Show การปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ควรทราบ最終更新日:2017年2月17日 หากมีคนในครอบครัวหรือคนในละแวกบ้านได้รับบาดเจ็บ กรุณาทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เร็วที่สุด วิธีการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR)หากพบเห็นคนได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ตบที่ไหล่ของผู้ประสบภัยพร้อมพูดกับเขา การช่วยฟื้นคืนชีพหากไม่สามารถหายใจได้ตามปกติ ให้กดหน้าอก 30 ครั้ง เมื่อกดหน้าอกเสร็จแล้ว
ให้ดัดคางขึ้นร่วมกับการกดหน้าผากให้หน้าแหงนเพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่งแล้วจึงทำการผายปอด 2 ครั้ง กรณีที่เกรงว่าจะติดโรคจากเลือดหรืออาเจียน ให้กดหน้าอกต่อไปโดยไม่ต้องผายปอด แผลไฟลวกแช่บริเวณที่ถูกไฟลวกในน้ำมากกว่า 15 นาทีเพื่อให้อุณหภูมิลดลง บาดแผลหากมีเลือดออกไม่มาก ให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด และพันด้วยผ้าก๊อซ เลือดออกหากมีเลือดออกมาก
ให้ใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซกดปากแผลให้แน่น กระดูกหักถอดรองเท้าและตัดเสื้อผ้าออก เพราะจะมีอาการบวมขึ้นหลังจากกระดูกหัก สิ่งที่แนะนำข้างต้นเป็นการอธิบายเพียงคร่าวๆ ภายในสำนักงานดับเพลิงโตเกียวมีการจัดอบรมการช่วยชีวิตและการปฐมพยาบาลในแต่ละท้องที่ 本ページに関するお問い合わせ本ページに関するご意見をお聞かせください防災・防犯
แนวทางการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การประเมินสถานการณ์ 1.ตรวจดูสภาพแวดล้อมที่เกิดเหตุว่ามีความปลอดภัยหรือไม่ ถ้าไม่ ปลอดภัย ไม่ควรเสี่ยงอันตรายเข้าไปช่วยเหลือ 2.แจ้งเหตุ/ขอความช่วยเหลือหน่วยงานที่ชำนาญเฉพาะโดยให้การข้อมูล -มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น/สถานการณ์เป็นอย่างไร -สถานที่เกิดเหตุ -จำนวนผู้บาดเจ็บ/สภาพผู้บาดเจ็บ -ชื่อผู้แจ้งเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 3.ประเมินความรุนเรงของการบาดเจ็บ โดยตรวจ -ระดับความรู้สึกตัว (รู้สึกตัวดี / ซึม / รู้สึกตัวบ้าง ไม่รู้สึกตัวบ้าง) -ทางเดินหายใจและการหายใจ ลักษณะและอัตราการหายใน -ชีพจร ลักษณะการเต้น และจำนวนครั้ง -การบาดเจ็บ (กระดูกหัก บาดแผล ฯลฯ) หรือการเจ็บป่วยอื่นที่ดำเนินอยู่ 4.ให้การปฐมพยาบาล -การช่วยฟื้นคืนอชีพชั้นพื้นฐาน -การห้ามเลือด/การทำแผล -การเคลื่อนย้าย/การนำส่งโรงพยาบาล การปฐมพยาบาลเบื้องต้น มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาชีวิตผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ หลักเบื้องต้นของการปฐมพยาบาล การปฐมพยาบาลบาดแผลเบื้องต้น การปฐมพยาบาลบาดแผลอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันอันตรายและลดอาการแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นได้โดยปฏิบัติดังนี้ ชนิดของบาดแผล แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ชนิดของบาดแผลบาดแผลปิด