Verb to be ทำไมไม ต องเต ม s es

ทำไมคำกริยาต้องเติม " s " หรือ " es " ตอบ ต้องแยกก่อนว่าเป็นคำนามหรือกริยา ถ้าเป็นคำนาม เติม –s, -es จะแปลว่านามตัวนั้นมีมากกว่าหนึ่งเป็นนามพหูพจน์ เช่น students นักเรียน cars รถยนต์ แต่ถ้าคำนามนั้นลงท้ายด้วย s, s, sh, ch, x, z ก็ให้เติม –es ให้สังเกตจากเสียงถ้าเติม –s เวลาอ่านออกเสียงจะฟังดูแปลก จาก a bus เป็น buses รถประจำทาง จาก a glass เป็น glasses แก้ว จาก a watch เป็น watches นาฬิกาข้อมือ สังเกตว่าคำนามที่จะเติม s ได้ต้องมีหลายสิ่ง ดังนั้น จะต้องเป็นคำนามนับได้เท่านั้น อย่างพวกนามนับไม่ได้ เช่น sugar หรือ milk จะเอามาเติม –s ไม่ได้เป็นอันขาด

ส่วนถ้าเป็นกริยา กริยาจะเติม –s, -es ก็เมื่อเป็นประโยคที่เป็นเป็น present tense เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นปกติวิสัย ถ้าประธานเอกพจน์หรือ he, she, it กริยาก็เติม -s, -es ค่ะ เช่น

Loong Lung

takes

a bath once a week. P’Nui usually

watches

English Breakfast on Saturday and Sunday.

สรุป นามเติม –s, -es แปลว่าเป็นนามพหูพจน์ มีหลายสิ่ง ส่วนกริยาที่เติม –s จะใช้กับประโยค present tense ทีมีประธานเป็นเอกพจน์

ขอบคุณข้อมูลจาก พี่นุ้ย รายการ English Breakfast http://www.nuienglish.com/

http://www.easypacelearning.com/exercises-basic-level-1-level-2-learning-english/english-basics-exercises/802-action-verbs-exercise-english-grammar

Verb

-verb (เวิร์บ) แปลว่า “คำกิริยา” กิริยาก็คือการกระทำ กิริยาเป็นคำที่มีความสำคัญมาก คำหนึ่ง ในภาษาอังกฤษ ในประโยคภาษาอังกฤษถ้าขาดคำกิริยาประโยคก็จะไม่สมบูรณ์ คือถ้าเรา กล่าวคำนามขึ้นมาลอยๆโดยไม่มีคำกิริยาเราก็จะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องเช่นเมื่อเรากล่าวคำว่า “man” ขึ้นมาเราก็จะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนเขามาทำไม แต่ถ้าเราเติมคำกิริยาเข้ามาเราก็จะสื่อความหมายเข้าใจกันได้ทันที เช่น:- -Man comes. \=ผู้ชายมา. แค่นี้เราก็สามารถเข้าใจแล้วว่าใครมา แต่ถ้าไม่มีคำกิริยาเราก็จะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องเลย คำกิริยาในภาษาอังกฤษ -คำกิริยาที่นำมาใช้ในภาษาอังฤษแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ:- 1.Transitive verb (แทรนซิทีฟว์ เวิร์บ) แปลว่า “สกรรมกิริยา คือกิริยาที่มีกรรม” 2.Intransitive verb (อินแทรนซิทีฟว์ เวิร์บ) แปลว่า “อกรรมกิริยา คือกิริยาที่ไม่มีกรรม” 3.twin verbs (ทะวิน เวิร์บ) แปลว่า “ทวินกิริยา” คือกิริยาที่เป็นได้ทั้งสองอย่างคือทั้งสกรรมกิริยาและอกรรมกิริยา 4.Auxiliary verb (อ๊อกซิลเลียรี่ เวิร์บ) แปลว่า “กิริยาช่วย” Transitive Verb -Transitive verb (แทรนซิทีฟว์ เวิร์บ) แปลว่า “สกรรมกิริยา คือกิริยาที่มีกรรม” คำกิริยาชนิดนี้ ถ้าเขียนขึ้นมาเป็นประโยคจะต้องมีกรรมเข้ามารองรับเสมอ ตัวอย่างคำกิริยาที่เรียกหากรรม เช่น:- -eat (อีท) แปลว่า “กิน, รับประทาน” -beat (บีท) แปลว่า “ตี, ตบ, เฆี่ยน” -kick (คิด) แปลว่า “เตะ, ถีบ” -sting (สะทิง) แปลว่า “ต่อย, ตำ, แทง, กัด” -stick (สะทิค) แปลว่า”แทง, ทิ่ม, ปัก, เสียบ, ติด, ยึด, เกาะ” ฯลฯ -Example:- -She eats a banana. \=หล่อนกินกล้วย. -eats เป็นกิริยาที่เรียกหากรรม -banana เป็นตัวกรรม -a เป็นอาร์ทิเกิลขยาย banana -He beats me. \=เขาตบฉัน. -He kicks a football. \=เขาเตะฟุตบอล. -She stings a mango. \=หล่อนต่อยมะม่วง. -He sticks a friend. \=เขาแทงเพื่อน. **หมายเหตุ:- ประโยคที่ 2, 3,4, 5 ให้ดูคำอธิบายในประโยคที่ 1 เป็นตัวอย่าง Intransitive Verb -Intransitive verb (อินแทรนซิทีฟว์ เวิร์บ) แปลว่า “อกรรมกิริยา คือกิริยาที่ไม่มีกรรม” คำกิริยาชนิดนี้ ถ้าเขียนขึ้นมาเป็นประโยคไม่ต้องมีกรรมมารองรับ ตัวอย่างกิริยาไม่เรียกหากรรม เช่น:- -come (คัม) แปลว่า “มา” -go (โก) แปลว่า “ไป” -avoid (อะวอยดฺ) แปลว่า”หลีกเลี่ยง” -wane (เวน) แปลว่า “ถดถอย, เสื่อมลง” -palter (พอลเทอะ) แปลว่า “พูดเล่น” Example:- -I come here everyday. \=ฉันมาที่นี่ทุกวัน. -come เป็นกิริยาที่ไม่มีกรรม -here เป็นกิริยาวิเศษณ์ขยาย come -everday เป็นคำคุณศัพท์ขยาย here -She goes school. \=หล่อนไปโรงเรียน. -He avoids bully. \=เขาหลีกเลี่ยงคนพาล. -His goodness wane. \=ความดีของเขาถดถอยลง. -I palter in this day. \=ฉันพูดเล่นในวันนี้. ** หมายเหตุ:- ประโยคที่ 2, 3, 4, 5 ให้ดูคำอธิบานในประโยคที่ 1 เป็นตัวอย่าง 3.Twin verbs (ทะวิน เวิร์บ) แปลว่า “ทะวินกิริยา” คือกิริยาที่เป็นได้ทั้งสองอย่างคือเป็นได้ทั้ง สกรรมกิริยาและอกรรมกิริยา ตัวอย่างของทะวินกิริยา เช่น:- -make (เมค) แปลว่า “ทำ, สร้าง” -love (ลัฟว์) แปลว่า “รัก” -like (ไลค์) แปลว่า “ชอบ” -speak (สะพีค) แปลว่า “พูด” -eat (อีท) แปลว่า “กิน” เป็นสกรรมกิริยา -เช่น:- -He makes house himself. \=เขาสร้างบ้านด้วยตนเอง. -We love Thanisa very much. \=พวกเรารักธนิสามาก. -They like her really. \=พวกเขาชอบเธอจริงๆ. -I speak English a little. \=ฉันพูดภาษาอังกฤษได้เล็กน้อย. -We eat food every day. เป็นอกรรมกิริยา -เช่น:- -She makes well. \=หล่อนทำดี. -We love really. \=พวกเรารักกันจริงๆ. -I like alive alone. \=ฉันชอบมีชีวิตอยู่คนเดียว. -I speak alone. \=ฉันพูดอยู่คนเดียว. -We ate finished. \=พวกเรารับประทานเสร็จแล้ว. กิริยา3ช่องที่ใช้บ่อยที่สุด 176 คำ กริยา 3 ช่อง คือ คำกริยาที่ใช้ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่อง คือ:- -กริยาช่องที่ 1 คือ คำกิริยาที่บอกการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน -กริยาช่องที่ 2 คือ คำกิริยาที่บอกการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต -กริยาช่องที่ 3 คือคำกริยาที่การกระทำที่เกิดขึ้นในอนาคต ช่องนี้ใช้ใน perfect tense ทุกชนิด และ passive voice. จงจดจำคำกิริยา 176 คำเหล่านี้ให้ดีจะได้นำเอาไปใช้ในการสร้างประโยค Base Form(ช่อง 1) Simple Past Tense(ช่อง 2) Past Participle(ช่อง 3) Meaning (ความหมาย) awake (อะเวค) awoke (อะโวค) awoken (อะโวเคิน) =ตื่นตัว, ตื่นนอน be,am,is,are (บี,แอม,อิ๊ส,อาร์)was, were (วอส,เวอร์) been (บีน) =เป็น,อยู่,คือ bear (แบร์) bore (บอร์) born (บอร์น) =ทน,อดทน,แบก,หาม beat (บีท) beat (บีท) beat,beaten (บีท,บีทเทิน) =เฆี่ยน, เคาะ, ทุบ, ตี become (บีคัม) became (บีเคม) become (บีคัม) =กลายเป็น begin(บีกิน) began (บีแกน) begun (บีกัน) =เริ่ม (เริ่มในการเรียนและการทำงาน) bend (เบนดฺ) bent (เบนทฺ) bent (เบนทฺ) =หัก, งอ beset (บิเซท) beset (บิเซท) beset (บิเซท) =รุมเร้า, ห้อมล้อม, ล้อม bet (เบท) bet (เบท) bet (เบท) =พนัน, เดิมพัน bid (บิด) bid/bade (บิด,แบด) bid/bidden (บิด,บิดเดิน) =ประมูล bind (ไบน์ดฺ) bound (เบาน์ดฺ) bound (เบาน์ดฺ) =ผูก, มัด, พัน, เย็บ bite (ไบทฺ) bit (บิท) bitten (บิทเทิน) =ขบ,กัด,แทะ,กิน (กินเบ็ด) bleed (บลีด) bled (เบล็ด) bled (เบล็ด) =เลือดออก blow (บโล) blew (บลิว) blown (โบลน) =เป่า, เสก break (เบรค) broke (โบรค) broken (โบรเคิน) =ทุบ, แตก, หัก breed (บรีด) bred (เบรด) bred (เบรด) =ผสมพันธ์, เพราะพันธ์ bring (บริง) brought (บรอท) brought (บรอท) =นำมา broadcast (บรอดแคสทฺ) broadcast (บรอดแคสทฺ) broadcast (บรอดแคสทฺ) =ออกอากาศ, กระจ่ายเสียง

build (บิลดฺ) built (บิลทฺ) built (บิลทฺ) =สร้าง, ปลูก (บ้าน) burn (เบิร์น) burned/burnt (เบิร์นดฺ,เบิร์นทฺ) burned/burnt (เบิร์นดฺ, เบิร์นทฺ) = เผา, ไหม้, ลวก burst (เบิร์ซทฺ) burst (เบิร์ซทฺ) burst (เบิร์ซทฺ) =ระเบิดออก,ผลิ,กระแทก buy (บาย) bought (บอท) bought (บอท) =ซื้อ cast (คาซทฺ) cast (คาซทฺ) cast (คาซทฺ) =ขว้าง,ทิ้ง,โยน,ไล่ catch (แคทชฺ) caught (คอท) caught (คอท) =จับ choose (ชูส) chose (โชส) chosen (โชเซิน) =เลือก cling (คลิง) clung (คลัง) clung (คลัง) =พิง come (คัม) came (เคม) come (คัม) =มา cost (ค็อซทฺ) cost (ค็อซทฺ) cost (ค็อซทฺ) =มีราคา,มูลค่า,ราคา creep (ครีบ) crept (เครบ) crept (เครบ) =คืบคลาน cut (คัท) cut (คัท) cut (คัท) =ตัด, เฉือน deal (ดีล) dealt (เด็ลทฺ) dealt (เด็ลทฺ) =จัดการ, แจกจ่าย dig (ดิ๊ก) dug (ดั๊ก) dug (ดั๊ก) =ขุด dive (ไดฟ) dived/dove (ไดฟ์ดฺ,ดัฟ) dived (ไดฟ์ดฺ) =กระโดดน้ำ do (ดู) did (ดิด) done (ดัน) =ทำ draw (ดรอ) drew (ดริว) drawn (ดรอน) =วาด, ล่อ, ชักดาบ, ถอนเงิน, ลาก dream (ดรีม) dreamed/dreamt (ดรีมดฺ, ดรีมทฺ) dreamed/dreamt (ดรีมดฺ, ดรีมทฺ) =ฝัน drive (ไดฟว์) drove (โดฟว์) driven (ไดเวิน) =ขับ, ขี่, ขับรถ drink (ดริง) drank (แดรง) drunk (ดรัง) =ดื่ม eat (อีท) ate (เอท) eaten (อีทเทิน) =กิน fall (ฟอล) fell (เฟล) fallen (ฟอลเลิน) =ล้ม feed (ฟีด) fed (เฟด) fed (เฟด) =ให้อาหารสัตว์ feel (ฟีล) felt (เฟลทฺ) felt (เฟลทฺ) =รู้สึก fight (ไฟทฺ) fought (ฟอท) fought (ฟอท) =ต่อสู้ find (ไฟน์ดฺ) found (เฟาน์ดฺ) found (เฟาน์ดฺ) =ค้น, พบ, ประสบ, หา, สืบ fit (ฟิท) fit (ฟิท) fit (ฟิท) =เหมาะสม, คู่ควร, คับ, รัดรูป flee (ฟลี) fled (เฟล็ด) fled (เฟล็ด) =หลบหนี fling (ฟลิง) flung (ฟลัง) flung (ฟลัง) =เขวี้ยง, ขว้าง, ทิ้ง, โยน, ทุ่ม, ฟาด fly (ไฟล) flew (ฟลิว) flown (โฟลน) =บิน, เหาะ, ลอย forbid (ฟอร์บิด) forbade (ฟอร์เเบด) forbidden (ฟอร์บิดเดิน) =ห้าม forget (ฟอร์เกท) forgot (ฟอร์กอท) forgotten (ฟอร์กอทเทิน) =ลืม forego (forgo) (ฟอร์โก) forewent (ฟอร์เวนทฺ) foregone (ฟอร์กอน) =ยอม, ไม่เอา forgive (ฟอร์กิฟ) forgave (ฟอร์เกฟ) forgiven (ฟอร์กิฟเวิน) =ให้อภัย, ขอโทษ forsake (ฟอร์เซค) forsook (ฟอร์ซุค) forsaken (ฟอร์เซเคิน) =สละ, ละทิ้ง freeze (ฟรีส) froze (โฟรซ) frozen (โฟรเซิน) =ตรึง, แข็ง, เป็นน้ำแข็ง get (เกท) got (กอท) gotten (กอทเทิน) =ได้, เอา, ได้รับ give (กิฟ) gave (เกฟ) given (กิฟเวิน) =ให้, แจก, มอท go(โก) went (เวนทฺ) gone (กอน) =ไป grind (กรินดฺ) ground (เกรานดฺ) ground (เกรานดฺ) =บด, โม้, ป่น, เจียระไน grow (โกร) grew (กริว) grown (โกรน) =ปลูก, เพราะ, งอก, เกิดขึ้น, ผุดขึ้น hang (แฮง) hung (ฮัง) hung (ฮัง) =แขวน hang (แฮง) hanged (ฮัง) hanged (แฮงดฺ) =แขวนคอ hear (เฮียร์) heard (เฮิร์ด) heard (เฮิร์ด) =ได้ยิน, ฟัง hide (ไฮด์) hid (ฮิด) hidden (ฮิดเดิน) =ซ่อน hit (ฮิต) hit (ฮิต) hit (ฮิต) =ตี hold (โฮลดฺ) held (เฮลดฺ) held (เฮลดฺ) =จับ, ถือ, ฮิ้ว hurt (เฮิร์ท) hurt (เฮิร์ท) hurt (เฮิร์ท) =ทำร้าย keep (คีพ) kept (เคพทฺ) kept (เคพทฺ) = เก็บ, รักษา kneel (นีล) knelt (เนลท) knelt (เนบทฺ) =คุกเข่า knit (นิท) knit (นิท) knit (นิท) =ถัก, ชุน know (โนว) knew (นิว) known (โนน) =รู้, ทราบ,รู้จัก lay (เลย์) laid (เลด) laid (เลด) =พาด, วาง, คลี่, จัด (โต๊ะ), ปู (เสื่อ) lead (ลีด) led (เลด) led (เลด) =นำ, พา,จูง, ชักนำ, ชักจูง leap (ลีพ) leaped/lept (ลีพดฺ, เลพทฺ) leaped/lept (ลีพดฺ, เลพทฺ) =กระโดด, เต้น, กระโดดโลดเต้น learn (เลิร์น) learned/learnt (เลิร์นดฺ, เลิร์นทฺ) learned/learnt (เลิร์นดฺ, เลิร์นทฺ) =เรียน

