ค ณสมบ ต ของสายส ญญาณท ห ม ทองแดง

ความรู้ใกล้ตัวที่ทุกท่านอาจจะยังให้ความสำคัญ ความสนใจ อันดับท้ายๆของระบบเสียง นั่นคือ สายสัญญาณ ที่เราจะมาเจาะลึกถึงรายละเอียดของสายสัญญาณ ประเภท ความแตกต่าง นั้นเป็นอย่างไรบ้าง ติดตามบทความไปพร้อมกัน…ได้เลยครับ

สายสัญญาณคืออะไร

สายสัญญาณคือส่วนประกอบของระบบเสียง ที่มีทั้งระบบเสียงภายในบ้านหรือที่เขาเรียกว่า โฮมยูส จนถึงงานกลางแจ้ง หรืองาน PA ก็ขาดไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีสายสัญญาณเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ลำโพง ไมโครโฟน เครื่องเล่นซีดี เครื่องดนตรี ฯลฯ ต่อพ่วงสัญญาณไปเข้ามิกเซอร์ และมิกเซอร์ต่อไปเข้า เครื่องปรุงแต่งเสียงต่างๆจนไปถึงเครื่องขยายเสียง ล้วนแต่ก็ต้องเชื่อมต่อสัญญาณผ่านสายนำสัญญาณ เป็นส่วนใหญ่

จากประสบการณ์ส่วนตัว สายสัญญาณแต่ละยี่ห้อ แต่ละค่าย ให้คุณภาพเสียงที่แตกต่างกันจริง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะขึ้นอยู่ที่ตัวนำภายในสาย ระบบการผลิต ความต้านทาน และตัวแปรอื่นๆ เราจะเห็นในท้องตลาดวางขายกันให้รึ่ม ตั้งแต่ราคาหลักสิบ จนถึงหลักร้อยและหลักพันบาทต่อเมตร วางขาย กันเยอะแยะ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบนำสายสัญญาณแต่ละยี่ห้อ มาเทียบกัน ในขนาดความโตของตัวนำสัญญาณเท่าๆกัน ก็จะเห็นว่า มันมีความต่างของเสียงอยู่ไม่มากก็น้อย จริงๆแล้วสายสัญญาณและสายลำโพงในระบบก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าอุปกรณ์อื่นแต่อย่างใด อยากให้ผู้ที่มีใจรัก ไม่ว่าจะเครื่องเสียงในบ้านหรือกลางแจ้ง หันมาใส่ใจกับสายสัญญาณและสายลำโพงกัน แล้วคุณจะหลงรักเครื่องเสียงของตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ค ณสมบ ต ของสายส ญญาณท ห ม ทองแดง

สายสัญญาณมีส่วนประกอบหลักมีดังนี้

  1. Jacket แจ็คเก็ท เป็นส่วนนอกสุดของสายสัญญาณ มีความหนาและบางตามผู้ผลิต ทำหน้าที่ป้องกันความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นกับ ส่วนต่างๆที่อยู่ภายในสาย ช่วยรักษารูปทรง ของส่วนต่างๆที่อยู่ภายในสายสัญญาณ
  2. Shield ชีลด์ ส่วนถัดมา ชีลด์ ซึ่งก็มีทั้งแบบเส้นลวดฝอยถักหรือที่เรียกว่า Braid (เบรดชีลด์) ซึ่งมีทั้งสีเงินและทองแดง และแบบฟอยสีเงิน (Foil) ซึ่งทำหน้าที่หลักๆคือ รวมเสียงรบกวนต่างๆมาอยู่ที่ตัวมันเอง และลดเสียงรบกวน (Noise) ได้
  3. Insulation อินซูเลชั่น ส่วนที่หุ้มตัวนำสัญญาณอีกที มีหน้าที่ประคองรักษารูปทรงและป้องกันตัวนำสัญญาณอีกชั้นหนึ่ง ในส่วนของอินโซเลชั่น ก็จะมีหลากหลายสี เพื่อบ่องบอกโค๊ด เช่นสี แดง ดำ น้ำเงิน ขาว น้ำตาล และอื่นๆเป็นต้น
  4. Conductor คอนดักเตอร์ ส่วนสุดท้าย คอนดักส์เตอร์หรือตัวนำสัญญาณหน้าที่นำสัญญาณทางไฟฟ้า ตัวนำไฟฟ้ามีหลายชนิด เช่น ทองแดง เงิน ดีบุก เป็นต้น

