้นเริ่มเป็นภาษาที่ชาว Mobile Developer จับตามองกัน เมื่อมีการเปิดตัว Flutter อย่างเป็นทางการเกิดขึ้น นับว่าเป็นหนึ่งในมาภาษาที่กำลังมาแรงมากเลยทีเดียว เพราะว่าสามารถที่จะเขียนทั้ง Android และ iOS Application ได้ด้วยภาษา Dart เพียงภาษาเดียว (แทนการเรียน 2 ภาษาอย่าง Kotlin และ Swift) ระดับความยากในการเรียนรู้ภาษา Dart: ปานกลาง ข้อดีของ Dart
ข้อเสียของ Dart
Dart ทำอะไรได้บ้าง?
7. Javaเมื่อพูดถึงภาษา Programming โดยเฉพาะภาษาที่รองรับ OOP ด้วยแล้ว คงจะขาดภาษานี้ไปไม่ได้เลย นั่นก็คือภาษา Java ภาษา Java นับว่าเป็นหนึ่งในภาษา OOP ที่มีอยู่มายาวนานภาษาหนึ่ง ซึ่งถึงแม้อาจจะเป็นภาษาที่ค่อนข้างเก่า แต่เนื่องด้วยความสามารถที่หลากหลาย และความเสถียรของภาษาที่ผ่านการพัฒนาในช่วงระยะเวลาอันยาวนาน จึงยังทำให้ Java เป็นหนึ่งในภาษาที่มีความนิยมสูงอยู่ในปัจจุบัน Java นั้นสามารถนำไปใช้กับการทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการทำ Web Application, Server Side Application, Android Apps, Desktop App หรือแม้กระทั่งเกมอย่าง Minecraft ซึ่งจุดเด่นของ Java นั้นคือ Java สามารถรันได้บน OS ไหนก็ได้ ด้วยความสามารถของ Java Virtual Machine หรือ JVM และก็มีความสเถียรที่สูง ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับบริษัทใหญ่ระดับ Enterprise และแน่นอนว่า Library, Tools และ Community ของ Java นั้นมีมากมายอย่างล้นหลามอีกด้วย ทำให้ภาษา Java นั้น ก็ยังคงเป็นหนึ่งในภาษาที่ยังคงน่าเรียนรู้ไว้ในยุคนี้เช่นเดียวกัน |