วิชาการบริหารงานคุณภาพในองค์การ ปวส

ใส่ความเห็น

Enter your comment here...

Fill in your details below or click an icon to log in:

อีเมล (ต้องการ) (Address never made public)

ชื่อ (ต้องการ)

เว็บไซต์

You are commenting using your WordPress.com account. ( Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

You are commenting using your Twitter account. ( Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

You are commenting using your Facebook account. ( Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

ยกเลิก

Connecting to %s

Notify me of new comments via email.

Notify me of new posts via email.

Δ

การบริหารงานคุณภาพในองค์การ (รหัสวิชา 3001 - 1001)

ประเภทหนังสือ : อีบุ๊ก
สำนักพิมพ์ : SE-ED
ผู้แต่ง : อนุศักดิ์ ฉิ่นไพศาล
ISBN : 9786160823413
ภาษา : ไทย
จำนวนหน้า : 250
ขนาดไฟล์ : 8.51 MB

การบริหารงานคุณภาพในองค์การ (รหัสวิชา 3001 - 1001) ตรงตามจุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และคำอธิบายรายวิชา หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2557 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ รหัส 3001-1001 ผู้เขียน อนุศักดิ์ ฉิ่นไพศาล "การบริหารงานคุณภาพในองค์การ (รหัสวิชา 3001 - 1001)" เล่มนี้ เรียบเรียงขึ้นจากตำราไทย ตำราต่างประเทศ และเว็บไซด์ต่างๆ ที่เชื่อถือได้ เนื้อหาประกอบด้วย การจัดองค์การ การเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร การบริหารงานคุณภาพและเพิ่มผลผลิต การจัดการความเสี่ยง กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งการนำกิจกรรมระบบคุณภาพและเพิ่มผลผลิตมาประยุกต์ใช้ในการจัดการงานอาชีพ เหมาะสำหรับนักศึกษา และผู้ที่มีความสนใจในเรื่องการบริหารคุณภาพในองค์การ สารบัญ บทที่ 1 การจัดองค์การ บทที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร บทที่ 3 การบริหารงานคุณภาพและเพิ่มผลผลิต บทที่ 4 การจัดการความเสี่ยง บทที่ 5 กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บทที่ 6 การนำกิจกรรมระบบคุณภาพและเพิ่มผลผลิตมาประยุกต์ใช้ในการจัดการงานอาชีพ

รหัสวิชา : 3000-1001    

ชื่อวิชา : การบริหารงานคุณภาพในองค์กร    จำนวน : 3   หน่วยกิต 3 ชั่วโมง

จุดประสงค์รายวิชา 

เพื่อให้ 

1. เพื่อให้เข้าใจความส าคัญ หลักการและกระบวนการบริหารงานคุณภาพภายในองค์กร 

2. เพื่อให้สามารถวางแผนและพัฒนางานตามหลักการบริหารงานคุณภาพภายในองค์กร 

3. เพื่อให้เจตคติและกิจนิสัยที่ดี ในการพัฒนาตน และมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพภายในองค์กร 

มาตรฐานรายวิชา 

1. เข้าใจหลักการและกระบวนการบริหารงานคุณภาพภายในองค์กร 

2. จัดระบบเอกสารตามหลักการบริหารงานคุณภาพภายในองค์กร 

3. เลือกใช้กิจกรรมการเพิ่มผลผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ภายในองค์กร 

4. วางแผนพัฒนางานตามหลักการบริหารงานคุณภาพภายในองค์กร 

คำอธิบายรายวิชา 

ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับ ความสำคัญของระบบคุณภาพภายในองค์กร หลักการบริหารงานคุณภาพ ภายในองค์กร กลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานด้วยระบบการจัดเอกสารและกิจกรรมการเพิ่มผลผลิต การประยุกต์ใช้ระบบคุณภาพ และเพิ่มผลผลิต เพื่อวางแผนและพัฒนางาน ภายในองค์กร

