"ในช่วงเวลาที่เสียใจที่สุด ควรเป็นช่วงเวลาที่มีสติที่สุด"ชีวิตเรามักเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดเสมอ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราควรที่จะรู้วิธีรับมือกับมันให้ได้ การเสียชีวิตเกิดขึ้นทุกวัน แต่รู้หรือไม่ว่าเมื่อเกิดมีคนเสียชีวิตขึ้นจะต้องรับมืออย่างไร แต่ละวิธีการเสียชีวิตมีการจัดการดูแลที่แตกต่างกันอย่างไร 1. เสียชีวิต ณ โรงพยาบาลโรงพยาบาลจะออกใบรับรองแพทย์ให้ เพื่อเป็นหลักฐานแสดงเหตุการณ์ตาย แล้วนำใบรับรองแพทย์พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียชีวิตไปยังสำนักทะเบียนท้องถิ่น หรือที่ทำการเขต(อำเภอ) ในเขตที่โรงพยาบาลนั้นตั้งอยู่ เพื่อขอรับใบมรณบัตร แต่โรงพยาบาลบางแห่งจะออกใบมรณบัตรให้เอง หรือช่วยดำเนินการให้เพื่ออำนวยความสะดวก โดยญาติของผู้เสียชีวิต จะต้องนำทะเบียนบ้านไปให้โรงพยาบาลด้วย 2. เสียชีวิต ณ บ้านเจ้าของบ้านหรือผู้แทนเจ้าของบ้าน จะต้องไปแจ้งการตายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อออกใบรับรองการตาย และนำไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่สำนักทะเบียนท้องถิ่น (แพทย์ประจำตำบล ผู้ใหญ่บ้าน หรือ กำนัน) ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเขตที่บ้านเรือนนั้นตั้งอยู่ ภายใน 24 ชั่วโมง นับตั่งแต่เวลาตาย หรือพบศพ เพื่อขอใบมรณบัตร 3.เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรือ ถูกฆาตกรรมเจ้าของบ้าน หรือผู้ที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพ จะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาชันสูตรศพ เพื่อทำหลักฐานการเสียชีวิต ภายในเวลา 24 ชั่งโมง นับแต่เวลาตายหรือพบศพ โดยในระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือแพทย์ยังไม่ได้ตรวจศพ ห้ามเคลื่อนย้ายศพ หรือทำให้ศพเปลี่ยนสภาพ หรือนำยามาฉีดศพ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือแพทย์ได้ตรวจชันสูตรศพแล้ว ญาติผู้เสียชีวิตจะต้องไปขอหลักฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ที่รับผิดชอบ พร้อมทั้งขอใบชันสูตรศพจากแพทย์ เพื่อนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่สำนักทะเบีบนท้องถิ่น ในการขอใบมรณบัตร โดยแจ้งด้วยว่า จะนำศพไปบำเพ็ญกุศล ณ วัดใด ให้กรอกในช่องที่ว่า เผา ฝัง เก็บ หรืออุทิศ เมื่อได้ใบมรณบัตรมาแล้ว ควรถ่ายสำเนาเอกสารที่สำนักทะเบียนท้องถิ่นที่ออกใบมรณบัตรให้ แล้วให้เจ้าหน้าที่รับรองสำเนาเอกสารด้วย เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนในมรณบัตรตัวจริงต้องนำไปแจ้งต่อสำนักทะเบียนท้องถิ่นที่ผู้เสียชีวิตมีภูมิลำเนาอยู่ พร้อมนำทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านไปด้วย เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้จำหน่ายได้ว่า เสียชีวิตเมื่อใด ทั้งนี้จะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ ภายในเวลา 15 วัน “การแจ้งตาย” เรื่องง่าย ไม่ยุ่งยาก การ “ตาย” เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัว และเวลาที่มีคนในครอบครัวตาย ญาติมักจะทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไร เนื่องจากกำลังอยู่ในอารมณ์เศร้า วันนี้เราเลยมีเรื่องราวความรู้และเรื่องเล่าประสบการณ์ “การแจ้งตาย” ที่ไม่ยุ่งยากมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ก่อนอื่นเราต้องมาปูพื้นฐานความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ กันก่อนว่า การตายมีกี่กรณี ผู้แจ้งตายต้องทำอย่างไร และต้องเตรียมหลักฐานเอกสารอะไรบ้าง ? … การแจ้งตาย มี 2 กรณีใหญ่ ๆ จำง่าย ๆ คือ
ถ้าบ้านผู้ตายอยู่ในเขตท้องที่ที่ทำการปกครองอำเภอ ให้ผู้แจ้งตาย แจ้งต่อผู้ใหญ่บ้าน จากนั้นผู้ใหญ่บ้านจะออกใบรับแจ้งการตาย (ท.ร.4 ตอนหน้า) มาให้ ผู้แจ้งตายจะต้องนำเอกสารดังกล่าว พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ตาย (ถ้ามี) และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย (ถ้ามี) ไปยื่นแก่นายทะเบียน เพื่อให้นายทะเบียนออกใบมรณบัตรให้ ถ้าบ้านผู้ตายอยู่ในเขตท้องที่หรือเทศบาล ให้ไปแจ้งต่อสำนักทะเบียนท้องถิ่นเทศบาล เพื่อออกใบรับแจ้งการตาย (ท.ร.4 ตอนหน้า) ให้ญาตินำไปแจ้งขอออกใบมรณบัตรจากสำนักทะเบียนอำเภอท้องถิ่น
*** สำหรับกรณีการตายผิดธรรมชาติ ไม่ว่าจะในบ้านหรือนอกบ้าน เช่น ถูกฆ่าตาย ตกจากที่สูง อุบัติเหตุ งูกัด เป็นต้น จะต้องมีหลักฐานการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนยื่นต่อนายทะเบียน
…เพื่อให้เข้าใจกระบวนการแจ้งตายอย่างชัดเจนมากขึ้น เรามีประสบการณ์การแจ้งตายของ“พี่อ้อ” ธนัญญา สระบัวบาน พี่อ้อเป็นแม่บ้านประจำสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ที่จะมาแบ่งปันเรื่องราวเล่าสู่กันฟังค่ะ พี่อ้อ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์การแจ้งตายถึง 3 กรณีที่แตกต่างกันออกไป… การแจ้งตายรายแรก เป็นการแจ้งตาย “พี่สาว” ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งในช่องท้อง ตายในโรงพยาบาล พี่อ้อเล่าว่าหลังจากพี่สาวตาย แพทย์จะยังไม่ดำเนินการใด ๆ จนกว่าจะครบ 2 ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจก่อนว่าผู้ตายได้เสียชีวิตอย่างแน่นอนแล้ว จากนั้นโรงพยาบาลจึงจะดำเนินการออกหนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1) ก่อนที่พี่อ้อจะดำเนินการเรื่องเคลื่อนศพกลับสู่บ้านเกิดที่อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อพี่อ้อนำศพพี่สาวมาถึงที่วัดเรียบร้อยแล้ว พี่อ้อจึงได้ดำเนินการแจ้งตาย ณ ที่ทำการปกครองอำเภอเสนา โดยนำหลักฐานซึ่งประกอบไปด้วย หนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1) ที่ได้จากโรงพยาบาล พร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนผู้ตาย และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย ไปยื่นต่อนายทะเบียน จากนั้นนายทะเบียนจะทำการจำหน่ายชื่อของผู้ตายออกจากทะเบียนบ้าน โดยประทับคำว่า “ตาย” เป็นสีแดงไว้หน้ารายการคนตายในทะเบียนบ้าน ก่อนที่จะคืนหลักฐานต่าง ๆ ให้กับพี่อ้อ การแจ้งตายรายที่ 2 เป็นการแจ้งตาย “คุณย่า” ซึ่งตายด้วยอาการชราภาพที่บ้าน กรณีนี้พี่อ้อเล่าว่า คุณย่าไม่เคยเจ็บป่วยจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะสุขภาพแข็งแรงดี จะมีเพียงแค่อาการหลง ๆ ลืม ๆ ตามประสาผู้สูงอายุ คุณย่าได้หมดลมหายใจในวันทำบุญต่อชะตาก่อนวันเกิดเพียง 1 วัน หลังจากนั้นพี่อ้อจึงได้ไปแจ้งตายกับผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านออกใบรับแจ้งการตาย (ท.ร.4 ตอนหน้า) ให้ ก่อนที่จะนำใบรับแจ้งการตาย (ท.ร.4 ตอนหน้า) พร้อมหลักฐานเอกสารอื่นๆ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ตาย และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย ไปยื่นต่อนายทะเบียน เพื่อให้นายทะเบียน ณ ที่ทำการปกครองอำเภอออกใบมรณบัตรให้ การแจ้งตายรายที่ 3 เป็นการแจ้งตาย “คุณน้า” ซึ่งป่วยด้วยโรงมะเร็งตับระยะสุดท้าย หมดหนทางรักษา แพทย์จึงให้กลับมาพักที่บ้าน เมื่อคุณน้าตายพี่อ้อก็ได้กลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อให้แพทย์ออกหนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1) และ ก่อนที่จะนำหนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1) บัตรประจำตัวประชาชนผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนผู้ตาย และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย ไปยื่นกับนายทะเบียน ณ ที่ทำการอำเภอเช่นเดิม ภาพรวมความแตกต่างของ 3 กรณีนี้คือ พี่สาวของพี่อ้อตายที่โรงพยาบาล ส่วนคุณน้าก็ผ่านการรักษาอาการเจ็บป่วยหนักจากโรงพยาบาลก่อนที่จะกลับมาตายที่บ้าน ดังนั้นพี่อ้อ ซึ่งเป็นผู้แจ้งตายจึงต้องไปขอเอกสารซึ่งประกอบด้วย หนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1) จากทางโรพยาบาล ก่อนที่จะนำหนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1) บัตรประจำตัวประชาชนผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนผู้ตาย และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย ไปยื่นกับนายทะเบียน ณ ที่ทำอำเภอ จะเห็นได้ว่าเรื่อง “การตาย” อาจเป็นเรื่องทำใจได้ยาก แต่ “การแจ้งตาย” เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ “เตรียมเอกสารให้ครบ ทำตามกฎ และแจ้งตามเวลากำหนด” เท่านั้น |