สิทธิมนุษยชนตามหลักสากล สิทธิมนุษยชน เนื้อหาสาระมีว่าอย่างไร Show
ไก่แก้ว ตอบ ไก่แก้ว หลักการสำคัญที่สุดของ “สิทธิมนุษยชน” (Human Rights) คือ มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน โดยที่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระบุไว้ว่า สิทธิมนุษยชนใช้กับมนุษย์ทุกคนโดย เสมอกัน ไม่ว่าอยู่ที่ใด รัฐใด มีเชื้อชาติหรือวัฒนธรรมใด โดยสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลได้รับการรับรองทั้งความคิดและการกระทำที่ไม่มีการล่วงละเมิดได้ สิทธิมนุษยชน คือ สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่เป็นของพวกเราทุกคน ไม่ว่าเราจะเป็นใคร หรืออยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ จะมีความเชื่ออะไร หรือใช้ชีวิตแบบไหน สิทธิมนุษยชนเป็นหลักทาง ศีลธรรมหรือจารีต ซึ่งอธิบายมาตรฐานตายตัวของพฤติกรรมมนุษย์และได้รับการคุ้มครองสม่ำเสมอ เป็นสิทธิทางกฎหมาย ในกฎหมายท้องถิ่นและกฎหมายระหว่างประเทศ ปกติเข้าใจว่าเป็นสิทธิพื้นฐานที่ไม่โอนให้กันได้ “ซึ่งบุคคลมีสิทธิในตัวเพียงเพราะ ผู้นั้นเป็นมนุษย์” และซึ่ง “มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน” โดยไม่คำนึงถึงชาติ สถานที่ ภาษา ศาสนา ชาติพันธุ์กำเนิด หรือสถานภาพอื่นใด สิทธิมนุษยชนใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาในแง่ที่เป็นสากล และสมภาคในแง่ที่เหมือนกันสำหรับทุกคน สิทธิดังกล่าวต้องการความร่วมรู้สึกและหลักนิติธรรม และกำหนดพันธะต่อบุคคลให้เคารพสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น สิทธิดังกล่าวไม่ควรถูกพรากไปยกเว้นอันเป็นผลของกระบวนการทางกฎหมายที่ยึดพฤติการณ์แวดล้อมจำเพาะ ตัวอย่างเช่น สิทธิมนุษยชนอาจรวมเสรีภาพจากการจำคุกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย การทรมาน และการประหารชีวิต สิทธิมนุษยชนไม่สามารถถูกพรากไปได้ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าความเป็นมนุษย์ เช่น ความมีศักดิ์ศรี ความยุติธรรม ความเท่าเทียม ความเคารพ และความเป็นอิสระ สิทธิมนุษยชนไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิดที่เป็นนามธรรมเท่านั้น แต่คือแนวคิดที่ได้รับการนิยาม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ทั้งนี้ การขับเคลื่อนขบวนการสิทธิมนุษยชนพัฒนาขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะความเหี้ยมโหดของฮอโลคอสต์ (Holocaust-ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือพันธุฆาต) ก่อนที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติจะมีมติเห็นชอบ “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน” (The Universal Declaration of Human Rights: UDHR) เพื่อเป็นกรอบในการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1948 (พ.ศ. 2491) ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแบ่งสิทธิและเสรีภาพออกเป็น 30 หมวด เช่น สิทธิในการแสวงหาที่ลี้ภัย สิทธิในการมีเสรีภาพจากการทรมาน สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และสิทธิในการศึกษา ไม่มีใครสามารถพรากสิทธิและเสรีภาพนี้ไปจากเราได้ เพราะสิทธิและเสรีภาพนี้เป็นของพวกเราทุกคน ซึ่งนับตั้งแต่มีการกำหนดปฏิญญานี้ขึ้นเมื่อเจ็ดสิบปีที่แล้ว ปฏิญญาสากลว่าด้วย สิทธิมนุษยชนได้ถูกใช้เป็นรากฐานของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศทุกฉบับ สิทธิมนุษยชนมีคุณลักษณะเฉพาะ ซึ่งได้รับการยอมรับโดยประชาคมโลก ดังนี้ มีความเป็นสากล : สิทธิมนุษยชนเป็นของมนุษย์ทุกคน, พรากไปไม่ได้ : สิทธิมนุษยชนไม่สามารถถูกพรากไปจากเราได้ และไม่สามารถแบ่งแยกได้ เพราะสิทธิทุกสิทธิล้วนเกี่ยวข้องกัน : รัฐบาลไม่สามารถเลือกที่จะเคารพสิทธิใดสิทธิหนึ่งได้ สิทธิทุกสิทธิต้องได้รับการเคารพอย่างเท่าเทียมกัน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน โดยเป้นหนึ่งในกลุ่มประเทศแรกที่ลงนามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติใน ค.