หมายถึง บาดแผลที่มีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อภายใต้ผิวหนัง เช่น แผลฟกช้ำ ห้อเลือด ข้อเท้าพลิก ข้อแพลง การดูแล - ใน 24 ชั่วโมงแรก ใช้น้ำแข็งหรือถุงน้ำเย็นประคบ เพื่อไม่ให้เลือดออก และช่วยระงับอาการปวด - หลัง 24 ชั่วโมง ควรประคบด้วยน้ำอุ่น เพื่อช่วยละลายลิ่มเลือด - แผลถลอก ผิวหนังถลอก เลือดออกเล็กน้อย - แผลฉีกขาดขาด เกิดจากวัตถุไม่มีคมแต่มีแรงพอ ให้่ผิวหนังฉีกขาด ขอบแผลมักขาดกระรุ่งกระริ่ง - แผลตัด เกิดจากวัตถุมีคมตัด บาดแผลมักแคบ ยาว ขอบแผลเรียบ - แผลถูกแทง เกิดจากวัตถุปลายแหลมแทงเข้าไปบาดแผลจะลึก - แผลถูกยิง เกิดจากกระสุนปืน อันตรายมากน้อยขึ้นอยู่กับอวัยวะภายในที่ถูกกระสุนปืน การปฐมพยาบาล บาดแผลเลือดออก - กรณีเลือดไหลมาก ๆ ควรจะรีบกดบาดแผลด้วยผ้าสะอาดให้เลือดหยุดก่อนต้องกดให้แน่นอยู่นาน 5-10นาที อาจใช้ผ้ายืดพันทับก่อนที่จะไป - กรณีปากแผลแยกควรปิดปากบาดแผลด้วยพลาสเตอร์ - แผลถลอกหรือแผลฉีกขาดที่ผิวหนังและมีเลือดออกมาไม่มาก ใช้ผ้าสะอาดกดบริเวณเลือดออกให้กระชับแน่ พอประมาณเลือดจะหยุดภายใน 2-3 นาที ใช้น้ำประปา เปิดให้ไหลผ่านแผล - ชะล้างแผลและทำความสะอาดรอบๆ แผล ถ้าแผลสกปรกมาก ควรล้างด้วยน้ำสะอาดและสบู่ - ใช้ผ้าสะอาด หรือผ้ากอซสะอาด ซับบริเวณแผลให้แห้ง - ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น เบตาดีน (Betadine) ไม่จำเป็นต้องปิดแผล ถ้าเป็นแผลถลอก หากมีเลือดซึม ควรใช้ผ้ากอซสะอาดปิดแผลไว้ - ถ้าบาดแผลมีขนาดใหญ่ กว้างและลึก มีเลือดออกมาก ให้ห้ามเลือด และรีบนำส่งโรงพยาบาล การดูแลบาดแผลที่เย็บ - ดูแลแผลไม่ให้สกปรก ไม่ควรให้ถูกน้ำเพราะจะทำให้แผลที่เย็บไม่ติด และเกิดการติดเชื้อได้ง่าย - การเปลี่ยนผ้าปิดแผลควรทำให้น้อยที่สุดหรือทำเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น ถ้าแผลสะอาดไม่ต้องเปลี่ยนผ้าปิดแผลจนถึงกำหนดตัดไหม ยกเว้น แผลสกปรก อาจต้องล้างแผลบ่อยขึ้น - ตามปกติ จะตัดไหมเมื่อครบ 7 วัน แต่ถ้าแผลยังอักเสบ หรือยังไม่แน่ใจว่าแผลติดแล้ว อาจต้องรอต่อไปอีก 2 – 3 วัน ให้แผลติดกันดีจึงค่อยตัดไหม ยกเว้นรายที่มีการติดเชื้อ แผลเป็นหนอง จำเป็นจะต้องตัดไหมออกก่อนกำหนด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หมายถึง การที่ผิวหนังถูกทำลายด้วยความร้อน ที่อุณหภูมิสูงกว่า 50 C ได้แก่ เปลวไฟ ไอน้ำร้อน น้ำเดือด สารเคมี กระแสไฟฟ้า และรังสีต่างๆ ชนิดของแผลไหม้ เฉพาะชั้นผิวหนัง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน ลักษณะแผลแห้ง แดง และถ้าลึกถึงหนังแท้จะพองเป็นตุ่มน้ำใสและบวม การดูแล - ระบายความร้อนออกจากแผล โดยใช้ผ้าชุบน้ำ หมั่นประคบบริเวณบาดแผล หรือเปิดให้น้ำไหลผ่านบริเวณบาดแผลตลอดเวลา นานประมาณ 10 นาที ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดด้วย - ทาด้วยยาทาแผลไหม้ - ห้ามเจาะถุงน้ำหรือตัดหนังส่วนที่พองออก - ปิดด้วยผ้าสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อและพันผ้าไว้ - ถ้าแผลไหม้เป็นบริเวณกว้างหรือเป็นอวัยวะที่สำคัญต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล ลึกถึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ได้แก่ ไขมัน กล้ามเนื้อ เส้นประสาท กระดูก เป็นต้น ลักษณะแผลมีสีน้ำตาลเทาหรือดำ ผิวหนังรอบๆ จะซีด มีกลิ่นไหม้ อาจทำให้เกิดผลแทรกซ้อน ถึงเสียชีวิตได้ การดูแล - ไม่ต้องระบายความร้อนออกจากบาดแผลเพราะจะยิ่งทำให้แผลติดเชื้อมากขึ้น - ห้ามใส่ยาใดๆ ทั้งสิ้นลงในบาดแผล - ใช้ผ้าสะอาดปิดบริเวณแผลเพื่อป้องกันสิ่งสกปรก ให้ความอบอุ่น และรีบนำส่งโรงพยาบาล
อันตรายจากสารเคมี เมื่อถูกสารเคมีหกราดผิวหนังหรือลำตัวให้ปฏิบัติตัวดังนี้ - ใช้น้ำล้าง โดยใช้วิธีตักราด หรือเปิดน้ำให้ไหลผ่านนานประมาณ 10 นาที หรือนานจนแน่ใจว่าล้างออกหมด - ถอดเสื้อผ้าเครื่องประดับที่เปื้อนสารเคมีออกให้หมด - นำส่งโรงพยาบาล สำหรับผู้ที่มีอาการเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญ - ถ้าสารเคมีเป็นผง ให้ถอดเสื้อผ้า และเครื่องประดับที่เปื้อนออกให้หมด แล้วล้างด้วยน้ำ เพราะถ้าใช้น้ำล้างทันที สารเคมีจะละลายน้ำทำให้ออกฤทธิ์ เพิ่มขี้น สารเคมีเข้าตา ต้องรีบให้การช่วยเหลือเพราะอาจทำให้ตาบอดได้ ดังนี้ - ล้างด้วยน้ำสะอาด นานประมาณ 20 นาที โดยเปิดน้ำจากก๊อกเบาๆ ล้าง หรือเทน้ำจากแก้วล้างระวังอย่าให้น้ำเข้าตาอีกข้างหนึ่ง
- ปิดตาด้วยผ้าสะอาด ห้ามขยี้ตา การปฐมพยาบาล หน้ามืดเป็นลม หน้ามืดเป็นลม เป็นสภาวะที่อาจเกิดจากสาเหตุที่ไม่ร้ายแรง หรือจากสาเหตุที่ร้ายแรงก็เป็นได้ ดังนั้นผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ควรจะต้องทราบและเรียนรู้ ที่จะช่วยเหลือผู้ที่มีอาการหน้ามืดเป็นลมนั้นๆ ได้ทันท่วงที เช่น พวกที่ยืนกลางแดดเป็นเวลานานอาจเสียเหงื่อมากทำให้มีอาการเป็นลมแดดได้แต่หากว่าหมดสติไปนานกว่านี้ควรพาคนไข้ไปพบแพทย์จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด การปฐมพยาบาล ตะคริว ตะคริว คือภาวะที่กล้ามเนื้อหดเกร็งเองโดยที่เราไม่ได้สั่งให้เกร็งหรือหดตัว
โดยที่เราไม่สามารถควบคุมให้กล้ามเนื้อมัดนั้น ๆ คลายตัวหรือหย่อนลงได้ - ยืดกล้ามเนื้อออกตามความยาวปกติของกล้ามเนื้อใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที ปล่อยมือดูอาการว่ากล้ามเนื้อนั้นยังเกร็งอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีอยู่ให้ทำซ้ำอีกจนไม่มีการเกร็งตัว การปฐมพยาบาล เป็นไข้ เป็นไข้ปกติคนเราจะมีอุณหภูมิของร่างกายอยู่ที่ " 37 องศาเซนเซ๊ยส "และจะถือว่ามีไข้เมื่ออุณหภูมิของร่างกาย " เกินกว่า 38 องศาเซนเซ๊ยส " ถ้าเกิดจากระบบทางเดินหายใจจะมีไข้ตัวร้อน ร่วมกับอาการไอเจ็บคออาจมีสาเหตุมาจาก คออักเสบหรือต่อมทอนซิลอักเสบ ถ้ารุนแรงมากขึ้นกว่านั้น คือ มีเสมหะสีเขียวหรือ เหลือง ปนออกมา พร้อมกับมีอาการไอมากขึ้น เหนื่อย หายใจขัด อาจมีสาเหตุจากหลอดลมอักเสบ หรือ ปอดบวม ก็เป็นได้ เป็นไข้ปกติคนเราจะมีอุณหภูมิของร่างกายอยู่ที่ " 37 องศาเซนเซ๊ยส "และจะถือว่ามีไข้เมื่ออุณหภูมิของร่างกาย " เกินกว่า 38 องศาเซนเซ๊ยส " ถ้าเกิดจากระบบทางเดินหายใจจะมีไข้ตัวร้อน ร่วมกับอาการไอเจ็บคออาจมีสาเหตุมาจาก คออักเสบหรือต่อมทอนซิลอักเสบ ถ้ารุนแรงมากขึ้นกว่านั้น คือ มีเสมหะสีเขียวหรือ เหลือง ปนออกมา พร้อมกับมีอาการไอมากขึ้น เหนื่อย หายใจขัด อาจมีสาเหตุจากหลอดลมอักเสบ หรือ ปอดบวม ก็เป็นได้ การปฐมพยาบาล เทคนิคการจำกัดพฤติกรรมผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ 1. เจ้าหน้าที่ต้องประเมินผู้ป่วยมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร รุนแรงมากน้อยเพียงใด โดยใช้วิธีการพูดคุยกับผู้ป่วย เทคนิคการเจรจาก่อนการเข้าควบคุมผู้ป่วย 1. เจ้าหน้าที่พูดคุยกับผู้ป่วยเพื่อถ่วงเวลา ระหว่างเตรียมทีม2. กรณีที่มีญาติอยู่บริเวณนั้น ก่อนการเข้าจำกัดพฤติกรรมผู้ป่วย ต้องบอกญาติให้เข้าใจก่อน และอาจให้ญาติออกจากบริเวณนั้น 3. ในผู้ป่วยบางราย เช่นผู้ป่วยปัญญาอ่อน อาจใช้ขนมเป็นตัวสื่อให้ลดหรือหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ 4. ในบางกรณีอาจใช้ผ้าห่มคลุมตัวผู้ป่วยได้ โดยเข้าทางด้านหลังของผู้ป่วย เพราะจะทำให้ทราบตำแหน่ง แขน และ ขา ของผู้ป่วย แต่ใช้ได้ในบริเวณที่เข้าประชิดตัวผู้ป่วยไม่ได้ เช่นที่แคบ หรือมุม ซอก การเข้าควบคุมตัวผู้ป่วย และผูกมัด 1. ให้เข้าควบคุมตัวผู้ป่วยโดยการจับมือด้านมีอาวุธก่อน ซึ่งต้องเป็นผู้มีความชำนาญ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอาจใช้ผ้าหรือวัสดุอื่น ๆ ในการช่วยปัด หรือเอาอาวุธออกจากตัวผู้ป่วย โดยต้องมีความระมัดระวัง และใช้จังหวะที่เหมาะสม 2. วางแผนทำงานเป็นทีม และให้เข้าควบคุมผู้ป่วยพร้อม ๆ กัน อาจแบ่งทีมเป็นเข้าด้านหน้า และด้านหลัง ให้ด้านหลังจับที่แขน และขา 3. เมื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วยต้องมีทักษะที่ดี กรณีที่มีเจ้าหน้าที่คนเดียว สามารถจับนิ้วใดนิ้วหนึ่ง หรือจับนิ้วโป้งของผู้ป่วยพับไว้ โดยระวังน้ำหนักที่กดลงบนนิ้วด้วย 4. ในระหว่างการผูกมัด ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูผู้ป่วยเป็นระยะ ทุก 15 – 30 นาที และเปลี่ยนท่าให้ผู้ป่วยด้วยเทคนิคพิเศษ 1. การให้ผู้ป่วยทำวัตรเช้า – เย็น จะลดความเครียดของผู้ป่วยได้ 2. การที่เจ้าหน้าที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วย จะสามารถโน้มน้าวผู้ป่วยได้ เพราะผู้ป่วยจะมีความไว้วางใจ 3. กรณีที่ผู้ป่วยวิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลไปบนท้องถนน ให้เดินตามผู้ป่วยไปก่อน จนกว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ปลอดภัย จึงเข้าควบคุมผู้ป่วย |