สำหรับความ คิดเห็นที่13 ด้วยความเคารพนะครับ ผมเห็นด้วยกับท่านที่ ว่า รด. มันไม่ได้ขี้เล็บ ของทหารเกณฑ์หรอก อันนี้ผมก็เห็นด้วยครับ *แต่อย่าลืมว่า ทหารเกณฑ์ฝึก(ทุกวัน)ไม่ว่าจะ6เดือน หรือ2ปี ก็แล้วแต่ ส่วน รด. อาทิตย์ละ 1 ครั้ง มันจะไปเก่งได้ยังไง ไม่ได้ว่าคุณนะครับ ผมคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง หากทำบ่อยๆมันย่อมเกิดความชำนาญและเก่งไปเองโดยปริยาย เหมือนกับการยิงปืน จะยิงให้แม่นก็ต้องมีการฝึกซ้อมบ่อยๆ คนที่ซ้อมทุกวันย่อมยิงแม่น คนที่ซ้อมอาทิตย์ละ1ครั้ง ย่อมยิงแม่นน้อยกว่า ก็เป็นเรื่องธรรมดา Show
ซึ่งผมคิดว่าหากจับเอาพวก รด. มาฝึกแบบทหารเกณฑ์แบบเต็มเวลาแล้วล่ะก็ ผมคิดว่ามันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าทหารเกณฑ์หรอก เผลอๆ มันอาจจะเก่งกว่าด้วยซ้ำ เพราะเด็กพวกนี้มีความฉลาด มีกำลังและมีการศึกษาที่มากพอสมควร และที่สำคัญผมคิดว่ามันก็มีความรักชาติไม่แพ้ทหารอื่นๆนะ ปล.ขอบคุณครับ นักศึกษาวิชาทหาร (ย่อ: นศท.) เป็นบุคคลซึ่งอยู่ในระหว่างเข้ารับการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2503 เป็นกำลังพลสำรองของกองทัพไทย ภายใต้การควบคุมของโรงเรียนรักษาดินแดน ศูนย์การนักศึกษาวิชาทหาร หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ย่อ: นรด.) ประวัติ[แก้]พ.ศ. 2475 ประเทศไทยเริ่มมีการฝึกยุวชนทหารเพื่อผลิตทหารกองหนุน สนับสนุนการรบของกองทัพไทย กล่าวได้ว่าการฝึกนักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) มีต้นกำเนิดและแนวคิดมาจากยุวชนทหาร พ.ศ. 2491 กิจการการศึกษาวิชาทหารได้เริ่มต้นขึ้นโดยมีการสถาปนากรมการรักษาดินแดน ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. 2491 เพื่อดำเนินกิจการดังกล่าว ลงคำสั่งทหารที่ 54/2477 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 โดยแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น (ต่อมาแก้ไขโดย พ.ร.บ.จัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. 2500) การสงครามในอนาคตนั้น พลเมืองทุกคนไม่จำกัดเพศและวัย ย่อมจะต้องมีส่วนร่วมในสงครามด้วยกันทั้งสิ้น จึงมีความจำเป็นต้องขยายโครงสร้างของกองทัพ พร้อมกับพัฒนาระบบกำลังสำรองควบคู่กันไป พ.ศ. 2492 ได้เริ่มรับสมัครนักเรียนซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาตั้งแต่ชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 1 หรือชั้นปีที่ 1 ของโรงเรียนอาชีพ หรือเป็นนิสิตและนักศึกษาระดับอุดมศึกษาชั้นปีที่ 1 และทำการฝึกนศท.เป็นปีแรก โดยเริ่มในกรุงเทพมหานคร แล้วจึงกระจายไปตามหัวเมืองในต่างจังหวัด โดยดำเนินการฝึกครบทั้ง 5 ชั้นปี ในปี 2496 พ.ศ. 2497 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายสำคัญ 2 ฉบับในราชกิจจานุเบกษา คือ พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 และ พระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 ส่งผลให้นักศึกษาหรือนิสิตที่สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 ต้องเข้ารับราชการทหารในฐานะนายทหารสัญญาบัตรต่อไปอีกไม่เกิน 2 ปี จากนั้นให้ปลดเป็น นายทหารสัญญาบัตรกองหนุน หรือรับราชการในฐานะนายทหารสัญญาบัตรประจำการต่อก็ได้ (ต่อมาได้มีการแก้ไขข้อบังคับฯ เพิ่มเติมส่งผลให้ปลดเป็นนายทหารสัญญาบัตรกองหนุน) และได้มีพิธีประดับยศเป็น ว่าที่ร้อยตรี สำหรับผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2497 พ.ศ. 2503 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายในราชกิจจานุเบกษา คือ พระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2503 ส่งผลให้ถอนทะเบียนกองประจำการนักศึกษาหรือนิสิต เฉพาะที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2494 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 สำหรับนักศึกษาหรือนิสิตซึ่งรับราชการทหารตามมาตรา 7 และมาตรา 7 ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2494 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 นั้นให้ปลดเป็นกองหนุนตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร พ.ศ. 2528 ได้เริ่มมีการฝึกนศท.หญิงเป็นครั้งแรก พร้อมกับการฝึกนศท.ชั้นปีที่ 4 ในส่วนของกองทัพเรือ พ.ศ. 2544 สถาปนา หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง (นสร.) โดยการรวมกิจการของกรมการรักษาดินแดน และกรมการกำลังสำรองทหารบกเข้าด้วยกัน ลงคำสั่ง ทบ.(เฉพาะ) ที่ 63/44 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2544 พ.ศ. 2552 เปลี่ยนนามหน่วยเป็น หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) แทนชื่อเดิม หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง (นสร.) โดย นรด. มีหน้าที่วางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการและดำเนินการเกี่ยวกับกิจการกำลังสำรองทั้งปวง กิจการสัสดี รวมทั้งปกครองบังคับบัญชาหน่วยทหารที่กระทรวงกลาโหมกำหนด มีผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ การฝึก นศท.จึงได้รับการอำนวยการจากหน่วยงานดังกล่าว โดยขึ้นตรงกับ โรงเรียนรักษาดินแดน ศูนย์การกำลังสำรอง หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน รวมทั้ง ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกต่าง ๆ พ.ศ. 2560 มีการแปรสภาพ ศูนย์การกำลังสำรอง หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ศสร.) เป็น ศูนย์การนักศึกษาวิชาทหาร หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ศศท.) ณ ที่ตั้งสุทธิสาร และแปรสภาพ โรงเรียนกำลังสำรอง เป็น ศูนย์การกำลังสำรอง หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ศสร.) ณ ที่ตั้งปราณบุรี ทำให้ปัจจุบัน นักศึกษาวิชาทหารได้รับการอำนวยการฝึกจาก โรงเรียนรักษาดินแดน ศูนย์การนักศึกษาวิชาทหาร หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ปัจจุบัน รัฐบาลได้กำหนดวันที่ 8 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวัน นักศึกษาวิชาทหาร หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหารในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจัดพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหารเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของ ทหารประจำการ ตำรวจ ยุวชนทหาร และราษฏรอาสาสมัครที่ได้ร่วมมือต่อต้านข้าศึกในสงครามมหาเอเชียบูรพา การคัดเลือก[แก้]ช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี จะมีการคัดเลือกนักเรียนนักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เพื่อเข้าเป็นนักศึกษาวิชาทหาร โดยผู้เข้ารับการคัดเลือกจะต้องมีคุณลักษณะดังนี้
การทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย[แก้]นอกจากคุณสมบัติข้างต้นแล้ว ผู้เข้ารับการทดสอบ จะต้องผ่านเกณฑ์ทดสอบสมรรถภาพการคัดเลือกนักศึกษาในปี พ.ศ. 2553 โดยแต่ละอย่างจะมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน หากสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์ (วิ่งครบระยะทาง/ดันพื้นและลุกนั่งครบจำนวนครั้ง ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด) จะได้รับคะแนนเต็มในส่วนนั้น ๆ นอกจากนี้หากได้คะแนนเต็มทั้ง 3 ส่วน จะสามารถรายงานตัวเข้ารับการฝึกได้ทันที ชาย[แก้]
หญิง[แก้]
หลักสูตรและการเรียนการสอน[แก้]เป้าหมายของการฝึกนักศึกษาวิชาทหารในแต่ละชั้นปี
การฝึกวิชาทหารดังกล่าว ถ้ามีการละเว้นการเรียน 1 ปีโดยไม่แจ้งลาพักเข้ารับการฝึก จะถือว่าสิ้นสุดสภาพความเป็นนักศึกษาวิชาทหารไม่สามารถเข้ารับการฝึกในชั้นปีต่อไปได้ นักศึกษาวิชาทหาร ในส่วนของกองทัพบก[แก้]นักศึกษาวิชาทหารในส่วนของกองทัพบกสามารถแบ่งออกได้ 5 เหล่าคือ
การเรียนการสอนนักศึกษาวิชาทหารแบ่งออกเป็นภาคที่ตั้งและภาคสนาม สำหรับเหล่าทหารช่างและทหารเหล่าสื่อสารเริ่มการฝึกให้กับนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 4 เมื่อปีการศึกษา 2549 ศูนย์ฝึกและหน่วยฝึก[แก้]
ภาคที่ตั้ง[แก้]หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) กำหนดให้หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหารทำการฝึกทั้งหมด ทั้งหมด 80 ชม. โดยอาจฝึกแบบ 1 (20 สัปดาห์, สัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง) หรือแบบ 4 (10 สัปดาห์, สัปดาห์ละ 8 ชั่วโมง) ในชั้นปีที่ 4 และ 5 นั้นจะมีการฝึกศึกษาวิชาเหล่าใน 40 ชม. หลัง สำหรับส่วนภูมิภาค (มทบ. และ จทบ.) จะทำการฝึกภาคที่ตั้งในช่วงปิดภาคต้นของสถานศึกษาปกติ การฝึกยุทธวิธี[แก้]นอกจากการฝึกทฤษฎีและวินัยแล้ว จะมีการฝึกยุทธวิธีด้วย เช่น ยิงปืน ลงทางดิ่ง และโดดหอสูง โดยเมื่อผ่านการฝึกแล้ว จะสามารถติดเครื่องหมายของแต่ละการฝึกได้ นักศึกษาวิชาทหารชายชั้นปีที่ 4 และ 5 ที่สังกัดกรุงเทพฯ และจังหวัดข้างเคียง จะถูกแยกฝึกตามเหล่า โดยการแยกฝึกนี้จะถูกกำหนดจากศูนย์ฝึกฯ ผ่านลงมาตามสถานศึกษา การสอบ[แก้]ให้ดำเนินการสอบภาคปฏิบัติให้กับนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 1–5 ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ในสัปดาห์ที่ 21 ของการฝึกวิชาทหาร ในภาคปกติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป ให้งดการสอบภาคทฤษฎีสำหรับ นักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 1 ชั้นปีที่ 2 และชั้นปีที่ 4 แต่ให้ดำเนินการสอบภาคทฤษฎีสำหรับ นักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 5 เท่านั้น ภาคสนาม[แก้]นักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 1 ทั้งชายและหญิง ให้งดทำการฝึก นักศึกษาวิชาทหารที่สังกัดภายในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดข้างเคียง ให้ทำการฝึกที่ค่ายฝึกเขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี นักศึกษาวิชาทหารที่สังกัดส่วนภูมิภาค ให้ทำการฝึก ณ ที่ตั้งส่วนภูมิภาค นักศึกษาวิชาทหารชาย[แก้]
หมายเหตุ เรื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยในปลายปี พ.ศ. 2554 จึงทำให้งบประมาณที่จะใช้ในการฝึกภาคสนามไม่เพียงพอ ดังนั้น การฝึกภาคสนามประจำปีการศึกษา 2554 จึงดำเนินการฝึกให้สำหรับนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 3 ถึง ชั้นปีที่ 5 เท่านั้น แต่เพิ่มวันฝึกภาคสนามให้สำหรับชั้นปีที่ 3 ในปีการศึกษา 2554 เดิมจาก 5 วัน 4 คืน เพิ่มเป็น 6 วัน 5 คืน นักศึกษาวิชาทหารหญิง[แก้]
หลักสูตรพิเศษ[แก้]ปัจจุบัน มีการฝึกหลักสูตรพิเศษ เช่น การกระโดดร่มแบบพาราเซล โดยมีการฝึกภาคที่ตั้งและภาคสนามเพิ่มเติมจากหลักสูตรปกติ หลักสูตรพาราเซล[แก้] หลักสูตรพาราเซลสำหรับนักศึกษาวิชาทหาร จะเปิดรับสมัครให้แก่นักศึกษาชั้นปีที่ 3 กับชั้นปีที่ 4 เท่านั้นโดยแต่ละปีจะเปิดรับนักศึกษาชาย 100 คน หญิง 100 คนทั่วประเทศ โดยเกณฑ์การทดสอบร่างกายมีดังต่อไปนี้ ชาย:
หญิง:
การฝึกพาราเซล จะใช้เวลาตรงกับการฝึกภาคสนามของนักศึกษาวิชาทหารผลัดใดผลัดหนึ่ง ตามที่แผนกวิชารบพิเศษ ศูนย์การนักศึกษาวิชาทหารกำหนด โดยจะกินเวลา 7 วัน และเลื่อนการฝึกภาคสนามผลัดนั้นและผลัดต่อไปออก ผู้เข้ารับการฝึกจะพักแรมในบริเวณของกองพันฝึกปกครองที่ 41 รวมกันทั้งหมด นักศึกษาวิชาทหารผู้ผ่านการฝึก จะได้รับสิทธิในการติดเครื่องหมายปีกพาราเซลสีฟ้าเหนือป้ายชื่อ (หน้าอกด้านขวา) นักศึกษาวิชาทหาร ในส่วนกองทัพเรือ (ราชนาวี)[แก้]สังกัดกองการกำลังพลสำรอง กรมกำลังพลทหารเรือ โดย กพส.กพ.ทร.ได้ประสานกับ นรด.เพื่อจัดหานักศึกษาวิชาทหารที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ของกองทัพเรือหรือเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 ในส่วนของกองทัพเรือ (สมุดประจำตัวทหารกองหนุน หรือ สด.8 เป็นเล่มสีน้ำตาล) เข้ารับการศึกษาวิชาทหารในชั้นปีที่ 4 โดยแต่ละปีการศึกษาจะรับนึกศึกษาวิชาทหารประมาณ 90 นาย พ.ศ. 2552 การฝึกนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 1 ในส่วนของกองทัพเรือเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งจะขยายการฝึกจนครบทั้ง 5 ชั้นปีเช่นเดียวกับนักศึกษาวิชาทหารในส่วนของกองทัพบก แต่ยังเปิดรับนักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จการฝึกชั้นปีที่ 3 ในส่วนของกองทัพบกที่ประสงค์โอนย้ายมาฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 4 ในส่วนของกองทัพเรือไปจนถึงปีการศึกษา 2554 พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป การรับนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 4 จะรับสมัครนักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 3 จากกองทัพเรือเป็นเกณฑ์หลัก ภาคทฤษฎี
เมื่อทำการแยกหน่วยเสร็จสิ้น นักศึกษาวิชาทหารต้องเดินทางไปทำการฝึกที่หน่วยของตนในวันต่อไป
(หมายเหตุ : ข้อมูล นศท.ทร.ชั้นปีที่ 1 – 2 เป็นข้อมูลเดิม ก่อนการยุบหน่วย ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ เป็นศูนย์การฝึก หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (เกล็ดแก้ว) เมื่อ 1 เมษายน 2562) การรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 4
นักศึกษาวิชาทหารในส่วนของกองทัพเรือสามารถแบ่งออกได้ 2 พรรค 3 หน่วย คือ
การฝึกภาคสนาม/ทะเล
นักศึกษาวิชาทหาร ในส่วนของกองทัพอากาศ[แก้]ปีการศึกษา 2549 กรมกำลังพลทหารอากาศได้รับอนุมัติจากกองทัพอากาศ เปิดการฝึกนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 1 และจะเปิดการฝึกครบทั้ง 5 ชั้นปี ในปีการศึกษา 2553 โดยกองทัพอากาศต้องการเน้นเฉพาะการฝึกนักศึกษาวิชาทหารเพื่อเป็นกำลังพลสำรองในส่วนช่างเทคนิค เพื่อชดเชยกำลังหลักในส่วนดังกล่าวที่ขาดแคลน โดยจะคัดเลือกเฉพาะนักศึกษาวิชาทหารที่สถานศึกษามีที่ตั้งใกล้เคียงกับกองบัญชาการกองทัพอากาศกรุงเทพมหานคร และเปิดสอนในด้านช่างเทคนิค ซึ่งได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี โรงเรียนเซนต์จอห์นโปลิเทคนิค วิทยาลัยเทคโนโลยีช่างฝีมือปัญจวิทยา การฝึกภาคทฤษฎี การเรียนภาคทฤษฎีเริ่มทำการฝึกประมาณเดือนกรกฎาคม จนถึง เดือนพฤศจิกายน ของทุกปี ที่โรงเรียนจ่าอากาศ การฝึกภาคสนาม
การฝึกอบรมก่อนพิธีประดับยศ การอบรมใช้เวลา 5 วัน ดำเนินการโดยกรมยุทธศึกษาทหารอากาศ กองบัญชาการกองทัพอากาศ วันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2554 ได้มีพิธีประดับยศเป็น ว่าที่เรืออากาศตรี ให้กับ นศท. ชั้นปีที่ 5 ในส่วนของกองทัพอากาศ รุ่นที่ 1 ปีการศึกษา 2553 สิทธิที่นักศึกษาวิชาทหารจะได้รับ[แก้]การแต่งกาย[แก้]นักศึกษาวิชาทหารมีสิทธิแต่งเครื่องแบบนักศึกษาวิชาทหารได้ ตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักศึกษาวิชาทหารและเครื่องแบบผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหาร พ.ศ. 2521 นักเรียนผู้บังคับบัญชา[แก้]เนื่องด้วยมีนักเรียนจำนวนมากเข้ารับการศึกษาวิชาทหารในแต่ละปี ทำให้เป็นการยากต่อครูผู้ฝึกที่จะควบคุมดูแลตามลำพัง จึงมีการคัดเลือกและแต่งตั้งนักเรียนผู้บังคับบัญชา (หรือนักเรียนบังคับบัญชา) เพื่อช่วยเหลือครูผู้ทำการฝึก โดยนักเรียนบังคับบัญชาจะได้รับสิทธิในการติดป้ายชั้นปีปรับสีเพื่อแสดงชั้นยศ และอาจได้รับปลอกแขน โดยในหลักสูตรจะมีชั้นยศอย่างเป็นทางการ 3 ระดับ ได้แก่
นอกจากนี้ อาจมีการแต่งตั้งยศที่ไม่ได้มีการบรรจุในระเบียบอย่างเป็นทางการเพื่อการฝึก คือนักเรียนบังคับบัญชาระดับสูงหรือรองนักเรียนบังคับบัญชา โดยใช้ปลอกแขนคู่กับเลขชั้นปี สีประจำชั้นยศของยศพิเศษหรือแม้แต่ยศปกติข้างต้นอาจแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน
การยกเว้นตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารกองประจำการ[แก้]นักศึกษาวิชาทหารซึ่งอยู่ในระหว่างเข้ารับการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรของกระทรวงกลาโหมกำหนดตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2503 มีสิทธิได้รับการยกเว้นการเรียกมาตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารกองประจำการในยามปกติ ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 การเข้ารับราชการทหารกองประจำการ[แก้]บุคคลชายผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด มีหน้าที่รับราชการทหารด้วยตนเองทุกคน
การเพิ่มคะแนนพิเศษ[แก้]นักศึกษาวิชาทหารมีสิทธิได้รับการเพิ่มคะแนนพิเศษ เมื่อสอบเข้าโรงเรียนทหาร ตามข้อบังคับ กห.ว่าด้วยโรงเรียนทหาร พ.ศ. 2492 คือ
การแต่งตั้งยศทหาร[แก้]การแต่งตั้งยศทหารของนักศึกษาวิชาทหารผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหาร (ในส่วนของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ) ซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการแต่งตั้งยศทหาร พ.ศ. 2507 ระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการแต่งตั้งยศผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรของกระทรวงกลาโหม ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2524 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการแต่งตั้งยศผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรของกระทรวงกลาโหม ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2537 ดังต่อไปนี้ ระดับการศึกษา วิชาทหารหลักสูตรของ กห. ระดับการศึกษา วิทยฐานะ ศธ.รับรอง ยศทหาร ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ อักษรย่อ ทบ. ทร. ทอ. เงื่อนไข ชั้นปีที่ 1 มัธยมศึกษาตอนปลาย (เทียบเท่า) สิบตรี จ่าตรี จ่าอากาศตรี ส.ต., จ.ต., จ.ต. เข้ารับราชการกองประจำการครบกำหนดแล้ว อนุปริญญา (เทียบเท่า) - ปริญญาตรี สิบโท จ่าโท จ่าอากาศโท ส.ท., จ.ท., จ.ท. รับราชการกองประจำการครบกำหนดแล้วขึ้นทะเบียนและนำปลดแล้ว ชั้นปีที่ 2 - สิบตรี จ่าตรี จ่าอากาศตรี ส.ต., จ.ต., จ.ต. เข้ารับราชการกองประจำการครบกำหนดแล้ว มัธยมศึกษาตอนปลาย (เทียบเท่า) สิบโท จ่าโท จ่าอากาศโท ส.ท., จ.ท., จ.ท. รับราชการกองประจำการครบกำหนดแล้วขึ้นทะเบียนและนำปลดแล้ว อนุปริญญา (เทียบเท่า) - ปริญญาตรี สิบเอก จ่าเอก จ่าอากาศเอก ส.อ., จ.อ., จ.อ. รับราชการกองประจำการครบกำหนดแล้วขึ้นทะเบียนและนำปลดแล้ว ชั้นปีที่ 3 - สิบโท จ่าโท จ่าอากาศโท ส.ท., จ.ท., จ.ท. ขึ้นทะเบียนและนำปลดแล้ว มัธยมศึกษาตอนปลาย (เทียบเท่า) สิบเอก จ่าเอก จ่าอากาศเอก ส.อ., จ.อ., จ.อ. ขึ้นทะเบียนและนำปลดแล้ว อนุปริญญา (เทียบเท่า) - ปริญญาตรี จ่าสิบตรี พันจ่าตรี พันจ่าอากาศตรี จ.ส.ต., พ.จ.ต., พ.อ.ต. ขึ้นทะเบียนและนำปลดแล้ว ชั้นปีที่ 4 ศึกษาอนุปริญญา (เทียบเท่า) แต่ไม่สำเร็จการศึกษา จ่าสิบตรี พันจ่าตรี พันจ่าอากาศตรี จ.ส.ต., พ.จ.ต., พ.อ.ต. ขึ้นทะเบียนและนำปลดแล้ว อนุปริญญา (เทียบเท่า) จ่าสิบโท พันจ่าโท พันจ่าอากาศโท จ.ส.ท., พ.จ.ท., พ.อ.ท. ขึ้นทะเบียนและนำปลดแล้ว ปริญญาตรี จ่าสิบเอก พันจ่าเอก พันจ่าอากาศเอก จ.ส.อ., พ.จ.อ., พ.อ.อ. ขึ้นทะเบียนและนำปลดแล้ว ชั้นปีที่ 5 ศึกษาอนุปริญญา (เทียบเท่า) แต่ไม่สำเร็จการศึกษา จ่าสิบเอก พันจ่าเอก พันจ่าอากาศเอก จ.ส.อ., พ.จ.อ., พ.อ.อ. ขึ้นทะเบียนและนำปลดแล้ว อนุปริญญา (เทียบเท่า) - ปริญญาตรี (ว่าที่) ร้อยตรี, (ว่าที่) เรือตรี, (ว่าที่) เรืออากาศตรี (ว่าที่) ร.ต., (ว่าที่) ร.ต.(ชื่อ)ร.น., (ว่าที่) ร.ต. ได้รับการฝึกอบรมตามระเบียบการแต่งตั้งยศของเหล่าทัพแล้ว นำขึ้นทะเบียนและนำปลด หลักสูตรฝึกเลื่อนยศ(สูงสุด) (ว่าที่) พันเอก,(ว่าที่) นาวาเอก, (ว่าที่) นาวาอากาศเอก (ว่าที่) พ.อ., (ว่าที่) น.อ.(ชื่อ)ร.น., (ว่าที่) น.อ. เข้ารับการฝึกเลื่อนยศ ตามประกาศของหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน โดยจะเปิดรับสัมครทหารกองหนุนเข้ารับการฝึกเป็นประจำทุกปี โดยต้องเป็นนายทหารกองหนุนชั้นยศ และเหล่า ตามที่กำหนด หมายเหตุ 1 : ยศทหารชั้นสัญญาบัตรที่มิได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศทหาร ให้มีคำว่า "ว่าที่" นำหน้ายศนั้น ๆ หมายเหตุ 2 : เมื่อทหารกองเกินสำเร็จการฝึกวิชาทหารแล้วปลดจากกองประจำการจะได้รับการแต่งตั้งยศทหารเป็นนายทหารสัญญาบัตรแล้วปลดเป็นนายทหารสัญญาบัตรกองหนุน (ไม่มีเบี้ยหวัด) หรือได้รับการแต่งตั้งเป็นนายทหารประทวน แล้วปลดเป็นนายทหารประทวนกองหนุน (ไม่มีเบี้ยหวัด)แล้วแต่กรณีตามชั้นปีที่สำเร็จการศึกษาและเขื่อนไขดังกล่าวตามตารางข้างต้น หมายเหตุ 3 : เมื่อสมัครสอบคัดเลือกและได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการทหาร การแต่งตั้ง การเลื่อนหรือลดตำแหน่ง การย้าย การโอน การเลื่อนชั้นเงินเดือน...ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน พ.ศ. 2555 ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. 2521 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉับบที่ 7 พ.ศ. 2551) ส่วนการแต่งตั้งยศทหารให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงกลาโหมกำหนดตามพระราชบัญญัติยศทหาร พ.ศ. 2479 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2494 และฉบับที่ 7 พ.ศ. 2505) หมายเหตุ 4 : ปัจจุบันไม่มีการเปิดการฝึกหลักสูตร ชั้นนายพัน (ยศ ว่าที่พันตรี, ว่าที่นาวาตรี, ว่าที่นาวาอากาศตรี) มาเป็นระยะเวลานานแล้ว หมายเหตุ 5 : ระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเลื่อนยศและการเลื่อนฐานะกำลังพลสำรองที่เข้ารับราชการทหารในการเรียกกำลังพลสำรอง เพื่อฝึกวิชาทหาร เพื่อปฏิบัติราชการ หรือเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม และในการระดมพล พ.ศ. 2565 (หมวด 1 ข้อ 5) สามารถเลื่อนยศได้สูงสุดไม่เกิน ว่าที่พันเอก, ว่าที่นาวาเอก, ว่าที่นาวาอากาศเอก แนวคิดที่จะแก้ไขกฎระเบียบ[แก้]ตั้งแต่ปีการศึกษา 2555 จะไม่รับผู้มีอายุ 15 ปี (ซึ่งเป็นอายุที่กำลังศึกษาในระดับ ม.3-4) และจะเลือกรับผู้มีอายุ 17 ปีขึ้นไปก่อน ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติที่มิให้ฝึกใช้อาวุธแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับหลักสูตรการฝึกนักศึกษาวิชาทหาร ต้องมีการปรับปรุงให้ทันต่อสถานการณ์ และ ต้องให้ทันต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และได้กล่าวถึงปัญหาในปัจจุบันที่มีผู้ที่เข้ามารับสมัครเข้าเป็นนักศึกษาวิชาทหาร จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และได้แสดงความเป็นห่วงว่า ต่อไปถ้ามีผู้ที่เข้ามารับสมัครเข้าเป็นนักศึกษาวิชาทหารมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะทำให้จำนวนผู้ที่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารมีจำนวนลดน้อยลงเรื่อยๆ และในปัจจุบันอัตราส่วนอยูที่ 2.3 คน ต่อการเป็นทหารเกณฑ์ 1 คน ซึ่งจำนวนนี้จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ถ้ามีผู้ที่สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 3 มากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น ท่านจึงได้มีแนวคิดที่จะแก้ไขระเบียบให้นักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จหลักสูตรชั้นปีที่ 3 ขึ้นไป ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารประจำปีตามปกติ เหมือนชายไทยทั่วไปที่ไม่ได้เรียนนักศึกษาวิชาทหาร หรือ เรียนแต่ไม่สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 3 พลโทวิชิต ศรีประเสริฐ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดของ ผบ.ทบ. ที่มีแนวคิดให้ผู้ที่เรียนจบหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหาร ต้องเข้ามาเกณฑ์ทหารว่า แนวคิดดังกล่าวถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี และกองทัพมีแนวคิดในเรื่องนี้มานานแล้วว่า ทุกคนที่เรียนจบหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหาร ควรเข้ามารับการฝึกประมาณ 3–6 เดือน เพื่อเพิ่มพูนจิตวิญญาณในการรักชาติ ซึ่งเป็นเพียงแค่การขยายแนวความคิดเท่านั้น ต้องศึกษาวิธีการต่อไป ว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ การเพิ่มยอดนักศึกษาวิชาทหาร เพราะผู้ที่ได้เรียนนักศึกษาวิชาทหารส่วนใหญ่มาจากผู้ที่ได้เข้าเรียนตามสถานศึกษาต่าง ๆ ในระดับชั้น ม.4–6 แต่ชายไทยที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ จะต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารทั้งหมด ซึ่งมันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำได้ และ จากการหารือในรายละเอียด ก็ได้มีแนวทางว่า ต่อไปนักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 3 ขึ้นไป อาจจะต้องเข้ารับการตรวจเลือกเข้าเป็นทหารกองประจำการ แต่จะได้สิทธิลดหย่อนระยะเวลาในการรับราชการทหารแทน โดยอาจจะต้องเข้ามาประจำการเป็นทหารเกณฑ์ประมาณ 3–6 เดือน พลตรีทวีชัย กฤษิชีวิน ผู้บัญชาการศูนย์การกำลังสำรอง ได้ให้สัมภาษณ์ถึงหลักสูตรการฝึกนักศึกษาวิชาทหารว่า ณ ปัจจุบัน นักศึกษาวิชาทหารที่เรียนจบชั้นปีที่ 3 มีสิทธิ์ได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการ และปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 ได้รับยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์ทหาร แต่อนุสัญญาเจนีวา ที่ห้ามฝึกอาวุธให้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี จึงทำให้นักศึกษาวิชาทหารไม่สามารถฝึกอาวุธได้เข้มข้นเทียบเท่ากับทหารเกณฑ์ ดังนั้นจึงได้เสนอแนวคิดมาว่า ถ้านักศึกษาวิชาทหารเรียนจบชั้นปีที่ 3 ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารตามปกติ แต่ลดระยะเวลาการรับราชการทหารกองประจำการลงเหลือ 6 เดือน มิฉะนั้น ยังไม่ทันยิงปืนเป็นเรียนจบแล้ว แต่ถ้านักศึกษาวิชาทหารเรียนจบชั้นปีที่ 5 มีสิทธิ์ได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการ และ ปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 โดยไม่ต้องรับราชการในกองประจำการ ดังนั้น ถ้านักศึกษาวิชาทหารที่เรียนจบชั้นปีที่ 3 แล้วไม่ต้องการเป็นทหารต่อ จะต้องเรียนจนจบชั้นปีที่ 5 และหลักสูตรการการฝึกอาวุธ ได้ขยายไปอยู่ในชั้นปีที่ 4 – 5 และจะทำให้กองทัพสามารถผลิตทหารกองหนุนออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน ทุก ๆ อย่างที่ผู้บัญชาการทั้ง 3 ท่านได้กล่าวมานั้น ยังเป็นเพียงแค่แนวคิด ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น ยังคงใช้กฎระเบียบเดิมคือ ผู้ที่เรียนจบนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 3 มีสิทธิ์ได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการ และปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 โดยไม่ต้องเข้ารับราชการทหารเป็นทหารกองประจำการอีกต่อไป ข้อผูกพันต่อทางราชการ[แก้]นักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จหลักสูตรชั้นปีที่ 3, ชั้นปีที่ 4 หรือ ชั้นปีที่ 5 ให้ขึ้นทะเบียนกองประจำการ และนำปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 โดยได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการ และถือว่าเป็นกำลังพลสำรองของกองทัพแล้ว ทางราชการมีสิทธิ์เรียกพลเพื่อตรวจสอบสภาพ, ตรวจสอบบัญชีรายชื่อ หรือเพื่อฝึกวิชาทหารได้ทุกเวลา ซึ่งถ้ามีการเรียกพล ทางอำเภอจะส่งหมายเรียกไปที่บ้านของผู้นั้น เพื่อนัดวัน เวลา และสถานที่ ซึ่งผู้ถูกเรียกพล ต้องมารายงานตัวตาม วัน เวลา และ สถานที่ที่กำหนดไว้ โดยมีกำหนดการเรียกพลเพื่อฝึกวิชาทหาร 10 ปี ตามเงื่อนไขของระบบการกำลังพลสำรอง ซึ่งการเรียกพลจะกระทำจนถึงอายุ 29 ปีบริบูรณ์ ถ้าหากทหารกองหนุนท่านใดหลีกเลี่ยงการเรียกพลเพื่อฝึกวิชาทหาร ต้องรับโทษ ตาม พ.ร.บ. การรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ทหารกองหนุนท่านใดที่กำลังเรียนหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหารต่อในชั้นปีที่ 4 หรือ ชั้นปีที่ 5 สามารถขอผ่อนผันการเรียกพลเพื่อฝึกวิชาทหารได้ โดยต้องนำ สด.8 (สมุดประจำตัวทหารกองหนุนประเภทที่ 1) และเอกสารขอผ่อนผันมายื่นที่อำเภอให้เรียบร้อยอย่างถูกต้อง หากไม่ปฏิบัติตามวิธีการผ่อนผันที่ถูกต้อง จะถือว่าผู้นั้นหลีกเลี่ยงการเรียกพลเพื่อฝึกวิชาทหาร ต้องรับโทษเช่นเดียวกับผู้สำเร็จนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 3 ที่ไม่ได้ผ่อนผันการเรียกพลเพื่อฝึกวิชาทหาร แต่หลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกพลเช่นกัน ดูเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
รด.ปี3 ทำอะไรบ้างทหารกองหนุนประเภทที่ 1 คือ ทหารที่ปลดจากกองประจำการ หรือสำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 3 มีหน้าที่เข้ารับราชการในการเรียกพลเพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหารฯ เป็นการเตรียมให้กำลังพลมีประสิทธิภาพพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา บทกำหนดโทษ เรียนรด.ได้ประโยชน์อะไรบ้างเรียน รด สนุกดีค่ะได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน ได้ฝึกความอดทน ความเสียสละ ความมีระเบียบวินัย ได้เจอเพื่อนใหม่ๆมากมาย ได้ทุกข์ได้สุขมาด้วยกัน และทีสำคัญที่เราเป็น รด เพราะเราอยากเป็น ทหาร ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ แม้ตายไป อย่างน้อยก็ได้พลีชีพเพื่อชาติ จบ รด. ปี3 ได้ ยศ อะไร ผู้หญิงสำเร็จการฝึกชั้นปีที่ 3 จะได้รับแต่งตั้ง ยศเป็นสิบเอก สำเร็จการฝึกชั้นปีที่ 4 จะได้รับแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตรี รด ปี 2 ขาดได้กี่ครั้ง3. นักศึกษาวิชาทหารมีสิทธิ์ขาดเรียน รด. ได้ 4 ครั้ง 4. การขาดมี 2 แบบ - ขาดโดยโรงเรียนรับรอง ( ไม่ถูกตัดคะแนนความความประพฤติ ) - ขาดโดยโรงเรียนไม่ได้รับรอง (ถูกตัดคะแนนความความ ประพฤติครั้งละ 10 คะแนน ) 5. การขาดเรียนทุกครั้ง นักศึกษาวิชาทหารต้องเรียนชดเชย |