สิ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้จึงเป็นอนัตตา แต่เพราะความไม่รู้ และ กิเลสที่สะสมมานานนับภพชาติไม่ได้ จึงยึดสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นสิ่งต่างๆ ตราบใดที่ยังไม่อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง ก็ไม่มีทางดับกิเลส ดับตัณหาได้ พระพุทธองค์ทรงแสดงทางสายกลาง ซึ่งก็คือ อริยมรรค์มีองค์ ๘ หนทางเดียวที่จะดับกิเลส ดับตัณหาได้ ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโท สาขาสันติศึกษา
ในขณะที่โลกปัจจุบันกำลังเดินทางเข้าสู่ความสุดโต่ง (Extreme) ทั้ง ๒ ด้าน คือ (๑) ลัทธิทุนนิยม (Capitalism) การลุ่มหลง มัวเมาอยู่ในวัตถุนิยม และบริโภคนิยม ภายใต้บาทฐานของระบบทุนนิยม จึงทำให้สังคมมนุษย์เปลี่ยนจากสังคมแห่งการแบ่งปันโน้มเอียงไปสู่สังคมแห่งการแย่งชิง โดยแย่งกันหากิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันสวาท และแย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ เพื่อสนองกิเลสตัณหาอย่างไม่มีขีดจำกัด (๒) ลัทธิก่อการร้าย (Terrorism) เน้นพฤติการณ์รุนแรงซึ่งมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความกลัว กระทำการเพื่อจุดประสงค์ทางศาสนา การเมืองหรืออุดมการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการกระทำที่จงใจหรือไม่ใส่ใจต่อความปลอดภัยของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง (พลเรือน) และกระทำโดยองค์กรที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐใด ๆ ลัทธิที่ ๒ เป็นปฏิกิริยาย้อนกลับเพื่อทิ่มแทงลัทธิที่ ๑ อันเกิดมาจากความไม่พึงพอใจ ความคับแค้นใจ อันเนื่องมาจากการกินพื้นที่ และภาวะคุกคามของระบบทุนนิยม ฉะนั้น การทำลายเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์ก จึงการเผชิญหน้าเพื่อประกาศภาวะสงครามระหว่างลัทธิทั้งสองนี้ ผลต่อเนื่องที่ตามมา คือ การที่ทุนนิยมเปิดหน้าประกาศสงครามกับลัทธิก่อการร้ายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ตัวอย่างของการไม่ยอมแพ้ของลัทธิก่อการร้ายคือ การกลายพันธุ์ไปสู่กลุ่มใหม่ที่เรียกว่า "ISIS" หรือ "Islamic State in Iraq and Syria" เป็นกองกำลังติดอาวุธที่ใช้ความรุนแรงในการต่อต้านระบอบทุนนิยมจากตะวันตกอย่างสุดขั่ว กิจกรรมที่คนทั่วไปคุ้นเคย คือ การฆ่า ไม่ว่าจะเป็นการฆ่านักข่าว การฆ่าเด็กและสตรี รวมไปการกลุ่มคนที่เป็นปฏิปักษ์ ในขณะที่ระบบทุนนิยมให้ความสำคัญต่อการแสวงหาวัตถุมาช่วยทะนุถนอม บำรุงบำเรอ ปรนเปรอร่างกายเพื่อให้เกิดความสะดวก สนุก และสบายอย่างสุดขั่ว (กามสุขัลลิกานุโยค) แต่ฝ่าย ISIS พยายามอย่างสุดกำลังที่จะหาโอกาสและช่องทางในการฆ่าล้าง และทำลายร่างกายที่เป็นตัวหุ้มห่อกิเลสอันเกิดจากความโลภ การเอารัดเอาเปรียบคนอื่นโดยการแย่งชิงทรัพยากร และผลประโยชน์ไปปรนเปรอตัวเอง (อัตตกิลมถานุโยค) การเผชิญหน้าของ "ความสุดโต่ง" ทั้งสองลัทธิ คือ "ระบบทุนนิยมและลัทธิก่อการร้ายนิยมความรุนแรง" จึงทำให้โลกต้องหันกลับมาหา "ภูมิปัญญาของศาสนา" ที่พยายามเน้นสอน "ทางสายกลาง" เพื่อมิให้โลกเผชิญหน้ากัน มนุษย์มีความสุขในการดำเนินชีวิต และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
พระพุทธเจ้าทรงนำเสนอภูมิปัญญาของโลกเพื่อพัฒนาให้ "โลกภายนอกก็ไม่วุ่น โลกภายในก็ไม่ขุ่นเคือง" นั่นคือ "ทางสายกลาง" หรือ "มัชฌิมาปฏิปทา" โดยพระองค์ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรพชิตไม่ควรปฏิบัติให้หนักไปในส่วนที่สุด ๒ อย่าง คือ (๑) กามะสุขัลลิกานุโยโค หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนเพื่อแสวงหาความสุขอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่น่ารักน่าปรารถนา และ (๒) อัตตกิลมถานุโยค หมายถึง การประพฤติปฏิบัติด้วยการทรมานร่างกายให้ได้รับความลำบาก ซึ่งมีแต่ทำให้ใจเป็นทุกข์ทรมานอย่างเดียว ทางสายกลางจึงมิใช่ "ทางเลือก" แต่เป็น "ทางรอด" ที่ชาวโลกจะต้องนำภูมิปัญญานี้มาปรับประยุกต์ใช้ให้สอดรับกับบริบท ทางสายกลางจึงมิใช่สมบัติของพระพุทธศาสนา แต่เป็นสมบัติของชาวโลกที่พระพุทธเจ้าไม่ประสงค์ให้จดลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญาเฉพาะชาวพุทธเท่านั้น พระพุทธองค์ทรงค้นพบกฎนี้จากธรรมชาติจึงนำกฎนี้มาบอกแก่ชาวโลก ดังพระดำรัสที่ว่า "ไม่ว่าพระตถาคตจะเกิดหรือไม่ก็ตาม ธรรมะเป็นของที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ" ฉะนั้น กฎนี้จึงเป็นปัญญาสาธารณะที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ หรือผูกขาดอย่างแท้จริง ธรรมจักกัปปวัตนสูตร จึงเป็นพระสูตรที่หมุนจักร คือ ธรรม อันได้แก่ "ทางสายกลาง" หรือ "มัชฌิมาปฏิปทา" ให้กระจายขยายตัวออกไปในทิศต่างๆ ในโลกใบนี้ ธรรมจักรจึงเป็นอำนาจที่ชุ่มเย็น (Soft Power) หมุนไปในทิศใด ความสันติสุขย่อมบังเกิดในทิศนั้น ในขณะจักรของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถือเป็นอำนาจที่เร้าร้อน (Hard Power) หมุนไปในทิศใด การบาดเจ็บล้มตายย่อมบังเกิดในที่นั้น ฉะนั้น ในขณะที่โลกกำลังเร้าร้อนและวุ่นวายเพราะลัทธิสุดโต่งทั้งสองด้านดังกล่าว จึงถึงเวลาที่เหมาะสมที่ชาวโลกจะต้องหันกลับมาทบทวนบทบาทและสถานะของตัวเอง โดยการดึงตัวเองกลับคืนมาสู่จุดสมดุล ด้วยการนำหลัก "ทางสายกลาง" มาปรับใช้ในทุกบริบทของสังคม ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง สังคม การศึกษา และสิ่งแวดล้อม การปรับใช้จึงมิได้มีคำตอบเพื่อตัวมนุษย์เท่านั้น หากแต่เป็นความอยู่รอดของโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน กล่าวโดยภาพรวมแล้ว ทางสายกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนาถือว่าเป็น "สันติวิธีวิถีพุทธ” ที่พระพุทธเจ้าทรงนำเสนอให้เป็นทางเลือกในการปฏิบัติเพื่อให้หลุดจากกับดักของทุกข์คือความขัดแย้งและความรุนแรง แนวทางนี้เป็นการปฏิเสธหนทางสุดโต่งทั้งสองด้าน คือ (๑) หนทางในการแสวงหา และแย่งชิงผลประโยชน์และความต้องการ เพื่อบำรุงบำเรอและสนองตอบต่อความอยากที่ไร้ขีดจำกัดของมนุษย์ (๒) การทรมานตน โดยการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความทุกข์ยากลำบากให้แก่ตนเองด้วยวิธีการต่างๆ (ตบะ) ด้วยเข้าใจผิดคิดว่าว่า การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ตัวเองบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่มุ่งหวัง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปรากฏชัดคือ สภาพจิตของกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับทางสุดโต่งทั้งสองด้านย่อมเกิด “สภาวะขาดดุล” หรือ “สูญเสียดุล” จนทำให้ใจวิ่งวุ่นอยู่ในภาวะของความทุกข์ทรมานอันเกิดจากความอยากได้ อยากใหญ่ ใจแคบ โกรธ เกลียด เคียดแค้น ชิงชัง มุ่งมาตรปรารถนาร้าย ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเตือนว่า “ทางสุดโต่งทั้งสองด้านนี้เป็นธรรมอันเลว เป็นธรรมของคนผู้มีกิเลสหนา เป็นธรรมที่ไม่ประเสริฐ เป็นธรรมที่ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์”
|