ด้านการเมืองการปกครอง Show การปฏิรูปการปกครองในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์นั้น พระองค์ทรงมีพระชนมายุ ได้เพียง 15 พรรษา มีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน การปกครองส่วนใหญ่อยุ่ในมือของราชินิกุลสายบุนนาค สาเหตุของการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ ปัจจัยภายใน การเมือง ถือเป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายภายในประเทศ จะเห็นได้ว่า เมื่อรัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ พระองค์แทบจะไม่มีพระราชอำนาจเลย เพราะอำนาจทางการเมืองส่วนใหญ่ ตกอยู่กับขุนนางตระกูลบุนนาค ดังจะเห็นได้จากช่วงต้นรัชกาล สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ทำการแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิชัยชาญขึ้นดำรงตำแหน่งวังหน้าเอง ต่อมาใน พ.ศ. 2418 เกิดความตึงเครียดระหว่างฝ่ายวังหลวงกับฝ่ายวังหน้า ที่เรียกว่า “วิกฤตการณ์วังหน้า” 2. การปกครอง พบว่า การแบ่งงานในส่วนกลางเกิดความสับสนก้าวก่ายกัน เป็นผลให้การดำเนินงานของรัฐบาลล่าช้า ขาดประสิทธิภาพ เกิดความแตกแยก ส่วนงานบริหารราชการส่วนภูมิภาคนั้น ในทางปฏิบัติรัฐบาลปกครองหัวเมืองโดยตรงได้เพียงไม่ กี่หัวเมืองที่ตั้งอยู่รอบๆ พระนคร ซึ่งสาเหตุสำคัญ คือ ปัญหาจากการคมนาคม และการที่พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์ น้อย จึงไม่สามารถส่งข้าราชการของตนไปปกครองหัวเมืองได้มาก พวกข้าราชการในหัวเมืองตั้งตนเอง เป็นใหญ่ และคอยปิดบังไม่ให้รัฐบาลทราบว่า มีภาษี รายได้ หรือจำนวนประชากรเท่าไร อีกทั้งรัฐบาลมิได้มีสิทธิ์แต่งตั้งเจ้าเมืองตามกลไกของรัฐ รัฐบาลเพียงแต่ทำหน้าที่แค่รับรองอำนาจ เจ้าเมืองเท่านั้น เมื่อเจ้าเมืองได้รับการรับรองอำนาจอย่างเป็นทางการจากราชธานีแล้ว ก็เริ่มทำการ “กินเมือง” (เก็บภาษี ใช้แรงงานไพร่ เก็บเงินราชการจากไพร่ มีสิทธิลงโทษพลเมืองของตน) กรุงเทพฯจึงควบคุมหัวเมืองได้แบบหลวมๆ เท่านั้น 3. การคลัง พบว่า รายได้ที่เข้ามาสู่วังหลวง มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงปรากฏ ไปทั่วทุกกรมกอง ผลประโยชน์ของแผ่นดินกลายเป็นรายได้ส่วนตัวของเจ้าภาษีนายอากร และขุนนาง ในหัวเมือง ส่วนขุนนางจากส่วนกลางที่ดูแลหัวเมืองสามารถสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าภาษีนายอากร และขยายเครือข่ายทางการค้าของตนเองออกไปอย่างกว้างขวางจนมีฐานะมั่งคั่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางตระกูลบุนนาค 4. สังคม ปัญหาของสังคมไทยที่สำคัญ คือ ระบบไพร่และทาสกำลังเสื่อมลงถึงจุดต่ำสุด กษัตริย์ไม่ สามารถคุมกำลังคนได้จริงตามระบบ กลายเป็นขุนนางที่คุมกำลังไพร่ นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาการควบคุมชาวจีนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ชาวจีนเหล่านี้เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาษีนายอากร และ เจ้าของแหล่งผลิตขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเติบโตทั้งทางการค้าและการผลิตของกรุงเทพฯ ปัจจัยภายนอก เกิดจากภัยคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตก ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต้อง รักษาเสถียรภาพของเมืองไทยไว้ด้วยการสร้างอำนาจให้แก่รัฐบาล เพื่อจะได้ทรงเป็นผู้วางแผนการ ปฏิรูปการปกคอรงให้รัดกุมและเหมาะสม เพื่อความมั่นคงของราชบัลลังก์และเอกราชของประเทศ ขั้นตอนของการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ระยะแรก (พ.