โรคซึมเศร้าถือเป็นภาวะทางจิตใจที่ส่งผลทั้งต่ออารมณ์และมุมมองของผู้ป่วยต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ซึ่งอาจทำให้รู้สึกเศร้า หดหู่ หรือสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคซึมเศร้าด้วยวิธีต่าง ๆ อย่างการใช้ยาและการบำบัดจะช่วยบรรเทาอาการหรือทำให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีรักษาโรคซึมเศร้าและการศึกษาวิธีรับมือด้วยตนเองในเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะเสริมให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นได้การรักษาโรคซึมเศร้า มีวิธีอย่างไร ?การรักษาโรคซึมเศร้านั้นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคนตามดุลยพินิจของแพทย์โดยขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย ซึ่งบางครั้งอาจใช้การรักษาควบคู่กันไปมากกว่าหนึ่งวิธีก็ได้ โดยการรักษาโรคซึมเศร้ามีหลายวิธี ดังนี้ การรับประทานยาแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการซึมเศร้า ซึ่งยาที่ใช้ในการรักษาโรคซึมเศร้านั้นมีอยู่หลายชนิด เช่น ยากลุ่มเอสเอสอาร์ไออย่างฟลูออกซิทีนและพาร็อกซีทีน ยากลุ่มเอสเอ็นอาร์ไออย่างเวนลาฟาซีน ยากลุ่มไตรไซคลิกอย่างอะมีทริปไทลีนและนอร์ทริปไทลีน และยากลุ่มอื่น ๆ อย่างบูโพรพิออนและเมอร์ทาซาปีน เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยควรใช้ยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด การทำจิตบำบัดแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยการทำจิตบำบัด ซึ่งเป็นการพูดคุยถึงอาการและปัญหาต่าง ๆ กับนักจิตวิทยา หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วยให้เหมาะสม โดยการทำจิตบำบัดนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การบำบัดเพื่อช่วยปรับทัศนคติต่อสิ่งแวดล้อมและปฏิสัมพันธ์ การบำบัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การบำบัดเพื่อช่วยให้สามารถจัดการกับประสบการณ์ตึงเครียดในชีวิต และการให้ปรึกษาอื่น ๆ เป็นต้น การรักษาด้วยการกระตุ้นสมองในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาในรูปแบบอื่น แพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการรักษาด้วยการรักษาด้วยการกระตุ้นสมอง ซึ่งสามารถทำได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การบำบัดช็อคด้วยไฟฟ้า ซึ่งเป็นการใช้กระแสไฟฟ้าผ่านเข้าสู่สมองของผู้ป่วย และการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การแพทย์ทางเลือกผู้ป่วยอาจเข้ารับการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกอย่างการฝังเข็มหรือการฝึกสมาธิ รวมถึงการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือสมุนไพรบางชนิดที่อาจช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าอย่างเซนต์จอห์นวอร์ทและน้ำมันปลา อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประสิทธิภาพการรักษาที่ดีที่สุด นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ายังต้องการกำลังใจจากครอบครัวและบุคคลใกล้ชิดในระหว่างที่เข้ารับการรักษาอีกด้วย ดังนั้น คนรอบข้างจึงควรใส่ใจและให้กำลังใจผู้ป่วย เพื่อช่วยให้การรักษาราบรื่นและช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีสุขภาพจิตที่ดีได้ วิธีรับมือกับโรคซึมเศร้าด้วยตนเองนอกจากการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ในข้างต้นแล้ว ผู้ป่วยก็ควรที่จะเรียนรู้และฝึกรับมือกับโรคซึมเศร้าด้วยตนเองด้วยอีกด้วย โดยผู้ป่วยอาจปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