leave (ลีฟ) left (เลฟทฺ) left (เลฟทฺ) =ทิ้ง, ออกจาก ,ละ lend (เลนดฺ) lent (เลนทฺ) lent (เลนทฺ) =ให้ยืม let (เลท) let (เลท) let (เลท) =อนุญาต lie (ไล) lay (เลย์) lain (เลน) =นอน, วาง, พิง, หมอบ light (ไลท์) lighted/lit (ไลทิด, ลิท) lighted (ไลทิด) =จุดไฟ lose (ลอส) lost (ลอสท์) lost (ลอสทฺ) =หาย, ทำหาย, สูญหาย make (เมค) made (เมด) made (เมด) =ทำ, สร้าง mean (มีน) meant (แมนทฺ) meant (แมนทฺ) =หมายถึง meet (มีท) met (เมท) met (เมท) =พบ misspell misspelled /misspelt misspelled/ misspelt =สะกดผิด (มิสสเพล) (มิสสเพลดฺ),(มิสสเพลทฺ) (มิสสเพลทฺ) mistake (มิสเทค) mistook (มิสทูค) mistaken (มิสเทคเคิน) =ทำผิด mow (โม) mowed (โมดฺ) mowed/mown (โมดฺ,โมน)=ตัดหญ้า overcome (โอเวอระคัม) overcame (โอเวอะเคม) overcome (โอเวอะคัม) =เอาชนะ overdo (โอเวอะดู) overdid (โอเวอะดิด) overdone (โอเวอดัน) =ทำมากเกินไป overtake (โอเวอะเทค) overtook (โอเวอะทุค) overtaken (โอเวอะเทคเคิน) =ตามทัน overthrow overthrew overthrown =ปลดจากตำแหน่ง (โอเวอะโธร) (โอเวอะธิว) (โอเวอะโธน) pay (เพ) paid (เพด) paid (เพด) =จ่าย, ชำระ plead (พลีด) pled (เพลด) pled (เพลด) =อ้อนวอน, ขอโทษ prove (พรูฟว์) proved (พรูฟว์ดฺ) proved/proven (พรูฟว์ดฺ, พรูเวิน) =พิสูจน์ put (พุท) put (พุท) put (พุท) =วาง quit (ควิท) quit (ควิท) quit (ควิท) =เลิก read (รีด) red (เรด) red (เรด) =อ่าน rid (ริด) rid (ริด) rid (ริด) =ขจัด, ปัดเป่า ride (ไรดฺ) rode (โรด) ridden (ริดเดิน) =ขี่ ring (ริง) rang (แรง) rung (รัง) =กรดกริ่ง rise (ไรซฺ) rose (โรส) risen (ไรเซิน) =ลุกขึ้น run (รัน) ran (แรน) run (รัน) =วิ่ง saw (ซอ) sawed (ซอดฺ) sawed/sawn (ซอดฺ, ซอน) =เลื่อย say (เซ) said (เซด) said (เซด) =พูด see (ซี) saw (ซอ) seen (ซีน) =เห็น seek (ซีค) sought (ซอท) sought (ซอท) =ค้นหา sell (เซล) sold (โซลด) sold (โซลด) =ขาย send (เซนดฺ) sent (เซนทฺ) sent (เซนทฺ) =ส่ง set (เซท) set (เซท) set (เซท) =ตั้ง, จัด, วาง sew (โซ) sewed (โซด) sewed/sewn (โซด, โซน) =เย็บ shake (เชค) shook (ชูค) shaken (เชคเคิน) =สั่น shave (เชฟว์) shaved (เชฟดฺ) shaved/shaven (เชฟดฺ, เชฟเวิน) =โกน shear (เชียร์) shore (ชอร์) shorn (ชอน) =ตัดขนแกะ shed (เชด) shed (เชด) shed (เชด) =เท, กันน้ำ, ทิ้ง shine (ไชนฺ) shone (โชน) shone (โชน) =เปล่งแสง shoe (ชู) shoed (ชูด) shoed/shod (ชูด, ชอด =ซ่อมรองเท้า shoot (ชูท) shot (ชอท) shot (ชอท) =ยิง show (โช) showed (โชด) showed/shown (โชด, โชน) =แสดง shrink (ชริงค์) shrank (แชรงค์) shrunk (ชรังค์) =หด shut (ชัท) shut (ชัท) shut (ชัท) =ปิด sing (ซิง) sang (แซง) sung (ซัง) =-ร้องเพลง sink (ซิงค์) sank (แซงค์) sunk (ซังค์) =จม sit (ชิท) sat (แซท sat (แซท) =นั่ง sleep (สลีบ) slept (สเลพทฺ) slept (สเลพทฺ) =นอน slay (สเล) slew (สลิว) slain (สเลน) =ฆ่า slide (สไลดฺ) slid (สลิด) slid (สลิด) =เลื่อน sling (สลิง) slung (สลัง) slung (สลัง) =สะพาย slit (สลิท) slit (สลิท) slit (สลิท) =กรีด smite (สไมทฺ) smote (สโมท) smitten (สมิทเทิล) =ตีอย่างแรง sow (โซ) sowed (โซด) sowed/sown (โซด, โซน) =หว่านพืช

