คือความเสี่ยงในช่วงเวลาระหว่างที่รอผลการชำระเงินให้เสร็จสิ้น หลังจากธนาคารผู้จ่ายได้ส่งคำสั่งโอนเงินไปแล้ว ซึ่งมีมากในระบบชำระดุลสุทธิสิ้นวัน ความเสียหายจะเกิดเมื่อธนาคารไม่สามารถชำระหนี้ตามภาระผูกพันได้ ซึ่งสาเหตุอาจเพราะฐานะการเงินขัดข้องชั่วคราว (Liquidity Risk) หรือฐานะการเงินมีปัญหา (Credit Risk) Liquidity Risk หมายถึง ธนาคารหนึ่งไม่สามารถชำระดุลเมื่อถึงกำหนด แต่อาจจะชำระได้ในอนาคต Credit Risk หมายถึง ธนาคารผู้รับไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจากธนาคารคู่กรณี แต่อาจให้ลูกค้าใช้เงินก่อน ธนาคารผู้รับไม่ได้รับโอนเงินตามจำนวนที่พึงได้ และยังอาจเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินที่จ่ายลูกค้าไปแล้ว การแก้ไข Settlement Risk ในระบบ Net Settlement 1. นำเงินเข้า ให้ลูกค้าภายหลังการชำระดุลระหว่างธนาคารเสร็จสิ้น 2. มีระบบคัดเลือกการเข้าร่วมสมาชิกของระบบการชำระเงินให้มีความน่าเชื่อถือ โดยอาจกำหนดหลักเกณฑ์ ขนาดของเงินทุน ฐานะ สภาพคล่อง หลักเกณฑ์ ดังกล่าวต้องโปร่งใส และไม่เลือกปฎิบัติ อย่างไรก็ตาม การกำหนดคุณสมบัติของสมาชิกจะสามารถป้องกันปัญหาด้านการชำระดุลได้ในระดับหนึ่ง 3. การกำหนดเพดานหรือวงเงินรับทำธุรกรรมระหว่างวัน เป็นการนำเทคนิคป้องกันความเสี่ยงในตลาดเงินหรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรามาใช้ กล่าวคือเมื่อธนาคารใดส่งคำสั่งชำระเงินเกินกว่าวงเงินสำหรับธนาคารนั้น คำสั่งจะถูกยกเลิกหรือเข้าลำดับรอในคิว เมื่อมีเงินเข้ามาลดยอดคงค้างต่ำกว่าเพดานที่กำหนดไว้ จึงทำรายการชำระเงินต่อไปได้ 4. ข้อตกลงในการกระจายความเสี่ยง ( liquidity-sharing and loss-sharing agreement)เพื่อเป็นหลักประกันว่า จะมีจำนวนเงินเพียงพอให้การชำระดุลผ่านพ้นไปได้ ข้อตกลงมี 3 รูปแบบ คือ 4.1 ธนาคารที่เหลืออยู่จะร่วมรับผิดชอบในอัตราส่วนที่เท่ากัน วิธีนี้มีข้อเสียคือ ไม่ได้พิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารที่มีปัญหากับธนาคารที่รับภาระ 4.2 ธนาคารที่เหลืออยู่รับผิดชอบเป็นสัดส่วนตาม Bilateral exposure วิธีนี้ดูจะสมเหตุสมผลมากกว่าวิธีแรก แต่ยังไม่ได้คำนึงถึง ว่าเป็นผลจากคำสั่งโอนเงินของลูกค้า ซึ่งอยู่ นอกเหนือการควบคุมของแต่ละธนาคาร 4.3 ธนาคารที่เหลืออยู่ จะรับผิดชอบเป็นสัดส่วนตาม Bilateral net receiver limit เป็นการรับภาระตามการประเมินฐานะความน่าเชื่อถือของธนาคารที่มีปัญหา ซึ่งพิจารณากำหนดวงเงินที่จะทำธุรกิจด้วยไว้ล่วงหน้า จึงรับผิดชอบตามวงเงินนั้น อย่างไรก็ตาม วิธีการกระจายความเสี่ยงข้างต้นก็ยังคงมีความเสี่ยงในตัวเอง คือ - ไม่สามารถแก้ปัญหา Settlement risk ได้อย่างสมบูรณ์ - ภาระการจัดหาเงินเพื่อแก้ปัญหา Settlement risk ในบางกรณี อาจนำไปสู่ปัญหาต่อเนื่องแก่สมาชิกอื่น ๆ ในระบบ หรือวงชำระเงินอื่น ๆ ได้ 5. การ Unwind และ การคำนวณดุลสุทธิที่ต้องชำระแก่กันใหม่ การ Unwind คือ การนำรายการสั่งโอนและรับโอนที่เกี่ยวกับธนาคารที่มีปัญหาออก แล้วคำนวณดุลใหม่ ได้ดุลใหม่เป็นของกลุ่มธนาคารที่เหลือ ผลการคำนวณดุลใหม่อาจเปลี่ยนภาระผูกพัน และ อาจสร้างปัญหาการขาดสภาพคล่อง ให้แก่ธนาคารอื่นหากเกิดต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ก็จะแปรเป็นความเสี่ยงแบบลูกโซ่ (Systemic risk) วิธีแก้ปัญหาดังกล่าว ที่ธนาคารส่วนใหญ่เน้นพัฒนาให้เกิดและใช้แพร่หลายคือระบบชำระเงินที่สำเร็จเสร็จสิ้นทันทีทีละรายการ Real time gross settlement (RTGS) โดยเฉพาะเพื่อรองรับรายการชำระเงินมูลค่าสูง ซึ่งไม่มีความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนในระหว่างรอผลการโอนหรือผลการชำระดุล ระบบการชำระเงินแบบ Real Time Gross Settlement (RTGS) ระบบ RTGS จะเป็นการชำระแต่ละรายการผ่านบัญชีของธนาคารพาณิชย์ที่เปิดอยู่กับธนาคารกลาง