อย่างไรก็ตาม ความช่วยเหลือจากครอบครัว เพื่อน และคนรอบข้างก็ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมาก ซึ่งบุคคลใกล้ชิดควรทำความเข้าใจ ใส่ใจ ให้กำลังใจ และรับฟังปัญหาต่าง ๆ ของผู้ป่วยด้วยความเต็มใจ และหากพบว่าบุคคลใกล้ชิดที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามีอาการที่รุนแรงหรือมีอาการที่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการฆ่าตัวตาย ควรพาไปพบแพทย์หรือแจ้งบริการการแพทย์ฉุกเฉินให้ทราบทันที ส่วนผู้ที่สงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดกำลังมีอาการของโรคซึมเศร้า ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำและเข้ารับการรักษาทันที รวมทั้งขอรับคำปรึกษาผ่านการโทรไปที่เบอร์สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ได้อีกด้วย ไม่นับการระบาดของโควิด-19 หรือโรคร้ายต่างๆ อย่างโรคมะเร็ง โรคไต หรือโรคหัวใจ โรคซึมเศร้าถือเป็นอีกหนึ่งโรคที่มีอัตราผู้ป่วยสูงขึ้นมากในประเทศไทย ถึงโรคซึมเศร้าจะไม่ใช่โรคระบาด แต่สามารถสร้างสถิติให้คนไทยฆ่าตัวตายจากโรคนี้เพิ่มขึ้นทุกปีจากหลากหลายปัจจัย เช่น ปัญหาส่วนตัว ปัญหาความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด ปัญหาด้านเศรษฐกิจ แม้แต่ปัญหาเรื่องการระบาดของโควิด-19 ก็สามารถทำให้คนคิดสั้นฆ่าตัวตายได้ในปัจจุบันคนไทยมีความเครียดมากขึ้นจากหลากหลายปัญหารุมเร้า โรคซึมเศร้านั้นเป็นโรคที่มองไม่เห็น หากไม่ไปพบแพทย์คงไม่ทราบว่าเรามีอาการของโรคซึมเศร้าหรือไม่ แล้วโรคซึมเศร้ามันคืออะไร มีอาการอย่างไร ที่สำคัญหากคุณมีคนใกล้ชิด หรือคนรู้จักมีอาการของโรคซึมเศร้าเราควรหรือไม่ควรพูดคุย และปฏิบัติตัวกับเขาอย่างไร ทำอย่างไรให้เขาไม่คิดสั้น และอยู่สู้โลกต่อไปได้อย่างมีความสุขขึ้น โรคซึมเศร้าคืออะไร โรคซึมเศร้า (Clinical Depression) คือ ภาวะซึมเศร้าที่มีมากกว่าอารมณ์เศร้า เป็นพยาธิสภาพแบบหนึ่งที่พบได้ในหลายๆ โรคทางจิตเวช โรคซึมเศร้าคือ ความผิดปกติของการหลั่งสารเคมีในสมองส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ ทำให้พฤติกรรมของผู้ป่วยเปลี่ยนไปจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน กลายเป็นคนมองโลกในแง่ลบ มีความเศร้า หม่นหมองหดหู่อยู่ตลอดเลา มักจะเป็นคนที่เก็บเนื้อเก็บตัว รู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยสนุกหรือสบายใจ โรคซึมเศร้ามีอาการอย่างไร ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักแสดงอาการดังต่อไปนี้ จะมากกว่าหรือน้อยกว่าอยู่ที่อาการซึมเศร้านั้นรุนแรง หรือมีอาการสะสมอยู่นานแค่ไหนโดยที่ผู้ป่วย และคนใกล้ชิดรอบตัวไม่ทราบว่าอาการนั้นๆ คืออากการของโรคซึมเศร้า และผู้ป่วยยังไม่เคยไปปรึกษาแพทย์
หลายคนอาจมีอาการเหล่านี้ หรืออาจมีอาการเป็นบางข้อ ไม่ได้เป็นหมดทุกข้อ ก็อย่าเหมารวมว่าตัวเองกำลังมีอาการของโรคซึมเศร้า แต่หากคุณมีอาการส่วนมากแบบนี้เกือบทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ แนะนำให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะคุณอาจมีอาการเริ่มต้นของโรคซึมเศร้า หากปล่อยให้โรคทวีความรุนแรงขึ้น อาจมีโมเม้นท์ที่คุณคิดสั้น และเลือกทางออกด้วยการจบชีวิต เพราะคนที่เป็นโรคซึมเศร้าสามารถตัดสินใจฆ่าตัวตายได้ง่ายกว่าคนปกติดทั่วไปถึง 20 เท่าเลยทีเดียว หากคุณไม่ได้มีอาการของโรคซึมเศร้า สดชื่น สุขภาพจิตดีแต่พบว่าคนใกล้ตัว เพื่อน หรือญาติสนิทของคุณมีอาการของโรคซึมเศร้า เราควร หรือไม่ปฏิบัติตัวและพูดคุยกับเขาอย่างไร เพื่อให้อาการซึมเศร้าของเขาลดน้อยลง สิ่งที่ควรและไม่ควรทำเมื่อมีคนรู้จักเป็นโรคซึมเศร้า สิ่งที่ควรทำกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 1. ชวนผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหว คนที่มีอาการของโรคซึมเศร้ามักชอบเก็บตัว หมกตัวอยู่คนเดียวที่บ้าน ไม่ชอบพบปะผู้คน สิ่งที่คุณสามารถทำได้คือ ชวนผู้ที่ป่วยโรคซึมเศร้าทำกิจกรรมต่างๆ นอกบ้าน ทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว และน่าสุกสนาน เช่น ชวนเล่นกีฬา ชวนเล่นเกมที่คิดว่าเขาน่าจะสนใจ ชวนทำงานศิลปะ งานฝีมือต่างๆ ชวนทำขนม ทำอาหาร แม้แต่ชวนแกมบังคับให้ออกนอกบ้านไปช้อปปิ้ง หรือไปซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะการทำกิจกรรมต่างๆ นอกจากจะช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยหลั่งสารเอ็นโดฟินที่ช่วยสร้างความสุขออกมาแล้ว ยังช่วยลดความเครียดความหดหู่ และความคิดฟุ้งซ่านไปได้อีกด้วย 2. ปิดปากและเปิดใจรับฟัง สิ่งที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต้องการมากที่สุดคือ ใครสักคนที่อยู่เคียงข้าง คนที่เข้าใจและพร้อมรับฟังปัญหาของพวกเขา ดังนั้นคุณควรรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่กดดัน และไม่ตัดสิน หากคนใกล้ตัว หรือเพื่อนของคุณเป็นโรคซึมเศร้า คุณควรถามหรือกระตุ้นให้เขาเล่าในสิ่งที่เขาไม่สบายใจ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นใดๆ ไม่เสนอแนะ ไม่ตัดสิน เพียงรับฟังเขาอย่างตั้งใจให้ได้มากที่สุด ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นภาระของผู้อื่น การจะให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึกในใจ จึงต้องให้เขารู้สึกว่ามีคนอยากรับฟังเขาอยู่จริงๆ ไม่กดดัน ไม่ตัดสิน และต้องสร้างความไว้วางใจ ซึ่งการฟังที่ดีจะช่วยให้เราเก็บข้อมูลไว้ใช้สำหรับการป้องกันและรักษาได้ด้วย คุณควรสร้างความมั่นใจ ความไว้วางใจ พูดคุยกับผู้มีอาการโรคซึมเศรา้ในบรรยากาศที่สบายๆ ให้ผู้ป่วยได้เล่าสิ่งที่อยากพูดออกมาเต็มที่ เพราะในบางครั้งเขาอาจมีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง หรืออยากตาย หากคนรอบข้างได้มีโอกาสรับฟัง จะได้สามารถป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที 3. ชี้ให้ผู้ป่วยเห็นถึงข้อดีของตัวเองเสมอ คนที่มีอาการของโรคซึมเศร้ามักมองเห็นตัวเองเป็นภาระให้กับคนรอบตัว แฟน ญาติพี่น้อง หรือเพื่อน มักคิดว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า ไร้ประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคม มักมีความรู้สึกท้อแท้ต่อชีวิต ดังนั้นหากคุณดูแลผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า ต้องทำให้เขามองเห็นข้อดีของตนเอง มองเห็นคุณค่าของตัวเองซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาโรคนี้เลยก็ว่าได้ เมื่อผู้ป่วยมองเห็นว่าชีวิตของเขาสำคัญและมีคุณค่ากับเพื่อน กับคนรัก กับครอบครัว หรือกับสังคม ผู้ป่วยจะได้มีกำลังใจสู้ต่อและอยากใช้ชีวิตต่อไป 4. อย่าปล่อยให้เก็บตัว อีกหนึ่งหนทางที่สามารถทำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีความรู้สึกดีขึ้นได้คือ การพาเขาออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง โดยปกติผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักจะเก็บตัว หมกตัวอยู่กับบ้าน มักปลีกตัวออกจากสังคม ต้องพยายามไม่ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว โดยพาเขาออกมาเดินเล่น หรือออกไปกินข้าวนอกบ้านบ้าง พาไปเที่ยวสถานที่สวยๆ ที่น่าสนุกสนาน ไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ได้สูดโอโซน ได้สัมผัสกับบรรยากาศดีๆ จะสามารถช่วยให้เขาผ่อนคลายจิตใจได้อย่างดีเลยทีเดียว สิ่งที่ไม่ควรทำกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 1. ไม่ควรตีตัวออกห่าง หรือบอกปัด โรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่ใช่โรคที่น่ารังเกียจ โดยปกติผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักจะรู้สึกว้าเหว่ ชอบปลีกตัวออกจากคนอื่น รู้สึกเป็นภาระต่อผู้อื่น รู้สึกว่าไม่มีที่พึ่งพิงอยู่แล้ว หากคุณพยายามทอดทิ้ง ตีตัวออกห่าง บอกปัดเมื่อเขาของความช่วยเหลือ หรืออยากระบายความรู้สึกด้วย โดยคุณคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ จะกลายเป็นการตอกย้ำความรู้สึกโดดเดี่ยวของผู้ป่วย และทำให้ผู้ป่วยเกิดความคิดที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อได้ 2. ไม่ควรพูดจาเปรียบเทียบ มีคำพูดหลายคำที่คุณไม่ควรพูดกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เพราะโดยปกติผู้ป่วยมักมีอาการจิตตก และมีอาการทางจิตดิ่งลงไปโดยที่เราเองไม่รู้ว่าคำพูด หรือการกระทำของเราจะกระทบกระเทือนจิตใจของเขา ดังนั้นควรเลิกคำพูดเชิงเปรียบเทียบว่า “ดูสิ…คนนั้นเขาลำบากกว่าตั้งเยอะ เขายังไม่เศร้าเลย” คำพูดแบบนี้ไม่ได้ช่วยปลอบประโลมผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้เลย และเราไม่ควรเร่งรัดที่จะทำให้เขาหายจากอาการป่วย ควรพยายามให้ความรักความใส่ใจและเข้าใจเขาก็เพียงพอ 3. ห้ามพูดคุยเรื่อง “ความตาย” อย่างเด็ดขาด ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากับความตายมักเป็นของที่อยู่กันคนละขั้ว ดังนั้นไม่ว่าจะมีข่าวความตายของคนมีชื่อเสียง ญาติพี่น้อง เพื่อน หรือข่าวคราวเรื่องอุบัติเหตุร้ายแรงต่างๆ ไม่ควรนำทอปปิกนี้มาพูดคุยกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือใครก็ตามที่คุณรู้สึกว่าเขาดูมีอาการของโรคอย่างเด็ดขาด การพูดคุยเรื่องความตายอาจทำให้สภาวะจิตใจของผู้ป่วยรู้สึกแย่ลงได้ 4. อย่ากดดัน เร่งรัด หรือตัดสิน ความกดดันเป็นอีกหนึ่งแฟคเตอร์สำคัญที่เพิ่มความเครียดให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า อย่ากดดัน เร่งรัด หรือตัดสินการกระทำใดๆ ของผู้ป่วยด้วยคำพูดหรือการกระทำของคุณที่จะผลักดันให้ผู้ป่วยมีอาการแย่หนักลงกว่าเดิม ตัวอย่างคำพูดที่ควร และไม่ควรพูดกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คำพูดที่ควรพูดกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
คำพูดที่ควรหลีกเลี่ยงกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
สังเกตได้ว่ามีคำพูดมากมายที่ดูเหมือนว่าเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจ แต่กลับกลายเป็นคำพูดที่สร้างความกดดันให้กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ แสดงออกด้านกระทำหากคุณไม่แน่ใจว่าจะเลือกใช้คำพูดแบบไหนแล้วจะดี จะไม่เป็นการผลักไส และกดดันผู้ป่วยมากขึ้น ใช้การกระทำของคุณให้เป็นคำพูด ส่งความปรารถนาที่ดี ปิดปากและเปิดใจ อยู่เคียงข้าง ไม่ไปไหน พร้อมรับฟังให้เขาระบาย อย่าเบื่อหน่าย ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาที่แพทย์สั่งให้ตรงเวลาและสม่ำเสมอ ใช้หัวใจของคุณรักษา เชื่อว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าคนนั้นน่าจะเป็นหนึ่งที่โชคดีที่สุดที่มีคุณอยู่เคียงข้าง คอยรับฟัง ไม่ตัดสิน เพื่อให้เขาทุเลาและกลับมามีชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง |