คุณแม่ควรติดตามการขึ้นของน้ำหนักตัวลูกตามช่วงวัย เพราะภาวะโภชนาการนั้นส่งผลต่อพัฒนาการทุกด้านของลูกน้อย ลูกรักของคุณตกเกณฑ์หรือไม่อย่างไร ตามนี้เลยค่ะ Show
กราฟน้ำหนักเทียบกับอายุเด็กหญิง 0- 2 ปีกราฟน้ำหนักเทียบกับอายุ เด็กชาย 0 – 2 ปี
กราฟน้ำหนักเทียบกับอายุเด็กหญิง 2 – 7 ปีกราฟน้ำหนักเทียบกับอายุเด็กชาย 2 – 7 ปี
น้ำหนักตกเกณฑ์พบมากในเด็กวัย 3 – 6 ปี เพราะเด็กวัยยนี้เริ่มมีสังคม มีเพื่อน ไปโรงเรียน ติดเล่น ห่วงเล่น เลือกเป็นเลือกทาน มีนิสัยชอบเขี่ย เมื่อเทียบการเจริญเติบโตแล้วพบว่าลูกตกเกณฑ์ ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่อย่าเพิกเฉยควรเพิ่มสารอาหารที่จำเป็นต่อลูกในแต่ละมื้อให้ลูกได้รับตรบถ้วน จัดเมนูอาหารให้หลากหลาย แปลกใหม่ เพื่อกระตุ้นความอยากอาหารกับเจ้าตัวเเสบ เรื่องนี้อยู่ที่คุณแม่แล้วค่ะว่าจะรับมือกับเรื่องนี้ได้อยู่หมัดหรือไม่ การตกไข่ (Ovulation) หรือที่บางคนเรียกว่า “ไข่ตก” โดยปกติแล้วผู้หญิงจะเริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุประมาณ 12 ปีขึ้นไป จนถึงอายุประมาณ 50 ปี ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของร่างกายในแต่ละคน ส่วนวงรอบของประจำเดือน หรือที่เรียกว่า “รอบเดือน” ของผู้หญิงนั้นปกติจะใช้เวลารอบละ 28 วัน แต่อาจจะสั้นหรือนานกว่านี้ก็ได้ (ปกติจะบวกลบไม่เกิน 7 วัน เช่น บางคนรอบเดือนสั้นมาทุก 21 วัน ในขณะที่บางคนรอบเดือนยาวมาทุก 35 วัน) โดยจะเริ่มนับวันแรกของรอบเดือนตั้งแต่วันแรกที่มีประจำเดือนมา ในระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง สิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ คือ “ไข่” ซึ่งไข่ใบนี้นี่แหละครับที่จะสร้างชีวิตน้อย ๆ ให้เติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ โดยไข่ทั้งหมดจะถูกเก็บสะสมอยู่ในรังไข่ทั้งสองข้าง ซึ่งมีติดตัวมาตั้งแต่ยังเป็นทารกในครรภ์แล้วครับ เมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์ 5 เดือน ทารกเพศหญิงจะมีไข่เก็บไว้สูงถึง 6-7 ล้านฟอง และจะค่อย ๆ สลายตัวไปเหลือเพียง 2 ล้านฟองในวัยแรกเกิด จากนั้นจะลดลงเรื่อย ๆ จนเข้าสู่วัยสาวอยู่ที่ประมาณ 2-5 แสนฟอง แต่ทั้งนี้จะมีไข่ที่มีผลทำให้ตั้งครรภ์ได้เพียง 400-500 ฟองเท่านั้น เพราะการตกไข่แต่ละครั้งจะมีไข่เพียงฟองเดียวที่สมบูรณ์แล้วเท่านั้นที่พร้อมจะให้อสุจิเข้ามาผสมได้ (ขนาดของไข่ที่เติบโตสมบูรณ์ คือ 0.133 มม.) ขั้นตอนการตกไข่นั้นจะมีฮอร์โมนที่เป็นตัวควบคุมการตกไข่ของฝ่ายหญิง คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน, โปรเจสเตอโรน, แอลเอช (LH – Luteinozing Hormone) และเอฟเอสเอช (FSH – Follicle Stimulating Hormone) ฟองไข่จะเจริญเติบโตอยู่ภายในรังไข่ โดยเริ่มตั้งแต่ประมาณวันที่ 5 ของรอบเดือน (นับจากวันแรกที่ประจำเดือนมา) ไข่ภายในถุงรังไข่ (Ovarian Follicle) จะค่อย ๆ เติบโต ฮอร์โมน FSH จะทำหน้าที่สร้างไข่และทำให้ไข่เติบโตพร้อมกันประมาณ 15-20 ฟอง จากนั้นฮอร์โมนเอสโตรเจนและ LH จะช่วยกันคัดเลือกไข่ที่สมบูรณ์เพียงฟองเดียว และเร่งให้ไข่ตกในช่วงประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน ในระหว่างที่ไข่ตก ถุงรังไข่ซึ่งอยู่ตรงผิวหน้าของไข่จะค่อย ๆ พองออกเล็กน้อย เมื่อขยายได้ขนาดประมาณ 2 เซนติเมตรก็จะฉีกขาด และปล่อยให้ไข่หลุดออกมา ซึ่งเราจะเรียกขั้นตอนนี้ว่า “การตกไข่” (Ovulation) ถ้าในช่วงนี้มีไข่ผสมกับอสุจิ ฮอร์โมนตัวนี้ก็จะช่วยฟูมฟักไข่ ช่วยเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกให้สมบูรณ์และหน้าไข่ที่เหมาะสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน แต่ถ้าไข่ตกแล้วยังไม่ได้รับการปฏิสนธิ ระดับฮอร์โมนก็จะลดลงและเกิดการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกออกมาเป็นประจำเดือนในช่วง 14 วันหลังจากไข่ตก ไข่ตกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ?เมื่อถึงวันไข่ตก มดลูกจะสร้างผนังมดลูกให้หนาตัวขึ้นและมีเลือดมาหล่อเลี้ยงมากขึ้นด้วย เพื่อรองรับการปฏิสนธิ หากคุณผู้หญิงอยู่ในช่วงตกไข่ก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงกับร่างกายได้ 2 แบบ คือ
การนับวันตกไข่ปกติแล้วไข่จะตกในช่วงประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนที่ประจำเดือนรอบใหม่จะมา ซึ่งการจะคำนวณวันตกไข่ให้แม่น ๆ ได้นั้น จะใช้ได้เฉพาะกับผู้หญิงที่มีรอบเดือนสม่ำเสมอเท่านั้น เช่น รอบเดือนจะมาทุก ๆ 28 วันเสมอ วันไข่ตกก็อยู่ในช่วงวันที่ 14 ของรอบเดือน (นับวันที่ประจำเดือนมาวันแรกเป็นวันที่ 1 ของรอบเดือน) ก็ให้คุณพ่อเริ่มมีเพศสัมพันธ์ในช่วงก่อนวันตกไข่ประมาณ 2 วันครับ คือ ตั้งแต่วันที่ 12 ของรอบเดือน เพราะอสุจิจะมีชีวิตรอผสมไข่อยู่ได้ประมาณ 2 วันก่อนการตกไข่ หรือหากใครมีรอบเดือนสั้นหรือยาวกว่านี้ ไข่ก็จะตกเร็วหรือช้ากว่านี้หลังจากที่ประจำเดือนมาวันแรก ถ้าคุณอยากรู้ว่าประจำเดือนมาสม่ำเสมอหรือไม่ก็ให้จดบันทึกหรือกาลงในปฏิทินไว้เลยอย่างน้อยประมาณ 3-4 เดือน แล้วนับดูว่าแต่ละรอบเดือนนั้นมีจำนวนวันเท่ากันหรือไม่ ส่วนในกรณีที่มีรอบเดือนไม่สม่ำเสมอหรือมาไม่ค่อยตรงเวลา การคำนวณวันไข่ตกก็อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้ แต่เราก็พอจะมีวิธีสังเกตได้ว่าในวันนั้น ๆ เรากำลังอยู่ในช่วงวันตกไข่หรือไม่ ได้แก่ การนับวัน (Calendar method) ปกติแล้วจะใช้วิธีนี้ในการหาระยะปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงวันตกไข่ครับ แต่เราสามารถใช้หลักการเดียวกันนี้ในการหาวันตกไข่หรือวันที่จะมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์ได้ โดยจะอาศัยหลักทางชีววิทยาที่ว่า “ในสตรีที่มีรอบเดือนปกติทุก 28 วัน จะมีการตกไข่ประมาณวันที่ 14 ก่อนที่จะมีประจำเดือนครั้งต่อไป (อาจมากกว่าหรือน้อยกว่า 2 วัน) หรือประมาณ 12-16 วันก่อนจะมีประจำเดือนครั้งต่อไป เมื่อไข่ตกแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมง โอกาสการตั้งครรภ์จึงมีถึงวันที่ 17 ของรอบเดือน ส่วนเชื้ออสุจิจะมีชีวิตรอผสมไข่อยู่ได้ประมาณ 48 ชั่วโมง หรือ 2 วันก่อนการตกไข่” จากทฤษฎีนี้จะได้ว่า ในสตรีที่มีประจำเดือนมาทุก 28 วัน ช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ คือช่วงวันที่ 10-17 ของรอบเดือน (เริ่มนับวันแรกตั้งแต่วันที่ประจำเดือนมา) แต่ในความเป็นจริงแล้วมีน้อยคนครับที่ประจำเดือนจะมาอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ 28 วัน ผู้ที่ประจำเดือนคลาดเคลื่อนในแต่ละรอบเดือนให้คำนวณด้วยสูตรดังต่อไปนี้แทนครับ วิธีการคำนวณ : อย่างแรกจะต้องทำการจดบันทึก “ความยาวของรอบเดือน” ไว้ทุกเดือนเป็นระยะเวลา 8-12 เดือน (ถ้าให้ดีคือ 12 เดือนจะแม่นที่สุด) โดยในแต่ละรอบเดือนให้เริ่มนับวันแรกตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือน ไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายก่อนมีประจำเดือนในรอบต่อไป แล้วดูว่ารอบเดือนครั้งไหนมีจำนวนวันที่สั้นที่สุดและยาวที่สุด แล้วจึงนำมาคำนวณตามสูตร ดังนี้
ยกตัวอย่าง : นางสาว ก. ได้จดจำนวนวันในแต่ละรอบประจำเดือนไว้ 12 เดือน คือ 26, 24, 25, 28, 26, 27, 28, 27, 29, 30, 28, 26 จะเห็นได้ว่ารอบประจำเดือนที่สั้นที่สุดคือ 24 วัน และยาวสุดคือ 30 วัน เมื่อนำมาคำนวณจะได้ วันแรกของระยะไม่ปลอดภัย = 24-18 = 6 ส่วนวันสุดท้ายของระยะไม่ปลอดภัย = 30-11 = 19 ดังนั้น ระยะที่ควรมีเพศสัมพันธ์เพื่อมีลูกในรอบเดือนหน้าจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 จนถึงวันที่ 19 ของรอบเดือน (ไม่ใช่วันตามปฏิทินนะครับ) การกำหนดระยะเวลาเจริญพันธุ์ (The standard days method – SDM) เป็นการกำหนดช่วงเวลาไปเลยว่าในวันที่ 8-19 (แถบสีฟ้า) ของรอบเดือนจะเป็นช่วงที่มีโอกาสทำให้เกิดการตั้งครรภ์ โดยเป็นการคำนวณค่าเฉลี่ยของรอบประจำเดือนของสตรีทั่วไปที่มีรอบประจำเดือน 26-32 วัน หากต้องการมีลูกก็ให้มีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาดังกล่าวครับ การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย (Basal body temperature – BBT) เป็นการใช้ความรู้ด้านสรีรวิทยาที่ว่า อุณหภูมิในร่างกายจะลดลง 12-24 ชั่วโมงก่อนที่จะมีการตกไข่ หลังจากนั้นก็จะสูงขึ้นประมาณครึ่งองศาเมื่อมีการตกไข่ (0.5 degree Celsius/C) ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ฝ่ายหญิงจะต้องมีการตรวจวัดอุณหภูมิของตนเองทุกเช้าหลังจากนอนหลับสนิทติดต่อกันอย่างน้อย 5 ชั่วโมง แล้วจดบันทึกเอาไว้ ด้วยการใช้ปรอทวัดไข้ธรรมดาหลังจากตื่นนอนและก่อนทำกิจกรรมใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลุกไปกินน้ำ ทานอาหาร เดินไปแปรงฟัน หรือแม้แต่การพูดจา รวมไปถึงการสะบัดปรอท (ควรสะบัดปรอทให้พร้อมตั้งแต่ก่อนเข้านอนและควรวางปรอทไว้ใกล้ ๆ ตัว และพร้อมที่จะหยิบใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องลุกจากที่นอน) ในการวัดปรอทสามารถวัดได้ทั้งทางรักแร้ ทางปาก ทางทวารหนัก หรือทางช่องคลอด ในการวัดปรอทแต่ละครั้งจะต้องนานประมาณ 5 นาที เวลาในการวัดหลังตื่นนอนก็ควรจะใกล้เคียงกันทุกครั้งในแต่ละวัน และควรวัดล่วงหน้าติดต่อกันอย่างน้อย 2-3 เดือน เพื่อดูแนวโน้มและจะได้ประมาณวันตกไข่ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น เมื่อวัดปรอทเสร็จแล้วก็ทำความสะอาดปรอทวัดไข้ให้เรียบร้อย