สรุปการทำสังคายนาครั้งที่ ๒ สาเหตุ : ปรารภภิกษุเหล่าวัชชีบุตร ชาวเมืองเวสาลี สถานที่ทำ :ณ วาลุการาม เมืองเวสาลี เพื่อชำระวัตถุ ๑๐ ประการ เวลาทำ :ทำอยู่ ๘ เดือนจึงสำเร็จ ประธานสงฆ์ :พระยสกากัณฑกบุตร การกสงฆ์ :พระอรหันต์ขีณาสพ ๗๐๐ รูป ผู้อุปถัมภ์ :พระเจ้ากาฬาโศกราช แห่งกรุงเวสาลี พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้วหลังจากมีการแตกแยกกัน เมื่อพิจารณาตามนัยนี้ ภิกษุฝ่ายวินัยวาทีเห็นว่าสมควรจะรักษาไว้เช่นเดิม แต่ถ้าพิจารณาในในเรื่องของทิฐิหรือความคิดเห็นแล้ว การทำสังคายนาครั้งที่ 1 นี้ จัดที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย ทำเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 3 เดือน พระอรหันต์จำนวน 500 องค์เข้าร่วมประชุม โดยมีพระมหากัสสปะเถระเป็นประธานฝ่ายสงฆ์และเป็นองค์ปุจฉา (ถาม) พระอุบาลีเถระเป็นองค์วิสัชนา (ตอบ) พระวินัย พระอานนท์เถระเป็นองค์วิสัชนาพระสูตร พระเจ้าอชาตศัตรู กษัตริย์ผู้ครองกรุงราชคฤห์เป็นองค์อุปถัมภก และเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ใช้เวลา 7 เดือนจึงเสร็จ ข้อที่น่าสังเกตในการทำสังคายนาครั้งที่ 1 นี้ คือ คำที่ใช้เรียกหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า จะใช้คำว่า “ธรรมวินัย” ยังไม่ปรากฏมีความว่า “พระไตรปิฎก” และ “พระอภิธรรม” สังคายนาครั้งที่ 2 การประชุมทำสังคายนาในครั้งที่ 2 นี้เกิดขึ้นหลังจากพุทธปรินิพพานแล้ว 100 ปี สาเหตุที่นำไปสู่การสังคายนา คือ ภิกษุชาวแคว้นวัชชีจำนวนมากจงใจละเมิดพระวินัย คือ สิกขาบทอันมีมาในพระปาติโมกข์ 10 ประการคือ 1. สิงคิโลณกัปปะ เก็บเกลือเอาไว้ปรุงอาหารฉันได้ (ผิด เพราะสะสมอาหาร ปรับอาบัติปาจิตตีย์)
การทำสังคายนาครั้งที่ 2 นี้ ทำที่วาลิการาม เมืองเวลาสี แคว้นวัชชี ประเทศอินเดีย พระอรหันต์เข้าร่วมประชุมจำนวน 700 รูป พระสัพพกามีเถระ เป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์และเป็นองค์วิสัชนา พระเรวตเถระเป็นองค์ปุจฉา พระเจ้ากาลาโศกราช กษัตริย์ผู้ครองแคว้นมคธและวัชชีเป็นองค์อุปถัมภกและเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ใช้เวลาทำสังคายนาครั้งนี้ 8 เดือนจึงเสร็จ นัก ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่า กลุ่มมหาสังฆิกะ เป็นกลุ่มที่เป็นต้นกำเนิดนิกายมหายาน เพราะเป็นกลุ่มที่ประกาศแยกออกมาอย่างชัดเจน แล้วมาร่วมกันรจนาพระธรรมในความหมายใหม่ว่า ธรรมนั้นเป็นพาหนะใหญ่ ช่วยขนเอาสรรพสัตว์ได้อย่างกว้างขวาง ไม่ยอมถอนวัตถุ 10 ประการ และยึดถือหลักปฏิบัติตามมติและทิฐิของครูอาจารย์เป็นสำคัญ จึงกลายเป็นฝ่าย อาจริยวาท (อาจริยวาทิน) แล้วเรียกพวกตนว่า “มหายาน” และเรียกฝ่ายตรงกันข้ามว่า “เถรวาท” หรือ “หีนยาน” ดังนั้นผลของการทำสังคายนาครั้งที่ 2 นี้ทำให้พระพุทธศาสนาแยกออกเป็น 2 นิกายใหญ่ ๆ คือ กลุ่มเถรวาทหรือหีนยาน กับกลุ่มอาจริยวาทหรือมหายาน และทั้ง 2 นิกายนี้ก็ยังแยกออกเป็นนิกายย่อย ๆ อีก กล่าวคือ 1. กลุ่มเถรวาท บางทีเรียกว่า “สถวีร” แยกเป็นนิกายย่อย ๆ อีก 16 นิกาย (รวมทั้งนิกายเดิมคือ สถวีร) เมื่อพุทธศักราชล่วงไปได้ประมาณ 1,000 ปี ฝ่ายมหายานได้หันเหลัทธิและทิฐิของตนไปผสมผสาน และปะปนกับลัทธิท้องถิ่นที่เผยแผ่เข้าไปถึงบ้าง ผสมผสานกับลัทธิในศาสนาอื่นบ้าง เช่น ศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) เป็นต้น จึงเป็นเหตุให้เกิดลัทธิใหม่ขึ้น เช่น ลัทธิโยกาจาร เป็นลัทธิที่ผสมผสานระหว่างลัทธิพุทธกับตันตระของพราหมณ์ จนกลายเป็น “พุทธตันตรยาน” และ “วัชรยาน” ซึ่งเป็นพุทธศาสนาอีกแบบหนึ่ง ซึ่งจะเห็นได้ในทิเบต ที่รู้จักในชื่อว่า ลัทธิลามะของทิเบต
การทำสังคายนาครั้งที่ 3 นี้ มีสาเหตุมาจากพระพุทธศาสนาได้รับความยอมรับนับถืออย่างกว้างขวาง มีผู้มีศรัทธาขอบวชในพุทธศาสนาจำนวนมาก จนเป็นสาเหตุให้นักบวชนอกศาสนาขาดลาภสักการะ พวกนี้บางทีเรียกว่า “เดียร์ถีย์” ได้ปลอมบวชในพุทธศาสนา แสดงลัทธิขัดต่อหลักพุทธศาสนา ทำการเผยแพร่ลัทธิของตนในนามพระพุทธศาสนา เป็นผลให้เกิดการรังเกียจ แตกแยกและเคลือบแคลงสงสัยในวงการพุทธศาสนา จนไม่ทำอุโบสถสังฆกรรมร่วมกันเป็นเวลานานถึง 7 ปี พระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ทรงศรัทธาเลื่อมใสพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า และทรงเป็นองค์อุปถัมภก ทรงวิตกว่าหากไม่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ก็จะทำให้พุทธศาสนาเสื่อมสลายไป ดังนั้น พระองค์จึงทรงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระให้ช่วยชำระสอบสวน และกำจัดพวกเดียร์ถีร์ออกไปจากธรรมวินัยเสีย ในครั้งนั้นพวกภิกษุที่ปลอมบวชในพระพุทธศาสนาได้ถูกจับสึกเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชก็ทรงให้อาราธนาภิกษุผู้บริสุทธิ์ร่วมกันทำอุโบสถสังฆกรรม พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเห็นเป็นโอกาสสมควรจึงได้จัดให้มีการทำสังคายนาขึ้น สายที่ 1 มีพระมัชฌันติกเถระ เป็นหัวหน้าคณะ เดินทางไปเผยแผ่พุทธศาสนาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย คือ แคว้นกัษมีระ (แคชเมียร์) และแคว้านคันธาระ สังคายนาครั้งที่ 4 การ ทำสังคายนาครั้งที่ 4 นี้ ไม่ได้ทำในประเทศอินเดีย แต่จัดทำขึ้นที่ลังกา เมื่อพุทธศักราช 236 (บางแห่งว่า พ.ศ. 238) โดยพระมหินทเถระที่เดินทางไปเผยแผ่พุทธศาสนาที่ลังกา ได้เป็นพระเถระองค์สำคัญในการจัดทำสังคายนาครั้งนี้ โดยจัดขึ้นที่ถูปาราม อนุราชบุรี ประเทศศรีลังกา วัตถุประสงค์สำคัญในการจัดครั้งนี้ก็เพื่อความตั้งมั่นแห่งพุทธศาสนาและเป็น การวางรากฐานให้ชาวศรีลังกาท่องจำพุทธวจนะตามแนวที่จัดระเบียบไว้แล้วใน อินเดีย ไม่ปรากฏหลักฐานว่าทำอยู่นานเท่าไรจึงสำเร็จ ตามที่หลักฐานปรากฏในบางแห่งระบุว่า การทำสังคายนาครั้งที่ 4 นี้ จัดทำที่เมืองบุรุษปุระในอินเดียภาคเหนือ ซึ่งเป็นการจัดทำของฝ่ายมหายาน (อาจาริยวาท) โดยความอุปถัมภ์ของพระเจ้ากนิษกะ แต่ฝ่ายเถรวาทได้แก่ ไทย ลาว พม่า เขมร ลังกา ไม่ยอมรับรอง เพราะถือว่าเป็นการสังคายนาของนิกายอื่น ผลอันหนึ่งของการสังคายนาครั้งนี้ คือ ฝ่ายมหายานใช้ภาษาสันสกฤต ในการจารึกพระไตรปิฎก สังคายนาครั้งที่ 5 การทำสังคายนาครั้งที่ 5 นี้ จัดขึ้นที่มหาวิหาร ประเทศลังกา เมื่อพุทธศักราช 450 ปี (บางแห่งเป็น พ.ศ. 433) สาเหตุของการจำทำครั้งนี้เกิดจากพระราชดำริของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย (บางแห่งเป็นทุฏฐคามินีอภัย) กษัตริย์ปกครองลังกา ที่ว่าเมื่อกาลเวลาล่วงไป หากยังคงใช้วิธีการท่องจำพระพุทธวจนะ โดยไม่มีการจารึกไว้หเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ความคลาดเคลื่อนและผิดพลาดอาจเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้คำสอนของพุทธศาสนาผิดไปจากเดิม ในที่สุดพุทธศาสนาก็จะเสื่อมสูญไปตามกาลเวลาอาศัยพระราชดำริของกษัตริย์ลังกานี้เอง จึงเกิดการทำสังคายนาครั้งที่ 5 ขึ้น โดยพระองค์ทรงโปรดให้พระพุทธทัตตเถระกับพระมหาติสสเถระร่วมกันดำเนินการ มีพระสงฆ์เข้าร่วมประชุมจำนวน 1,000 รูป สังคายนาครั้งนี้มีความสำคัญ สรุปได้ 2 ประการคือ 1. นับเป็นครั้งแรกที่มีการจดบันทึกพระพุทธวจนะเป็นลายลักษณ์อักษรลงบนใบลาน ด้วยภาษาบาลี ตามตำนานระบุว่าได้จารึกอรรถกถาลงไว้ด้วย การทำสังคายนาครั้งที่ 5 นี้ เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปของกลุ่มเถรวาท ความจริงการสังคายนานั้นมีการจัดทำกันหลายครั้งในที่หลายแห่ง ฝ่ายที่จัดทำก็มีทั้งฝ่ายเถรวาทและอาจริยวาท โดยต่างคนต่างทำในฝ่ายของตนเอง และต่างก็ไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน แม้ในฝ่ายเถรวาทเองก็ได้จัดทำสังคายนาหลายครั้งหลังจากการทำสังคายนาครั้งที่ 5 ผ่านไปแล้ว สรุปการสังคายนาพระไตรปิฎก 5 ครั้ง พระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระ พระเจ้าอโศกมหาราชพระอรหันต์ 1,000 องค์อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร อินเดีย4ปีพ.ศ. 236พระมหินทเถระ--ถูปาราม อนุราชบุร ีศรีลังกา5ปีพ.ศ. 450พระพุทธทัตตเถระพระเจ้าทุฏฐคามีนีอภัยพระสงฆ์ 1,000รูปมหาวิหาร ศรีลังกาการทำสังคายนาในประเทศไทย การทำสังคายนาในประเทศไทยแบ่งเป็น 4 ครั้ง กล่าวโดยสรุปดังนี้ พระเจ้าติโลกราชผู้นี้ มีเรื่องกล่าวถึงไว้ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์สั้น ๆ ว่าสร้างพระพุทธรูปในจุลศักราช 845 ในหนังสือสังคีติยวงศ์เล่าเรื่องสร้างพระพุทธรูปชนาดใหญ่ ตรงกับหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ แต่มีเล่าเรื่องสังคายนาพระไตรปิฏกด้วย (พ.ศ. 2020) พระเจ้าติโลกราชได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฎกหลายร้อยรูป มีพระธรรมทินเถระเป็นประธาน ให้ชำระอักษรพระไตรปิฎกในวัดโพธาราม 1 ปีจึงสำเร็จ เมื่อทำการฉลองสมโภชแล้ว ก็ได้ให้สร้างมณเฑียรในวัดโพธาราม เพื่อประดิษฐานพระไตรปิฎก สังคายนาครั้งที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดฯ ให้อาราธนาพระสงฆ์ผู้ทรงความรู้ให้ชำระพระไตรปิฎก ครั้งนี้มีพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 218 รูป กับราชบัณฑิตาจารย์อีก 32 คน ร่วมกันชำระพระไตรปิฎก แล้วจารึกลงในใบลาน ใช้เวลาในการชำระพระไตรปิฎกครั้งนี้ 5 เดือน การแบ่งงานการชำระพระไตรปิฏกครั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก พระวันรัตเป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก พระพิมลธรรมเป็นแม่กองชำระพระอภิธรรมปิฎก พระพุทฒาจารย์เป็นแม่กองชำระสัททาวิเสส (ตำราไวยากรณ์และคำอธิบายศัพท์ต่าง ๆ) ครั้นชำระเสร็จทั้งหมดแล้ว สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดฯ ให้ช่างจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน แล้วปิดทองทับทั้งในปกหน้าหลังและกรอบทั้งหมด เรียกว่า “ฉบับทอง” ห่อด้วยผ้ายก เชือกที่รัดก็ถักด้วยไหมแพรเบญจพรรณ ทุกคัมภีร์จะมีชื่อกำกับไว้ ซึ่งมีฉลากงาแกะเขียนอักษรด้วยหมึกและฉลากทองเป็นตัวอักษร สังคายนาครั้งที่ 3 การทำสังคายนาในเมืองไทยครั้งที่ 3 มีขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงโปรดให้ทำสังคายนาพระไตรปิฎก โดยการคัดลอกตัวขอมในคัมภีร์ใบลานที่มีอยู่เดิมเป็นอักษรไทย หลังจากนั้น ก็ให้ชำระแก้ไขให้ถูกต้อง แล้วให้จัดพิมพ์เป็นเล่ม ซึ่งเมื่อพิมพ์เป็นเล่มแล้วมีจำนวน 39 เล่ม นับว่าเป็นการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มด้วยอักษรไทยเป็นครั้งแรก การชำระจนกระทั่งจัดพิมพ์เป็นเล่มนั้น ใช้เวลาประมาณ 6 ปี คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2430 ถึง ปี พ.ศ. 2436 การพิมพ์ในครั้งนั้นเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่รัชกาลที่ 5 ที่พระองค์ทรงเสวยราชสมบัติมาครบ 25 ปีในการพิมพ์ครั้งแรกจำนวน 39 เล่มนี้ จัดเป็น 1 ชุด แต่ยังเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้จัดพิมพ์มีจำนวน 6 เล่ม และมีการพิมพ์เพิ่มจนครบบริบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 7 รวมเป็น 45 เล่ม สังคายนาครั้งที่ 4 การ ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 มีขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 หลักฐานเรื่องการจัดสังคายนานี้มีรายละเอียดในหนังสือรายงานการสร้างพระ ไตรปิฎกสยามรัฐ ข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำสังคายนาครั้งนี้จะเน้นไปในเรื่องการจัดพิมพ์ให้ทัน สมัยขึ้น ทำให้พระไตรปิฎกเปลี่ยนรูปโฉมจากฉบับใบลานเป็นรูปเล่มหนังสือ ซึ่งก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนครั้งแรกในเมืองไทย นอกจากนี้ ก็มีการจัดรูปแบบให้เหมาะสม เช่น การใช้เครื่องหมายและอักขรวิธีตามแบบของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชริ รญาณวโรรสที่ทรงคิดค้นขึ้นมาใหม่ และได้จัดทำอนุกรมต่าง ๆ ไว้ตอนท้ายเล่มเพื่อสะดวกในการค้นคว้า |