ขนาดของสายสัญญาณ มีหน่วยเป็น AWG และ SWG

  • AWG อเมริกันวายเกรด (American wire gauge) นิยมใช้ในอเมริกาและแคนาดา และทั่วไป
  • SWG สแตนดาร์ดวายเกรด (Standard Wire Gauge) ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า AWG อยู่หนึ่งเบอร์โดยประมาณ ซึ่งนิยมใช้ในสหภาพ UK

ค ณสมบ ต ของสายส ญญาณท ห ม ทองแดง

หมายเหตุ: ขนาดสายสัญญาณที่เล็กจะมีค่า AWG ที่มาก / ขนาดสายสัญญาณที่ใหญ่จะมีค่า AWG ที่น้อย

สายสัญญาณที่พบเห็นทั่วไปในบ้านเราที่นิยมนำมาใช้งาน มี 2 แบบ สายสัญญาณ Balance และ Unbalance

1. สาย Unbalance (อัลบาลานซ์)

นิยมใช้งานประเภทคอนซูเมอร์หรือโฮมยูส เน้นเดินสายระยะใกล้ ไม่แนะนำเดินสายระยะไกล เพราะจะมีการลดทอนและสูญเสียพลังงานและเกิดเสียงจี่หรือฮัมได้ ลักษณะสายจะมีตัวนำ เส้นเดียวและกราวด์อีกหนึ่งเส้นตามภาพ

2. สาย Balance (บาลานซ์)

ค ณสมบ ต ของสายส ญญาณท ห ม ทองแดง

ลักษณะจะมีตัวนำสองเส้นและลวดที่เป็นกราวด์อีกหนึ่งเส้น ประกอบไปด้วย ตัวนำที่เป็นขั้วบวกลบและกราวด์ สายประเภทนี้เดินสายระยะไกลได้นิยมใช้กับงานระบบเสียง PA. และจะให้สัญญาณที่แรงกว่าถึงบวก 4 dB

ข้อแตกต่างระหว่าง 2 สายสัญญาณ ดังต่อไปนี้

1. สายแบบบาลานซ์ Balance Signal จะมีระดับสัญญาณ (+4dB) 2. สายแบบอัลบาลานซ์ Unbalance Signal จะมีระดับสัญญาณ (-10dB)

*เบื้องต้นจะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ว่าสายสัญญาณแบบบาลานซ์ให้ระดับความแรงของสัญญาณที่แรงกว่า

คอนเนคเตอร์หรือปลั๊กแจ๊คที่นิยมใช้กับสายสัญญาณ Balance และสายสัญญาณ Unbalance

1. XLR (เอ็กแอลอาร์) มีทั้งตัวผู้และตัวเมีย บางท่านเรียกปลั๊กแจ๊คแบบนี้ว่า แคนนอล (EXTRA LOW RESISTANCE) คือ สัญญาณที่มีความต้านทานค่อนข้างต่ำมาก จึงเป็นผลทำให้สามารถเดินสายสัญญาณได้ไกลๆ และมีสัญญาณรบกวนต่ำ โดยขาต่างๆ ปัจจุบันที่เชื่อมต่อกันเป็นมาตรฐานสากล คือ

ค ณสมบ ต ของสายส ญญาณท ห ม ทองแดง

ขาที่ 1 ground หรือ shield

ขาที่ 2 สัญญาณ + หรือ HOT SIGNAL

ขาที่ 3 สัญญาณ – หรือ COOL SIGNAL

2. TRS 6.3 mm. หรือโฟนสเตอริโอ (TIP RING SHEEVE) ซึ่งหมายถึง จุด ต่อสามจุดของแจ็คแบบ TRS โดย TIP จะเปรียบเสมือน ขาที่ 2 ของแจ็ค XLR, RING จะเหมือน ขาที่ 3 ของแจ็ค XLR และ SHEEVE จะเหมือนกับ ขาที่ 1 ของแจ็ค XLR (สายแบบนี้ทั่วไปหลายๆคนมักจะคุ้นหูหรือเรียกว่าสาย Streo นั่นเองครับ)

ค ณสมบ ต ของสายส ญญาณท ห ม ทองแดง

สายสัญญาณแบบ Balance ข้อดีคือสัญญาณ + และสัญญาณ – จะถูกแยกออกจากกัน โดยมีสาย Shield เป็น Ground ที่เดินคู่ขนานมาเพื่อป้องกันสัญญาณรบการจากภายนอก ซึ่งนั่นทำให้สัญญาณที่ได้มีความสะอาดใส และเสียงสัญญาณรบกวนที่เรียกกันว่า NOISE ก็จะน้อยด้วยครับ

หัวแจ็คที่นิยมใช้กับสาย Unbalance มี 2 แบบหลักๆ คือ

1. RCA อาร์ซีเอแจ๊ค ซึ่งนิยมใช้ในงานคอนซูเมอร์โฮมยูส

ค ณสมบ ต ของสายส ญญาณท ห ม ทองแดง

จะมีขั้วนำสัญญาณทั้งหมด 2 ขั้ว คือ นำสัญญาณขั้วบวก 1 ขั้ว และมีขั้วดิน 1 ขั้ว จะส่งสัญญาณจากข้างซ้าย และข้างขวาในแบบ Stereo (สเตอริโอ) โดยปลั๊ก RCA เป็นแจ๊คที่นิยมพบเห็นได้ทั่วไป และมักจะใช้กันในงานคอนซูมเมอร์โฮมยูส

2. TS Phone 6.3mm. หรือ โฟนโมโน

ค ณสมบ ต ของสายส ญญาณท ห ม ทองแดง

ในการต่อสัญญาณแบบ Unbalance จะทำการรวมเอาสัญญาณลบ (Cool Signal) มารวมไว้ที่ Ground หรือ Sleeve ทำให้สาย Ground จะต้องทำหน้าที่ป้องกันเสียงรบกวนอย่างเดียวเหมือนกันสัญญาณ Balance ก็ต้องมาทำหน้าที่เป็นตัวนำสัญญาณ ดังนั้นสัญญาณรบกวนจากสาย Ground จึงปะปนมากับสัญญาณลบ จึงทำให้การต่อสายแบบ Unbalance จะมีสัญญาณรบกวนมากกว่าถ้าหากเราต้องเดินสายสัญญาณไกลๆ

*การใช้สายสัญญาณแบบ Unbalance นั้นจะใช้เฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้สายไม่ยาวมากนัก เช่น สายแจ็คกีตาร์ สายแจ็ค CD, DVD,TAPE , TUNER และอุปกรณ์คอนซูเมอร์โฮมยูสเป็นส่วนใหญ่

สรุป

สัญญาณ Balance จะให้การนำสัญญาณที่แรงและเต็มกว่า และสัญญาณรบกวนน้อยกว่าซึ่งต่างจากสายสัญญาณแบบ Unbalance จะมีสัญญาณที่เบากว่าเเละมีสัญญาณรบกวนมากกว่าแบบบาลานซ์ การเลือกใช้สายสัญญาณต้องคำนึงถึงลักษณะงานเป็นหลัก และลองเทียบคุณภาพเสียง และดูส่วนประกอบต่างๆประกอบกัน เพื่อให้ได้สายสัญญาณคุณภาพตรงตามความต้องการมาใช้งาน

สำหรับบทความนี้หวังว่าจะเกิดประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน….ขอบคุณและสวัสดีครับ อยากมารู้จักกับสายสัญญาณประเภทต่างๆเพิ่มเติม คลิกเลย