บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ 2 สมัย Show ประวัติ[แก้]บรรยินสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี รัฐประศาสนศาสตร์ จากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ด้านชีวิตครอบครัวสมรสกับนางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ มีบุตรชาย 1 คน บุตรสาว 1 คน การทำงาน[แก้]บรรยินเคยรับราชการตำรวจ และลาออกจากราชการในปี พ.ศ. 2543 ขณะดำรงตำแหน่ง สวป.สภ.เมืองกำแพงเพชร เพื่อลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครสวรรค์ ในปี พ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2548 สังกัดพรรคไทยรักไทย ในกลุ่มวังน้ำยมของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน จนเมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบไป จึงย้ายมาสังกัดพรรคมัชฌิมาธิปไตย ในการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ลงสมัคร ส.ส.แบบสัดส่วน กลุ่มที่ 2 (จังหวัดอุตรดิตถ์, จังหวัดพิษณุโลก, จังหวัดพิจิตร, จังหวัดนครสวรรค์, จังหวัดอุทัยธานี, จังหวัดลพบุรี, จังหวัดเพชรบูรณ์, จังหวัดชัยภูมิ, จังหวัดขอนแก่น) ในสังกัดพรรคมัชฌิมาธิปไตยแต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง บรรยินเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาลของนายสมัครสุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต่อมาพันตำรวจโทบรรยิน ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี เนื่องจากการยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งขณะนั้นพันตำรวจโทบรรยินดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค บรรยิน ตั้งภากรณ์ เคยเข้าร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 32 ต่อมาในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 21 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพึงมีตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ประสบการณ์ทำงาน[แก้]
คดีความ[แก้]บรรยินถูกออกหมายจับใน 4 ข้อหา ประกอบด้วย ร่วมกันลักทรัพย์ รับของโจร ปลอมแปลงและใช้เอกสารปลอม เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 และต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2559 เขาถูกจับกุมตัวในฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ จากกรณีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊งซึ่งก่อนหน้าที่บรรยินจะเกี่ยวข้องกับเสียชีวิตของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊งคนใกล้ตัวของบรรยินได้เสียชีวิตโดยปริศนา เช่น เมื่อวันที่23 มีนาคม พ.ศ. 2534 นางสาวรสรินทร์ ศรีนุกูลได้เสียชีวิตจากรถยนต์ชนต้นไม้ซึ่งจากคำให้การที่ถูกบันทึกได้บันทึกไว้ว่าในวันที่เกิดเหตุบรรยินได้ไปทำธุระที่จังหวัดกำแพงเพชรพร้อมกับรสรินทร์ ซึ่งรสรินทร์เป็นคนขับ เมื่อเวลาประมาณ23.00น. รถได้ประสบอุบัติเหตุชนกับต้นไม้เนื่องจากหักหลบรถสิบล้อส่งผลให้นางสาวรสรินทร์เสียชีวิต ซึ่งญาติของรสรินทร์ได้ตั้งข้อสงสัยว่ารสรินทร์ขับรถยนต์ไม่เป็นแต่ทำไมวันนั้นถึงเป็นคนขับรถ แต่ว่าคดีนี้อัยการสั่งไม่ฟ้องบรรยินและหลังจากบรรยินแต่งงานใหม่กับวราภรณ์ซึ่งครอบครัววราภรณ์ได้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อปีพ.ศ. 2553 นายสราวุธซึ่งเป็นน้องชายของวราภรณ์และประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตแต่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้และยังมีอีกหลายคดีฆาตกรรมผู้มีชื่อเสียงในจังหวัดนครสวรรค์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการลอบยิงสราวุธนี้แต่ก็ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ต่อมาในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559 คณะกรรมการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีคำสั่งอายัดทรัพย์ นายบรรยินเป็นเวลา 90 วัน วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 บรรยินและพวกรวม 6 คนได้ร่วมกันก่อเหตุลักพาตัวนายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐที่หน้าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งวีรชัยพี่ชายของนางสาวพนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้พิพากษาอาวุโสของศาลอาญากรุงเทพใต้และเป็นเจ้าของสำนวนคดีโอนหุ้นศาลอาญากรุงเทพใต้ที่หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้และคนร้ายได้โทรไปข่มขู่ผู้พิพากษาให้ยกฟ้องคดีโอนหุ้นนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ระหว่างทางนายวีรชัยได้ดิ้นรนขัดขืนทำให้ถูกคนร้ายได้ลงมือทำร้ายด้วยการต่อยที่ท้องทำให้นายวีรชัยเสียชีวิตก่อนจะนำศพไปเผาทำลายที่เขาใบไม้ในอำเภอตาคลีแล้วเอาเศษเถ้าและชิ้นส่วนขนาดเล็กนำไปทิ้งในพื้นที่รกร้างที่ตำบลนิคมเขาบ่อแก้ว อำเภอพยุหะคีรี ส่วนชิ้นส่วนร่างกายที่มีขนาดใหญ่ได้นำไปทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยาในบริเวณตำบลบ้านกลางแดด อำเภอเมืองนครสวรรค์และโทรศัพท์มือถือและนำกระเป๋าสตางค์ของนายวีรชัยถูกนำไปทิ้งที่แม่น้ำปิง ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ตำรวจได้จับกุมบรรยินที่จังหวัดนครสวรรค์ในคดีฆาตกรรมนายวีรชัยก่อนส่งไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพระหว่างที่บรรยินถูกคุมตัวอยู่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้สืบทราบว่าบรรยินได้ให้พรรคพวกที่อยู่นอกเรือนจำให้การช่วยผู้ต้องหาคนหนึ่งในคดีอื่นซึ่งเขาได้รู้จักขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ หลังจากที่ผู้ต้องหาคนดังกล่าวถูกจับและได้รับสารภาพว่ามีการบงการให้วางแผนไปลักพาตัวภรรยาของผู้บัญชาการเรือนจำเพื่อแลกกับการให้บรรยินออกไปจากคุกหากแผนการจะมีคนมาวางระเบิดที่ข้างเรือนจำแล้วจะล้มเสาธงกลางลานสนามหญ้าแล้วใช้ปีนหนี เมื่อออกมาได้ก็จะมีเฮลิคอปเตอร์มารับตัวอีกที นั้นไม่สำเร็จในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563เขาได้พยายามฆ่าตัวตายด้วยการเเขวนคอแต่เจ้าหน้าที่เรือนจำสามารถช่วยชีวิตเขาได้ทัน ส่วนสาเหตุเกิดจากอาการเครียดหนักหลังจากถูกย้ายตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมาเรือนจำกลางบางขวาง ประหารชีวิต[แก้]คดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา[แก้]ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอดีตเจ้าของสำนวนคดีโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์ ในคดีหมายเลขดำ อท.69/2563 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3และนางสาวพนิดา ศกุนตะประเสริฐน้องสาวของนายวีรชัยซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนคดีโอนหุ้นเสี่ยชูวงศ์เป็นโจทก์ร่วมยื่นฟ้องพลตำรวจโทบรรยิน ตั้งภากรณ์ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนครสวรรค์หลายสมัย,นายมานัส ทับทิม,นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์,นายชาติชาย เมณฑ์กูล,นายประชาวิทย์หรือตูน ศรีทองสุขและดาบตำรวจธงชัยหรือส.จ.อ๊อด วจีสัจจะซึ่งเป็นจำเลยที่ 1-6ในความผิด 9 ข้อหาได้แเก่ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้,ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปถึงแก่ความตาย,ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย,ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป,เป็นซ่องโจรโดยสมคบกันเพื่อกระทำผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต,ร่วมกันพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป,ร่วมกันซ่อนเร้น ทำลายศพเพื่อปิดบังการตายและสาเหตุการตาย, ร่วมกันกระทำการใดๆแก่ศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นเพื่ออำพรางคดี ศาลจึงพิพากษาให้ประหารชีวิตบรรยินพร้อมพวก 5 คน ที่ร่วมกันก่อเหตุอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาแต่จำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ยกเว้นจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคนขับรถ พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตแต่ให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษเหลือจำคุก 33 ปี 4เดือน โดยศาลพิเคราะห์แล้วว่าคดีนี้มีหลักฐานชัดเจนทั้งจากการสอบปากคำพยาน และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการกระทำความผิดในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำและพยานหลักฐานมีน้ำหนักเพียงพอที่จะชี้ชัดให้เห็นว่ากลุ่มจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุจริง แต่ฝั่งโจทก์ขอสู้ต่อที่ศาลอุทธรณ์ชี้ว่าไม่มีเหตุใดให้ลดโทษ ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสินในวันที่1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 จากจำคุกตลอดชีวิต เป็นโทษประหารชีวิตพลตำรวจโทบรรยิน ตั้งภากรณ์และนายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ เมื่อลงโทษประหารชีวิตบรรยินและณรงค์ศักดิ์ และไม่อาจนำโทษกระทงอื่นมารวมหรือนับต่อจากโทษคดีอื่นหรือเพิ่มโทษได้อีกทั้งนี้บรรยินและณรงค์ศักดิ์ ไม่ปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 (3) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น การวางแผนเเหกคุก [แก้]ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้ตัดสินว่าบรรยินได้วางแผนแหกคุกจริง จึงตัดสินให้จำคุก 3 ปี และปรับ 50,000 บาท คดีฆาตกรรมชูวงษ์ แซ่ตั๊ง [แก้]เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2564 ศาลอาญาพระโขนงได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ 4915/2559 ที่นางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง ภรรยาของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊งหรือเสี่ยจืดซึ่งเป็นนักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระดับประเทศกับพวกและพนักงานอัยการร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องพลตำรวจโทบรรยิน ตั้งภากรณ์ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์ใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง บรรยายพฤติการณ์ ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยละเอียดเกี่ยวกับพยานหลักฐานโจทก์ที่มีทั้งกล้องวงจรปิด พยานผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์และพยานแวดล้อมที่พิสูจน์ได้ว่าการกระทำของบรรยินมีพิรุธ นายชูวงษ์ไม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แต่ถูกบรรยินร่วมกับผู้อื่นฆ่าตายและจำเลยไม่มีความสำนึกจึงไม่มีเหตุปรานี ศาลพิพากษาว่าบรรยินและกระทำความผิดตามฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289จึงตัดสินให้ประหารชีวิตต่อมาจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริงที่ยื่นอุทธรณ์มาฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยจึงพิพากษายืนประหารชีวิตในวันที่25 สิงหาคม พ.ศ. 2565 เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]อ้างอิง[แก้]
|