รวมถึงการสะบัดปรอทให้พร้อมใช้สำหรับวันรุ่งขึ้นด้วย เมื่อดูจากค่าอุณหภูมิที่บันทึกไว้ เราก็สามารถเลือกวันที่จะมีเพศสัมพันธ์เพื่อให้ตั้งครรภ์ได้ ตัวอย่าง : จากกราฟอุณหภูมิร่างกายด้านล่าง จะเห็นว่าวันที่ 1-13 อุณหภูมิร่างกายจะอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นช่วงก่อนตกไข่ และวันที่ 14 ที่เป็นช่วงตกไข่ อุณหภูมิร่างกายจะลดลงมาต่ำสุด และจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในวันถัดไป ตั้งแต่วันที่ 15 เป็นต้นไป อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นช่วงที่มีการตกไข่ไปแล้ว และพอถึงวันที่ 29 เมื่อเริ่มมีประจำเดือนในรอบถัดไป อุณหภูมิก็จะค่อย ๆ ลดต่ำลงอีกครั้ง หมายเหตุ : การใช้ชุดทดสอบการตกไข่ (LH ovulation test) จะช่วยบอกว่า การตกไข่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ดังนั้น หากใช้ชุดทดสอบการตกไข่ร่วมกับการวัดอุณหภูมิร่างกาย (BBT) ก็จะช่วยให้การตรวจหาวันตกไข่มีความแม่นยำมากขึ้น การตรวจปากมดลูกโดยปกติแล้วปากมดลูกจะอยู่ในระต่ำ แห้ง และแข็ง เมื่อแตะดูจะมีความรู้สึกเหมือนแตะที่ปลายจมูก แต่เมื่อถึงวันตกไข่ ปากมดลูกจะเลื่อนขึ้นไปอยู่สูงขึ้น เมื่อแตะดูแล้วจะมีความอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ (เหมือนริมฝีปาก) เปียก ๆ แฉะ ๆ ในการตรวจปากมดลูกจะต้องตัดเล็บและล้างมือให้สะอาด (แนะนำให้ทำตอนอาบน้ำ) ทำในท่ายืนยกขาหนึ่งข้างขึ้นวางบนเก้าอี้ แล้วใช้นิ้วกลางหรือนิ้วชี้ค่อย ๆ สอดใส่เข้าไป โดยระวังอย่าให้ครูดกับผนังช่องคลอด ซึ่งปากมดลูกจะอยู่บริเวณหลังสุดครับ และต้องตรวจทุก ๆ วันในช่วงเวลาเดิม หากมีอาการปัสสาวะแล้วปวดแสบ มีอาการติดเชื้อหรืออักเสบในช่องคลอดก็ห้ามใช้วิธีนี้ครับ การตรวจมูกที่ปากมดลูกการสังเกตมูกที่ปากมดลูก (Cervical mucus) จะอาศัยหลักที่ว่า “มูกปากมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะของความเหนียวข้นและความยืดหยุ่นไปตามอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในแต่ละรอบเดือน” วิธีการสังเกตนี้เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย โดยให้สตรีสังเกตลักษณะของมูกในช่องคลอดของตนเอง ซึ่งในทางการแพทย์การเปลี่ยนแปลงของมูกที่ปากมดลูกจะมีอยู่ด้วยกัน 5-6 ระยะ แต่เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายอาจจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
วิธีการตรวจมูกที่ปากมดลูก : ตรงนี้คงต้องถามตัวเองก่อนว่ากล้าสอดนิ้วเข้าไปในช่องคลอดหรือไม่ เพราะการตรวจมูกที่ปากมดลูกจะต้องทำทุกวัน โดยการสอดนิ้วเข้าไปในช่องคลอด เพื่อสังเกตดูการหล่อลื่นและตรวจมูกที่ติดนิ้วออกมา แต่วิธีการสังเกตมูกนี้ก็นับว่าค่อนข้างยาก เพราะการเปลี่ยนแปลงของมูกในแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน และหลาย ๆ คนอาจจะไม่สามารถแยกแยะหรือสังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ยิ่งถ้ามีอาการอักเสบในช่องคลอดหรือมีการร่วมเพศด้วยแล้ว มูกที่ปากมดลูกก็อาจเปลี่ยน ทำให้ตรวจได้ยากขึ้นด้วย อารมณ์ทางเพศที่เพิ่มขึ้นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของผู้หญิงที่ถูกกำหนดมาให้มนุษยชาติอยู่รอด โดยฝ่ายหญิงมีอารมณ์หรืออยากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาตกไข่ ในช่วงตกไข่จะเป็นช่วงที่ปากมดลูกเลื่อนขึ้นไปอยู่สูง อ่อนนุ่มขึ้น และสร้างของเหลวที่ช่วยในการหล่อลื่นมากเป็นพิเศษเพื่อการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงยังมีเลือดมาหล่อเลี้ยงบริเวณช่องคลอดมากขึ้น จึงทำให้เกิดอารมณ์อยากมีเพศสัมพันธ์มากขึ้นตามลำดับ แต่การสังเกตด้วยวิธีนี้ก็อาจจะไม่แน่นอนเสมอไป เพราะความเครียดหรือปัจจัยอื่น ๆ ก็อาจทำให้อารมณ์เพศลดน้อยลงได้ การสังเกตอาการหลายอย่างร่วมกันการสังเกตอาการหลาย ๆ อย่างร่วมกัน จะเป็นการใช้หลาย ๆ วิธีข้างต้น เช่น การนับวัน, การตรวจวัดอุณหภูมิ, การสังเกตมูกที่ปากมดลูก, ปวดหน่วงท้องน้อยที่คาดว่าจะเกิดการตกไข่ (Ovulation pain หรือ Mittelschmerz), การมีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อยเมื่อมีการตกไข่เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเพศ ร่วมกับการสังเกตอาการเหมือนก่อนที่มีประจำเดือน (หมายความว่า ก่อนมีประจำเดือนคุณมีอาการแบบไหน ช่วงตกไข่ก็จะคล้าย ๆ กันครับ เพียงแต่จะไม่แรงเท่า) เช่น อาการเจ็บคัดตึงเต้านม, เหนื่อยง่าย ง่วงบ่อย, หลงลืม สับสน, หงุดหงิดได้ง่าย, นอนไม่หลับ, ท้องผูกหรือท้องเสีย, ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย, อารมณ์แปรปรวนไม่คงที่ เป็นต้น โดยอาการเบื้องต้นนี้จะขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนก็มีหลาย ๆ อาการรวมกัน แต่บางคนอาจจะไม่มีสักอาการเลยก็ได้ แต่ที่อยากจะให้ลองสังเกตก็คือ “อาการปวดท้องน้อยข้างเดียว” สมมติว่าเดือนนี้ เป็นเวรของรังไข่ด้านขวาที่จะผลิตไข่ ถ้าเรามีอาการปวดหน่วงที่ท้องน้อยด้านขวาในช่วงกลางรอบเดือน เป็นเวลาไม่เกินหนึ่งวัน นั่นแหละครับ คือวันตกไข่ ให้รีบตามสามีมาทำหน้าที่คุณพ่อได้เลย การใช้ชุดตรวจการตกไข่ชุดทดสอบการตกไข่ (LH ovulation test) ในปัจจุบันมีชุดตรวจคาดคะเนระยะการตกไข่ ซึ่งจะใช้กันมากในสตรีที่ต้องการที่จะตั้งครรภ์และต้องการที่จะกำหนดช่วงเวลาการมีเพศสัมพันธ์ให้ตรงกับในช่วงตกไข่หรือใกล้ช่วงตกไข่มากที่สุด โดยจะเป็นการตรวจหาฮอร์โมนกระตุ้นการตกไข่ (Luteinizing hormone – LH) ในปัสสาวะ ซึ่งปกติแล้วแล้วร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน LH ออกมาในปริมาณน้อย จนถึงระยะ “ก่อนเวลาตกไข่” ฮอร์โมน LH จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการตกไข่จะเกิดภายในเวลา 12-48 ชั่วโมง จึงทำให้ทราบช่วงเวลาตกไข่ได้ล่วงหน้า ถ้าหากมีเพศสัมพันธ์ภายใน 48 ชั่วโมง หลังจากตรวจพบฮอร์โมน LH นี้อยู่ในระดับสูงสุด ก็จะทำให้มีโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้นครับ ส่วนวิธีการใช้ชุดทดสอบระยะตกไข่จะคล้าย ๆ กับการใช้ทดสอบการตั้งครรภ์ครับ แต่เราจะใช้ปัสสาวะตอนบ่ายในการตรวจสอบ (ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ บ่าย 2 โมง) ไม่ใช่ตอนเช้าเหมือนการตรวจตั้งครรภ์ (เนื่องจากฮอร์โมน LH จะถูกสร้างขึ้นในช่วงเช้าและจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึงช่วงบ่ายโมงไปจนถึงสองทุ่ม) แล้วทำการเก็บปัสสาวะในช่วงเวลาเดียวกันของทุกวัน และควรจำกัดปริมาณการบริโภคของเหลวก่อนทำการทดสอบอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพราะปัสสาวะที่เข้มข้นจะทำให้ได้ผลที่ชัดเจนมากที่สุด เมื่อทำการตรวจแล้ว แม้จะขึ้น 2 ขีดก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถึงวันตกไข่แล้ว จนกว่าขีดที่สอง (Test Line) จะมีสีเข้มจนเทียบเท่ากับขีดแรก (Control Line) โดยชุดทุดสอบนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ ดังนี้
วันที่เริ่มตรวจหาฮอร์โมน LH : ปกติแล้วรอบเดือนของแต่ละคนจะไม่เท่ากันครับ การเริ่มตรวจหาฮอร์โมน LH จึงแตกต่างกันออกไป ดังนี้ครับ
การตรวจสอบน้ำลายการตรวจสอบน้ำลาย (Ferning test) เป็นการใช้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยาย 50 เท่า ในการตรวจสอบรูปร่างของน้ำลายเพื่อหาช่วงเวลาตกไข่ เพราะในช่วงใกล้วันตกไข่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายจะสูงขึ้น เช่นเดียวกับระดับความเข้มข้นของ electrolytes ในน้ำลาย ซึ่งจะทำให้เกิดผลึกที่มีรูปร่างคล้ายใบเฟิร์นขึ้นมา จึงทำให้เราสามารถตรวจสอบหาวันตกไข่ได้ เพียงแค่คุณแตะน้ำลายลงบนเลนส์ ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วส่องดูรูปร่างของผลึกบนเลนส์ (อาจจะสังเกตรูปร่างได้ยาก หากไม่มีความชำนาญเพียงพอ)
โดยทั่วไปจะมีกล้องจุลทรรศน์พิเศษที่ทำออกมาขายเพื่อจุดประสงค์นี้โดยเฉพาะอยู่แล้วครับ แต่อาจจะหาซื้อได้ยากสักหน่อย โดยกล้องตรวจน้ำลายหาช่วงเวลาตกไข่ยี่ห้อ NV Scope จะมีราคาประมาณ 900-1,500 บาทครับ มีเพศสัมพันธ์วันตกไข่จะท้องชัวร์หรือไม่อย่างที่บอกไปแล้วครับว่าในช่วงวันตกไข่ถ้ามีอสุจิเข้ามาผสมกับไข่พอดีก็จะมีโอกาสทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ ดังนั้น ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ก็มีจะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงครับ แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าวันที่คำนวณออกมานั้นจะใช่วันตกไข่จริง ๆ หรือเปล่า ก็ให้มีเพศสัมพันธ์เผื่อเอาไว้ในช่วง 2 วันก่อนหน้าและ 2 วันหลังของวันที่คำนวณได้ครับ เพราะอสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในช่องคลอดได้นานถึง 2-5 วัน ถ้าในช่วงนี้มีอสุจิมาค้างอยู่และตรงกับช่วงวันไข่ตกพอดีก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูง แต่ก็ไม่ถึงกับ 100% เพราะการจะตั้งครรภ์ได้หรือไม่นั้นยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายอย่าง รวมถึงสุขภาพของคุณพ่อที่มีผลต่อความแข็งแรงของตัวอสุจิด้วย และอีกเรื่องที่คุณควรรู้เอาไว้ก็คือ การมีเพศสัมพันธ์ทุกวันอาจไม่ได้ช่วยเพิ่มโอกาสให้เกิดการตั้งครรภ์ได้มากขึ้นเสมอไป เพราะการมีเพศสัมพันธ์กันทุกวัน จะทำให้อสุจิมีจำนวนน้อยลง จึงมีคำแนะนำว่าให้มีเพศสัมพันธ์แบบวันเว้นจะดีกว่า เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมดไทย เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด |