DSpace Repository Show
การปรับตัวทางวัฒนธรรมของนักศึกษาชาวจีนในประเทศไทย: กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา
JavaScript is disabled for your browser. Some features of this site may not work without it. การปรับตัวทางวัฒนธรรมของนักศึกษาชาวจีนในประเทศไทย: กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพาภารดี มหาขันธ์; Ren Zhiyuan; Sakdina Bunpiem; ศักดินา บุญเปี่ยม Date: 2555 Abstract:การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรับตัวทางวัฒนธรรมของนักศึกษาชาวจีนในมหาวิทยาลัยบูรพา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักศึกษาชาวจีนที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยบูรพาจำนวน ๒๕๗ คน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามและเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามด้วยวิธีการสัมภาษณ์ การสังเกต การวิเคราะห์ข้อมูลแบบสอบถาม โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปซึ่งค่าสถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ (Percentage)และค่าเฉลี่ย (Mean) และการวิเคราะห์ข้อมูลภาคสนามด้วยวิธีการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยปรากฏว่า ปัญหาทั่วไปในการดำรงชีวิตประจำวันของนักศึกษาชาวจีนเป็นปัญหาที่เกิดจากภาษา ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเฉพาะปัญหาในด้านการใช้ภาษาไทย ด้านสุขภาพ ด้านค่านิยม เป็นต้น โดยภาพรวม นักศึกษาชาวจีนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นอยู่ในระดับไม่ค่อยมีปัญหา การสนับสนุนทางสังคมนั้น ผลการวิจัยพบว่า เครือข่ายการคบเพื่อนของนักศึกษาชาวจีนเป็นกลุ่มขนาดเล็กโดยส่วนใหญ่จะคบเพื่อนคนจีน และเพื่อนคนไทยเป็นบางส่วน ซึ่งสามารถให้การสนับสนุนแก่นักศึกษาชาวจีนในหลายด้านตามความสามารถและบทบาทในสังคมไทย การเข้าร่วมกิจกรรมสังคมสามารถทำให้นักศึกษาชาวจีนได้รับผลประโยชน์ทั้งในการดำรงชีวิต การใช้ภาษาไทย และการศึกษา ส่วนวิธีการในการปรับตัวทางวัฒนธรรมของนักศึกษาชาวจีนมี ๖ วิธีการ คือ การบูรณาการ (Integration) การผสมผสาน (Assimilation) การแบ่งแยก ( Separation) กระบวนการชายขอบ (Marginalization) การบูรณาการกับการผสมผสาน (Integration and Assimilation) และการผสมผสานกับการแบ่งแยก (Integration and Separation) โดยภาพรวม วิธีการผสมผสานเป็นวิธีการที่นักศึกษาชาวจีนได้เลือกใช้เป็นจำนวนมากที่สุด สำหรับกระบวนการในการปรับตัวทางวัฒนธรรมของนักศึกษาชาวจีนมีสองแนวทาง คือ แนวทางที่หนึ่ง เมื่อนักศึกษาชาวจีนเข้ามาในประเทศไทยในตอนแรกจะมีความรู้สึกตื่นเต้นกับการพบสิ่งแปลกใหม่ หลังจากนั้น เกิดการช็อกทางวัฒนธรรม แล้วเริ่มมีการปรับตัวทางวัฒนธรรม แนวทางที่สอง คือ นักศึกษาชาวจีนจะมีการช็อกทางวัฒนธรรมในช่วงแรกก่อน แล้วค่อยปรับตัว เพื่อที่จะดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่นักศึกษาชาวจีนส่วนใหญ่ได้ประสบผ่านมา ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเสนอความคิดเห็นเพื่อสนับสนุนการปรับตัวทางวัฒนธรรมของนักศึกษาชาวจีนในมหาวิทยาลัยไว้เป็น ๓ ประเด็น คือ การอบรมภาษาไทย การกำหนดอาจารย์ที่ปรึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติประจำมหาวิทยาลัย และการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสาร Show full item record Files in this item
Name: p185-201.pdf Size: 4.692Mb Format: PDF This item appears in the following Collection(s)
Search DSpaceBrowse
My Account
ปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับองค์กรในการคิดทบทวนวัฒนธรรมองค์กรอีกครั้ง ในปี 2021 หลาย ๆ องค์กรต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน การจ้างงานและการรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้กับองค์กรนั้นเป็นเรื่องยาก และความท้าทายนี้จะยังคงอยู่ต่อไป นี่คือเหตุผลที่วัฒนธรรมองค์กรต้องการการปรับเปลี่ยนและการคิดทบทวน ความสามารถในการปรับตัวของวัฒนธรรม หรือ Cultural Adaptibility คือความสามารถขององค์กรในการทดลอง สร้างสรรค์ และปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมขององค์กรตามเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง การศึกษาของ Jennifer และเพื่อนร่วมงานในปี 2014 แสดงให้เห็นว่าองค์กรที่มีวัฒนธรรมที่ปรับตัวได้มีรายได้มากกว่าถึง 15% เมื่อเทียบกับองค์กรที่มีวัฒนธรรมที่ไม่ยืดหยุ่น วัฒนธรรมที่แข็งแรงและปรับตัวได้จะเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับการแข่งขันแย่งชิงบุคลากรที่มีความสามารถ (Talent War) ที่กำลังดำเนินอยู่ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าพนักงานกว่า 70% จะสมัครเข้าทำงานในบริษัทก็ต่อเมื่อค่านิยมของพวกเขาสอดคล้องกับค่านิยมของบริษัทเท่านั้น เมื่อมีพนักงานจำนวนมากขึ้นที่ให้ความสำคัญต่อวัฒนธรรมขององค์กรเมื่อต้องเลือกสถานที่ทำงาน ผู้นำจึงมีหน้าที่รับผิดชอบในการทบทวนวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง ว่าสิ่งไหนที่เป็นไปด้วยดี และสิ่งไหนที่ต้องปรับปรุง เพื่อให้แน่ใจว่าวัฒนธรรมมีจุดมุ่งหมายในการนำบริษัทไปสู่ความสำเร็จ และนี่คือแนวโน้มวัฒนธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในปี 2022 ความยืดหยุ่นในการทำงาน (Flexibility)การระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ความยืดหยุ่นในการทำงานกลายมาเป็นที่สนใจมากขึ้น และความคาดหวังของพนักงานก็เปลี่ยนไปพร้อม ๆ กัน จากการสำรวจโดย Harvard Business School แสดงให้เห็นว่าพนักงานกว่า 80% ไม่ต้องการกลับไปทำงานในที่ทำงานหรือชอบการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid) มากกว่า การให้ความยืดหยุ่นในการทำงานกับพนักงานมีมากขึ้นนั้น จะสามารถช่วยให้พวกเขารักษาสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work-life Balance) และมีความพึงพอใจในการทำงานที่สูงขึ้น การชื่นชมยอมรับ (Recognition)เป็นสิ่งสำคัญมากที่บริษัทจำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการชื่นชมยอมรับกัน เมื่อพนักงานทำงานจากระยะไกล ผู้จัดการจะมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินการของทีมน้อยลง การสำรวจโดย Gartner แสดงให้เห็นว่าผู้จัดการมักจะเชื่อว่าพนักงานที่เข้าไปทำงานที่บริษัทมีผลงานที่ดีกว่าและมีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งมากกว่าพนักงานที่ทำงานแบบระยะไกลหรือแบบผสมผสาน แต่นั่นไม่เป็นความจริงเสมอไป หากพนักงานไม่ได้รับการชื่นชมยอมรับอย่างเหมาะสม พนักงานจะรู้สึกไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน สิ่งนี้จะทำให้พนักงานมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพการทำงานลดลง ซึ่งจะนำไปสู่การลาออกของพนักงาน การพัฒนาพนักงาน (Employee Development)ประชากรรุ่นมิลเลนเนียลจะเป็นแรงงานกลุ่มสำคัญในโลกแห่งการทำงานในปีต่อ ๆ ไป และสำหรับคนกลุ่มนี้ การให้แค่ผลประโยชน์นั้นไม่เพียงพอ คนรุ่นมิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเองมากขึ้น เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงยินดีที่จะอยู่กับองค์กรที่ทำให้พวกเขามีความก้าวหน้า และในขณะเดียวกัน พวกเขาไม่ลังเลที่จะลาออกจากบริษัทเมื่อรู้สึกว่าตนไม่ได้เติบโตในการทำงานหรือเมื่องานที่ทำไม่เป็นไปตามความที่คาดหวังไว้ องค์กรควรลงทุนในพนักงานของตนเองโดยจัดให้มีโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพของพนักงานและเปิดโอกาสให้พนักงานมีความก้าวหน้าทางด้านการทำงาน ความปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety)การสร้างความปลอดภัยทางจิตใจเป็นก้าวแรกในการสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพสูง เมื่อสมาชิกในทีมทำงานในที่ที่ต่างกัน ทีมจะมีความเป็นทีมน้อยลง เพื่อให้สมาชิกในทีมของคุณมีส่วนร่วม ผู้นำต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาในการสื่อสาร โต้ตอบ และทดลองสิ่งใหม่ ๆ สมาชิกในทีมจะเปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่สร้างสรรค์มากขึ้นถ้าพวกเขารู้สึกสบายใจและปลอดภัยทางจิตใจเมื่อทำงานร่วมกัน เทคโนโลยี (Technology)เนื่องจากการทำงานแบบระยะไกลทำให้พนักงานมีระยะห่างระหว่างกันมากกว่าที่เคย เทคโนโลยีจึงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมการทำงาน จากการศึกษาพบว่าพนักงานส่วนใหญ่เชื่อว่าเทคโนโลยีช่วยปรับปรุงประสบการณ์การทำงานของพวกเขา โดยช่วยให้พวกเขาเชื่อมต่อกับองค์กรและเพื่อนร่วมงานได้ง่ายยิ่งขึ้น องค์กรจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อเป็นเครื่องมือในการโต้ตอบเสมือนจริงและเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลงาน ประสิทธิภาพในการทำงาน และการมีส่วนร่วมของพนักงานอีกด้วย การสร้างวัฒนธรรมที่มีการปรับตัวในปี 2021 เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านแรงงาน และในสภาพแวดล้อมที่เร่งรีบในปัจจุบัน การสร้างวัฒนธรรมที่แข็งแรงเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือการมุ่งเน้นในการสร้างวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับพนักงาน เพื่อที่จะสรรหาและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถระดับสูงไว้กับองค์กร ผู้นำจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าวัฒนธรรมองค์กรของพวกเขายังคงปรับตัวได้และมีจุดมุ่งหมายอยู่หรือไม่ โดยที่
การหันกลับมาให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมจะทำให้บริษัทได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ การมี "วัฒนธรรมที่ถูกต้อง" และปรับตัวได้แบบเรียลไทม์จะช่วยให้บริษัทสามารถดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้ได้ หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการสร้างวัฒนธรรมที่สร้างความผูกพัน ความร่วมมือ และสร้างแรงบันดาลใจ คุณสามารถเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราที่ Happily.ai เอกสารอ้างอิง [1]http://faculty.haas.berkeley.edu/chatman/papers/Chatman-2014-JOB.pdf [2]https://www.forbes.com/sites/carolinecastrillon/2021/12/29/why-2022-is-the-year-of-workplace-culture/?sh=745b88cb1bbb [3]https://blog.vantagecircle.com/corporate-culture/ [4]https://builtin.com/company-culture/why-is-organizational-culture-important [5]https://www.forbes.com/sites/forbeshumanresourcescouncil/2022/01/21/key-strategies-for-leading-culture-change-in-2022/?sh=7c5c369b3b74 [6]https://www.platypus.io/blog/how-to-transform-your-culture-in-2022 [7]https://hbr.org/2020/08/dont-let-the-pandemic-sink-your-company-culture [8]http://faculty.haas.berkeley.edu/chatman/papers/Chatman_O'Reilly_Research_in_Organizational_Behavior_2016.pdf [9]https://hbr.org/2022/01/11-trends-that-will-shape-work-in-2022-and-beyond [10]https://blog.vantagecircle.com/psychological-safety/ [11]Photo by Diego PH on Unsplash |