ศ. 2413 – 2430) พ.ศ. 2413 ทรงตั้งกรมทหารมหาดเล็กขึ้น เพื่อให้เป็นเสมือนกองทัพของพระมหากษัตริย์ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะเวลานี้ทรงหันมาใช้ราชินิกูลสาย “ชูโต” เพื่อคานอำนาจกลุ่มตระกูลสาย “บุนนาค” แทน พ.ศ. 2416 ทรงจัดให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทรงตราพระราชบัญญัติขึ้น 4 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติว่าด้วย รัฐมนตรีสภาและองคมนตรีสภา, ว่าด้วยการจัดการพระคลังทั้งปวง, ตระลาการศาลรับสั่ง, และพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทย พระราชบัญญัติเหล่านี้ ทำให้เจ้านายและขุนนางหลายฝ่ายเสียผลประโยชน์ เช่น พระราชบัญญัติ การจัดการพระคลังทั้งปวง ทำให้เกิดการตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ ทำหน้าที่จัดการรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน รวบรวมภาษีอากรเข้าสู่คลังหลวง ถือเป็นการลิดรอนอำนาจของกรมกองต่างๆ ที่เคยเก็บภาษีได้ เอง ในที่สุดได้เกิดความขัดแย้งระหว่างวังหน้ากับวังหลวงที่เรียกว่า “วิกฤตการณ์วังหน้า” ในปี พ.ศ. 2418 เหตุการณ์วิกฤตการณ์วังหน้านี้ เป็นเหตุให้รัชกาลที่ 5 ทรงหยุดการปฏิรูปลงชั่วคราว แล้วดำเนินวิเทโศบายแบบค่อยเป็นค่อยไปแทนจน พ.ศ. 2428 เมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคต รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศยกเลิกตำแหน่งวังหน้า และแต่งตั้งตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมารขึ้นแทน ในระยะ 10 ปี ที่การปฏิรูปเมืองหลวงหยุดชะงักไปนั้น การปฏิรูปการปกครองทางหัวเมืองได้ดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลเริ่มป้องกันอิสรภาพและเอกภาพของเมืองไทย โดยส่งข้าหลวงไปประจำยังเมืองประเทศราชและหัวเมือง ตามชายแดนในตำแหน่ง “ข้าหลวงประจำหัวเมือง” เพื่อกระชับการปกครอง การศาลและการคลัง มีการพัฒนาด้านการคมนาคม สร้างทางรถไฟ เริ่มทำแผนที่ และจัดตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลข นอกจากนี้พระองค์ท่านยังออกเสด็จประพาสตามหัวเมืองต่างๆ หลายครั้ง การกระชับการปกครองหัวเมืองต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางชายแดนให้พ้นจากภัยคุกคามของมหาอำนาจตะวันตก ระยะที่สอง (พ.ศ.
2430 – 2435) การปกครองส่วนกลาง ทรงยกเลิกการปกครองแบบจตุสดมภ์ ยกฐานะกรมขึ้นเป็นกระทรวงทั้งหมด 12 กระทรวง การปกครองส่วนภูมิภาค มีการยกเลิกระบบกินเมืองที่สืบทอดตำแหน่งกันในตระกูลเจ้าเมือง และจัดรูปแบบ การปกครองใหม่ พ.ศ. 2437 ทรงให้กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่ในการจัดระเบียบการปกครอง ส่วนภูมิภาคในลักษณะการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง คือ ระบบเทศาภิบาล แบ่งการปกครองออกเป็นมณฑล โดยการรวมหัวเมืองทั้งหมดไว้ภายใต้การบังคับบัญชาของกระทรวง ________ กระทรวงดังกล่าวจะมอบนโยบายให้ข้าหลวงเทศาภิบาลออกไปประจำมณฑล ต่อมามี กฎหมายข้อบังคับลักษณะปกครองหัวเมือง ร.ศ. 117 (พ.ศ.2441) มีผลให้การบังคับบัญชาเป็น มณฑล เมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ตามลำดับ การปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2448 ประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาล โดยเริ่มเป็นครั้งแรกที่ ท่าฉลอม สมุทรสาคร ราษฎรได้รับสิทธิ์ในการเลือกผู้ปกครองของตนเองในระดับหมู่บ้านและตำบล ราษฎรที่ หลุดพ้นจากระบบไพร่และทาสจะมาขึ้นตรงต่อรัฐบาลของพระมหากษัตริย์ มีการขึ้นทะเบียนราษฎร ทุกคนให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทยแทนที่ระบบศักดินา นอกจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงปฏิรูปการเมืองการปกครองแล้ว ยังทรง ปฏิรูปในด้านอื่นๆ ของประเทศด้วย ดังนี้ การปฏิรูปการคลัง รัชกาลที่ 5 ทรงวางมาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐ โดยตั้ง “หอรัษฎากรพิพัฒน์” ขึ้นทำหน้าที่จัดการรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน มีการปฏิรูประบบเงินตรา เช่น สร้างหน่วยเงินที่ เรียกว่า “สตางค์” มีการจัดตั้งกรมธนบัตรเพื่อทำหน้าที่ในการออกธนบัตรให้มีมาตรฐานแบบตะวันตก และสนับสนุนให้มีการจัดตั้งแบงค์สยามกัมมาจลทุน จำกัด รัฐค่อยๆเปลี่ยนฐานภาษีจากสุรา ฝิ่นและ การพนัน มาสู่การเก็บภาษีจากผลผลิต ภาษีที่ดิน และรัชชูปการมากขึ้น ทำให้อิทธิพลของเจ้าภาษี นายอากรและพ่อค้าชาวจีนลดลง การปฏิรูปการศาลและกฎหมาย ทรงยกเลิกแบบจารีตนครบาล และรวบรวมงานการศาลมาไว้ในที่เดียวกัน การปฏิรูปสังคม ทรงมีพระราชดำริยกเลิกระบบไพร่และทาส
มีดังนี้ 1. การเลิกไพร่ เนื่องจากระบบการควบคุมไพร่ในช่วงนี้ไร้ประสิทธิภาพ พระมหากษัตริย์ไม่สามารถ ควบคุมคนได้ด้วยเหตุการณ์วิกฤตการณ์วังหน้าใน พ.ศ. 2417 แสดงให้เห็นว่ากำลังไพร่พลที่ถูกฝึกหัด ตามแบบทหารตะวันตกสามารถสร้างความไม่มั่นคงให้แก่ราชบัลลังก์ได้ อีกทั้งผลจากสนธิสัญญาเบาว์ริงทำให้เกิดการขยายตัวทางการผลิตและค้าข้าวทำให้ต้องการแรงงานเพื่อใช้ในการทำนา เกิดปัญหา การควบคุมกำลังคน และการคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตกที่มองว่าการเกณฑ์แรงงานและ การสักเลกเป็นเรื่องเลวร้าย ขณะเดียวกันรัฐบาลก็จำเป็นต้องมีกองทหารแบบตะวันตกเพื่อป้องกันประ เทศด้วย รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าดังนี้ 1.1) ยกฐานะกรมพระสุรัสวดีให้เท่าเทียมกับกรมสำคัญอื่นๆ 1.2) ฟื้นฟูกรมทหารหน้า ในปี พ.ศ. 2423 ได้ประกาศรับสมัครคนข้อมือขาวหรือไพร่ที่ไม่มีสังกัดมูลนายเข้าเป็นทหาร 1.3) ควบคุมคนให้ขึ้นสังกัดตามท้องที่การทำสำมะโนครัว โดยเริ่มจากระดับหมู่บ้าน ในปี พ.ศ. 2442 มีการประกาศเลกที่ไม่ได้เป็นทหารให้ขึ้นสังกัดท้องที่ ถือเอาท้องที่ไพร่อยู่ตามทะเบียนสำมะโน ครัวเป็นสำคัญ เป็นการยกเลิกไพร่ผ่านมูลนายในที่สุด 1.4) พระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์จ้าง พ.ศ. 2443 กำหนดให้ค่าจ้างแก่ผู้ถูกเกณฑ์ 1.5) พระราชบัญญัติลักษณะการเกณฑ์ทหาร พ.ศ. 2448 กำหนดชายฉกรรจ์ทุกคนอายุ 18 – 60 ปี ต้องเป็นทหาร ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกต้องเป็นทหารประจำการ 2 ปี โดยเริ่มที่ชลบุรี กับมณฑลนครราชสีมา นครสวรรค์ พิษณุโลก และราชบุรี จนกระทั่งทั่วประเทศในสมัยรัชกลที่ 6 การเลิกทาส พ.ศ. 2417 ออก พ.ร.บ. พิกัดเกษียณลูกทาสลูกไท กำหนดให้ลูกทาสที่เกิด ปี พ.ศ. 2411 เมื่ออายุ 21 ปี เป็นไท (มีผลเมื่อพ.ศ.2432) แล้วปี พ.ศ. 2448 ออก พ.ร.บ. เลิกทาส 3.การปฏิรูปการศึกษา
ปัจจัยผลักดันให้มีการจัดการศึกษา -พ.ศ. 2414 ตั้งโรงเรียนในวังหลวง -พ.ศ. 2424 ตั้งโรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก -จนกระทั่ง พ.ศ. 2427 มีการตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้น คือ โรงเรียนวัดมหรรณาพาราม มีจุดประสงค์การจัดการศึกษาเพื่อผลิตบุคลากรเข้ารับราชการเป็นสำคัญ -พ.ศ. 2441 แยกการศึกษาออกเป็น 2 ประเภท คือ การศึกษาสามัญและการศึกษาพิเศษ การจัดการศึกษานี้เป็นผลให้ในที่สุดพวกขุนนางต้องเสื่อมอิทธิพลไป และสามัญชนมีโอกาสเลื่อนฐานะในสังคมของตนได้ การบริหารราชการแผ่นดินแบบรวมศูนย์นี้ ช่วยให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นมาก ทั้งจากภาษีและการค้า รัฐนำรายได้นี้ไปใช้จ่ายในการป้องกันประเทศและจัดระเบียบการปกครองภายในให้มั่นคง มีการ ปรับปรุงการคมนาคมสื่อสาร เช่น การขุดคลอง สร้างถนน ติดตั้งเสาโทรเลข และสร้างทางรถไฟ มีผลให้รัฐสามารถจัดการบ้านเมืองให้มีความสงบเรียบร้อยภายในและต้านทานการรุกรานของเจ้าอาณานิคมได้ การรวมอำนาจทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าสู่สถาบันกษัตริย์ถือเป็นการสร้างชาติ เมื่ออำนาจของรัฐขยายไปสู่ท้องถิ่นและสามารถบังคับบัญชาหัวเมืองอย่างเด็ดขาด คนจึงถูกดึงให้มีความรู้สึกเป็น อันหนึ่งอันเดียว มีความผูกพัน มีความจงรักภักดีต่อชาติ และพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สำเร็จใน พ.ศ. 2435 เป็นผลให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางอำนาจอย่างแท้จริง และเป็นการปฏิรูปที่ดึงอำนาจและ ผลประโยชน์เข้าสู่ส่วนกลางมากที่สุดจนกระทั่งเกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากเจ้าประเทศราชและขุนนาง
หัวเมืองที่สูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ต่างไม่พอใจ ทำให้เกิดเป็นกบฏต่างๆ เช่น กบฏเงี้ยวเมืองแพร่ กบฏผีบุญภาคอีสาน เป็นต้น ข้อใดเป็นการปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาลที่ 5๒) การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค ได้ยกเลิกการจัดเมืองเป็นชั้นเอก โท ตรี จัตวา เปลี่ยนเป็นการปกครองแบบเทศาภิบาล คือ รวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าด้วยกันเป็นมณฑล ๆ หนึ่ง โดยมี ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองมณฑล ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลนี้เป็นการ รวมอำนาจการปกครองทั้งด้านการเมือง และเศรษฐกิจเข้าสู่ ...
การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อให้เกิดผลอย่างไร4) ผลของการปฏิรูปการเมืองการปกครอง การปฏิรูปการเมืองการปกครองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้เกิดผลดังนี้ 1) ก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในราชอาณาจักร ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐเดียว ทั้งนี้ เป็นผลคือจากการปกครองส่วนภูมิภาคในรูปมณฑลเทศาภิบาล โดยมีศูนย์ราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ 2) รัฐบาลไทยมี ...
สาเหตุที่ทำให้เกิดการปฏิรูปการเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 คืออะไรรัชกาลที่ 5 ได้ทรงตระหนักถึงภยันอันตรายของจากล่าอาณานิคมของประเทศโลกตะวันตก และทรงเห็นว่าการปกครองในแบบเดิมของไทยนั้นมีความล้าสมัยไม่สอดคล้องกับความเจริญของบ้านเมือง จึงส่งผลให้เกิดการปฏิรูปการปกครอง 2435 โดยใน พ.ศ. 2430 ได้มีการเริ่มแผนการปฏิรูปการปกครองขึ้นตามแบบแผนของตะวันตก ในส่วนกลางมีการจัดแบ่งหน่วยงานการปกครอง ...
การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ราบรื่นเพราะเหตุใดปัญหาและอุปสรรคในการปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่นำไปสู่การสร้างรัฐชาติได้แก่ ปัญหาเรื่องเงินงบประมาณในการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ปัญหาเรื่องการขาดบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในการทำงาน ปัญหาเรื่องปฏิกริยาการคัดค้านของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปประเทศ เพราะทำให้คนสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ และปัญหาที่สำคัญมากคือ ...
|