speak (สพีค) spoke (สโพค) spoken (สโพเคิน) =พูด

speed (สพีด) sped (สเพด) sped (สพีด) =เร่งความเร็ว spend (สเพนดฺ) spent (สเพนทฺ) spent (สเพนทฺ) =ใช้จ่าย spill (สพิล) spilled/spilt (สพิลดฺ,สพิลทฺ) spilled/spilt (สพิลดฺ,สพิลทฺ) =ทำหก spin (สพิน) spun (สพัน) spun (สพิน =ปั่น spit (สพิท) spit/spat (สพิน spit (สพิท =บ้วนน้ำลาย split (สพลิท) split (สพลิท) split (สพลิท) =หั่น,แยก, ฉีก spread (สเพรด) spread (สเพรด) spread (สเพรด) =แผ่, แพร่, กระจาย spring (สพริง) sprang/sprung (สแพรง, สพรัง) sprung (สพรัง) =กระโดด stand (สแตนดฺ) stood (สตู๊ด) stood (สตู๊ด) =ยืน steal (สทีล) stole (สโทล) stolen สโทเลิน) =ขโมย stick (สทิค) stuck (สทัค) stuck (สทัค) =ติด, ปัก, แทง, เหน็บ sting (สทิง) stung (สทัง) stung (สทัง) =ต่อย stink (สทิงคฺ) stank (สแทงคฺ) stunk (สทังคฺ) =เหม็น start started started =เริ่มต้น (เริ่มเปิดโปรแกรมคอมพิวเตอร์, เริ่มเดินทาง) (สตาร์ท) (สทาร์ทิด) (สทาร์ทิด) stride (สไทรด) strode (สโทรด) stridden (สโไทรดเดิน) =ก้าวย่าง strike (สไทรค) struck struck =ตี, โขก, ปะทะ string (สทริง) strung (สทรัง) strung (สทรัง) =ขึ้นสาย, ร้อยลูกปัด strive (สไทรฟ) strove (สโทรฟ) striven (สไทรเวิน) =มุ่งมั่น, ดิ้นรน, ต่อสู้ swear (สแวร์) swore (สวอร์) sworn (สวอร์น) =สาบาน sweep (สวีพ) swept (สเวพทฺ) swept (สเวพทฺ) =กวาด swell (สเวล) swelled (สเวลดฺ) swelled/swollen (สเวลดฺ, สโวลเลิน) =บวม swim (สวิม) swam (สแวม) swum (สวัม) =ว่ายน้ำ swing (สวิง) swung (สวัง) swung (สวัง) =แกว่ง take (เทค) took (ทุค) taken (เทเคิน) =หยิบ, นำไป teach (ทีช) taught (ทอท) taught (ทอท) =สอน tear (เทียร) tore (ทอร์) torn (ทอร์น) =ฉีก tell (เทล) told (โทลด) told (โทลด) =บอก think (ทิงค์) thought (ธอท) thought (ธอท) =คิด thrive (ไธรฟ) thrived/throve (ไธรฟดฺ, โธรฟ) thrived (ไธรฟดฺ) =เติบโต, ก้าวหน้า throw (โธร) threw (ธริว) thrown (ธรอน) =ขว้าง thrust (ธรัสทฺ) thrust (ธรัสทฺ) thrust (ธรัสทฺ) =เสือกเข้าไป, จวก, สวน tread (เทรด) trod (ทรอด) trodden (ทรอดเดิน) =เดิน understand (อันเดอร์สแตนดฺ) understood (อันเดอร์สตูด understood (อันเดอร์สตูด) =เข้าใจ uphold (อั๊พโฮลดฺฺ) upheld (อั๊พเฮลดฺ) upheld (อั๊พเฮลดฺ) =ยกไว้ upset (อั๊พเซท) upset (อั๊พเซท) upset (อั๊พเซท) =ควํ่า, เสียใจ wake (เวค) woke (โวค) woken โวเคิน) =ตื่น wear (เวียร์) wore (วอร์) worn (วอร์น) =สวม weave (วีฟวฺ) weaved/wove (วีฟดฺ, โวฟ) weaved/woven (วีฟวฺ, โวเวิน) =ทอ wed (เวด) wed (เวด) wed (เวด) =แต่งงาน weep (วีพ) wept (เวพทฺ) wept (เวพทฺ) =ร้องไห้ wind (วินดฺ) wound (วูนดฺ) wound (วูนดฺ) =ไขลาน win (วิน) won (วอน) won (วอน) =ชนะ withhold (วิธโฮลดฺ) withheld (วิธเฮลดฺ) withheld (วิธเฮลดฺ) =เก็บไว้ withstand (วิธสแตนดฺ) withstood (วิธสตู๊ด) withstood (วิธสตู๊ด) =ทนฟ้าทนฝน wring (ริง) wrung (รัง) wrung (รัง) =บีบ write (ไรทฺ) wrote (โรทฺ) written (ไรท์เทิน) =เขียน สอนการใช้ Tense และ Verb จาก Youtube https://www.youtube.com/watch?v=l4qxqte-ijQ หลักการใช้ Verb to be https://www.youtube.com/watch?v=GyWeYMZomL0 [DOC]Verb to be ภาษาอังกฤษสำหรับครู: การใช้ Verb to be หลักการใช้ Verb to do หลักการใช้ Verb to do – YouTube หลักการใช้ Verb to do (do, does) การเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็น … หน้าที่ของ Verb to do – MyFirstBrain.Com หลักการใช้ Verb to have สอนไวยกรณ์การใช้ Verb to have – YouTube เก่งภาษาอังกฤษด้วย verb to have – englishtrick.com หน้าที่ของ Verb to have – MyFirstBrain.Com เรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษกับอาจารย์สมศรี https://www.youtube.com/watch?v=dqNYpzP6n3s วิธีใช้ Verb to be เป็นประโยคคำถามและคำตอบ Question and Answer การ สร้างประโยคคำถามและประโยคคำตอบนับว่าเป็นหัวใจสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ ผู้ที่เรียนภาษาอังกฤษถ้าเก่งไวยกรณ์จำคำศัพท์ได้มาก แต่ถ้าสร้างประโยคคำถามและประโยคคำตอบไม่ได้ก็แทบจะหมดความหมายไปทันที จุดมุ่งหมายของการเรียนภาษาอังกฤษก็คือการพูดสื่อสารกับผู้อื่นได้ การพูดได้ก็คือการสร้างประโยคคำถามได้ เมื่อตั้งประโยคคำถามได้แล้วถ้าเขาตอบมาเราก็จะต้องสามารถตอบกลับเขาไปได้ การเรียนพูดภาษาอังกฤษจึงจะสมบูรณ์ การสร้างประโยคคำถามและประโยคคำตอบสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ประธานและกิริยา บางครั้งการตอบคำถามนั้นไม่จำเป็นต้องตอบยาวๆ ตอบเพียงสั้นๆคือ ใช้เพียงนาม, กิริยา, สรรพนาม, คุณศัพท์, คำกิริยาวิเศษณ์, วลี อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ตัวอย่างเช่น:- -ใช้คำนามเพียงคำเดียวตอบคำถาม เช่น:- -What is your name? \=คุณชื่ออะไร? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 อย่าง คือ:- 1.ตอบโดยการสร้างเป็นประโยค เช่น:- -My name is Chaiyaporn. \=ผมชื่อชัยพร. 2.ตอบสั้นๆเพียงคำนามคำเดียวก็ได้ เช่น:- -Chaiyaporn. \=ชัยพร. -ใช้คำคุณศัพท์เพียงคำเดียวตอบคำถาม เช่น:- -How old are you? \=คุณอายุเท่าไหร่? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 อย่าง คือ:- 1.ตอบโดยการสร้างเป็นประโยค เช่น:- -I am thirty years old. \=ผมอายุ 30 ปี. 2.ตอบสั้นๆด้วยคำคุณศัพท์เพียงคำเดียวก็ได้ เช่น:- -Thirty. \=30 -ใช้คำสรรพนามเพียงคำเดียวตอบปัญหา เช่น:- -Who is in that room? \=ใครอยู่ในห้องนั้น? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 อย่าง คือ:- 1.ตอบด้วยการสร้างเป็นประโยค เช่น:- -She is in that room. \=หล่อนอยู่ในห้องนั้น. 2.ตอบสั้นๆด้วยคำสรรพนามเพียงคำเดียว เช่น:- -She. \=หล่อน. ชนิดของประโยคคำถามและคำตอบ -การสร้างประโยคคำถามและประโยคคำตอบแบ่งออกเป็น 6 ชนิด คือ:- 1.สร้างประโยคคำถามและคำตอบด้วย Verb to be 2.สร้างประโยคคำถามและคำตอบด้วย Verb to do 3.สร้างประโยคคำถามและคำตอด้วย Verb to have 4.สร้างประโยคคำถามและคำตอบด้วย กิริยาช่วย คือ: can could shall should will would may might หรือ going to 5.สร้างประโยคคำถามและคำตอบด้วยคำกิริยาวิเศษณ์ คือ when where why what how who whom whose how many how much which การสร้างประโยคคำถามและคำตอบด้วย Verb to be -การสร้างประโยคคำถามและคำตอบด้วย Verb to be มีหลักในการสร้างดังนี้ 1.Verb to be ที่ใช้ในการสร้างประโยคมี 8 ตัว คือ: am is are was were be being been 2.รูปย่อของ Verb to be -รูปย่อของ Verb to be ที่ใช้ร่วมกับคำสรรพนามมีรูปในการย่อดังนี่ -I am ย่อเป็น I’m อ่าว่า “ไอแอม” -you are ย่อเป็น you’re อ่านว่า “ยูเออ” -we are ย่อเป็น we’re อ่านว่า “วีเออ” -he is ย่อเป็น he’s อ่านว่า “ฮี ซฺ” -she is ย่อเป็น she’s อ่านว่า “ซี ซฺ” -it is ย่อเป็น it’s อ่านว่า “อิท ซฺ” -they are ย่อเป็น they’re อ่านว่า “เฑเออ” -was not ย่อเป็น wasn’t อ่านว่า “วอสเซินทฺ” -were not ย่อเป็น weren’t อ่านว่า “เวินทฺ” **ข้อควรจำ:- was และ were ไม่มีการย่อต่อท้ายของคำสรรพนาม -รูปย่อในรูปปฏิเสธของ Verb to be เป็นได้ 2 รูป คือ:- -I am not หรือย่อเป็น I’m not อ่านว่า”ไอ แอม นอท” -you’re not หรือย่อเป็น you aren’t อ่านว่า “ยู อาอึ้นทฺ” -were’re not หรือย่อเป็น we aren’t อ่านว่า “วี อาอึ้นทฺ” -he’s not หรือย่อเป็น he isn’t อ่านว่า “ฮี อิ๊สเซินทฺ” -she’s not หรือย่อเป็น she isn’t อ่านว่า “ชี อิ๊สเซินทฺ” -it’s not หรือย่อเป็น it isn’t อ่านว่า “อิท อิ๊สเซินทฺ” -they’re not หรือย่อเป็น they aren’t อ่านว่า “เฑ อาอึ้นทฺ” 3.Verb to be มีที่ใช้ 8 ข้อดังต่อไปนี้ 3.1 ใช้เป็นกิริยาช่วยในประโยค continuous tense เช่น:- -She is standing here. \=หล่อนกำลังยืนอยู่ตรงนี้. -We are sleeping comfortably. \=พวกเรากำลังหลับอย่างสบาย. -Laddawan and her friend are making in the room. \=ลัดดาวัลย์และเพื่อนของเธอกำลังทำงานอยู่ในห้อง. 3.2 ใช้เป็นกิริยาช่วยในประโยค Active voice และPassive voice -Active voice (แอ๊คทีฟ วอยซ์) แปลว่า “ประโยคกรรตุวาจก” กรรตุวาจกคือประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำกรรมนั้นเอง -โครงสร้างของประโยค present simple tense: Subject + verb เช่น:- -Wannipa cleans her house everyday. \=วรรณิภาทำความสะอาดบ้านของเธอทุกวัน. -Wannipa เป็นคำนามที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคเป็นผู้กระทำกรรมนั้นเอง -house เป็นกรรมคือเป็นผู้ถูกกระทำความสะอาด -Amonrat loves her mother. \=อมรรัตน์รักแม่ของเธอ. ประโยคที่เป็น active voice ทั้ง 12 ประโยค Present tense 1.present simple tense เช่น:- -She cleans her house. \=หล่อนทำความสะอาดบ้านของเธอ. 2.present continuous tense -She is cleaning her house. \=หล่อนกำลังทำความสะอาดบ้าน. 3.present perfect tense เช่น:- -Anotai has kicked football in the field. \=อโณทัยได้เตะฟุตบอลในสนามแล้ว. 4.present perfect continuous tense เช่น:- -Anotai has been kicking football in the field. \=อโณทัยได้กำลังเตะฟุตบอลในสนาม. Past tense 1.past simple tense เช่น:- -Anotai kicked football in the field. \=อโณทัยเตะฟุตบอลในสนามแล้ว. 2.past continuous tense เช่น:- -Anotai was kicking football in the field. \=อโณทัยกำลังเตะฟุตบอลแล้วในสนาม. 3.past perfect tense เช่น:- -Anotai had kicked football in the field. \=อโณทัยได้เตะฟุตบอลในสนามแล้ว. 4.past perfect continuous tense เช่น:- -Anotai had been kicking in the football. Future tense 1.future simple tense เช่น:- -Anotai will kick football in field. \=อโณทัยจะเตะฟุตบอลในสนาม. 2.future continuous tense เช่น:- -Anotai will be kicking football in the field. \=อโณทัยจะกำลังเตะฟุตบอลในสนาม. 3.future perfect tense เช่น:- -Anotai will has kicked football in the field. \=อโณทัยจะได้เตะฟุตบอลในสนาม. 4.future perfect continuous tense เช่น:- -Anotai will has been kicking football in the field. \=อโณทัยจะได้กำลังเตะฟุตบอลในสนาม. **โปรดสังเกต:- -Verb to be คือ been และ be ใช้เป็นกิริยาช่วยในประโยคดังต่อไปนี้คือ:- 1.been ใช้เป็นกิริยาช่วยในประโยค present perfect continuous tense 2.been ใช้เป็นกิริยาช่วยในประโยค past perfect continuous tense 3.been ใช้เป็นกิริยาช่วยในประโยค future perfect continuous tense 4.be ใช้เป็นกิริยาช่วยในประโยค future continuous tense ประโยคเดียว –passive voice (แพสซีฟ วอยซฺ) แปลว่า “ประโยคกรรมวาจก” ประโยคกรรมวาจกคือประโยคที่มีกรรมเป็นประธานของประโยค -โครงสร้างของประโยค present simple tense: Subject + verb to be + V. ช่องที่ 3 เช่น:- -The house is cleaned today. \=บ้านถูกทำความสะอาดในวันนี้. -การสร้างประโยคกรรมวาจกถ้าปราถนาอยากรู้ว่าใครเป็นคนกระทำกรรมนั้นก็ต้อง สร้างประโยคที่มีคำบุรพบทคือ by เข้าขยายกิริยานั้นเสมอ เช่น:- -The house is cleaned by Wannipa. \=บ้านถูกทำความสะอาดโดยวรรณิภา. -house เป็นกรรมและทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค -by เป็นคำบุรพบททำหน้าที่เชื่อมต่อคำกิริยาคือ cleaned กับคำนามคือ Wannipa -Wannipa เป็นคำนามที่ทำหน้าที่เป็นตัวทำกรรมคือทำความสะอาด -ประโยคนี้เป็นประโยค present simple tense -การสร้างประโยคกรรมวาจก บางครั้งไม่ต้องเอาคำบุรพบทคือ by เข้ามาเชื่อมต่อก็เข้าใจได้ เช่น:- -My radio was stolen last night. \=วิทยุของฉันถูกขโมยลักไปเมื่อคืนที่แล้ว. -ประโยคนี้ไม่ต้องเอาคำบุรพบทคือ by เข้ามาเชื่อมต่อก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่าวิทยุของเราถูกขโมยลักไป -ประโยคนี้ถึงเราไม่ใส่ steal คือตัวขโมยเข้ามาก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่าวิทยุถูกขโมยลักไป ประโยค Passive Voice 12 ประโยค -ประโยค กรรมวาจก 12 ตัว ข้าพเจ้านำเอามาให้ผู้ศึกษาทั้งหลายดูเป็นตัวอย่าง ข้าพผู้เขียนตำราเล่มนี้ขอให้ผู้ศึกษาทั้งหลายโปรดทำความเข้าใจรู้และจดจำ เอาไว้ให้ดี การเขียนประโยคที่ดีจะขาดประโยคกรรมวาจกไปไม่ได้ รายละเอียดของประโยคกรรมวาจกมีดังนี้ Present Tense 1.Present Simple Tense (ใช้บ่อย) เช่น:- -Rice is eaten by me. \=ข้าวถูกกินโดยฉัน. 2.Present Continuous Tense (ใช้ไม่บ่อยเท่าไหร่หรอก) เช่น:- -Rice is being eaten by me. \=ข้าวกำลังถูกกินโดยฉัน. 3.Present Perfect Tense (นานๆเห็นใช้ที) เช่น:- -Rice has been eaten by me. \=ข้าวได้ถูกกินโดยฉัน. 4.Present Perfect Continuous Tense (ไม่ต้องใช้ก็ได้) เช่น:- -Rice has been being eaten by me. \=ข้าวกำลังได้ถูกกินโดยฉัน. -ประโยคที่เป็น present tense เวลาแปลเป็นไทยห้ามใส่คำว่า “แล้ว” เข้ามาโดยเด็ดขาด และประโยคที่เป็น present perfect tense เวลาแปลเป็นไทยต้องใส่คำว่า “ได้” แทรกไว้ด้วยเสมอข้อนี้จะลืมเสียมิได้ Past Tense 1.Past Simple Tense (ใช้บ่อย) เช่น:- -Rice was eaten by me. \=ข้าวถูกกินแล้วโดยฉัน. 2.Past Continuous Tense (ไม่ค่อยจะเห็นเลย) เช่น:- -Rice was being eaten by me. \=ข้าวกำลังถูกแล้วกินโดยฉัน 3.Past Perfect Tense (ไม่ค่อยจะเห็นเลย) เช่น:- -Rice had been eaten by me. \=ข้าวได้ถูกกินแล้วโดยฉัน. 4.Past Perfect Continuous Tense (ไม่ต้องใช้ก็ได้) เช่น:- -Rice had been being eaten by me. \=ข้าวได้กำลังถูกกินแล้วโดยฉัน. -ประโยค passive voice ที่เป็น past tense เวลาแปลเป็นไทยจะต้องมีคำว่า “แล้ว” อยู่ด้วยเสมอ และประโยคที่เป็น past perfect tense เวลาแปลเป็นไทยจะต้องมีคำว่า “ได้” แทรกอยู่ด้วยเสมอ Future Tense 1.Future Simple Tense (ใช้บ่อยเหมือนกัน) -Rice will be eaten by me. \=ข้าวจะถูกกินโดยฉัน. 2.Future Continuous Tense (ไม่ต้องใช้ก็น่าจะได้) -Rice will be being eaten by me. \=ข้าวจะกำลังถูกกินโดยฉัน. 3.Future Perfect Tense (ไม่ต้องใช้ก็ได้นะ) -Rice will have been eaten by me. \=ข้าวจะถูกกินแล้วโดยฉัน 4.Future Perfect Continuous Tense (ไม่ต้องใช้เลยก็ได้) -Rice will have been being eaten by me. \=ข้าวจะกำลังถูกกินแล้วโดยฉัน. **ข้อควรจำ:- 1.be ใช้เป็นกิริยาช่วยในประโยคที่เป็น passive voice คือ:- -Future simple tense และ Future continuous tense 2.been ใช้เป็นกิริยาช่วยในประโยคที่เป็น passive voice คือ:- -present perfect tense และ present perfect continuous -past perfect tense และ past perfect continuous tense -future perfect tense และ future perfect continuous tense 3.being ใช้เป็นกิริยาช่วยในประโยคที่เป็น passive voice คือ:- -present continuous tense และ present perfect continuous -past continuous tense และ past perfect continuous tense -future simple tense และ future continuous tense -กรุณาดูประโยคตัวอย่างข้างบน โครงสร้างประโยค Active voice Present tense ปัจจุบันกาล 1.present simple tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + verb ช่องที่ 1 เช่น:- -Laddawan is a student. \=ลัดดาวัลย์เป็นนักศึกษา. -สร้างเป็นประโยคคำถามและคำตอบดังนี้ -ถาม:- Is Laddawan a student? \=ลัดดาวัลย์เป็นนักศึกษาหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, she is. \=ใช่, หล่อนเป็นนักศึกษา. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, she is not. \=ไม่, หล่อนไม่ใช่นักศึกษา. -Chaiyasit likes her body. \=ชัยสิทธิ์ชอบรูปร่างของเธอ. -สร้างให้เป็นประโยคคำถามและคำตอบดังนี้ -ถาม:- Does Chaiyasit like her body? \=ชัยสิทธิ์ชอบรูปร่างของเธอหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, he does. \=ใช่,เขาชอบ. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, he does not. \=ไม่, เขาไม่ชอบ. 2.present continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -Subject + Verb to be + verb เติม ing เช่น:- -He is eating rice. \=เขากำลังกินข้าว. -สร้างเป็นประโยคคำถามและคำตอบ -ถาม:- Is he eating rice? \=เขากำลังกินข้าวหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, he is eating rice. \=ใช่เขากำลังกินข้าว. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, he is not eating rice. \=ไม่, เขาไม่กำลังกินข้าว. 3.present perfect tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + has or have + been + verb ช่องที่ 3 เช่น:- -Wannipa has been eaten rice. \=วรรณิภาได้กินข้าวแล้ว. -สร้างให้เป็นประโยคคำถามและคำตอบดังนี้ -ถาม:- Has Wannipa been eaten rice? \=วรรณิภาได้กินข้าวแล้วหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, she has. \=ใช่, วรรณิภาได้กินข้าวแล้ว. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, she has not. \=เปล่า, หล่อนยังไม่ได้กินข้าว. -ข้อควรจำ:- ประโยคที่เป็น perfect tense เวลาแปลเป็นไทยให้ใส่คำว่า “ได้” เข้ามาด้วยเสมอ 4.present perfect continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + has or have + been + being + verb ช่องที่ 3 เช่น:- -Wannipa has been being eaten rice. \=วรรณิภาได้กำลังกินข้าว. -สร้างให้เป็นประโยคคำถามและคำตอบดังนี้ ถาม:-Has Wannipa been being eaten rice? \=วรรณิภาได้กำลังกินข้าวหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, she has. \=ใช่, หล่อนได้กำลังกินข้าว. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, she has not. \=เปล่า, หล่อนไม่ได้กำลังกินข้าว. Past tense อดีตกาล 1.past simple tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + verb ช่องที่ 2 เช่น:- -Tippawan made her homework. \=ทิพวรรณทำการบ้านของเธอแล้ว. -ข้อควรจำ:- ประโยคที่เป็น past tense เวลาแปลเป็นไทยต้องมีคำว่า “แล้ว” ด้วยเสมอข้อนี้จะลืมเสียมิได้ -สร้างให้เป็นประโยคคำถามและคำตอบดังนี้ -ถาม:-Did Tippawan make her homework? \=ทิพวรรณทำการบ้านของแล้วหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, she did. \=ใช่, หล่อนทำแล้ว. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, she did not. \=เปล่า, หล่อนไมได้ทำ. 2.past simple continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + was or were + verb เติม ing เช่น:- -Tippawan was making her homework. \=ทิพวรรณกำลังทำการบ้านแล้ว. -สร้างให้เป็นประโยคคำถามและคำตอบดังนี้ -ถาม:-Was Tippawan making her homework? \=ทิพวรรณกำลังทำการบ้านของเธอแล้วหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, she was. \=ใช่, หล่อนกำลังทำการบ้านแล้ว. 3.past perfect tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + had + verb ช่องที่ 3 เช่น:- -Tippawan had made her homework. \=ทิพวรรณได้ทำการบ้านของเธอแล้ว. -สร้างให้เป็นประโยคคำถามและคำตอบได้ดังนี้ -Had Tippawan made her homework? \=ทิพวรรณได้ทำการบ้านของเธอแล้วหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้เป็น 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, she had. \=ใช่, หล่อนทำแล้ว. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, she had not. \=ไม่, หล่อนยังไม่ได้ทำ. 4.past perfect continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + had + been + verb เติม ing เช่น:- -Tippawan had been making her homework. \=ทิพวรรณได้กำลังทำการบ้านของเธอแล้ว. -สร้างให้เป็นประโยคคำถามและคำตอบดังนี้ -Had Tippawan been making her homework? \=ทิพวรรณได้กำลังทำการบ้านของเธอแล้วหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, she had. \=ใช่, หล่อนได้กำลังทำแล้ว. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, she had not. \=ไม่, หล่อนยังไม่ได้ทำ. Future tense อนาคตกาล 1.future simple tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + shall or will + verb ช่องที่ 1 เช่น:- -Tippawan will make her homework tomorrow. \=ทิพวรรณจะทำการบ้านของเธอในวันพรุ่งนี้. -ประโยดนี้สร้างให้เป็นประโยคคำถามและคำตอบดังนี้ -ถาม:-Will Tippawan make her homework? \=ทิพวรรณจะทำการบ้านของเธอหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, she will. \=ใช่, หล่อนจะทำ. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, she will not. \=ไม่, หล่อนจะไม่ทำ. 2.future continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + will + be + verb เติม ing เช่น:- ถาม:-Tippawan will be making her homework. \=ทิพวรรณจะกำลังทำการบ้านของเธอ. -ประโยคนี้สร้างให้เป็นประโยคคำถามและคำตอบดังนี้ 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, she will. \=ใช่,หล่อนจะกำลังทำการบ้านของเธอ. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, she will not. \=ไม่, หล่อนจะไม่กำลังทำการบ้านของเธอ. 3.future perfect tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + will + has or have + verb ช่องที่ 3 เช่น:- -Tippawan will has made her homework. \=ทิพวรรณจะได้ทำการบ้านของเธอ. -ประโยคนี้สร้างให้เป็นประโยคคำถามและคำตอบได้ดังนี้ -ถาม:-Will Tippawan has made her homework? \=ทิพวรรณจะได้ทำการบ้านของเธอหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, she will. \=ใช่, หล่อนจะได้ทำ. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, she will not. -ไม่, หล่อนจะไม่ได้ทำ. 4.future perfect continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + will + has or have + been + verb เติม ing เช่น:- -Tippawan will has been making her homework. \=ทิพวรรณจะได้กำลังทำการบ้านของเธอ. -ประโยคนี้ทำให้เป็นประโยคคำถามและคำตอบดังนี้ -Will Tippawan has been making her homework? -ประโยคนี้ตอบได้เป็น 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, she will. \=ใช่, หล่อนจะได้กำลังทำ. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, she will not. \=ไม่, หล่อนจะไม่ได้กำลังทำ. โครงสร้างประโยค Passive Voice 12 ประโยค Present tense ปัจจุบันกาล 1.present simple tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + am, is, are + verb ช่องที่ 3 2.present continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + am, is, are + being + verb ช่องที่ 3 3.present perfect tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + has or have + been + verb ช่องที่ 3 4.present perfect continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + has or have + been + being + verb ช่องที่ 3 Past tense อดีตกาล 1.past simple tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + was or were + verb ช่องที่ 3 2.past continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + was or were + being + verb ช่องที่ 3 3.past perfect tense มีรูปโครงสร้างของปรโยคดังนี้ -subject + had + been + verb ช่องที่ 3 4.past perfect continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + had +been +being + verb ช่องที่ 3 Future tense อนาคตกาล 1.future simple tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + will + be + verb ช่องที่ 3 + by 2.future continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + will + be + being + verb ช่องที่ 3 + by 3.future perfect tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + will + has or have + been + verb ช่องที่ 3 + by 4.future perfect continuous tense มีรูปโครงสร้างของประโยคดังนี้ -subject + will + has or have + been + being + verb ช่องที่ 3 + by ประโยคตัวอย่างของ Present tense ที่เป็น Passive voice -present simple tense เช่น:- -Rice is eaten by me. \=ข้าวถูกกินโดยฉัน. หรือ ข้าวถูกฉันกิน. -present continuous tense เช่น:- -Rice is being eaten by me. \=ข้าวกำลังถูกกินโดยฉัน. หรือข้าวกำลังถูกฉันกิน. -present perfect tense เช่น:- -Rice has been eaten by me. \=ข้าวได้ถูกกินโดยฉัน. หรือ ฉันได้กินข้าว. -present perfect continuous tense เช่น:- -Rice has been being eaten by me. \=ข้าวได้กำลังถูกกินโดยฉัน. หรือ ข้าวได้กำลังถูกฉันกิน. ประโยคตัวอย่างของ past tense ที่เป็น passive voice -past simple tense เช่น:- -Rice was eaten by me. \=ข้าวถูกกินแล้วโดยฉัน. -past continuous tense เช่น:- -Rice was being eaten by me. \=ข้าวกำลังถูกฉันกิีนแล้ว. -past perfect tense เช่น:- -Rice had been eaten by me. \=ข้าวได้ถูกฉันกินแล้ว. -past perfect continuous tense เช่น:- -Rice had been being eaten by me. \=ข้าวได้กำลังถูกฉันกิแล้ว. ประโยคตัวอย่าง future tense ที่เป็น passive voice -future simple tense เช่น:- -Rice will be eaten by me. \=ข้าวจะถูกกินโดยฉัน. -future continuous tense เช่น:- -Rice will be being eaten by me. \=ข้าวจะกำลังถูกกินโดยฉัน. -future perfect tense เช่น:- -Rice will has been eaten by me. \=ข้าวจะได้ถูกกินโดนฉัน. -future perfect continuous tense เช่น:- -Rice will has been being eaten by me. \=ข้าวจะได้กำลังถูกกินโดยฉัน. หลักการเปลี่ยนประโยค Active voice เป็น Passived voice –Active Voice คือประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำกรรมนั้นเอง เช่น:- -Sumaree eats a mango. \=สุมารีกินมะม่วง. -ประโยคนี้เป็นประ Active voice คือประโยคกรรตุวาจก ได้แก่ประธานคือสุมารีเป็นผู้กระทำกรรมนั้นเองคือกินมะม่วงเอง -Passive voice คือประโยคที่เอาตัวกรรมมาเป็นประธานของประโยค เช่น:- -A mango is eaten by Sumaree. \=มะม่วงถูกกินโดยสุมารี. -ประโยคนี้เป็นประโยคกรรมวาจกคือประโยคที่เอาตัวกรรมคือ mango มาเป็นประธานของประโยค เพื่อจะเน้นตัวกรรมให้เด่นชัดขึ้น -กิริยาที่จะทำให้เป็นประโยค Passive Voice ได้จะต้องเป็นกริยาที่เรียกว่า Transitive Verb คือกริยาที่ต้องการกรรมมารับ เช่น:- -to love to catch to buy to eat to see etc. ส่วน Intransitive Verb ซึ่งหมายถึงกริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารองรับ เช่น:- -to run to walk to go to fly to swim etc นั้นจะทำให้เป็น Passive Voice ไม่ได้ หลักการเปลี่ยนมีข้อปฏิบัติดังนี้ 1.ให้เอาตัวกรรมของประโยค Active Voice มาเป็นตัวประธานในประโยค Passive Voice โดยมี preposition “by” เข้ามาเชื่อมต่อตัวกรรม 2.ให้กลับเอาตัวกรรมของประโยค Active Voice มาเป็นประธานในประโยค Passive Voice 3.กริยา ของประโยค Active Voice นั้น เมื่อนำมาใช้ในประโยค Passive Voice แล้วจะต้องเป็นรูปกริยาช่องที่ 3 (Past Participle) และใช้ตามหลัง verb to be คือ is, am , are, was , were, be, being, been ซึ่งจะใช้ Verb to be ตัวใดนั้นต้องดู tense 4.คำกิริยาที่ไม่สามารถทำให้เป็นประโยค Passive Voice ได้ 4.1 Intransitive Verb คือคำกริยาที่ไม่ต้องการกรรม เช่น – They go to school every day. – She swims quite well. 4.2 Transitive Verb บางคำ เช่น – Dang had his breakfast. (His breakfast was had by Dang. = wrong) 4.3. Verb of Incomplete คือกริยาซึ่งไม่สมบูรณ์ เช่น – She became queen. (A queen was become by her. = wrong) (เพราะ queen ในประโยคแรกเป็น complement ไม่ใช่ object) 5.ในกรณีที่ 1 ประโยคมีกรรมเพียงตัวเดียว 5.1. เปลี่ยนกรรมให้มาเป็นประธานในประโยค 5.2. ทำการเติม Verb to be ซึ่งมีความเหมาะสมกับ Tense และ ประธาน แล้วตามด้วยกริยาที่เปลียนรูปเป็น Verb 3 (Past Participle) 5.3. เปลี่ยนประธานเป็นกรรมของประโยค ซึ่งเราจะต้องใส่ by เพื่อแสดงความหมายให้สมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่น -Active:- I fix my house. \=ฉันซ่อมบ้านของฉัน. -I เป็น ประธาน -fix เป็น กริยาที่เป็นปัจุบันกาล (Verb 1) -my home เป็นกรรม -เราลองเปลี่ยนตามกฎได้ดังนี้ -Passive:- My home is fixed by me. \=บ้านได้รับการซ่อมโดยฉัน. 6.ในกรณีที่ 2 ประโยคมีกรรมตรง (Direct Object) และกรรมรอง (Indirect Object) -Active:- My boss assigns me this project. \=เจ้านายได้สั่งงานโปรเจคนี้ให้กับฉัน. -ในประโยคนี้มีกรรมตรง (Direct Object) คือ this project -ในประโยคนี้มีกรรมรอง (Indirect Object) คือ me -เราสามารถสร้างประโยคแบบ passive voice ได้ 2 แบบ คือ:- 1.เอากรรมรอง (Indirect Object) ขึ้นมาเป็นประธาน แบบนี้เป็นแบบที่นิยมใช้กันมากกว่า เราสามารถเขียนได้ดังนี้ -Passive:- I am assigned this project by my boss. \=ฉันได้ถูกสั่งงานโรปเจคนี้โดยนายของฉัน. 2.เอากรรมตรง (Direct Object) ขึ้นมาเป็นประธาน แต่เราต้องใส่ to ข้างหน้ากรรมรอง (Indirect Object) ไปด้วย เราสามารถเขียนได้ดังนี้ -Passive:-This project is assigned to me by my boss. \=โรเจคนี้ถูกสั่งงานมาให้ฉันโดยนายของฉัน. -ข้อสังเกตและข้อควรจำสำหรับ Passive Voice มีดังนี้ 1.เราอาจจะละเว้นคำว่า by ใว้ในฐานที่เข้าใจไม่เขียนไว้ในประโยคที่สดงว่าถูกกระทำในกรณีต่างๆดังนี้ 1.1.ใช่ในประโยคที่รู้จักกันดีอยู่แล่วว่าใครเป็นคนกระทำ เช่น:- -Thai is spoken by Thais. ถ้าละ by ก็จะเป็น Thai is spoken. \=ภาไทยถูกพูดโดยคนไทย. -ในที่นี้เราละคำว่า by Thais เพราะว่าเป็นที่ทราบกันว่าคนไทยพูดภาษาไทย 1.2.ใช้ในประโยคที่เราไม่ทราบว่าใครเป็นคนกระทำอย่างแน่นอน เช่น:- -Firework was invented in China. -ดอกไม้ไฟได้ถูกประดิษฐ์ในจีน. -ในกรณีนี้เราไม่ทราบว่าใครเป็นคนประดิษฐ์ดอกไม้ไฟจึงต้องละไว้ 1.3.ประโยคนั้นไม่ต้องการที่จะเน้นผู้กระทำ เช่น:- -This document will be distributed by next week. \=เอกสารอันนี้นั้นจะถูกแจกจ่ายภาพในสัปดาห์หน้า. 2. คำกริยาบางคำไม่สามารถทำให้เป็นประโยค Passive ได้เช่น:- 2.1. คำกริยาที่ไม่มีกรรม (Intransitive Verb) ตัวอย่างเช่น:- -He swims so well. \=เขาว่ายน้ำได้อย่างดี. 2.2. กริยาที่ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง (Linking Verbs) ซึ่งเป็นคำกริยาที่ต้องมีส่วนประกอบ ( complement ) เข้ามาช่วยจึงจะได้ความหมายสมบูรณ์โดยไม่ต้องมีกรรม เช่น:- -be wind up sound get -prove seem stay smell -go turn appear look -taste come turn out remain -feel become grow end up -wind up =ไขลาน ส่งท้าย จบกัน ปิดท้าย -end up =จบลง -turn out =เปิดออก แบบฟอร์มคำกิริยา Active Voice และ Passive Voice -Infinitive เป็น to write to be written -Perfect Infinitive เป็น to have written to have been written -Present Participle เป็น writing being written -Past Participle เป็น written been written คำกิริยาที่ไม่สามารถทำให้เป็นประโยค Passive Voice ได้ คือ:- 1. Intransitive Verb คือคำกริยาที่ไม่ต้องการกรรม เช่น:- – They go to school every day. – She swims quite well. 2. Transitive Verb บางคำ เช่น – Dang had his breakfast. (His breakfast was had by Dang. = wrong) 3. Verb of Incomplete คือกริยาซึ่งไม่สมบูรณ์ เช่น – She became queen. (A queen was become by her. = wrong) (เพราะ queen ในประโยคแรกเป็น complement ไม่ใช่ object) ระบบโครงสร้างของประโยค โครงสร้าง Tense ทั้ง 12 tense Present tense 4 Present tense คือปัจจุบันกาล แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ:- 1.Present simple tense แปลว่า “เวลาอย่างง่ายๆในปัจจุบัน” -S + V1 [ s , es ] เช่น:- -Wannipa eats rice. \=วรรณิภากินข้าว. 2.Present continuous tense แปลว่า “เวลาที่ต่อเนื่องกันไปในปัจจุบัน” -S + is , am , are + V.ing เช่น:- -Wannipa is eating rice. \=วรรณิภากำลังกินข้าวอยู่. 3.Present perfect tense แปลว่า “เวลาที่สมบูรณ์ในปัจจุบัน” -S + has , have + V3 เช่น:- -Wannipa has eaten rice. \=วรรณิภาได้กินข้าว. -ข้อควรจำ:-ประโยคที่เป็น perfect tense เวลาแปลเป็นไทยต้องใส่คำว่า “ได้” เข้ามาด้วยเสมอ 4.Present perfect continuous tense แปลว่า “เวลาที่ต่อเนื่องกันไปอย่างสมบูรณ์ในปัจจุบัน” -S + has , have + been + V.ing เช่น:- -Wannipa has been eating rice. \=วรรณิภาได้กำลังกินข้าว. Past tense 4 -past tense คืออดีตกาล แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ:- 1.Past simple tense แปลว่า “เวลาง่ายๆในอดีต” -S + V2 เช่น:- -Wannipa ate rice. \=วรรณิภากินข้าวแล้ว. -ข้อควรจำ:- ถ้าเป็นอดีตกาลเวลาแปลเป็นไทยต้องใส่คำว่า “แล้ว” เข้ามาด้วยเสมอ 2.Past continuous tense แปลว่า “เวลาที่ต่อเนื่องกันไปแล้วในอดีต” -S + was , were + V.ing เช่น:- -Wannipa was eating rice. \=วรรณิภากำลังกินข้าวแล้ว. 3.Past perfect tense แปลว่า “เวลาที่สมบูรณ์แล้วในอดีต” -S + had + V3 เช่น:- -Wannipa had eaten rice. \=วรรณิภาได้กินข้าวแล้ว. 4.Past perfect continuous tense แปลว่า “เวลาที่ต่อเนื่องกันไปอย่างสมบูรณ์แล้วในอดีต” -S + had + been + V.ing เช่น:- -Wannipa had been eating rice. \=วรรณิภาได้กำลังกินข้าวแล้ว. Future tense 4 -Future tense คืออนาคตกาล แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ:- 1.Future simple tense แปลว่า “เวลาอย่างง่ายๆในอนาคต” -S + will , shall + V1 เช่น:- -Wannipa will eat rice. \=วรรณิภาจะกินข้าว. 2.future continuous tense แปลว่า “เวลาที่ต่อเนื่องกันไปในอนาคต” -S + will , shall + be + V.ing เช่น:- -Wannipa will be eating rice. \=วรรณิภาจะกำลังกินข้าว. 3.future perfect tense แปลว่า “เวลาที่สมบูรณ์ในอนาคต” -S + will , shall + have + V3 เช่น:- -Wannipa will has eaten rice. \=วรรณิภาจะได้กินข้าว. 4.future perfect continuous tense แปลว่า “เวลาที่ต่อเนื่องกันไปที่สมูรณ์ในอนาคต” -S + will , shall + have + been + V.ing เช่น:- -Wannipa will has been eating rice. \=วรรณิภาจะได้กำลังกินข้าว. Tense ใหญ่ มี 3 Tense 1.Present Tense เป็นเรื่องาวที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 2.Past Tense เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต 3.Future Tense เป็นเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต Tense ที่นำเอามาใช้บ่อยที่สุด 1.Present simple tense 2.Present continuous tense 3.Present Perfect tense 4.Past simple tense 5.Future Simple tense นอกนั้นไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่หรอกครับ แต่เราต้องเรียนรู้ทั้งหมดเพื่อประดับเป็นความรู้ Present tense 4 1. Present Tense เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 1.1 Present Simple คือบอกข้อเท็จจริงทั่วไป -I eat rice everyday. \=ฉันกินข้าวทุกวัน. 1.2 Present Continuous คือบอกเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ เช่น:- -I am eating rice. \=ฉันกำลังกินข้าว. 1.3 Present Perfect Tense คือบอกเหุตการณ์ที่ได้ทำเสร็จแล้วขณะพูด หรือ เหตุการณ์ที่กระทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ เช่น:- -I have eaten rice. \=ผมได้กินข้าวแล้ว. (กินอิ่มมาแล้ว) -I have eaten rice for 20 minutes. \=ผมได้กินข้าวแล้วเป็นเวลา 20 นาที. (ตอนนี้ก็กินอยู่) 1.4 Present Perfect Continuous Tense คือบอกเหตุการณ์ที่ทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน คล้ายกับ Present Perfect แต่ตัวนี้เป็นการเน้นว่าทำแบบไม่หยุดเลย เช่น:- -I have been eating rice for 1 hour. \=ผมได้กินข้าวเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว. (กินแบบไม่พูดคุยหรือลุกไปไหนเลย) Past tense 4 2. Past Tense คือเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เช่น:- 2.1 Past Simple คือบอกว่าได้ทำอะไรแล้วในอดีต -I ate rice yesterday. \=ฉันกินข้าวแล้วเมื่อวาน. 2.2 Past Continuous คือบอกเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในอดีต เช่น:- -I was eating rice when my dad came. \=ฉันกำลังกินข้าวแล้วเมื่อพ่อมาถึง. 2.3 Past Perfect คือบอกเหุตการณ์ที่ได้ทำเสร็จแล้วในอดีต เช่น:- -I had eaten rice when my dad came. \=ผมได้กินข้าวเสร็จแล้ว เมื่อพ่อมาถึง. 2.4 Past Perfect Continuous คือบอกเหตุการณ์ที่ทำต่อเนื่องมาจนถึง ณ เวลาหนึ่งในอดีต -I had been eating rice for 1 hour when my dad came. \=ผมได้กินข้าวเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว เมื่อพ่อมาถึง. Future tense 4 3. Future Tense คือเป็นเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 3.1 Future Simple tense คือบอกว่าจะทำอะไร ในอนาคต เช่น:- -I will eat rice tomorrow. \=ฉันจะกินข้าวพรุ่งนี้. 3.2 Future Continuous คือบอกเหตุการณ์ที่จะกระทำอยู่ ณ ช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต เช่น:- -At nine o’clock tomorrow, I will be eating rice. \= เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ฉันจะกำลังกินข้าวอยู่นะ. (ห้ามโทรมา ห้ามมาเรียก) 3.3 Future Perfect คือบอกเหุตการณ์ที่จะทำเสร็จแล้วในอนาคต เช่น:- -At nine o’clock tomorrow, I will have eaten rice. \=เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ผมจะได้กินข้าวเสร็จแล้ว. (โทรมาได้ เพราะว่างแล้ว) 3.4 Future Perfect Continuous คือบอกเหตุการณ์ที่ทำต่อเนื่องมาจนถึง ณ เวลาหนึ่งในอนาคต -At nine o’clock tomorrow, I will have been eating rice for 1 hour. \=เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ผมจะได้กำลังกินข้าวเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว (บอกให้รู้เฉยๆว่าฉันจะกินข้าวนานแค่ไหน) การใช้ Verb to do -Verb to do ที่ใช้ในภาษาอังกฤษมีอยู่ 4 ตัว คือ:- 1.do 2.does 3.did 4.done -do และ does ใช้กับประโยค present tense คือปัจจุบันกาลแปลว่า “ทำ” เช่น:- -They do eggs break. \=พวกเขาทำไข่แตก. -She does homework that the teacher gave her come. \=หล่อนทำการบ้านที่ครูให้มา. -did ใช้กับประโยค past tense คืออดีตกาลแปลว่า “ทำแล้ว” เช่น:- -She did food ready. \=หล่อนทำอาหารพรักพร้อมแล้ว. -done ใช้กับประโยค perfect tense คืออนาคตกาลแปลว่า “ทำเสร็จแล้ว” เช่น:- -She has done food finished. \=หล่อนได้ทำอาหารเสร็จแล้ว. หลักการใช้ Do และ Does สร้างประโยคคำถามภาษาอังกฤษ ในภาษาอังกฤษจะพบได้ว่า การตั้งประโยคคำถามส่วนมาก Do และ Does เป็นส่วนประกอบอยู่ ดังนั้นในวันนี้เรามาดูกันว่า ทั้งสองคำนี้มีหลักในการใช้ที่ถูกต้องอย่างไร ตัวอย่างการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถามด้วย Do และ Does -ประโยคบอกเล่า :- You speak English. \=คุณพูดภาษาอังกฤษ. -ประโยคคำถาม :- Do you speak English? \=คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม ? -ประโยคบอกเล่า :- He speaks Thai. \=เขาพูดภาษาไทย? -ประโยคคำถาม :- Does he speak Thai? \=เขาพูดภาษาไทยได้ไหม ? จะเห็นได้ว่าเพียงแค่เราเติม Do นำหน้าประโยคบอกเล่า ประโยคนั้นก็จะถูกเปลี่ยนเป็นประโยคคำถามทันที ประโยคคำถามที่ใช้ Do หรือ Does นำหน้า จัดอยู่ใน Present simple tense การจะเติม do หรือ doesนำหน้าประโยคคำถามได้ ประโยคนั้นจะต้อง 1.ไม่ใช่ประโยคที่มี Verb to be (am , is ,are) เพราะถ้าเป็นประโยคที่มี V. tobe เราจะเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นคำถาม โดยนำ Verb to be มาวางข้างหน้าประโยค โดยไม่ต้องพึ่ง Do หรือ Does เข้ามาช่วย เช่น:- -He is a boy. กลายเป็น Is he a boy? 2.จะต้องไม่ใช่ประโยคที่มี Modal Verbs (can, must, might, should etc.) เมื่อไรใช้ Do เมื่อไรใช้ Does -ถ้าประธาน คือ I / you / we / they จะใช้ Do -ถ้าประธานคือ he / she / it จะใช้ Does รูปแบบคำถามสั้นๆที่ใช้ Do หรือ Does และการตอบคำถาม ตัวอย่างคำถาม คำตอบยินยัน คำตอบปฏิเสธ -Do you speak English? Yes, I do. No, I don’t. -Do we need a dictionary? Yes, you do. No, you don’t. -Does he speak English? Yes, he does. No, he doesn’t. -Does it have four legs? Yes, it does. No, it doesn’t. รูปแบบคำถามที่ใช้ Do หรือ Does ร่วมกับ Question Words กรณี ที่เป็นคำถามแบบเจาะจงรายละเอียดมากกว่าที่ต้องการคำตอบว่าใช่หรือ ไม่ จะมี question words เช่น who, when, where, why, which หรือ how เข้ามาช่วยในการตั้งคำถาม โดยใช้คำเหล่านี้วางไว้หน้า Do หรือ Does อีกทีหนึ่ง เช่น:- -Where do you live? \=คุณอาศัยอยู่ที่ไหน ? -How do you spell your name? \=คุณสะกดชื่อของคุณอย่างไร ? -When does they study ? \=พวกเขามีเรียนเมื่อไร ? -What does he have for dinner ? \=เขาทานอะไรสำหรับอาหารค่ำ ? การใช้ Do, Does, Did Verb to do ทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ:- 1.เป็นกิริยาแท้ในประโยค 2.เป็นกิริยาช่วย ที่ประกอบด้วย 2.1 ประโยคคำถาม 2.2 ประโยคปฏิเสธ 2.3 ประโยคสั่งห้าม กรณีที่ verb to do ทำหน้าที่เป็นกริยาแท้จะหมายถึง “ทำ” ซึ่งจะเปลี่ยนรูปไปตามประธาน เช่น ถ้า ประธานเป็นเอกพจน์ (he, she,it) เราจะใช้ does ที่ต้องใช้ does เพราะกริยาช่องที่ 1 ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ verb จะต้องเติม s หรือ es ค่ะ) เสมอ เช่น:- -She does her homework. \=หล่อนทำการบ้าน. ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ (I, You, We, They) เราจะใช้ do เช่น:- -They do their homework. หรือ I do my homework. กรณี ที่ verb to do ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยจะ ไม่สามารถแปลความหมายของตัวมันได้ ผู้ศึกษา จำแต่เพียงว่ามันทำหน้าที่เป็นแค่ผู้ช่วยไม่ใช่ตัวหลัก จึงไม่มีความหมาย แต่ก็ขาดมันไม่ได้เช่นกัน ลองมาดู ในรูปประโยคคำถาม เราจะขึ้นต้นประโยคด้วย verb to do ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามประธาน เช่น:- -ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ (He, She,It) Does he play football ? -ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ (I, You, We, They) Do they play football ? กรณีที่ verb to do ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย ในรูปประโยคปฏิเสธ เราจะใช้ do not หรือ does not ระหว่างประธานและกริยา เช่น:- -ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ He does not play football. หรือ He doesn’ t play football. -ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ They do not play football. หรือ They don’ t play football. กรณีที่ verb to do ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย ในรูปประโยคสั่งห้าม เราจะใช้ don’ t ไว้หน้าประโยค เช่น:- Don’t smoke here. \=ห้ามสูบบุรี่ตรงนี้. **ข้อควรจำ:- ในบางครั้งจะมีบางคนสับสนว่าในกรณีที่ประธานเป็นเอกพจน์ ถ้าเราใช้ does เป็นกริยาช่วยแล้ว verb แท้ต้องเติม s อีกหรือไม่ คำตอบคือไม่ต้องเติมแล้ว เพราะเรามี does เป็น verb ช่วยแล้ว verb แท้ไม่ต้องเปลี่ยนรูปอีก ลองมาดูตัวอย่างการใช้ verb to do กับประโยคคำถามที่มี do 2 ตัวในประโยคเดียวกัน What do you do? มีความหมายเดียวกับ What is your job? ซึ่งแปลว่า “คุณทำงานอะไร” สำหรับคำว่า what do you do? ตัว do ตัวแรกเป็น verb ช่วยซึ่งจะผันไปตามประธาน ส่วน do ตัวที่สองคือ verb แท้ครับ เพื่อให้เห็นชัด ๆ จะยกตัวอย่างมาให้เห็นซ้อนกันอีกตัวอย่างค่ะ What do you eat? ซึ่งแปลว่า “คุณกินอะไร” จะเห็นว่า เรานำ eat มาแทน do ตัวที่สองได้ แต่ do ตัวที่หนึ่งก็ยังเหมือนเดิมครับ ลองมาดูวิธีการใช้ did กันบ้าง did นั้นทำหน้าที่เป็นกิริยาช่วยเหมือน do, does แต่แตกต่างตรงที่ไม่ต้องผันตามประธาน เพราะไม่ว่าประธานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ เราก็ใช้ did เหมือนกัน และเราจะใช้ did เมื่อตอนที่เราต้องการพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เช่นอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า หรือเมื่อวาน เป็นต้น ซึ่งมีด้วยกัน 2 รูปคือ 1. ประโยคคำถาม และ 2. ประโยคปฏิเสธ และเมื่อใช้ did ในประโยคแล้ว กริยาแท้ ก็ไม่ต้องเปลี่ยนรูป มาดูตัวอย่างกันเลย ประโยคคำถาม -Present tense: Does he play football ? —> Past tense: Did he play football ? -Present tense: Do they play football ? —> Past tense: Did they play football ? -Present tense: what do you do? —> Past tense: What did you do? -Present tense: what do you eat? —> Past tense: What did you eat? ประโยคปฏิเสธ -Present tense: He does not play football. หรือ He doesn’ t play football. -Past tense: He did not play football. หรือ He didn’ t play football. เทคนิคการจำ verb ช่วย ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ (He, She, It) ใช้ is, does, has ให้สังเกตุว่า verb ช่วยทุกตัว มี s ต่อท้าย ที่เหลือก็เป็นประธานพหูพจน์, I และ You การใช้ Verb to have Verb to have ก็คือ has, have และ had ซึ่งในบทนี้จะกล่าวถึงเฉพาะ verb to have ที่เป็นคำกริยาหลักของประโยคเท่านั้นเพราะยังไม่มีใครกล่าวถึงไว้อย่าง ละเอียดเลย โดยจะไม่กล่าวถึง verb to have ที่เป็นกริยาช่วย เพราะท่านผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ทั่วไป Verb to have เป็นคำกริยาที่ต้องมีกรรม (object) มารองรับเสมอ และมีความหมายตรงกับคำในภาษาไทยว่า ‘มี’ ดังนั้นในระยะเริ่มต้นเวลาเราจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารให้เรานึกถึงคำว่า “มี” ก็จะช่วยให้เราใช้คำกริยา has, have และ had ได้โดยไม่ยากอย่างไรก็ตามคำว่า “มี” ของ verb to have นี้จะมีความหมายครอบคลุมกว้างขวางกว่าคำว่า “มี” ในภาษาไทยโดยครอบคลุมถึงเรื่องดังต่อไปนี้ด้วย 1. มีสมาชิกในครอบครัว 2. มีประสบการณ์ 3. มีการกระทำหรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย 4. มีกิจกรรมที่ต้องทำ 5. มีอาการเจ็บป่วย 6. รับประทานอาหาร 7. คลอดบุตร ฯลฯ กล่าวโดยสรุปก็คือ อะไรที่พอจะตีความความได้ว่าเป็นการ “มี” ก็จะใช้กับ has, have หรือ had ได้หมด ดังนั้นในบทความนี้ผู้เขียนจะยกประโยคตัวอย่างให้ครอบคลุมการใช้ verb to have ในทุกๆความหมาย เพื่อท่านผู้อ่านจะได้ใช้เป็นแนวทางในการใช้ verb to have ต่อไป โครงสร้างประโยคของ verb to have คำกิริยา verb to have เป็นคำกิริยาที่นิยมใช้ทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียน โดยมีโครงสร้างประโยคอยู่ทั้งหมด 8 โครงสร้าง ดังต่อไปนี้ 1.Subject + have + object เช่น:- -I have money. \=ฉันมีเงิน. -ประโยคคำถาม:- -Have you money? \=คุณมีเงินไหม? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, I have. \=ครับ, ผมมี. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, I have not. or No, I haven’t. \=ไม่, ผมไม่มี. 2. Subject + have + object + adjective เช่น:- -I have my report ready next Sunday. \=ฉันมีรายงานที่เตรียมพร้อมในสัปดาห์หน้า. –He had me frightened. \=เขาทำให้ฉันตกใจ. -I had my ring lost in my office yesterday. \=ฉันทำแหวนหายในที่ทำงานเมื่อวาน. -She had her right arm broken. \=เจ้าหล่อนทำให้แขนขวาหัก. –I have several more pages to read. \=ฉันมีหน้ามีกหลายหน้าที่จะอ่าน. -She has six more rows to knit. \=หล่อนมีมากกว่า 6 แถวที่จะถัก. 3.Subject + have + object + adverb เช่น:- -I’ve had my book back already. \=ฉันได้หนังสือของฉันกลับคืนมาเรียบร้อยแล้ว. -ประโยคคำถาม:- -Have you had your book already? \=คุณได้หนังของคุณกลับคืนแล้วหรือ. -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, I have. \=ใช่, ผมได้คืนมาแล้ว. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, I haven’t. \=เปล่า, ผมยังไม่ได้คืนมา. -He had dinner ready by the time she came back. \=เขารับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วตามเวลาที่หล่อนกลับมา. -He had the computer working again very quickly. \=เขามีเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอีกครั้งอย่างรวดเร็วมาก. ข้อควรจำเกี่ยวกับ some และ any -some แปลว่า “บาง, บ้าง หรือ นิดหน่อย” มีหลักในการใช้ดังนี้ 1.some ใช้กับนามนับได้พหูพจน์ในประโยคบอกเล่าแปลว่า “บาง” เช่น:- -Some students are recumbent. \=นักศึกษาบางคนขี้เกียจ. 2.some ใช้กับนามนับไม่ได้เอกพจน์ในประโยคบอกเล่าแปลว่า” บ้าง” เช่น:- -We have some money. \=พวกเรามีเงินบ้าง. 3.some ใช้ในประโยคยืนขอเสนอ ไม่ต้องแปล เช่น:- -Do you want some money? \=คุณต้องการเงินไหม? 4.some ใช้ในประโยคขอร้อง เช่น:- -Do you give me some salt? \=คุณหยิบเกลือให้ฉันหน่อยได้ไหม? -Can I have some tea? \=ฉันขอชาหน่อยได้ไหม? -any แปลว่า “บ้าง” มีหลักในการใช้ดังนี้ 1.any ใช้กับนามนับได้พหูพจน์ในประโยคคำถามแปลว่า “บ้างไหม” เช่น:- -Do you have any pens? \=คุณมีปากกาบ้างไหม? 2.any ใช้กับนามนับได้และนับไม่ได้ในประโยคปฏิเสธแปลว่า”เลย” เช่น:- -No, I haven’t any pens. \=ไม่, ฉันไม่มีปากกาเลย. -No, I haven’t any money. \=ไม่, ฉันไม่มีเงินเลย. 4. Subject + have + object + preposition + noun เช่น:- -We have four cups of teas. \=พวกเรามีถ้วยชา 4 ถ้วย. -ประโยคคำถาม:- -Have you four cups of tea? \=พวกคุณมีถ้วยชา 4 ใบหรือ? -ประโยคนี้ตอบได้ 2 นัย คือ:- 1.ตอบเป็นประโยคบอกเล่า เช่น:- -Yes, we have. \=ใช่, พวกเรามี. 2.ตอบเป็นประโยคปฏิเสธ เช่น:- -No, we haven’t. \=ไม่, พวกเราไม่มี. –I have some money on me. \=ฉันมีเงินติดตัวอยู่บ้าง. –She has the radio on so loud. \=หล่อนมีวิทยุที่เสียงดังมาก. -I have basket of fruits in that room. \=ฉันมีตะกร้าผลไม้ในในห้องนั้น. 5. Subject + have + object + past participle (verb ช่องที่ 3) เช่น:- -You have ten minutes left. \=พวกคุณมีเวลาเหลืออยู่ 10 นาที. -My brother have had his glasses made. \=น้องชายของผมได้ให้จักษุแพทย์ตัดแว่นตาให้แล้ว. –I’ll have my car washed. \=ฉันจะไปให้เด็กล้างรถให้. -He has his hair cut every month. \=เขาให้ช่างตัดผมตัดผมให้ทุกเดือน. -She had her hair done. \=หล่อนไปให้ช่างทำผมทำผมให้. -He had his tyres changed. \=เขาให้ช่างเปลี่ยนยางรถให้. 6. S + have + object + present participle –This song has me missing you. \=เพลงนี้ทำให้ฉันคิดถึงคุณ. -She has her boyfriend texting her every day. \=หล่อนให้แฟนหนุ่มส่งข้อความถึงเธอทุกวัน. -The printer has some pieces of paper jamming it. \=เครื่องพิมพ์มีชิ้นกระดาษบางชิ้นทำให้เครื่องติดขัด. -Sorry, we can’t have you staying here. \=ขอโทษครับ…พวกเราไม่สามารถอนุญาตให้คุณพักอยู่ตรงนี้ได้. -The escaped suspect had police following him. \=ผู้ต้องสงสัยที่หลบหนีไปมีตำรวจกำลังตามหาตัวเขาอยู่. -He has the engine running. \=เขาปล่อยให้เครื่องยนต์ติดอยู่. 7. Subject + have + object + infinitive without to เช่น:- -He had his wife make him a cup of coffee. \=เขาให้ภรรยาชงกาแฟให้เขาหนึ่งถ้วย. -She had taxi driver take her to her boyfriend’s. \=เจ้าหล่อนให้คนขับรถแท็กซี่พาไปที่บ้านของแฟนหนุ่ม. -Tom had something good happen to him. \=ทอมมีบางสิ่งที่ดีๆเกิดขึ้นกับเขา. 8. Subject + have + object + to-infinitive –การใช้ verb to have กับ object และ infinitive with to นี้ โดยหลักการ infinitive with to จะใช้กับ object ที่เป็นสิ่งของเท่านั้น ไม่ใช้กับ object ที่เป็นบุคคล ดังต่อไปนี้ เช่น:- -He has a lot to learn. \=เขามีสิ่งที่จะเรียนรู้มาก. -I have something to do. \=ฉันมีบางสิ่งที่ต้องทำ. -They had a small diner to run. \=พวกเขามีร้านอาหารเล็กๆที่จะต้องดำเนิน. -I have a meeting to attend. \=ผมมีการประชุมที่จะต้องเข้าร่วม. -I have no time to do this. \=ผมไม่มีเวลาที่จะทำสิ่งนี้. -I have many English articles to write. \=ผมมีบทความภาษาอังกฤษหลายบทที่จะเขียน. -ถึงอย่าง ไรก็ตาม ในเชิงปฏิบัติ เราสามารถใช้ infinitive with to กับกรรมที่เป็นบุคคลได้ โดย have จะต้องใช้ในความหมายว่า ‘มี’ เท่านั้น เช่น:- -Do you have anyone to stay tonight? \=คุณมีใครพักอยู่ด้วยคืนนี้หรือ? -I’ll have a guest to stay this weekend. \=ฉันจะมีแขกมาพักอยู่ด้วยคนหนึ่งสุดสัปดาห์นี้. –Someday I’ll have a sweet loving woman to live on. \=สักวันหนึ่งผมจะมีผู้หญิงที่อ่อนหวานน่ารักอาศัยอยู่ด้วย. โครงสร้างประโยคทั้ง 8 โครงสร้างนี้ จะทำให้ท่านผู้อ่านทราบได้ทันทีว่า เวลาใช้คำกิริยา verb to have นั้นจะต้องใช้ในรูปโครงสร้างประโยคอะไรบ้าง และโครงสร้างเหล่านี้เมื่อท่านผู้อ่านได้เห็นประโยคตัวอย่างซึ่งได้กล่าวถึง มาแล้ว ก็จะเข้าใจการใช้ verb to have ได้กระจ่างแจ้งทันที ประโยคตัวอย่างการใช้ verb to have Verb to have เป็นคำกิริยาที่ครอบคลุมการใช้แทบจะทุกสถานการณ์การใช้ จะเป็นรองก็เพียง verb to be เท่านั้น ดังนั้น ถ้าเรามี verb to have ไว้ในหัวสมองแล้ว เราก็จะสร้างประโยคภาษาอังกฤษได้ในแทบทุกสถาน การณ์เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ประโยคที่ผู้เขียนจะยกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ผู้เขียนก็จะพยายามทำให้เป็นประโยคตัวอย่างที่ครอบคลุมการใช้ให้มากที่สุด รวมทั้งให้ครอบคลุมความหมายต่างๆของ verb to have ให้มากที่สุดด้วย เพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้ได้อย่างคล่องแคล่วในระดับเดียวกับเจ้าของภาษา ครับ Verb to have ก็เป็นเครื่องมือพิเศษเช่นเดียวกับ verb to be ที่จะช่วยให้เราสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติได้ในแทบจะทุก สถานการณ์ ดังนั้น จึงขอให้ท่านผู้อ่านบทความนี้หลายๆเที่ยว เพื่อให้ประโยคตัวอย่างต่างๆ ติดอยู่ในหัวสมองของเรา อันพร้อมที่จะนำออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ จงเปิดลิ้งค์เกี่ยวกับการใช้ Verb to be, Verb to do, verb to have ข้างล่างนี้ขึ้นมาศึกษาประกอบ http://4sharewhatyouknow.blogspot.com/2015/06/episode-3-verb-to-be-verb-to-do-verb-to.html https://sites.google.com/site/noodashare/home

Auxiliary Verb คือกริยาช่วยมี 24 ตัว คือ:-

-am, is, are, was, were -have, has, had -do, does, did -will, would -shall, should -can, could -may, might -must -need -dare -ought to, used to วิธีการใช้กิริยาช่วย 1.ถ้า ประโยคนั้นมีกริยาช่วย 24 ตัวนี้ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่ในประโยคแต่เพียงลำพังไม่มีกริยาอื่นเข้ามา ร่วมประโยคนั้นกริยาช่วยทำหน้าที่เป็นกริยาแท้ 2.ถ้าประโยคใดมีกริยาช่วยมาร่วมกับกริยาตัวอื่น มันก็ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยไป ไม่ใช่เป็นกริยาแท้ หน้าที่ของ Verb to be 1.วางไว้หน้ากริยาที่มี ing ทำให้ประโยคนั้นเป็น continuous Tense มีความหมาย แปลว่า “กำลัง” ทุกครั้งไป 2. เมื่อวางไว้หน้ากริยาช่องที่ 3 (เฉพาะสกรรมกริยา ) ทำให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก ( Passive Voice ) มีความหมาย แปลว่า “ถูกกระทำ” เป็นเอกลักษณ์ 3.วางไว้หน้ากริยาสภาวมาลา (Infinitive) แปลว่า จะต้อง มีความหมายเป็นอนาคตกาลเพื่อแสดงถึงความจงใจ หรือตั้งใจ หน้าที่ของ Verb to do 1.ช่วยทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถาม 2.ช่วยทำให้ประโยคบอกเล่าเป็นประโยคปฏิเสธ ในกรณีที่ประโยคนั้น Verb to have ไม่มี Verb to be ไม่อยู่ Verb to do จึงต้องมาช่วยให้เป็นประโยคปฏิเสธ 3.ใช้หนุนกริยาตัวอื่นเพื่อให้เกิดความ สำคัญกับกริยาตัวนั้นว่าจะต้องทำเช่นนั้นจริงๆหรือเกิดขึ้นจริงๆโดยให้เรียง ไว้ หน้ากริยาที่มันไปหนุน 4.ใช้แทนกริยาตัวอื่นที่อยู่ประโยคเดียวกันเพื่อต้องการมิให้ใช้กริยาตัวเดิมนั้นซ้ำๆซากๆ 5.Verb to do ถ้านำมาใช้เป็นกริยาแท้แปลว่า “ทำ” เช่น:- -He does his home work every day. \=เขาทำการบ้านของเขาทุกๆวัน. หน้าที่ของ Verb to have 1.เรียงไว้หน้ากริยาช่อง3ทำให้ประโยคนั้นเป็น Perfect Tense (สมบูรณ์การ) 2.ใช้โดยมีกริยาสภาวมาลา ( Infinitive )ตามหลังมีความหมายแปลว่า ต้อง ตลอดไป 3.ใช้ให้เกิดความหมายเท่ากับเหตุกัตตาประโยค คือประโยคที่ทำให้ผู้อื่นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ ในกรณีเช่นนี้ต้องใช้รูปประโยค -Have + Noun + Verb 3 หน้าที่ของ Will, Shall, Would, Should Will ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคตและใช้กับประธานที่เป็นบุรุษที่ 2-3 และนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ทั่วไป Shall ทำหน้าที่ช่วยกิริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคตกาลและใช้กับประธานที่เป็นบุรุษที่1 เท่านั้น Would ใช้เป็นกิริยาช่วยดังต่อไปนี้ 1.ใช้เป็นอดีตของ Will ในประโยคที่เปลี่ยนข้อความมาจาก indirect speech 2.ใช้เป็นกิริยาในสำนวนการพูด อยากจะ, อยากให้ ในกรณีเช่นนี้ใช้กับทุกพจน์ทุกบุรุษและมีความหมายเป็นปัจจุบันกาลธรรมดา 3.ใช้กับสำนวนการพูดว่า ควรจะ…ดีกว่า ควบกับ better หรือ rather ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ Should แปลว่า “ควร หรือควรจะ” ถือเป็นปัจจุบันกาลใช้ได้กับทุกตัวประทานซึ่งส่วนมากมักจะใช้แทน ought to โดยเฉพาะภาษาพูด หน้าที่ของ May, Might May นำมาช่วยดังนี้ 1.เพื่อแสดงความมุ่งหมาย 2.เพื่อแสดงความปรารถนาหรืออวยพรให้ 3.ช่วยเพื่อแสดงถึงการอนุญาตหรือการขออนุญาต 4.ช่วยเพื่อแสดงการคาดคะเน 5.ช่วยเพื่อแสดงความสงสัย Might นำมาใช้ช่วยดังนี้ 1.ใช้เป็นอดีตของ may 2.ใช้ในกรณีที่ผู้พูดไม่แน่นอนใจจะทำหรือไม่ (แต่หากแน่นอนใจให้ไปใช้ may แทน ) การใช้ Need, Dare, Ought to, Used to Need ถ้าเป็นกิริยาช่วยแปลว่า “จำเป็นต้อง” ใช้ได้กับทุกบุรุษและทุกพจน์ ส่วนมากมักจะใช้เป็นกิริยาช่วยในประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธเท่านั้นกิริยา แท้ที่ตามหลัง Need ไม่ต้องใช้ to นำหน้า Need ถ้าเป็นกิริยาแท้แปลว่า “ต้องการ” และเปลี่ยนรูปไปตามบุรุษ,พจน์,กาล เหมือนกริยาทั่วๆไป Dare ถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่า “กล้า” ใช้ได้กับทุกบุรุษ ทุกพจน์และเป็นปัจจุบันกาล Infinitive ที่ตามหลังเป็น Infinitive ที่ไม่มี to Ought to แปลว่า “ควรจะ” ตัวนี้เป็นกิริยาพิเศษทั่วๆไปกล่าวคือเมื่อเป็นประโยคบอกเล่าก็เรียง ought to ไว้หลังตัวประธานในประโยคและกิริยาแท้ที่ตามหลัง ought to ก็ต้องเป็นกิริยาช่อง 1ตลอดไปหากเป็นคำถามก็ให้เอาเฉพาะ ought ขึ้นไปวางไว้ต้นประโยคและเมื่อทำเป็นประโยคปฏิเสธก็ให้เติม not ลงข้างหลัง ought Used to แปลว่า “เคย” เป็นกิริยาพิเศษที่มีความหมายว่า เคยกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดในอดีตเป็นประจำแต่บัดนี้ไม่ได้ทำการนั้นอีกแล้ว กิริยาที่ตามหลัง used to ต้องเป็นกิริยาช่อง1 ตลอดไปหากเป็นประโยคบอกเล่าให้เรียงไว้หลังประ ธาน เป็นคำถามนำเอา Did ขึ้นไปวางไว้ต้นประโยคและเมื่อทำเป็นประโยคปฏิเสธก็ให้เติม did ก่อนแล้วจึงเติม not ลงไป หน้าที่ของ Verb to be ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นได้ดังต่อไปนี้ 1.วางไว้หน้ากริยาตัวที่เติม ing ทำให้ประโยคนั้นเป็น Continuous Tense ซึ่งแปลว่า “กำลัง” ทุกครั้ง เช่น:- -We are learning English. \=พวกเรากำลังเรียนภาษาอังกฤษ. 2.วางไว้หน้ากริยาช่องที่ 3 ( เฉพาะสกรรมกริยา ) ทำให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก ( Passive Voice ) แปลว่า “ถูก” เช่น:- -John was punished by the teacher yesterday. \=จอห์นถูกทำโทษโดยคุณครูเมื่อวานนี้. 3.วางไว้หน้ากริยาสภาวมาลา ( Infinitive ) มีสำเนียงแปลว่า “จะ , จะต้อง” แสดงถึงหน้าที่ที่ต้องกระทำ , แผนการ , การเตรียมการ , คำสั่ง , คำขอร้อง หรือความเป็นไปได้ เช่น:- -He is to stay here till I come back. \=เขาจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าฉันจะกลับมา. 4.ประโยคคำสั่ง , คำอวยพร , ที่นำหน้าประโยคด้วย Adjective ( คุณศัพท์ ) ต้องใช้ Be นำหน้าเสมอ เช่น:- -Be quite. The baby is sleeping. \=เงียบหน่อย ทารกกำลังนอนหลับอยู่. 5.ใช้นำหน้าสำนวน about to + Verb ช่องที่ 1 มีสำเนียงแปลว่า “กำลังจะ” แสดงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น:- -They are about to start their jounery this week. \=พวกเขากำลังจะออกเดินทางกันสัปดาห์นี้. 6.ใช้ทำหน้าที่เป็นกริยาหลัก ( Principal Verb ) ในประโยคได้กรณีนี้ในประโยคนั้นจะไม่มี Verb ตัวอื่นเข้ามาร่วมอยู่กับ Verb to be เช่น:- -Jean is always a good girl. \=จีนเป็นเด็กหญิงดีเสมอ. การใช้ have to , have got to , had better have to แปลว่า “ต้อง , จำเป็นต้อง” ( = must ) ใช้แสดงถึงพันธะหน้าที่ภารกิจจำเป็นที่ต้องกระทำ หลัง have to ต้องใช้กริยาช่อง 1 ตลอดไป เช่น:- -I have to leave now. \=ฉันจำเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้. -George has to go to school from Monday to Friday. \=จอร์จจะต้องไปเรียนหนังสือตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์. อนึ่ง ประโยคบอกเล่าที่มี have to เมื่อทำเป็นคำถามหรือปฏิเสธต้องใช้ Verb to do เข้ามาช่วย จะเอา have หรือ has ขึ้นไปไว้ต้นประโยคเมื่อเป็นคำถาม หรือเติม not หลัง have , has เมื่อต้องการให้เป็นประโยคปฏิเสธไม่ได้ เช่น:- -ถูก : Do I have to leave now? \=ผมจำเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้หรือ? -ผิด : Have I to leave now? -ถูก : I don’t have to leave now. \=ผมไม่จำเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้. -ผิด : I haven’t leave now. -ถูก : Does he have to go to work? \=เขาจะต้องไปทำงานหรือ? -ผิด : Has he to go to work? **หมายเหตุ :- have to ใช้ได้กับเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบันและอนาคตรูปอดีตของ have to คือ had to Have got to คำแปลเช่นเดียวกับ have to นำมาใช้ในภาษาพูดแทน have to คือ had to หรือ has เข้ากับสรรพนามเสมอ หรือย่อเข้ากับ not เมื่อประโยคนั้นเป็นปฏิเสธ กรณีทำเป็นคำถาม ให้เอา have หรือ has ในคำว่า have ( หรือ has ) got to ขึ้นไปไว้ต้นประโยคได้ เช่น:- Affirmative ( บอกเล่า ) -He’s got to go. \=เขาจำเป็นจะต้องไป. -I’ve got to do. \=ฉันจำเป็นจะต้องทำ. Negative ( ปฏิเสธ ) -He hasn’t got to go. \=เขาไม่จำเป็นจะต้องไป. -I haven’t got to do. \=ฉันไม่จำเป็นจะต้องไป. Interrogative ( คำถาม ) -Has he got to go? \=เขาจำเป็นจะต้องไปหรือ? -Have I got to do? \=ฉันจำเป็นจะต้องไปหรือ? had better ( ให้รวมถึง had rather, had sooner ) แปลว่า “ควรจะ…ดีกว่า” หลัง had better ตามด้วย Verb ช่อที่ง 1( เป็น Infinitive Without “to” ) ใช้ในกรณีที่คิดว่าจะเป็นการดีที่จะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด หรือเหมาะสมที่จะประกอบกิจนั้น ๆ ในเวลานั้น แม้จะมีรูปเป็นอดีต ( Past ) แต่ความหมายเป็นปัจจุบัน ( Present ) โดยปกติเวลาพูดหรือเขียนมักจะย่อ had เป็น ‘d เข้ากับตัวประธานเสมอ ใช้ได้กับทุกพจน์และทุกบุรุษ เช่น:- -You had better start your trip tomorrow. -You’d better start your trip tomorrow. \=คุณควรจะเริ่มการเดินทางของคุณวันพรุ่งนี้ดีกว่า. -I had better go home now. -I’d better to go home now. \=ฉันควรจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ดีกว่า. **ข้อสังเกต:- start และ go เป็น Infinitive Without “to” ประโยค บอกเล่าที่มี had better นั้นเมื่อทำเป็นปฏิเสธให้เติม not หลัง better เท่านั้น อย่าวางหลัง had เป็นอันขาด ส่วนคำถามให้เอาเฉพาะ had ตัวเดียววางไว้ต้นประโยค เช่น:- ประโยคบอกเล่า -ถูก: She had better stay home alone. \=หล่อนควรจะพักอยู่ที่บ้านตามลำพังดีกว่า. ประโยคปฏิเสธ -ถูก: She had better not stay home alone. \=หล่อนไม่ควรพักอยู่ที่บ้านตามลำพังคนเดียวดีกว่า. –ผิด : She had not better stay home alone. ประโยคคำถาม -ถูก : Had she better stay home alone? \=หล่อนควรจะพักอยู่ที่บ้านตามลำพังดีกว่าหรือหรือ? -ผิด : Did she have better stay home alone? หน้าที่ของ Verb to do Verb to do ได้แก่ do , does , did เมื่อนำมาใช้เป็นกริยาช่วย ( Helping – Verb ) ไม่มีสำเนียงแปล และเมื่อไปช่วยกริยาตัวใด Verb ที่ตามหลัง do , does , did ไม่ต้องมี to นำหน้า เพราะเป็น Infinitive Without “to” do , does ใช้กับการกระทำที่เป็นปัจจุบัน ( แต่ต่างพจน์กัน ) did ใช้กับการกระทำที่เป็นอดีต ( ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ ) ซึ่งมีรายละเอียดของการใช้ช่วยหรือใช้จริงได้ดังต่อไปนี้ 1.ช่วยทำประโยคบอกเล่า ( Affirmative ) ให้เป็นประโยคคำถาม ( Interrogative ) หรือประโยคปฏิเสธ ( Negative ) ในกรณีที่ประโยคเหล่านั้นต้องตรงตามหลักทฤษฎีที่ว่า -Verb to have ไม่มี -Verb to be ไม่อยู่ -Verb to do มาช่วย หรือมี will , would , shall , should , can , could , may , might , must อยู่แล้วก็ไม่ต้องใช้ Verb to do มาช่วย Verb to do มี 3 ตัว จะนำมาใช้ต่างกัน เช่น:- -เอกพจน์ ใช้ does -พหูพจน์ ใช้ do I , They , We , You ใช้ do เหมือนกัน กริยาสำคัญไม่ต้องเติม s ( ed , ing ) ตัวอย่างใช้ do มาช่วย -ประโยคบอกเล่า: You speak Japanese to your friend. \=คุณพูดภาษาญี่ปุ่นกับเพื่อนของคุณ. ประโยคคำถาม -ถูก : Do you speak Japanese to your friend? \=คุณพูดภาษาญี่ปุ่นกับเพื่อนของคุณหรือ? -ผิด : Are you speak Japanese to your friend? ตัวอย่างใช้ does มาช่วย ประโยคบอกเล่า -He opens the door by himself. \=เขาเปิดประตูด้วยตนเอง. ประโยคคำถาม -ถูก: Does he open the door by himself? \=เขาเปิดประตูด้วยตัวเขาเองหรือ? -ผิด : Is he opens the door by himself? ประโยคปฏิเสธ -ถูก: He doesn’t ( หรือ does not ) open the door by himself. \=เขาไม่ได้เปิดประตูด้วยตัวเอง. -ผิด: He is not opens the door by himself. ตัวอย่างใช้ did มาช่วย ประโยคบอกเล่า -She went to Hong Kong last week. \=หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ที่แล้ว. ประโยคคำถาม -ถูก: Did she go to Hong Kong last week? \=หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือ? -ผิด : Was she went to Hong Kong last week? ประโยคปฏิเสธ -ถูก: She didn’t ( หรือ did not ) go to Hong Kong. \=หล่อนไม่ได้ไปฮ่องกง. -ผิด: She wasn’t went to Hong Kong. 2.ใช้แทนกริยาตัวอื่นที่อยู่ในประโยคเดียวกัน เพื่อต้องการมิให้กิริยาตัวเดิมนั้นซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่น:- -Billy likes badminton and so does Tim. \=บิลลี่ชอบแบดมินตันและทิมก็ชอบเหมือนกัน. -You speak Thai and I do too. \=คุณพูดไทยและฉันก็เช่นกัน. -Linda worked yesterday but I didn’t. \=ลินดาทำงานเมื่อวานนี้ แต่ฉันไม่ทำ. **ข้อสังเกต:- does , do didn’t ทั้ง 3 คำไปแทนกริยา likes, speak และ worked ตามลำดับ ทั้งนี้เพื่อต้องการมิให้ใช้กริยา 3 คำนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ 3.ใช้สนับสนุนกิริยาตัวอื่น เพื่อให้เกิดความสำคัญกับกิริยาตัวนั้นว่า จะต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือเกิดขึ้นจริง ๆ โดยให้เรียงไว้หน้ากิริยาที่มันไปเน้นอีกทีหนึ่ง เช่น:- -I do go and see you tomorrow. \=ฉันจะไปพบคุณให้ได้วันพรุ่งนี้. -Sam does write to me really. \=แซมเขียนจดหมายถึงผมจริง ๆ. -They did live there two years ago. \=พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั้น 2 ปีมาแล้ว. -Do come with us. \=ไปกับเราให้ได้นะ. **ข้อสังเกต:- do , does , did เรียงไว้หน้ากริยาใดจะเน้นกริยาตัวนั้นให้มีน้ำหนักการกระทำขึ้นมาจริง ๆ 4.ใช้ แทนกิริยาหลักในประโยคคำตอบแบบสั้น ๆ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้นำเอากิริยาหลักในประโยคคำถามนั้น มากล่าวซ้ำในประโยคคำตอบ เช่น:- -ถาม: Do you smoke? \=คุณสูบบุหรี่ไหม? -ตอบ: Yes, I do. \=ครับ, สูบ. ถาม: Did he ride a bicycle to school? \=เขาขี่รถจักรยานไปโรงเรียนหรือ? ตอบ:Yes, he did. \=ใช่ เขาขี่. 5.ใช้แทนกิริยาหลักในประโยคทั้งที่เห็นด้วย ( agreement ) หรือไม่เห็นด้วย ( disagreement ) ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการนำเอากิริยาหลักมาพูดอีกเป็นครั้งที่ 2 เช่น:- แสดงความเห็นด้วย -Tom speaks a lot. \=ทอมพูดมาก. -Yes, he does. \=ใช่, เขาพูดมาก. -She sang well. \=หล่อนร้องเพลงไพเราะดี. -Yes, she did. \=ใช่, หล่อนร้องเพลงไพเราะ. แสดงความไม่เห็นด้วย -You eat too much. \=คุณกินมากเกินไป. -No, I don’t. \=ไม่, ฉันไม่ได้กินมาก. 6.Verb to do ถ้านำมาใช้อย่างกิริยาหลัก ( Principal Verb ) ทั่ว ๆ ไป จะแปลว่า “ทำ” ดังนั้น เป็นคำถามหรือปฏิเสธต้องเอา Verb to do ที่เป็นกริยาช่วย นำมาช่วย do ที่เป็นกริยาแท้อีกทีหนึ่ง ตามหลักทฤษฎีที่ว่า…เมื่อ Do แปลว่า “ทำ” จะต้องนำ do มาช่วยเพื่อช่วยให้เป็นคำถามและปฏิเสธ เช่น:- ประโยคบอกเล่า -You do your homework every day. \=คุณทำการบ้านทุก ๆ วัน. ประโยคคำถาม -Do you do your homework every day? \=คุณทำการบ้านของคุณทุก ๆ วันหรือ? **ข้อสังเกต:- Do ตัวที่ 1 เป็นกริยาช่วย มาช่วยให้เป็นคำถามไม่มีคำแปล do ตัวที่ 2 เป็นกริยาแท้ กริยาใหญ่ กริยาหลัก จะเรียกอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น มีคำแปลว่า “ทำ” ประโยคปฏิเสธ -You don’t do your homework every day. \=คุณไม่ได้ทำการบ้านของคุณทุก ๆ วันหรอกนะ. **ข้อสังเกต:- do ตัวแรก ( ในคำ don’t ) เป็นกริยาช่วย มาช่วยให้เป็นประโยคปฏิเสธไม่มีคำแปล do ตัวหลังเป็นกิริยาแท้ แปลว่า “ทำ” ที่ควรระวังคือ เมื่อทำเป็นคำถามหรือปฏิเสธ อย่าได้นำ do ที่ปรากฏอยู่ในประโยคบอกเล่านั้นขึ้นไปไว้ต้นประโยคหรือเติม not ลงข้างหลัง do อย่างเด็ดขาด เช่น:- -I do my work in Bangkok. \=ฉันทำงานในกรุงเทพ. ประโยคคำถาม -ผิด: Do I my work in Bangkok? -ถูก: Do I do my work in Bangkok? ประโยคปฏิเสธ -ผิด: I do not my work in Bangkok. ( หรือ don’t ) -ถูก: I don’t ( หรือ do not ) do my work in Bangkok. ประโยคบอกเล่า -She does her homework. \=หล่อนทำการบ้านของหล่อน. ประโยคคำถาม -Does she do her homework? \=หล่อนทำการบ้านของหล่อนหรือ? **ข้อสังเกต:- อย่าใช้ Does she her homework? โดยการนำเอา does ที่เป็นกริยาขึ้นไปไว้ต้นประโยค ประโยคปฏิเสธ -She doesn’t ( หรือ does not ) do her homework. \=หล่อนไม่ได้ทำการบ้านของหล่อน. **ข้อสังเกต:- อย่าใช้ she does not her homework. 7.ใช้แทนกิริยาแท้ในประโยคคำถามที่เป็น Tag Questions เช่น:- -Sam lives here, doesn’t he? \=แซมอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ใช่หรือ? **ข้อสังเกต:- อย่าใช้ Sam lives here, doesn’t he live here? -We don’t drink whisky, do we? \=พวกเราไม่ดื่มสุรา ใช่ไหม? **ข้อสังเกต:- We don’t drink whisky, do we drink whisky? -He ate rice, didn’t he? \=เขากินข้าว ไม่ใช่หรือ? **ข้อสังเกต:- อย่าใช้ He ate rice, didn’t he eat rice? การใช้ Will, Would, Shall, Should -Will, Shall, Would, Should ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นได้ดังต่อไปนี้ 1.Will แปลว่า “จะ” ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่น เพื่อบอกความเป็นอนาคตกาล ( Future Tense ) และใช้กับประธานที่เป็นบุรุษที่ 2 ( คือ you ) และบุรุษที่ 3 ( คือ He , She , It , They ) ตลอดถึงนามเอกพจน์ พหูพจน์ ทั่วไปที่มาเป็นประธานได้ทั้งนั้น เช่น:- -He will meet his friend at the train station. \=เขาจะไปพบเพื่อนของเขาที่สถานีรถไฟ. 2.Shall แปลว่า “จะ” ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่น เพื่อให้เป็นอนาคตกาล ( Future Tense ) เช่นเดียวกับ will และให้ใช้กับประธานที่เป็นบุรุษที่ 1 ( คือ I , We เท่านั้น ) เช่น:- -I shall start my journey tomorrow. \=ฉันจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้. **หมายเหตุ:- will และ shall หากใช้สลับกันกับบุรุษที่กล่าวมาแล้ว นั่นคือใช้ will กับ I , We และใช้ Shall กับ he , she , it , they ตลอดถึงนามทั่วไปที่มาเป็นประธานแล้ว ย่อมมีความหมายพิเศษขึ้น ผิดไปจากการใช้แบบปกติ เพราะนั่นแสดงถึงความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะกระทำการนั้น ๆ แสดงถึงความมั่นสัญญา , แสดงการข่มขู่ แล้วแต่กรณีไป เช่น:- -I will try to do it again. \=ฉันจะพยายามทำอีกครั้ง. ( แสดงถึงความตั้งใจ ) -If you work well, you shall have higher wages. \=ถ้าคุณทำงานดี คุณก็จะได้รับค่าจ้างสูงขึ้นอีก ( คำสัญญา ) ประโยค ตัวอย่างข้างบนนี้ จะเห็นว่าใช้ will , shall สลับบุรุษกันทั้งนี้ก็เพื่อแสดงถึงความตั้งใจอันแน่วแน่, การให้คำมั่นสัญญา, การข่มขู่ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง นอก จากนี้แล้วเฉพาะ Shall ยังใช้ได้กับทุกบุรุษอีกด้วย เมื่อไปเป็นกริยาพิเศษแสดงถึงวัตถุประสงค์ใน วิเศษณานุประโยค ( Adverb Clause of Purpose ) ที่มีคำสันธาน so that หรือ in order that เช่น:- -John comes hers so that he shall see his father. \=จอห์นมาที่นี่ก็เผื่อว่าจะได้พบกับคุณพ่อของเขา. 3.Would แปลว่า “จะ” ใช้ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยให้กับกริยาตัวอื่นได้ต่อไปนี้ 3.1 ใช้เป็นอดีตของ will ในประโยคที่เปลี่ยนมาจาก Indirect Speech เช่น:- -She said, “I will do it again.” \=หล่อนพูดว่า “ดิฉันจะทำอีกครั้ง” 3.2 ใช้ในประโยคเงื่อนไข ( Conditional Sentence ) เช่น:- -If I were you, I would try to do. \=ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะพยายามทำให้ได้. 3.3 ใช้เป็นกิริยาช่วยร่วมกับ like ในสำนวนการพูดเพื่อความสุภาพ ซึ่งมีความหมายว่า “อยากจะ, อยากให้” กรณีเช่นนี้ would ใช้ได้กับทุกพจน์และทุกบุรุษ และมีความเป็นปัจจุบันกาลด้วย อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นอดีต เช่น:- -Jim would like to study music. \=จิมอยากเรียนวิชาดนตรี. 3.4 ให้ใช้ would ( แทน will ตลอดไป ) เมื่อผู้พูดไม่แน่ใจคือ ยังสงวนท่าทีเพื่อรอดูปฏิกิริยาของผู้ที่ตนพูดด้วยว่าจะเป็นหรือทำอย่างที่ ชักนำหรือไม่ และตามกฎข้อนี้มักใช้ในคำถามเพื่อความสุภาพ เช่น:- -Would you have some cold drinks? \=คุณจะเอาเครื่องดื่มเย็น ๆ ไหม? 3.5 ในประโยคคำถามที่มีกิริยา mind , please เข้ามาร่วมเพื่อความสุภาพในการถามหรืออกคำสั่ง และเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่คู่สนทนาอีกโสดหนึ่ง ต้องใช้ Would นำหน้าคำถามหรือคำสั่งนั้น ๆ ตลอดไป เช่น:- -Would you mind if I smoke? \=คุณจะรังเกียจไหมถ้าฉันจะสูบบุหรี่? -Of course not. \=ไม่รังเกียจหรอก. 3.6 ใช้ในสำนวนการพูดว่า “ควรจะ…ดีกว่า , สมัครใจที่จะ…ดีกว่า” ควบกับ better หรือ rather ใช้ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ เช่น:- -Which would you rather have, beer or coffee? \=คุณอยากจะดื่มอะไรมากกว่า เบียร์หรือกาแฟ? **ข้อสังเกต:- บางครั้งหลัง better หรือ rather จะมี than มาต่อท้ายอีกก็ได้ เช่น:- -She would rather walk than run. \=เธออยากจะเดินไปมากกว่าวิ่ง. 4. Should แปลว่า “จะ” มีหลักการใช้ดังต่อไปนี้ 4.1 ใช้เป็นรูปอดีต ( Past Tense ) ของ Shall ในประโยค Indirect Speech เช่น:- -He said to me, “You will be able to do it.” \=เขาพูดกับฉันว่า “คุณจะต้องสามารถทำมันได้” 4.2 ในประโยคที่เป็นอนาคตกาล ( Future Tense ) ถ้าผู้พูดยังมีความสงสัย ไม่แน่ใจ หรือยังเป็นการคาดหมายอยู่เกี่ยวกับเหตุการณ์หรือพฤติกรรมนั้น ต้องใช้ should ตลอดไป ( ไม่นิยมใช้ shall ) เช่น -They should be there by 3 o’clock, I think. \=ฉันคิดว่า พวกเขาจะต้องไปถึงที่นั่นในเวลาบ่าย 3 โมง. 4.3 should เมื่อแปลว่า “ควรจะ” คือเป็นปัจจุบันกาลใช้ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ ใช้แสดงถึงหน้าที่ที่จะต้องกระทำการให้คำแนะนำ ( duty , obligation หรือ advice ) ซึ่งมีความหมายเท่ากับ ought to โดยเฉพาะภาษาพูดจะใช้ should แทน ought to เช่น:- -You should go on a diet. \=คุณควรลดอาหารบ้าง. 4.4 ใช้ should have + Verb ช่องที่ 3 กับอดีตกาลที่ไม่เกิดขึ้นจริง ซึ่งได้ผ่านพ้นมาแล้ว เช่น:- -John should have studied hard before the examination. ( but he didn’t. ) \=จอห์นควรจะได้เรียนอย่างหนักก่อนที่จะสอบ. 4.5 ใช้ should แทน might กับทุกประธานได้ ในประโยคที่แสดงความมุ่งหมาย โดยมีสันธาน so that, in order that นำหน้าประโยคของมัน เช่น:- -I helped him very much so that he should ( might ) succeed. \=ฉันได้ช่วยเขาอย่างมากทีเดียว ดังนั้นเขาควรสำเร็จ. 4.6 ใช้ should ในประโยคที่ตามหลัง lest , for fear that ตลอดไป เช่น:- -Bill studied harder lest he should fail. \=บิลเรียนหนักยิ่งขึ้น เผื่อว่าจะได้ไม่ต้องสอบตก. 5. Can แปลว่า “สามารถ” เป็นกิริยา Anomalous Verb ( กิริยาพิเศษ ) ได้เพียงอย่าง เดียว รูปอดีตของ can คือ could กิริยาตัวอื่นที่ตามหลัง can เป็น Infinitive Without “to” และนอกจากนี้แล้ว can ยังใช้ได้กับทุกประธานและทุกพจน์อีกด้วย ซึ่งมีวิธีใช้ได้ดังต่อไปนี้ 5.1 ใช้แสดงความเป็นอิสระจากพันธะอื่น ๆ เช่น:- -I can see you tomorrow at 7 o’clock. \=พรุ่งนี้ฉันพบคุณได้เวลา 7 นาฬิกา. 5.2 ใช้แสดงภาวะการรับรู้ซึ่งมิอาจควบคุมได้ เช่น:- -I can see. ( hear , remember , etc.) \=ฉันสามารถเห็น. ( ได้ยิน , จำได้ เป็นต้น ) 5.3 ใช้แสดงถึงสิ่งที่ผู้พูดพูดนั้นเป็นความจริง หรือเป็นไปได้อย่างแน่นอน โดยปราศจากข้อสงสัย เช่น:- -This can be the correct answer, I think. \=ฉันคิดว่า นี่สามารถเป็นคำตอบที่ถูกต้องได้. 5.4 ใช้แสดงถึงความสามารถหรือการอนุญาต เช่น:- -I can drive very far from here. \=ฉันสามารถขับรถไปได้ไกลจากที่นี่. 5.5 ใช้แสดงถึงพละกำลัง การฝึกหัดและการเรียนรู้ เช่น:- -Can you lift that table? \=คุณสามารถยกโต๊ะตัวนั้นได้ไหม? 6. Could แปลว่า “สามารถ” เป็นรูปอดีตของ can ใช้ได้กับทุกพจน์และทุกตัวประธาน กิริยาตัวอื่นที่ตามหลังเป็น Infinitive Without “to” ซึ่งมีรายละเอียดของการใช้ดังต่อไปนี้ 6.1ใช้แสดงความเป็นอิสระจากพันธะอื่น ๆ ได้ แต่มีความแน่นอนน้อยกว่า Can เช่น:- -She could see me tomorrow at 7 o’clock, perhaps. \=บางทีหล่อนจะพบผมในวันพรุ่งนี้เวลา 7 นาฬิกา. 6.2 ใช้เป็นอดีตของ Can ในประโยค Indirect Speech ( ที่เปลี่ยนมาจาก Direct Speech ) เช่น:- -Direct :She said, “I can go there alone?” \=หล่อนพูดว่า “ดิฉันสามารถไปที่นั่นคนเดียวได้? -She said that she could go there alone. \=หล่อนพูดว่าหล่อนสามารถไปที่นั่นคนเดียวได้. 6.3 ใช้แสดงถึงความสามารถที่ได้กระทำในอดีต เช่น:- -I could speak Chinese perfectly ten years ago. \=ผมสามารถพูดภาษาจีนได้ดี เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา. 6.4 ใช้เพื่อขออนุญาตกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งกับคู่สนทนา ทั้งนี้เพื่อเป็นการให้เกียรติกับผู้ที่เราพูดด้วย เช่น:- -Could I borrow your pen, please? \=ฉันขอยืมปากกาของคุณหน่อยได้ไหมครับ? 6.5 could ที่นำมาใช้ในรูป could + have + Verb ช่องที่ 3 เพื่อแสดงถึงความสามารถหรือความเป็นไปได้ในอดีตแต่ก็ไม่ได้ใช้ความสามารถ นั้นเสีย เช่น:- -I could have lent you the money. Why didn’t you ask me? \=ฉันสามารถให้คุณยืมเงินได้. ทำไมคุณจึงไม่ขอฉัน? 6.หน้าที่ของ May สำหรับ May และ Might นั้นเป็นคำกริยาจำพวก Anomalous Verb ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น รูปอดีตของ May ก็คือ Might รูปปฏิเสธคือ may not ( mayn’t ) และ might not ( mightn’t ) และ may นำมาใช้เป็นกริยาช่วยได้ดังต่อไปนี้ 6.1 ใช้เพื่อแสดงความมุ่งหมาย ( Purpose ) และจะอยู่หลัง so that หรือ in order that เสมอ เช่น:- -I study hard so that I may pass the test. \=ฉันเรียนอย่างหนัก เพื่อว่าจะสอบผ่าน. 6.2 ใช้เพื่อแสดงความปรารถนา ความหวัง หรือการอวยพรให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องประสงค์ ( may อยู่ต้นประโยคเสมอ ) เช่น:- -May you be happy for ever. \=ขอให้คุณประสบแต่ความสุขตลอดไป. -May he succeed in his new job. \=ขอให้เขาประสบความสำเร็จในงานใหม่ของเขา. 6.3 ใช้ช่วยเพื่อแสดงการอนุญาต หรือการขออนุญาต ( Permission ) ที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น:- -May I use your dictionary? Yes, you may. \=ฉันขอใช้พจนานุกรมของคุณได้ไหม? ได้ เชิญเลย. 6.4 ใช้ช่วยเพื่อแสดงความคาดคะเนว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ เช่น:- -Linda may come next Sunday. \=ลินดาอาจมาวันอาทิตย์หน้า. 6.5 ใช้ช่วยเพื่อแสดงความสงสัยหรือไม่แน่ใจของผู้พูดที่มีต่อสิ่งนั้น ๆ เช่น:- -You may talk to everybody but you can’t force him to listen to you. \=คุณอาจจะพูดกับทุกคนได้ แต่คุณไม่สามารถบังคับให้เขาฟังคุณได้. 6.6 ใช้ช่วยเพื่อแสดงความเป็นไปได้ ( Possibility ) สำหรับการกระทำนั้น ๆ เช่น:- -It may rain this afternoon. \=ฝนอาจจะตกในตอนบ่ายนี้. 7.Might มีวิธีใช้ดังต่อไปนี้ 7.1 ใช้เป็นอดีตของ may ในประโยคที่เปลี่ยนมาจาก Direct Speech เช่น:- -Direct: He said, “I may drive your car for you today.” \=เขาพูดว่า “ฉันอาจจะขับรถของคุณให้คุณวันนี้” -Indirect: He said that he might drive my car for me that day. \=เขาพูดว่าเขาอาจจะได้ขับรถของฉันให้ฉันวันนั้น. 7.2 ใช้ในกรณีที่ผู้พูดไม่แน่นอนใจว่า เขาจะทำอย่างนั้นอย่างนี้จริง ( แต่หากมั่นใจอย่างแน่นอนให้ใช้ may แทน ) เปรียบเทียบจากตัวอย่างประโยค 2 ประโยคนี้ เช่น:- -A: I don’t know where Jim is. He might be at his office. \=ฉันไม่รู้ว่าจิมอยู่ที่ไหน. เขาอาจจะอยู่ที่สำนักงานของเขา. -B: I think Jim may be at his office. \=ฉันคิดว่าจิมอาจจะอยู่ที่สำนักงานของเขา. -ประโยคแรก : A ไม่ทราบว่าจิมอยู่ที่ไหนกันแน่ เพียงคาดการณ์ว่าเขาอาจจะอยู่ที่ทำงานของเขาก็ได้ เมื่อพูดออกไปโดยไม่แน่ใจเช่นนั้น จึงใช้ might มาเป็นกริยาช่วย -ประโยคที่สอง : B รู้แจ้งประจักษ์กับตัวเองอย่างเต็มที่ว่า จิมจะต้องทำงานอยู่ที่ทำงานไม่ได้ไปไหน เพราะเห็นมาด้วยตาตัวเองแล้ว จึงเกิดความมั่นใจ 100% ว่า จิมจะต้องอยู่ที่ทำงานของเขา จึงใช้ may มาเป็นกริยาช่วยอันแสดงถึงความมั่นใจ 7.3 might + have + Verb ช่องที่ 3 นำมาใช้เพื่อแสดงถึงความไม่แน่นอนใจขณะที่พูดถึงสิ่งที่เป็นอดีต เช่น:- -I can’t imagine why she was late. She might have been delayed by the traffic or she might have had an accident. \=ฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า ทำไมหล่อนถึงมาสายหล่อนอาจมาสายเพราะการจราจรทำให้ล่าช้า หรือว่าหล่อนได้รับอุบัติเหตุ. **ข้อสังเกต:- การคาดคะเนในลักษณะไม่แน่ใจถึงสิ่งที่เป็นอดีตเช่นนี้ ต้องใช้ might + have + Verb ช่อง 3 เพราะผู้พูดพูดไปในลักษณะวิเคราะห์เหตุการณ์ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ กับตัวเองแล้ว 8. การใช้ Must Must เป็นกริยาจำพวก Anomalous Verb อย่างแท้จริง ไม่มีรูป Infinitive, Participle เช่นกริยาธรรมดาทั่วไป และไม่ต้องเติม s ถึงแม้ประธานจะเป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์ ซึ่งมีวิธีใช้ดังต่อไปนี้ 8.1 ใช้เป็นกิริยาที่แสดงคำสั่งหรือความจำเป็นที่จะต้องทำ ( Necessity ) เช่น:- -We must obey the laws of the country. \=เราจะต้องเชื่อฟังกฎหมายของประเทศ. 8.2 ใช้แสดงการบอกเล่าที่ต้องการเน้นให้หนักแน่น แต่ไม่ใช่แสดงความจำเป็น เช่น -You must know that my father is very busy. คุณจะต้องรู้ว่า พ่อของฉันยุ่งมาก ) 8.3 ใช้แสดงความตั้งใจหรือความแน่ใจของผู้พูด เช่น:- -I must finish this before I go to bed. \=ฉันจะต้องทำสิ่งนี้สำเร็จก่อนที่จะเข้านอน. 8.4 ใช้แสดงการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับความต้องการของผู้พูด เช่น:- -Every time I call on him, he must be busy. \=ฉันไปหาเขาทีไร เขาเป็นต้องไม่ว่างสักที. 8.5 ใช้แสดงเหตุการณ์หรือพฤติกรรมที่จะต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์หรือกับสิ่งอื่นใด ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น:- Man must die. \=คนเราต้องตาย. 8.6 ใช้แสดงการกระทำที่เป็นหน้าที่โดยตรง เช่น:- -We must pay taxes to our government. \=เราจะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลของเรา. 8.7 ใช้แสดงการขอร้องในสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่น:- -You must forgive me for that matter. \=คุณจะต้องให้อภัยฉันสำหรับเรื่องนั้น. หมายเหตุ:- must เป็น Present Tense ( ปัจจุบันกาล ) อย่างเดียว ไม่มีรูปอดีตหรืออนาคตเป็นของตนเอง แต่เมื่อต้องการใช้เป็นอดีตกาล ( Past Tense ) ให้ใช้ had to แทน หรือต้องการให้เป็นอนาคตกาล ( Future Tense ) ให้ใช้ will have to หรือ shall have to แทน เช่น:- -ปัจจุบัน : I must study the American History. -อดีต : I has to study the American history. -อนาคต : I shall have to study the American history. \=ฉันต้องศึกษาประวัติศาสตร์อเมริกา. 9.การใช้ Need Need เป็นกิริยา Anomalous Verb ที่ออกจะพิเศษอยู่นิดหน่อยนั้นคือ ใช้เป็นกริยาแท้ ( Finite Verb ) ก็ได้ ใช้เป็นกิริยาช่วย ( Helping Verb ) ก็ได้ ดังจะได้อธิบายถึงรายละเอียดของการใช้ดังนี้ 9.1 Need ใช้อย่างกริยาแท้ Need ถ้านำมาใช้อย่างกริยาแท้ทั่ว ๆ ไป ตามด้วยคำกิริยารูป Infinitive With “to” และเมื่อประธานของ need เป็นเอกพจน์ ปัจจุบันกาล need ต้องเติม s และเมื่อเป็นอดีตให้เติม ed ที่ need ได้เลย เช่น:- -Linda needs to go to see a doctor when she is sick. \=ลินดาต้องไปหาหมอเมื่อหล่อนไม่สบาย. 9.2 need ที่ใช้อย่างกิริยาแท้ ( Finite Verb ) เมื่อทำเป็นประโยคคำถามหรือปฏิเสธต้องใช้ Verb to do เข้ามาช่วย เช่น:- ประโยคบอกเล่า -He needs to work to earn his living. \=เขาจำเป็นต้องทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเขาเอง. ประโยคปฏิเสธ -He doesn’t need to work to earn his living. \=เขาไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพของเขา. ประโยคคำถาม -Does he need to work to earn his living? \=เขาจำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพของเขาหรือ? Need ที่ใช้อย่างกิริยาช่วย 1.Need ที่ใช้อย่างกริยาช่วย ( Helping Verb ) คำกริยาตัวอื่นที่ตามหลังต้องเป็น Infinitive Without “to” และเมื่อประธานเป็นเอกพจน์ ปัจจุบันกาล need ก็ไม่ต้องเติม s ( หรือ ed, ing อะไรทั้งนั้น ) เช่น:- -She need hardly do have work. \=เธอแทบจะไม่ได้ทำงานหนักเลย. 2. Need ที่ใช้อย่างกิริยาช่วย ไม่นิยมนำไปแต่งประโยคหรือพูดในข้อความที่เป็นบอกเล่า ( Affirmative ) แต่นิยมนำมาใช้ในประโยคคำถาม ( Interrogative ) หรือประโยคปฏิเสธ ( Negative ) หรือในประโยคที่มีข้อความเป็นกึ่งปฏิเสธ ( Negative Implication ) เท่านั้น เช่น:- -ประโยคคำถาม: Need you continue your studies abroad? \=คุณจำเป็นต้องเรียนต่อต่างประเทศหรือ? -ประโยคปฏิเสธ: They needn’t smoke. \=พวกเขาไม่จำเป็นต้องสูบบุหรี่. -ประโยคคำถาม: Need you marry her next month? \=คุณจำต้องแต่งงานกับหล่อนในเดือนหน้าหรือ? -ประโยคกึ่งปฏิเสธ: Sam need rarely go to see the movie. \=แซมแทบจะไม่ค่อยได้ไปดูหนังเลย. 10. การใช้ Dare Dare แปลว่า “กล้า, ท้า” เป็นกริยา Anomalous Verb ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับ Need นั่นคือจะใช้อย่างกริยาแท้ ( Finite Verb ) ก็ได้หรือจะใช้อย่างกริยาช่วย ( Helping Verb ) ก็ได้ ซึ่งมีรายละเอียดการใช้ดังต่อไปนี้ 10.1 Dare ที่ใช้อย่างกิริยาแท้ กิริยาตัวอื่นที่ตามหลังต้องเป็นรูป Infinitive With “to” และตัวกริยา dare นั้นหากประธานเป็นเอกพจน์ ปัจจุบันกาลต้องเติม s หรือเติม ed เช่น:- -I dare to swim across this river. \=ผมกล้าว่ายข้ามแม่น้ำสายนี้ได้. 10.2 Dare ที่นำมาใช้อย่างกิริยาแท้ เมื่อต้องการทำเป็นคำถามหรือปฏิเสธให้ใช้ Verb to do เข้ามาช่วย เสมอเช่นเดียวกับที่ไปช่วยกิริยาแท้ตัวอื่น ๆ เช่น:- -ประโยคบอกเล่า: Sam dares to work hard every day. \=แซมกล้าทำงานหนักทุก ๆ วัน. -ประโยคคำถาม: Does he dare to work hard every day? \=เขากล้าทำงานหนักได้ทุกวันหรือ? -ประโยคปฏิเสธ: He doesn’t dare to work hard every day. \=เขาไม่กล้าที่จะทำงานหนักได้ทุกวัน. 10.3 Dare ใช้อย่างกิริยาช่วย กิริยาตัวอื่นที่ตามหลังเป็น Infinitive Without “to” และ dare ที่นำมาใช้ตามความหมายนี้ ไม่ต้องเติม s แม้ประธานจะเป็นเอกพจน์ปัจจุบันกาลก็ตาม เช่น:- -We dare walk to school without a bus. \=เรากล้าเดินไปโรงเรียนโดยไม่มีรถประจำทาง. 10.4 Dare ที่ใช้อย่างกิริยาช่วย เมื่อทำเป็นประโยคคำถามหรือปฏิเสธให้เอา dare ขึ้นไปไว้ต้นประโยคได้เลย เช่น:- -ประโยคบอกเล่า: John dare go to be near a snake. \=จอห์นกล้าเข้าไปใกล้งูได้. -ประโยคคำถาม: Dare John go to be near a snake? \=จอห์นกล้าเข้าไปใกล้งูได้หรือไม่? -ประโยคปฏิเสธ: John daren’t go to be near a snake. \=จอห์นไม่กล้า เข้าไปใกล้งูหรอก. 11. วิธีการใช้ Ought to Ought to แปลว่า “ควรจะ” เป็นกริยาช่วยอย่างเดียว และมีรูปเดียว ( ไม่มีรูป Past ) แต่ถ้าต้องการจะใช้ Past ต้องตามด้วย Perfect Infinitive ( คือ ought + to have +Verb ช่องที่ 3 อนึ่ง ought to จะใช้ should ( ที่แปลว่า “ควรจะ” ) แทนก็ได้ แต่ความหมายของคำว่า “ควรจะ” อ่อนกว่านิดหน่อย การใช้มีดังนี้ 11.1 ใช้แสดงถึงการกระทำอันเป็นหน้าที่หรือสมควรที่จะกระทำ เช่น:- -You ought to start your job at once. ( Present ) \=คุณควรจะเริ่มงานของคุณเดี๋ยวนี้ได้แล้ว. -You ought to have told me that yesterday. ( Past ) \=คุณควรจะได้บอกเรื่องนั้นให้ฉันรู้ตั้งแต่เมื่อวานนี้. 11.2 ใช้แสดงความคาดคะเนว่า น่าจะเป็นเช่นนั้น ๆ ได้ เช่น:- -Our team ought to win the match for today. \=ทีมของเราควรจะชนะการแข่งขันสำหรับวันนี้. 11.3 เมื่อทำเป็นประโยคคำถามหรือปฏิเสธให้เอา ought ขึ้นไว้ต้นประโยคและหรือเติม not ข้างหลัง ought ได้ เช่น:-He ought to forgive me for my fault. \=เขาควรจะให้อภัยฉันสำหรับความผิดของฉัน. 12. การใช้ Used to Used to แปลว่า “เคย” มีรูปเป็น Past Tense เพียงรูปเดียวจะนำ used to มาใช้ก็ต่อเมื่อกล่าวถึงการกระทำที่เป็นปกตินิสัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ในอดีต แต่ปัจจุบันการกระทำที่กล่าวถึงนั้นมิได้กระทำหรือเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะฉะนั้น used to จึงต้องใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นอดีตเสมอ การใช้มีดังต่อไปนี้ 12.1 ใช้ used to + Verb 1 เสมอ เมื่อกล่าวถึงการกระทำที่เคยทำในอดีต เช่น:- -There used to be a cinema hall on this street. \=เคยมีโรงหนังบนถนนสายนี้. 12.2 Used to เมื่อต้องการทำเป็นประโยคปฏิเสธให้ใช้ did not use to , never used to หรือ used not to + Verb 1 ได้ทั้งนั้น การใช้ Question tag or Tag question Question tag หรือ tag question คือประโยคคำถามรูปแบบหนึ่งซึ่งใช้ในภาษาพูดเท่านั้น Question tag แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ:- 1. Question tag ประเภทคำถามบอกเล่า เช่น:- –You love her, don’t you? ประโยคนี้เป็น question tag ประเภท ‘คำถามบอกเล่า’ โดยมีส่วนหัวซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุด(ส่วนหลัก)อยู่ในรูปบอกเล่า คือ You love her, และมีส่วนหางซึ่งเป็นส่วนแสดงความเป็นประโยคคำถาม(ส่วนคำถาม)อยู่ในรูปปฏิเสธ คือ don’t you? 2. Question tag ประเภทคำถามปฏิเสธ เช่น:- –You don’t love her, do you? ประโยคนี้เป็น question tag ประเภท ‘คำถามปฏิเสธ’ โดยมีส่วนหัวหรือส่วน หลักอยู่ในรูปปฏิเสธ คือ You don’t love her, และมีส่วนหางหรือส่วนคำถามอยู่ในรูป บอกเล่า คือ do you? 1. รูปแบบต่างๆของ question tag ประเภทคำถามบอกเล่า ขอให้ท่านผู้อ่านศึกษารูปแบบของประโยค question tag ประเภทคำถามบอกเล่าต่อไปนี้ให้เข้าใจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างประโยค question tag ของตนเอง ต่อไป -It was a delicious meal, wasn’t it? \=มันเป็นอาหารอร่อยมิใช่หรือ? -That is your picture, isn’t it? \=นั่นเป็นรูปภาพของคุณมิใช่หรือ? -There is an internet cafe around here, isn’t there? \=มีร้านกาแฟที่น่าสนใจรอบบริเวณนี้มิใช่หรือ? -He is a star, isn’t he? \=เขาเป็นดารามิใช่หรือ? -She works at a hospital, doesn’t she? \=หล่อนทำงานที่โรงพยาบาลมิใช่หรือ? -You’re having a party, aren’t you? \=คุณกำลังมีงานเลี้ยงมิใช่หรือ? -Mary can do that, can’t he? \=แมรี่สามารถทำสิ่งนั้นมิใช่หรือ? -You’ve lived here, haven’t you? \=คุณได้อาศัยอยู่ตรงนี้มิใช่หรือ? อนึ่ง am not ไม่มีการใช้ในรูปของคำย่อ นักภาษาศาสตร์จึงกำหนดให้ใช้ aren’t แทน ดังนี้ -I am your friend, aren’t I? เราใช้ question tag ประเภทคำถามบอกเล่าในกรณีที่เราคิดว่าสิ่งที่เรากำลังพูดเป็นจริง เช่น:- -She works at a hospital, doesn’t she? \=หล่อนทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลมิใช่รึ? ประโยคนี้แสดงว่า ผู้พูดคิดว่า She works at a hospital. เป็นจริง 2.รูปแบบต่างๆของ question tag ประเภทคำถามปฏิเสธ ขอ ให้ท่านผู้อ่านศึกษารูปแบบของประโยค question tag ประเภทคำถามปฏิเสธต่อไปนี้ให้เข้าใจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างประโยค question tag ของตนเองต่อไป -It wasn’t good, was it? \=มันไม่ดีใช่ไหม๊? -That isn’t her boyfriend, is it? \=นั้นไม่ใช่แฟนของเธอใช่ไหม -There isn’t a bank around here, is there? \=ไม่มีธนาคารอยู่บริเวณนี้ใช่ไหม๊? -She isn’t his secretary, is she? \=หล่อนไม่มีเลขานุการ -Your brother didn’t go there, did he? \=พี่ชายของคุณไม่ไปที่นั้นใช่ไหม๊? -Now I’m not just a boy, am I? \=ตอนนี้ฉันไม่เป็นเพียงเด็กใช่ไหม๊ ? -Sally couldn’t come, could she? \=แซลลี่ไม่มาใช่ไหม๊? -He hasn’t visited you, has he? \=เขาไม่มาเยี่ยมคุณใช่ไหม๊? -They aren’t preparing the hall for the meeting, are they? \=พวกเขาไม่เตรียมห้องโถงสำหรับการประชุมใช่ไหม๊? เราใช้ question tag ประเภทคำถามปฏิเสธในกรณีที่เราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราพูดเป็นจริง เช่น:- -He hasn’t visited you, has he? \=เขาไม่ได้มาเยี่ยมเธอ…ใช่ไหม? ประโยค question tag นี้ แสดงว่าผู้พูดไม่แน่ใจว่า he มาเยี่ยม you หรือไม่ การใช้ Yes และ No ตอบประโยค question tag 1.การใช้ Yes และ No ตอบประโยค question tag ที่เป็นคำถามบอกเล่า 1.1 ‘ถาม Yes’ ตอบ ‘Yes’ เท่ากับการ ‘ยืนยัน’ ดังกล่าวแล้วว่า question tag ที่เป็นคำถามบอกเล่า คือ question tag ที่ผู้ถามคิด ว่าสิ่งที่ตนถามนั้นเป็นจริง จึงคาดหวังให้ผู้ตอบตอบว่า ‘Yes’ อันเป็นที่มาของเรียกแบบย่อๆ ว่า ‘ถาม Yes’ เมื่อเป็นดังนี้ การตอบว่า ‘Yes’ จึงเป็นการ ‘ยืนยัน’ ว่า ‘เป็นจริงตามที่ถามมานั้น’ เช่น A: You’ve lived here, haven’t you? คุณพำนักอาศัยอยู่ที่นี่…มิใช่รึ? B: Yes, I have. ใช่…ผมพำนักอาศัยอยู่ที่นี่ ประโยค Yes, I have. ของ B เป็นการ ‘ยืนยัน’ ว่า คำถามของ A คือ You’ve lived here, haven’t you? เป็นจริง การใช้นี้จึงมี ‘สูตร’ ว่า: ถาม ‘Yes’ ตอบ ‘Yes’ เท่ากับเป็นการ ‘ยืนยัน’ ว่า ‘Yes’ เป็นจริง 1.2 ‘ถาม Yes’ ตอบ ‘No’ เท่ากับการ ‘ปฏิเสธ’ ในทางตรงกันข้าม ถ้า ‘ถาม Yes’ แล้วผู้ตอบต้องตอบด้วย ‘No’ ก็จะเป็นการ ‘ปฏิเสธ’ ว่า ‘ไม่เป็นจริงตามที่ถามมา แต่เป็นตรงกันข้ามกับที่ถามมานั้น เช่น:- A: You’ve lived here, haven’t you? คุณพำนักอาศัยอยู่ที่นี่…มิใช่รึ? B: No, I haven’t. เปล่า…ผมไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี้. -Detective: You killed her, didn’t you? \=ตำรวจนักสืบ: คุณฆ่าเจ้าหล่อน…มิใช่รึ? -Jim Petez: No, I didn’t kill her. \=จิม เปเตซ: เปล่า…ผมไม่ได้ฆ่าหล่อน. การใช้นี้จึงมี ‘สูตร’ ว่า:- ถาม ‘No’ ตอบ ‘Yes’ เท่ากับเป็นการ ‘ปฏิเสธ’ ว่า ‘No’ ไม่เป็นจริง สรุป Question tag ที่เป็น ‘คำถามปฏิเสธ’ นั้น เราจะใช้ ‘No’ หรือ ‘Yes’ ตอบก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การใช้ของเรา นั่นคือ ถ้าต้องตอบ ‘No’ เราก็ตอบ ‘No’ แต่ถ้าต้องตอบ ‘Yes’ เราก็ตอบ ‘Yes’ ‘Yes’ มีความหมายเป็นการ ‘ปฏิเสธ’ ก็ได้ เราจะเห็นได้ว่าการใช้ ‘Yes’ ในการตอบประโยค question tag นั้น ‘Yes’ ไม่ได้มีความหมายเป็นการ ‘ยืนยัน’ เพียงอย่างเดียว แต่มีความหมายเป็นการ ‘ปฏิเสธ’ ก็ได้ ถ้า question tag นั้นเป็นประโยค ‘คำถามปฏิเสธ’ ดังประโยคตัวอย่างที่แสดงให้เห็นไปแล้วนั่น คือ:- A: Your brother didn’t go there, did he? \=น้องชายของคุณไม่ได้ไปที่นั่น…ใช่ไหม? B: Yes, he did. ที่ถามมาไม่เป็นจริงครับ เพราะน้องชายผมไปที่นั่น ‘No’ มีความหมายเป็นการ ‘ยืนยัน’ ก็ได้ ส่วนการใช้ ‘No’ นั้น ‘No’ ก็ไม่ได้มีความหมายเป็นการ ‘ปฏิเสธ’ เพียงอย่างเดียว แต่มีความหมายเป็นการ ‘ยืนยัน’ ก็ได้ ถ้า question tag นั้นเป็นประโยค ‘คำถามปฏิเสธ’ ดังประโยคตัวอย่างที่แสดงให้เห็นไปแล้ว นั่น คือ:- A: Your brother didn’t go there, did he? \=น้องชายของคุณไม่ได้ไปที่นั่น…ใช่ไหม? B: No, he didn’t. \=ถูกต้อง…ผมยืนยันว่าน้องชายผมไม่ได้ไปที่นั่น. -Detective: You didn’t kill her, did you? \=ตำรวจนักสืบ: คุณไม่ได้ฆ่าเจ้าหล่อน…ใช่ไหม? -Jim Petez: No, I didn’t kill her. \=จิม เปเตซ: ถูกต้อง…ผมยืนยันว่าผมไม่ได้ฆ่าเธอตามที่คุณถามนั่นแหละ. ถาม ‘No’ ตอบ ‘No’ คือการตอบว่า ‘ฉันไม่ได้ทำ’ เราได้ทราบแล้วว่า ประโยค question tag ที่เป็น ‘คำถามปฏิเสธ’ นั้น เราจะตอบว่า‘No’ หรือ ‘Yes’ ก็ได้ อันขึ้นอยู่กับสถานการณ์การใช้ของเราเอง นั่นคือ ถ้าต้องตอบ ‘No’ เราก็ตอบ ‘No’ แต่ถ้าต้องตอบ ‘Yes’ เราก็ตอบ ‘Yes’ แต่เนื่องจากความเคยชินในภาษาไทยที่เราสามารถใช้คำว่า ‘ใช่’ ตอบประโยคที่เป็นคำถามปฏิเสธได้ เช่น ‘คุณไม่ได้ฆ่าเจ้าหล่อนใช่ไหม?’ ถ้าเราตอบว่า ‘ใช่’ ก็เป็นอันรับรู้กันว่า ‘เราไม่ได้ฆ่าเจ้าหล่อน’ เราจึงอาจนำเอาความเคยชินจากภาษาไทยนี้มาใช้กับภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่สามารถทำได้ นั่นคือ ถ้าเราจะตอบว่า ‘เราไม่ได้ฆ่าเจ้าหล่อน’ เราต้องตอบว่า ‘No’ เท่านั้น เพราะถ้าเราเผลอตอบไปว่า ‘Yes’ เข้า เราก็จะถูกจับใส่กุญแจมือทันที เนื่องจากการตอบว่า ‘Yes’ เท่ากับเรารับสารภาพว่า ‘เราทำ’ หรือ ‘เราฆ่าเจ้าหล่อน’ นั่นเอง อย่างไรก็ตาม บางครั้งเราอาจเผลอไผลตอบไปว่า ‘Yes’ ได้ เพราะแม้แต่เจ้าของภาษาเองในการสนทนากันเร็วๆก็อาจเผลอไผลตอบออกไปว่า ‘Yes’ ได้เช่นกัน ซึ่งก็สามารถแก้ไขคำพูดของตนเสียใหม่ได้ดังนี้ -Detective: You didn’t kill her, did you? \=ตำรวจนักสืบ: คุณไม่ได้ฆ่าเจ้าหล่อน…ใช่ไหม? -Jim Petez: Yes, I mean ‘No, I didn’t kill her.’ \=จิม เปเตซ: ใช่…ผมฆ่า…เอ๊ยไม่ใช่…ผมพูดผิด…คุณพูดถูกแล้วผมไม่ได้ฆ่าเจ้าหล่อน สรุป ‘สูตรอย่างง่าย’ ในการใช้ ‘Yes’ และ ‘No’ ตอบประโยค question tag ผู้เขียนขอสรุป ‘สูตรอย่างง่าย’ ในการใช้ ‘Yes’ และ ‘No’ ตอบประโยค question tag เพื่อให้ท่านผู้อ่านเอาไปใช้ในการตอบประโยค question tag ได้อย่างหวานหมูดัง ต่อไปนี้