ศ. 1948 และดูเหมือนมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาข้อกำหนด อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ผู้มีอำนาจมักละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาติไทยด้วยการลอยนวลพ้นผิด[1][2] ตั้งแต่ ค.ศ. 1977 ถึง 1988 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (AI) รายงานว่ามีการกลบเกลื่อนคดีฉาวโฉ่เกี่ยวกับการกักขังตามอำเภอใจมากกว่าหนึ่งพันราย การบังคับบุคคลให้สูญหาย 50 ครั้ง และการทรมานและการวิสามัญฆาตกรรมอย่างน้อย 100 ครั้ง นับตั้งแต่ปีนั้น ทาง AI แสดงให้เห็นว่าแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย และสถิติสิทธิมนุษยชนของไทยโดยรวมยังคงเป็นปัญหา[3]:358-361 รายงานฮิวแมนไรท์วอทช์ใน ค.ศ. 2019 ขยายภาพรวมของ AI ที่เน้นเฉพาะกรณีของประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งช่วงกลาง ค.ศ. 2019 สถิติสิทธิมนุษยชนของไทยยังคงไม่มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลง[4][5]:7-8 การรับรองในกฎหมาย[แก้]สนธิสัญญานานาชาติ[แก้]ใน ค.ศ. 1948 ประเทศไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติแรกที่ลงนามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ[6] โดยทำตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองในเรื่องเสรีภาพ สิทธิทางการเมือง และเสรีภาพพลเมืองตั้งแต่ ค.ศ. 1997 โครงสร้างการคุ้มครองทางกฎหมายในประเทศ[แก้]มีการริเริ่มสิทธิใหม่ ๆ ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งรวมถึงสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาแบบให้เปล่า สิทธิในชุมชนท้องถิ่น และสิทธิในการต่อต้านโดยสันติซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ สิทธิเด็ก คนชรา ผู้พิการ และความเสมอภาคทางเพศ เสรีภาพของสารสนเทศ สิทธิในสาธารณสุข การศึกษาและสิทธิผู้บริโภคก็ได้รับการรับรองเช่นกัน รวมแล้ว มีสิทธิที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 รับรอง 40 สิทธิ เปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ที่รับรองเพียง 9 สิทธิ[7] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2560) ซึ่งร่างขึ้นโดย องค์กรซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะผู้ยึดอำนาจการปกครองขณะนั้น ระบุไว้ในมาตรา 4 ว่า "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง"[8] มาตรา 25 ถึง 49 ได้บรรยายขอบเขตของสิทธิเฉพาะในบางด้าน เช่น ความยุติธรรมทางอาญา การศึกษา การไม่เลือกปฏิบัติ ศาสนา และเสรีภาพในการแสดงออก การก้าวก่ายชีวิตส่วนตัว ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว โดยจำนวนมาตรา ในเรื่องสิทธิลดลง 14 มาตรา เมื่อเทียบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดสิทธิต่าง ๆ โดยให้อยู่ในหมวด 3 และไม่มีส่วนของสิทธิ ซึ่งแตกต่างกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่กำหนดให้มีส่วนของสิทธิแบ่งเป็น 9 ส่วน บททั่วไป ความเสมอภาค สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน สิทธิเสรีภาพในการศึกษา สิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ การจัดอันดับสิทธิและเสรีภาพขององค์การนอกภาครัฐ[แก้]ใน ค.ศ. 2020 รายงานสำรวจรายปีของฟรีดอมอินเดอะเวิลด์และรายงานฟรีดอมเฮาส์ของสหรัฐ ซึ่งมีหน้าที่พยายามวัดระดับประชาธิปไตยและเสรีภาพทางการเมืองในทุกประเทศ ปรับปรุงอันดับประเทศไทยจากไม่เสรีเป็นเสรีบางส่วน เนื่องจากข้อจำกัดในการชุมนุมลดลงเล็กน้อยและควบคุมการเลือกตั้งอย่างเข้มงวดได้ยุติช่วงเวลาคณะผู้ยึดอำนาจการปกครองโดยตรง แม้จะพบข้อบกพร่องที่สำคัญก็ตาม[9] อย่างไรก็ตาม มีการปรับจากเสรีบางส่วนเป็นไม่เสรีอีกครั้งจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ พรรคฝ่ายค้านที่เป็นที่นิยมในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2019 และรัฐบาลที่ปกครองโดยทหาร นำโดยนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา การปราบปรามผู้เรียกร้องการปฏิรูปประชาธิปไตยในการประท้วงในประเทศไทย ค.ศ. 2020–2021[10] ใน ค.ศ. 2021 พระมหากษัตริย์และรัฐบาลเผด็จการทำให้เสรีภาพพลเมืองแย่ลงด้วยการใช้กฎหมายความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์อย่างรุนแรงต่อผู้ประท้วง ระบบความยุติธรรมที่ไม่น่าไว้วางใจ จำกัดเสรีภาพในการพูด และไม่มีเสรีภาพในการสมาคม[11] ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันก็แย่ลงจากอันดับ 36 ไปเป็น 35 ซึ่งอยู่ในประเทศที่ 110 จาก 180 ประเทศ[12]
การละเมิดสิทธิมนุษยชน[แก้]ในรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยเป็นต้นเหตุของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายกรณี โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนใต้ ในสงครามปราบปรามยาเสพติด ในการจับและจองจำผู้ต้องหา ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในเรือนจำ และในการจำกัดเสรีภาพการแสดงออก ในบางครั้งเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดอาจถูกจับและลงโทษหรือปลดออก แต่สิทธิการได้รับยกเว้นโทษตามกฎอัยการศึก พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่ถูกลงโทษตามสมควร ส่วนการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยคนทั่วไปและอาชญากร ได้แก่ การค้ามนุษย์ การบังคับค้าบริการทางเพศ การเลือกปฏิบัติ โดยผู้ถูกละเมิด ได้แก่ ผู้ลี้ภัย แรงงานต่างชาติ แรงงานเด็ก สตรี กลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย ผู้พิการ[17] การค้ามนุษย์[แก้]การค้ามนุษย์เป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทย ซึ่งมีทั้งการล่อลวงและการลักพาชายจากกัมพูชาโดยนักค้ามนุษย์และขายให้แก่เรือประมงผิดกฎหมายซึ่งจับปลาในอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ ชายเหล่านี้ได้รับสัญญาว่าจะได้ทำงานที่มีรายได้ดีกว่า แต่กลับถูกบังคับให้ทำงานเป็นทาสบนเรือนานถึง 3 ปี[18] การค้าเด็กก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญในประเทศไทยเช่นกัน โดยการบังคับให้เด็กที่ถูกลักพาซึ่งมีอาจมีอายุน้อยเพียง 4 ปีเป็นทาสเพื่อบริการทางเพศในนครใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครและภูเก็ต กิจกรรมดังกล่าวแพร่กระจายมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทของประเทศ[19] อย่างไรก็ตามในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2562 รัฐบาลประสบความสำเร็จในการพัฒนาสิทธิมนุษยชนด้านการประมง โดยคณะกรรมาธิการยุโรปได้ให้ใบเขียวแก่ประเทศไทย เพื่อยืนยันว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม[20] สิทธิทางการเมือง[แก้]หลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 ประชาชนถูกลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออกและเดินทางอย่างรุนแรง มีบุคคลหนีคำสั่งเรียกให้มารายงานตัวและหมายจับของศาลทหารไปต่างประเทศหลายคน กองทัพสั่งห้ามการชุมนุมทางการเมืองและกิจกรรมของพรรคการเมือง พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 เป็นกฎหมายการชุมนุมฉบับใหม่ที่ออกมาหลังรัฐประหาร และมีเนื้อหาละเมิดสิทธิในการชุมนุมอย่างชัดเจน[21] ในการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2564 มีการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อจำกัดการชุมนุม ทั้งที่ก่อนหน้านี้อ้างว่าใช้เพื่อควบคุมการระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศเท่านั้น[22] เสรีภาพสื่อ[แก้]พันธมิตรสื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPA) หมายเหตุว่า สภาพแวดล้อมด้านสื่อของประเทศไทยก่อนเกิดรัฐประหารถือว่าเป็นสื่อที่เสรีและมีชีวิตชีวาที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย แต่เสื่อมลงอย่างรวดเร็วหลังการยึดอำนาจของฝ่ายทหาร พันธมิตรสื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชี้ว่า มีการปิดสถานีวิทยุชุมชนราว 300 แห่งทั่วประเทศ การสกัดกั้นช่องข่าวเคเบิลเป็นระยะ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏข่าวเกี่ยวกับทักษิณ ชินวัตร หรือวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์) และการระงับเว็บไซต์ไทยบางเว็บที่อภิปรายถึงการเข้าแทรกแซงประชาธิปไตยไทยของกองทัพ SEAPA ยังชี้ว่า ขณะที่ดูเหมือนจะไม่มีการปราบปรามนักหนังสือพิมพ์ และผู้สื่อข่าวทั้งต่างชาติและชาวไทยเหมือนจะมีอิสระที่จะสัญจร สัมภาษณ์ และรายงานรัฐประหารตามที่เห็นสมควร แต่การเซ็นเซอร์ตัวเองยังเป็นปัญหาอยู่ในห้องข่าวของไทย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยังได้ออกกฎหมาย พระราชบัญญัติ การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 เพื่อควบคุมการชุมนุม ในปี พ.ศ. 2560 เอกชัย หงส์กังวาน ได้แสดงความจำนงผ่านเว็บไซด์เฟซบุ๊คว่าเขาจะใส่เสื้อสีแดง ในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งตรงกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ถูกควบคุมตัว[23] ในปี พ.ศ. 2561 รัฐบาลประสบความสำเร็จในการห้ามการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ประชาชนชาวไทยส่วนหนึ่งแม้ไม่เห็นด้วยต่อสถาบันกษัตริย์แต่สื่อมวลชนในประเทศไทยเลือกที่จะไม่รายงานข่าวมากกว่ารายงานข่าวที่เป็น ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์อาทิทรงประทับอยู่ที่ต่างประเทศมากกว่าอยู่ภายในประเทศ นับตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์[ต้องการอ้างอิง] การใช้กำลังเกินกว่าเหตุของกำลังความมั่นคง[แก้]สงครามยาเสพติดของรัฐบาลเมื่อ พ.ศ. 2546 เป็นเหตุให้มีวิสามัญฆาตกรรมกว่า 2,500 คน ที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ค้ายาเสพติด[24] สภาพเรือนจำและศูนย์กักกันผู้อพยพประจำจังหวัดบางแห่งมีคุณภาพไม่ดี ใน พ.ศ. 2547 กว่า 1,600 คนเสียชีวิตในเรือนจำหรือในการควบคุมตัวของตำรวจ ในจำนวนนี้ 131 คน เสียชีวิตเพราะการกระทำของตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารในภาคเหนืออาทิที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ยังทำการวิสามัญฆาตกรรม คนร้ายที่ทำการขนส่งยาเสพติดมากกว่า 30 คน[ต้องการอ้างอิง] มีการรายงานปัญหาต่าง ๆ ในจังหวัดภาคใต้ เกี่ยวกับความไม่สงบในภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ได้รับความสนใจมาก ทนายความสิทธิมนุษยชนมุสลิม สมชาย นีละไพจิตร มีรายงานว่าถูกก่อกวน ขู่ จนหายสาบสูญโดยถูกบังคับไปในท้ายที่สุด เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2547 หลังเขากล่าวหาว่าถูกทรมานโดยกำลังความมั่นคงของรัฐ[25] ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2547 ได้เกิดเหตุการณ์ทั่ว 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้เสียชีวิตรวม 113 ศพ แบ่งเป็นประชาชนในพื้นที่หรือผู้ก่อความไม่สงบ 108 ศพ ทหารตำรวจ 5 ศพ ท่ามกลางการประกาศกฎอัยการศึกของกองทัพ แม้ว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 108 รายเป็นผู้ก่อการไม่สงบแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้สังหารพวกเขาในวันดังกล่าว[ต้องการอ้างอิง] ใน พ.ศ. 2549 นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า เขาเชื่อว่า สมชาย นีละไพจิตร เสียชีวิต และกำลังความมั่นคงของรัฐดูเหมือนจะมีส่วนรับผิดชอบ[26] จนสุดท้ายมีตำรวจถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการเสียชีวิตของสมชาย นีละไพจิตร 5 นาย แม้ว่าการไต่สวนจะจบด้วยการพิพากษาลงโทษ 1 คน ซึ่งมีการกลับคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554[27] คำตัดสินดังกล่าวถูกคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนเอเชียประณาม[28] และอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของสมชาย ประกาศเจตนาของเธอว่าจะอุทธรณ์คดีต่อไปถึงชั้นฎีกา[27] ต่อมาในวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ศาลฎีกาได้พิพากษา ยกฟ้อง[29] สิทธิของผู้ต้องหา[แก้]ผู้ต้องหาคดีความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยเผชิญกับอุปสรรคในการขอประกันตัวก่อนการพิจารณาคดี ทำให้หลายคนถูกคุมขังเป็นเวลาหลายเดือนก่อนมีการพิจารณาคดี[30] มีผู้ต้องขังเสียชีวิตในการคุมขัง ทั้งแขวนคอตัวเอง และอีกคนผลชันสูตรพลิกศพแจ้งว่าติดเชื้อในกระแสเลือด เช่น สุริยัน สุจริตพลวงศ์ (หมอหยอง)[31] ผู้ต้องขังในคดีนี้มักพบเห็นว่าเดินเท้าเปล่าและมีโซ่ล่ามข้อเท้าเมื่อนำตัวมาศาล[32] สิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ[แก้]ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่อดกลั้นและเป็นมิตรต่อกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศมากที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย[33] โดยที่กิจกรรมทางเพศของเพศเดียวกันนั้นชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ พ.ศ. 2500[34] รัฐบาลไทยยังส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติท่องเที่ยวในประเทศไทยเพราะเป็นประเทศที่ต้อนรับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างดี[35] ทว่า การเลือกปฏิบัติและการดูถูกเหยียดหยามกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศก็ยังปรากฏอยู่กว้างขวางในสังคมไทย[36] การปฏิบัติต่อทหารเกณฑ์[แก้]องค์การนิรโทษกรรมสากลออกรายงานในปี 2562 อ้างอดีตทหารเกณฑ์ชาวไทย ระบุว่า ในกองทัพไทยมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนทหารเกณฑ์หลายกรณีเป็นเรื่องปกติ เช่น การธำรงวินัยด้วยการทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธ การล่วงละเมิดทางเพศ การลงโทษที่ดูหมิ่นศักดิ์ศรี รวมทั้งการข่มขืนกระทำชำเราทหารที่เป็นเกย์[37] และในเดือนมีนาคม 2563 กล่าวหาว่าทหารเกณฑ์ของไทยเผชิญกับการละเมิดอย่างเป็นสถาบันแต่ถูกทางการทหารปิดปากอย่างเป็นระบบ[38] หมายเหตุ[แก้]
อ้างอิง[แก้]
บรรณานุกรม[แก้]ข่าว[แก้]
หนังสือ[แก้]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
|