Home > เรื่องควรรู้เกี่ยวกับ “ปัสสาวะ” Show อ่านแล้ว 108,967 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 01/12/2562 อ่านล่าสุด 5 ช.ม.ที่แล้ว ในการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์นอกจากจะใช้สิ่งส่งตรวจที่เป็นเลือดแล้ว ยังมีสิ่งส่งตรวจประเภทอื่นๆ ที่สามารถใช้ตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อการวินิจฉัยโรคได้เช่นกัน โดยหนึ่งในนั้นคือ “ปัสสาวะ” นั่นเอง ปัสสาวะเป็นสารน้ำที่เกิดจากการกรองของเสียในเลือดผ่านทางไตและขับออกมานอกร่างกาย โดยปริมาตรของปัสสาวะโดยเฉลี่ยในผู้ใหญ่คือ 600-1,600 มิลลิลิตรต่อวัน ในปัสสาวะประกอบด้วยสารต่างๆ มากมายเช่น น้ำ แร่ธาตุ สารเคมี โปรตีน น้ำตาล ครีเอตินิน เป็นต้น ซึ่งปริมาตรของปัสสาวะที่ขับออกในแต่ละวันจะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับช่วงอายุ อาหารการกิน อุณหภูมิในร่างกาย ปริมาณน้ำที่ดื่ม การทำงานของหัวใจและไต
ภาพจาก : https://i.dailymail.co.uk/1s/2019/09/24/14/18872232-0-image-a-5_1569333482689.jpg ดังนั้นการตรวจปัสสาวะจึงช่วยในการวินิจฉัย ติดตาม รวมถึงพยากรณ์โรคได้ นอกจากนี้ยังช่วยอธิบายพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นในร่างกายขณะนั้นได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประเมินการทำงานของไตในการกำจัดของเสียออกนอกร่างกายและดูดกลับสารที่มีประโยชน์กลับสู่ร่างกาย ปัจจุบันการเก็บปัสสาวะเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการมีหลายรูปแบบเช่น
วิธีการเก็บปัสสาวะที่ถูกต้อง ผู้เก็บจะต้องล้างมือให้สะอาด รวมถึงทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศให้สะอาดก่อนการเก็บปัสสาวะ จากนั้นปัสสาวะส่วนแรกทิ้งไปก่อนแล้วจึงเก็บปัสสาวะในช่วงกลางในภาชนะที่สะอาดอย่างน้อย 15-20 มิลลิลิตร และนำส่งห้องปฏิบัติการต่อไป การตรวจปัสสาวะทางห้องปฏิบัติการประกอบด้วยการตรวจทางกายภาพเช่น สี ความขุ่น กลิ่น และตะกอน ลักษณะทางเคมีเช่นการดูปริมาณของสารเคมีรวมถึงสารชีวเคมีที่พบปัสสาวะและการตรวจตะกอนปัสสาวะภายใต้กล้องจุลทรรศน์เพื่อหาเซลล์ที่ผิดปกติ รวมถึงในบางครั้งอาจมีการตรวจทางจุลชีววิทยาในผู้ป่วยที่สงสัยการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ประชาชนทั่วไปสามารถสังเกตปัสสาวะของตัวเองเพื่อดูความผิดปกติเบื้องต้นได้โดยสังเกตจากลักษณะทางกายภาพของปัสสาวะเช่นสีของปัสสาวะ กลิ่นของปัสสาวะ ความขุ่นของปัสสาวะ รวมถึงลักษณะของปัสสาวะที่มีความผิดปกติไปเช่นมีฟองในปัสสาวะมาก มีวัตถุหรือเศษเนื้อเยื่อหลุดออกมาในปัสสาวะที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน เป็นต้น โดยปกติ สีปัสสาวะของคนปกติจะต้องมีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีเหลืองอำพัน อย่างไรก็ตามในคนที่ดื่มน้ำน้อย รับประทานอาหารบางประเภท หรือได้รับยาบางชนิดเช่น ยาแก้ปวด ยาปฏิชีวนะ ยาขับเหล็ก หรือ ยาคลายกล้ามเนื้อ อาจทำให้ปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นหรือมีสีผิดปกติได้ แต่ถ้าพบสีของปัสสาวะที่ผิดปกติเช่นมีสีแดง สีน้ำตาลอมเหลืองหรือเขียว สีน้ำนม อาจมีความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะหรือร่างกายอาจต้องไปตรวจเพิ่มเติมหรือรีบพบแพทย์ทันที อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผู้หญิงมีประจำเดือนอาจทำให้ปัสสาวะมีสีแดงได้เช่นกัน ดังนั้นในการไปตรวจปัสสาวะควรแจ้งต่อแพทย์หรือนักเทคนิคการแพทย์ทุกครั้ง นอกจากนี้ปัสสาวะของคนปกติควรใสและไม่มีความขุ่น (อย่างไรก็ตามปัสสาวะที่ตั้งไว้นานอาจมีความขุ่นได้เช่นกัน) สาเหตุของความขุ่นที่บ่งบอกความผิดปกติในร่างกายหรือทางเดินปัสสาวะได้แก่ เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง แบคทีเรีย ยีสต์ เซลล์บุหลอดไต นิ่ว ไขมัน หนอง เป็นต้น นอกเหนือจากสีของปัสสาวะแล้ว กลิ่นของปัสสาวะสามารถบอกความผิดปกติของสภาวะสุขภาพได้เช่นกัน ในคนปกติปัสสาวะที่ถ่ายออกมาใหม่จะมีกลิ่นหอม (aromatic) แต่ตั้งทิ้งไว้นานเข้าจะมีกลิ่นฉุน อย่างไรก็ตามถ้าปัสสาวะที่ถ่ายออกมาใหม่มีกลิ่นที่ผิดปกติไปเช่น กลิ่นผลไม้ กลิ่นเหม็นเน่า กลิ่นน้ำตาลไหม้ หรือกลิ่นคาวปลาอาจมาจากความผิดปกติในร่างกายได้เช่นการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ความผิดปกติของร่างกานในการเผาผลาญไขมัน กรดอะมิโนบางชนิดหรือการคั่งของสารบางอย่างในร่างกาย เป็นต้น การแปลผลการตรวจปัสสาวะทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้น เมื่อได้ผลการตรวจปัสสาวะจากทางห้องปฏิบัติการแล้ว เราสามารถประเมินผลการตรวจที่ปกติโดยใช้หลักต่อไปนี้
ประโยชน์ของการตรวจปัสสาวะ ผลการตรวจปัสสาวะสามารถใช้ช่วยในการวินิจฉัยรวมถึงการพยากรณ์โรคและภาวะความผิดปกติในร่างกายได้เช่น โรคนิ่วในไต (renal calculi หรือ kidney stones) โรคไตอักเสบ (glomerulonephritis) กรวยไตอักเสบ (pyelitis หรือ pyelonephritis) กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (cystitis) กลุ่มอาการของโรคไตรั่วหรือโปรตีนรั่ว (Nephrotic syndromes) โรคถุงน้ำในไต (polycystic disease) การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (urinary tract infection) ภาวะโรคไตวายเฉียบพลันและเรื้อรัง (acute และ chronic renal failure) โรคเบาหวาน (diabetes mellitus) เป็นต้น เนื่องจากปัสสาวะเป็นสิ่งที่ถูกขับออกจากร่างกายเพื่อกำจัดของเสียและสารพิษต่างๆ รวมถึงเชื้อโรคบางชนิดที่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายส่งผลให้สมดุลของร่างกายอยู่ในสภาวะปกติ ดังนั้นการดื่มปัสสาวะหรือการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อรักษาโรคเช่น ใช้หยอดตา ตามที่มีรายงานข่าวในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจึงเป็นความเข้าใจรวมถึงความเชื่อที่ผิดและเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นการการนำของเสียและสารพิษต่างๆ ที่เป็นโทษต่อร่างกายกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งยังไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือยืนยันการใช้ปัสสาวะในการรักษาหรือป้องกันโรค นอกจากนี้ปัสสาวะที่ถูกเก็บภายนอกเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีหรือของเสียในปัสสาวะรวมถึงมีการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรคต่างๆ ถ้าได้รับเข้าไปในร่างกายอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ เอกสารอ้างอิง
กลไกที่ทำให้ปัสสาวะมากเนื่องจากการดื่มน้ำมาก คือข้อใดถ้าเราดื่มน้ำมากเกินไปซึ่งได้ร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์ทำให้สารเหลวในร่างกายจะเจือจางลง ฮอร์โมน ADH จะถูกหลั่งออกมาน้อยลง ไตจะขับปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ความเข้มข้นปกติ การดื่มแอลกอฮอล์จะร่วมยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน ADHอีกด้วย ทำให้ปัสสาวะบ่อยมีผลให้สารน้ำในร่างกายต่ำ ทำให้ความดันโลหิตต่ำ รู้สึกมึนงง ปวดศีรษะ และกระหาย ...
ปริมาณน้ําที่รับและออกไป ไม่สมดุลกัน จะส่งผลอย่างไรเมื่อร่างกายขาดน้ำจะทำให้เซลล์เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ รวมถึงอาจกระตุ้นให้เกินภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ เช่น ตะคริวแดด ลมแดด สมองบวมเนื่องจากสมองจะดึงน้ำเข้าเซลล์จำนวนมาก และยังส่งผลกระทบถึงไตและระบบทางเดินปัสสาวะได้ เช่น การติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไต หรือไตวาย และหากเกิดภาวะขาดน้ำ ...
ร่างกายมนุษย์มีการสูญเสียน้ำและต้องการน้ำในปริมาณเท่าใด ใน 1 วันร่างกายเรามีกาสูญเสียน้ำรวมทั้งสิ้นประมาณ 3–5 ลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณที่ได้รับเลยทีเดียว ปริมาณของน้ำในร่างกายคนไม่แน่นอน ขึ้นกับอายุ ปริมาณของไขมันในร่างกาย และกิจกรรมของแต่ละคน คนที่ทำงานหนักกลางแจ้งอาจสูญเสียน้ำ 5 –12 ลิตรต่อวัน หรือคนที่มีโรคภัยไข้เจ็บก็อาจเสียสมดุลของน้ำในร่างกายได้ง่าย โดยร่างกายจะสูญเสียน้ำ ...
อาการขาดน้ำสังเกตยังไงอาการที่ควรสังเกต. กระหายน้ำ. อ่อนเพลีย / เหนื่อยง่าย. ปวดศรีษะ / วิงเวียนศรีษะ. ปัสสาวะน้อย 4-6 ชั่วโมง / 1 ครั้ง. ชีพจรเต้นเร็ว หายใจ หอบถี่. ความดันโลหิตต่ำ บางรายอาการรุนแรง จนเกิดอาการชักได้. |