โดยจะตัดเงินจากบัญชีของธนาคารผู้ส่งไปยังธนาคารผู้รับทันที ประเทศที่ใช้ระบบ RTGS แล้ว ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา (ระบบ Fedwire) ประเทศ สวิสเซอร์แลนด์ (ระบบ SIC - Swiss Interbank Clearing) ประเทศไทย (ระบบ BAHTNET – Bank of Thailand Automated High-value Transfer NETwork) ประเทศสิงคโปร์ (ระบบ MEPS – MAS Electronic Payment System) ประเทศมาเลเซีย (RENTAS – Realtime Electronic Network Transfer and Securities) ประเทศออสเตรเลีย (ระบบ RITS – Reserve Bank of Information and Transfer System) และนอกจากนี้ประเทศ ในกลุ่มยุโรปกำหนดให้สมาชิกแต่ละประเทศพัฒนาระบบ RTGS และมี เป้าหมายให้สมาชิกของ European Monetary Union (EMU) เชื่อมระบบ RTGS ให้โอนเงินระหว่างประเทศในกลุ่มเป็น RTGS ด้วย คือ ระบบ TARGETS การจัดหาสภาพคล่องที่เพียงพอในระบบ RTGS เป็นสิ่งที่สำคัญ วิธีจัดการเกี่ยวกับสภาพคล่องดำเนินการใน 3 รูปแบบ ดังนี้
2.1) การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บและนำส่งเงินภาครัฐ มีแนวทาง ดังนี้
2.2) การเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกและจ่ายเงินภาครัฐ มีแนวทาง ดังนี้
เป้าหมายการดำเนินงานปี 2559(1) โอนเงินสวัสดิการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคาร ในเดือนกันยายน 2559 (2) จ่ายเงินให้ส่วนราชการด้วยวิธีโอนเงินผ่านระบบการจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ของกรมบัญชีกลาง โดยจะจ่ายตรงครบทุกส่วนราชการ ในเดือนกันยายน 2559 (3) ส่งเสริมการรับ-จ่ายเงินของหน่วยงานภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ ภายในเดือนธันวาคม 2559 (4) ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ นำส่ง และเบิกจ่ายเงินของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ให้แล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2559 ประโยชน์ที่จะได้รับ(1) ประชาชนที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เช่น ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับสิทธิตามที่ควรได้รับ ในขณะที่ภาครัฐมีฐานข้อมูลกลางของประชาชนที่ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน สามารถบริหารจัดการเงินช่วยเหลือได้ตรงตามวัตถุประสงค์ มั่นใจว่าจะถึงมือประชาชนอย่างถูกต้อง และลดโอกาสเกิดการทุจริต ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐสามารถบริหารจัดการเงินสวัสดิการได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสยิ่งขึ้น (2) ช่วยยกระดับวิถีชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลให้สามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน และบริการ e-Payment ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ด้วยค่าใช้จ่าย ที่เหมาะสม ทำให้การโอนเงินและการชำระเงินของประชาชนสามารถทำได้โดยง่าย โดยใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ นอกเหนือจากเลขบัญชีเงินฝากธนาคาร และสามารถทำธุรกรรมทางการเงินผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ได้โดยง่ายและสะดวกขึ้น (3) การเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนให้คุ้นเคยกับการใช้วิธีการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แทนการใช้เงินสดมากขึ้น จะทำให้ร้านค้าต่าง ๆ เข้าสู่ระบบ e-Payment ได้เร็วขึ้น (4) การเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ภาครัฐบริหารจัดการเงินงบประมาณได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังสามารถส่งเงินถึงผู้รับได้โดยตรง และทำให้กระบวนการรับส่งเงินของภาครัฐมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ลดโอกาสการทุจริต |