การบริหารงานคุณภาพในองคก์ าร 3001-1001 RUNGTIWA

1 หนํวยที่ 1 การจดั องคก์ าร หวั ขอ๎ 1 ความหมายของการจดั องค์การ 2 ประเภทขององค์การ 3 หลักการจดั องค์การ 4 กระบวนการจัดองค์การ 5 การจดั โครงสรา๎ งขององค์การ 6 โครงสร๎างองค์การแบบสงู และแบบกวา๎ ง 7 การจัดแผนกงาน 8 แผนภูมิองค์การ 9 อํานาจหนา๎ ที่และความรับผิดชอบ 10 การมอบหมายงาน แนวคดิ 1. การประกอบการทุกประเภท ทุกระดบั ต๎องมีการทํางานรวํ มกนั เป็นหมูํคณะ องค์การเป็นท่ีรวม ของคน และงานตํางๆ เพ่ือให๎บคุ ลากรปฏบิ ัติงานได๎อยํางเต็มที่ จึงจาํ เป็นต๎องจดั แบงํ หนา๎ ทีก่ ารงานกนั ทาํ และมอบอาํ นาจให๎รบั ผดิ ชอบตามความสามารถและความถนดั การจดั องคก์ าร เปน็ การจัดระบบ ความสัมพันธร์ ะหวํางสวํ นงานตาํ งๆ และบุคคลในองค์การ โดยกําหนดภารกิจ อํานาจหน๎าทีแ่ ละความ รบั ผิดชอบให๎ชัดแจ๎ง เพ่ือใหก๎ ารดําเนินงานตามภารกิจขององค์การบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์และเปูาหมายอยําง มปี ระสิทธิภาพ 2. ประเภทขององคก์ าร หากจาํ แนกโดยยึดโครงสร๎าง แบงํ ได๎ 2 แบบ คือองค์การแบบเป็นทางการ และ องคก์ ารแบบไมเํ ป็นทางการ 3. หลกั การจัดองค์การท่ีดี มีอยํูหลายประการ ในสํวนหลักสําคัญทีต่ ๎องมี คอื หลักวัตถปุ ระสงคห์ ลัก ความร๎คู วามสามารถเฉพาะอยาํ ง หลักการประสานงาน หลักของอํานาจหน๎าท่ี และหลักความรับผิดชอบ 4. กระบวนการจัดองค์การ มี 3 ขัน้ คือ การจดั กลมํุ งานและโครงสร๎างตําแหนํง การมอบหมาย อาํ นาจหนา๎ ท่ี และการจัดวางความสัมพนั ธ์ 5. การจดั โครงสรา๎ งขององค์การ แบํงได๎ 5 ประเภท ได๎แกํ โครงสร๎างตามหนา๎ ทก่ี ารงาน โครงสรา๎ ง ตามสายงานหลกั โครงสรา๎ งแบบคณะท่ีปรึกษา โครงสร๎างแบบคณะกรรมการบริหาร และโครงสร๎างงาน อนกุ ร 6. โครงสร๎างองค์การ แบบสูง และแบบกวา๎ ง ถา๎ แบบสงู จะมีการบังคบั บัญชากนั หลายระดบั กระบวนการทํางานจะช๎า สํวนแบบกวา๎ งจะมรี ะดับการสง่ั การนอ๎ ย กระบวนการทาํ งานจะรวดเรว็

2 7. การจดั แผนกงาน แบํงได๎ 5 ลกั ษณะ ไดแ๎ กํ 1.ตามหนา๎ ที่ 2.ตามประเภทผลิตภัณฑ์ 3.ตามพ้ืนท่ี ทางภมู ิศาสตร์ 4. ตามกระบวนการผลิต 5. ตามลกู คา๎ 8. แผนภมู อิ งคก์ าร แบงํ ได๎ 2 ประเภท ได๎แกํ แผนภูมิหลัก และแผนภูมิเสริม 9. อํานาจหน๎าท่ีและความรับผดิ ชอบ เป็นสิทธิทไ่ี ดร๎ บั มอบหมายมาโดยถูกตอ๎ งตามกฎหมายที่จะสัง่ ให๎บุคคลอ่นื ปฏบิ ัติงานตามที่ตนตอ๎ งการและเป็นภาระผกู พนั ของบุคคลในการปฏบิ ัติงาน 10. การมอบหมายงาน คือการกําหนดความรบั ผิดชอบ และอาํ นาจหนา๎ ทีจ่ ากผู๎บงั คบั บัญชาใหแ๎ กํ ผใู๎ ต๎บงั คบั บัญชา จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 1. บอกความหมายของการจดั องค์การได๎ 2. บอกประเภทขององคก์ ารได๎ 3. อธบิ ายหลักการจัดองค์การได๎ 4. อธบิ ายกระบวนการจัดองค์การได๎ 5. อธิบายการจัดโครงสร๎างขององคก์ ารแตลํ ะแบบได๎ 6. บอกความแตกตํางของโครงสรา๎ งองค์การแบบสูงและแบบกวา๎ งได๎ 7. อธิบายการจัดแผนกงานได๎ 8. อธบิ ายแผนภูมิองค์การได๎ 9. อธบิ ายอาํ นาจหนา๎ ที่และความรับผดิ ชอบได๎ 10 อธบิ ายการมอบหมายงานได๎ 1. ความหมายของการจดั องคก์ าร การจัดองค์การ หมายถึง การจดั ระบบความสมั พนั ธ์ระหวํางสวํ นงานตาํ งๆและบุคคลในองคก์ าร โดย กาํ หนดภารกิจ อํานาจหน๎าท่ีและความรับผิดชอบใหช๎ ดั แจ๎ง เพอ่ื ให๎การดาํ เนินงานตามภารกิจขององค์การ บรรลุวัตถุประสงค์และเปูาหมายอยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ องคก์ รโดยทวั่ ไป แบงํ ออกเปน็ 3 ลกั ษณะใหญํ ๆคอื 1. องค์กรทางสังคม 2. องคก์ รทางราชการ 3. องคก์ รเอกชน

3 เปูาหมายหลกั ขององค์กรโดยทวั่ ไปแบงํ ออกเปน็ 3 ประเภท ใหญํ ๆคอื เปาู หมายทางเศรษฐกิจหรือกําไร เปูาหมายเกย่ี วกับการใหบ๎ ริการ เปาู หมายด๎านสงั คม 2. ประเภทขององคก์ าร (Types of Organization) การจาํ แนกองคก์ ารโดยยดึ โครงสร๎าง (สมคดิ บางโม, 2538) แบํงออกเป็น 2 แบบ ดังนี้ 1. องค์การแบบเป็นทางการ (Formal organization) เปน็ องค์การที่มีการจัดโครงสรา๎ งอยํางเปน็ ระเบียบแบบแผนแนนํ อน การจัดตั้งมีกฎหมายรองรบั บางแหงํ เรยี กวํา องค์การรูปนัย ได๎แกํ บรษิ ัท มลู นิธิ หนวํ ยราชการ กรม โรงพยาบาล โรงเรยี น ฯลฯ ซงึ่ การศกึ ษาเรือ่ งองค์การและการจัดการจะเปน็ การศกึ ษาในเร่ืองขององค์การประเภทนี้ทง้ั สิน้ 2. องค์การแบบไมเํ ปน็ ทางการ (Informal organization) เปน็ องค์การท่รี วมกันหรอื จดั ตั้งขน้ึ ด๎วย ความพึงพอใจและมคี วามสมั พนั ธก์ นั เปน็ สวํ นตวั ไมํมีการจัดระเบียบโครงสรา๎ งภายใน มีการรวมตวั กนั อยํางงํายๆ และเลิกล๎มได๎งําย องค์การแบบน้เี รยี กวํา องค์การอรูปนยั หรอื องคก์ ารนอกแบบ เชนํ ชมรม ตาํ งๆหรือกลุํมตํางๆ อาจเปน็ การรวมกลมํุ กนั ตามความสมัครใจของสมาชกิ กลมุํ ซงึ่ เนื่องมาจากรายได๎ อาชีพ รสนยิ ม ศาสนา ประเพณี ตาํ แหนํงงาน ฯลฯ 3. หลกั การจดั องคก์ าร หลักการจดั องค์การOSCARของ Henri Fayolมาจากคาํ วาํ Objective, Specialization, Coordination, Authority และ Responsibility ซง่ึ Fayolได๎เขียนหลักของการจัดองคก์ ารไว๎ 5 ขอ๎ เมอื่ นาํ เอาตวั อักษร ตวั แรกของคําทงั้ 5 มาเรยี งตํอกัน จะทําให๎สะกดไดค๎ ําวาํ OSCAR สาํ หรบั รายละเอยี ด ทั้ง 5 คาํ จะขอ กลําวไว๎ใน \" หลักในการจัดองค์การที่ดี \" หลกั ในการจดั องคก์ ารทีด่ จี ะต๎องมีองคป์ ระกอบและแนวปฏบิ ตั ิดงั ตํอไปนี้ (ศิรอิ รขันธหตั ถ์, 2536) 1. หลกั วตั ถปุ ระสงค์ (Objective) กลําววาํ องค์การตอ๎ งมวี ตั ถุประสงค์ท่ีกาํ หนดไว๎อยาํ งชัดเจน นอกจากนัน้ ตําแหนงํ ยังต๎องมีวัตถุประสงค์ยํอยกําหนดไว๎เพ่ือวาํ บคุ คลที่ดํารงตาํ แหนํงจะได๎พยายามบรรลุ วตั ถปุ ระสงค์ยํอย ซ่ึงชํวยให๎องคก์ ารบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์รวม 2. หลกั ความรูค๎ วามสามารถเฉพาะอยาํ ง (Specialization) กลาํ ววาํ การจดั แบํงงานควรจะแบํงตาม ความถนัด พนักงานควรจะรบั มอบหนา๎ ทเี่ ฉพาะเพยี งอยํางเดยี วและงานหน๎าท่ีท่ีคลา๎ ยกนั หรือสัมพนั ธก์ นั ควรจะต๎องอยภํู ายใตบ๎ ังคับบัญชาของคนคนเดยี ว 3. หลกั การประสานงาน (Coordination) กลําววํา การประสานงานกนั คือ การหาทางทาํ ให๎ทุกๆ ฝาุ ยรวํ มมอื กันและทาํ งานสอดคลอ๎ งกนั โดยใชห๎ ลักสามัคคีธรรม เพื่อประโยชน์ขององค์การ

4 4. หลกั ของอาํ นาจหน๎าท่ี (Authority) กลําววํา ทุกองคก์ ารต๎องมีอาํ นาจสงู สุด จากบุคคลผูม๎ ีอาํ นาจสงู สดุ นี้ จะมีการแยกอาํ นาจออกเปน็ สายไปยงั บุคคลทุกๆคนในองคก์ าร หลักนีบ้ างที เรียกวาํ Scalar Principle (หลักความลดหลน่ั ของอาํ นาจ) บางทเี รยี กวํา Chain of command (สายการ บงั คับบัญชา) การกาํ หนดสายการบงั คับบัญชาน้ีก็เปน็ วิธีประสานงานอยํางหน่งึ 5. หลกั ความรบั ผดิ ชอบ (Responsibility) หลักของความรับผดิ ชอบ กลาํ ววํา อาํ นาจหน๎าที่ควรจะเทาํ กบั ความรับผดิ ชอบ คือบคุ คลใดเมื่อไดร๎ ับมอบหมายความรบั ผดิ ชอบก็ควรจะ ได๎รบั มอบหมายอํานาจให๎เพียงพอ เพอื่ ทาํ งานให๎สาํ เรจ็ ดว๎ ยดี 6. หลกั ความสมดลุ (Balance) จะตอ๎ งมอบหมายใหห๎ นวํ ยงานยอํ ยทาํ งานใหส๎ มดุลกันกลาํ วคือ ปรมิ าณงานควรจะมปี ริมาณที่ใกลเ๎ คียงกนั รวมท้ังความสมดุลระหวาํ งงานกับอํานาจหน๎าทีท่ ีจ่ ะมอบหมาย ดว๎ ย 7. หลกั ความตอํ เนอื่ ง (Continuity) ในการจัดองค์การเพ่ือการบรหิ ารงานควรจะเป็นการกระทําที่ ตํอเนอ่ื ง ไมํใชํ ทาํ ๆ หยุด ๆ หรอื ปดิ ๆ เปิด ๆ ยิ่งถา๎ เปน็ บริษัทหรอื หา๎ งร๎านคงจะไปไมํรอดแนํ 8. หลกั การโตต๎ อบและการตดิ ตํอ (Correspondence) ตาํ แหนงํ ทุกตาํ แหํงจะต๎องมีการโต๎ตอบ ระหวํางกันและตดิ ตํอส่ือสารกนั องค์การจะตอ๎ งอํานวยความสะดวก จดั ให๎มเี ครื่องมือและการ ติดตํอสอื่ สารท่ีเป็นระบบ 9. หลกั ขอบเขตของการควบคมุ (Span of control) เป็นการกาํ หนดขดี ความสามารถในการบงั คับ บัญชาของผ๎ูบังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ วําควรจะควบคุมดูแลผใู๎ ตบ๎ ังคับบญั ชาหรือจาํ นวนหนํวยงานยอํ ยมาก เกินไป โดยปกติหวั หน๎าคนงานไมํเกิน 6 หนวํ ยงาน 10. หลกั เอกภาพในการบงั คบั บญั ชา (Unity of command) ในการจัดองค์การท่ีดี ควรให๎เจา๎ หน๎าท่ี รับคาํ ส่งั จากผ๎บู ังคบั บัญชาหรือหัวหน๎างํานเพียงคนเดยี วเทํานั้น เพือ่ ใหเ๎ กดิ เอกภาพในการบงั คับบัญชาจึง ถือหลกั การวํา \"One man one boss\" 11. หลกั ตามลาํ ดบั ขนั้ (Ordering) ในการทนี่ ักบริหารหรอื หวั หน๎างานจะออกคาํ สง่ั แกํผใู๎ ตบ๎ งั คบั บัญชา ควรปฏิบตั ิการตามลาํ ดับขน้ั ของสายการบังคบั บญั ชาไมํควรออกคาํ สงั่ ขา๎ มหน๎าผ๎ูบังคับบัญชา หรอื ผูท๎ มี่ ี ความรบั ผดิ ชอบโดยตรง เชนํ อธกิ ารจะสั่งการใด ๆ แกํหวั หน๎าภาควิชาควรที่จะสง่ั ผาํ นหัวหนา๎ คณะ ภาควชิ านั้นสงั กดั อยูํ อยํางนอ๎ ยทีส่ ดุ ก็ควรจะได๎แจง๎ หัวหน๎าคณะวชิ านั้น ๆ ทราบดว๎ ย เพื่อปูองกนั ความ เขา๎ ใจผดิ และอาจจะเปน็ การทํางายขวัญและจติ ใจในการทํางานของผู๎ใตบ๎ ังคบั บัญชาโดยไมตํ งั้ ใจ 12. หลกั การเลือ่ นขนั้ เลอ่ื นตําแหนํง (Promotion) ในการพิจาความดคี วามความชอบและการเอน ตาํ แหนํงควรถือหลกั วาํ ผบู๎ ังคับบัญชาโดยตรงยํอมเปน็ ผท๎ู ่ีปฏบิ ัตงิ านเก่ียวกบั ใตบ๎ ังคบั บัญชาของตนโดย ใกลช๎ ดิ และยํอมทราบพฤติกรรมในการทํางานของผใู๎ ตบ๎ ังคับบญั ชาได๎ดกี วาํ ผู๎อื่น ดังนั้นการพิจารณาให๎คุณ และโทษแกํผท๎ู ี่อยใํู ต๎บังคับบัญชาของผ๎ใู ดกค็ วรใหผ๎ ๎นู ้ันทราบและมีสทิ ธิมเี สยี งในการพิจารณาด๎วยเพื่อ ความเปน็ ธรรมแกํใต๎บงั คบั บัญชาของเขา และเพ่ือเป็นการเสริมสร๎างขวัญในการทาํ งานของบุคคลใน องค์การดว๎ ย

5 4. กระบวนการจัดองคก์ าร (Process of Organizing) ประกอบด๎วย กระบวนการ 3 ขัน้ (ศริ ิพร พงศ์ศรีโรจน์, 2543) ดงั น้ี 1. พจิ ารณาแยกประเภทงาน จดั กลมุํ งาน และออกแบบงานสาํ หรบั ผทู๎ าํ งานแตลํ ะคน (Identification of Work & Grouping Work) กํอนอน่ื ผบ๎ู รหิ ารจะตอ๎ งพจิ ารณาตรวจสอบแยกประเภทดู วาํ กิจการของตนนั้นมงี านอะไรบ๎างที่จะต๎องจัดทําเพ่ือใหก๎ ิจการได๎รับผลสาํ เร็จตามวัตถุประสงค์ ขั้นตํอมา กค็ ือ การจดั กลุํมงานหรือจาํ แนกประเภทงานออกเปน็ ประเภท โดยมีหลักทว่ี าํ งานทเ่ี หมือนกันควรจะ รวมอยูํดว๎ ยกัน เพ่ือใหเ๎ ป็นไปตามหลกั การของการแบํงงานกันทํา โดยการจดั จาํ แนกงานตามหนา๎ ท่แี ตลํ ะ ชนดิ ออกเปน็ กลมุํ ๆ ตามความถนัด และตามความสามารถของผ๎ทู จี่ ะปฏิบตั ิ 2. ทาํ คาํ บรรยายลักษณะงาน (Job Description & Delegation of Authority & Responsibility) ระบขุ อบเขตของงานและมอบหมายงาน พร๎อมท้ังกาํ หนดความรับผดิ ชอบ และใหอ๎ าํ นาจหน๎าที่ ซึ่งมี รายละเอยี ด ดงั น้ี - ระบุให๎เหน็ ถึงขอบเขตของงานที่แบํงให๎สําหรับแตลํ ะคนตามที่ได๎ plan ไว๎ในขนั้ แรก เพื่อให๎ทราบวาํ งานแตลํ ะชนิ้ ท่ีได๎แบํงออกแบบไว๎นน้ั จะเก่ียวข๎องกับเร่ืองอะไร ชนิดไหน มีขอบเขตและปริมาณมากน๎อย แคไํ หน โดยการระบุชอ่ื เป็นตําแหนํงพร๎อมกับให๎รายละเอียดเกี่ยวกับงานช้นิ นั้นเอาไว๎ - ข้นั ตอํ มา ผบ๎ู ริหารกจ็ ะดาํ เนินการพิจารณามอบหมาย (Delegation) ให๎ แกํผท๎ู าํ งานในระดับรองลงไป (สาํ หรบั งานทีม่ อบหมายได๎) - การมอบหมายงานประกอบดว๎ ยการกําหนดความรบั ผิดชอบ (Responsibility) ที่ชดั แจ๎งเก่ียวกับงานทมี่ อบหมายให๎ทํา พรอ๎ มกนั น้นั ก็มอบหมายอํานาจหนา๎ ท่ี (Authority) ให๎ เพ่ือใช๎สําหรับการทาํ งานตามความรับผิดชอบ (Responsibility) ท่ไี ด๎รับมอบหมายให๎ เสร็จส้นิ ไปได๎ 3. จดั วางความสมั พนั ธ์ (Establishment of Relationship) การจดั วางความสัมพันธจ์ ะทําใหท๎ ราบ วํา ใครตอ๎ งรายงานตอํ ใคร เพื่อใหง๎ านสํวนตาํ งๆ ดําเนนิ ไปโดยปราศจากขอ๎ ขดั แยง๎ มีการทาํ งานรวํ มกนั อยาํ งเป็นระเบยี บเพอ่ื ให๎ทกุ ฝุายรํวมมอื กันทาํ งานมงํุ ไปสูํจุดหมายอนั เดยี วกัน 5. การจดั โครงสรา๎ งขององคก์ าร (Organization structure) เชาว์ ไพรพริ ณุ โรจน์ (อ๎างใน ศริ ิอร ขนั ธหัตถ์, 2536 ) ได๎เสนอแนวความคิดวํา การจดั โครงสรา๎ งของ องค์การมหี ลายแบบ ซ่ึงแตลํ ะแบบก็มีขอ๎ ดีขอ๎ เสียในตัวของมนั เอง ฉะนน้ั การที่ผูบ๎ รหิ ารจะวางแนวในการ จัดโครงสรา๎ งน้ัน อาจจะต๎องพจิ ารณาจากหลาย ๆ ปัจจัยด๎วยกนั อยํางไรกต็ ามการจัดโครงสร๎างของ องค์การสามารถแบํงแยกออกเปน็ ประเภทใหญํ ๆ ได๎ 5 ประเภทดงั น้ี

6 1. โครงสรา๎ งองคก์ ารตามหนา๎ ทก่ี ารงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถงึ โครงสรา๎ งที่ จดั ต้งั ขึน้ โดยแบงํ ไปตามประเภทหรอื หน๎าที่การงาน เพื่อแสดงใหเ๎ หน็ วําในแตลํ ะแผนกนน้ั มีหนา๎ ที่ต๎อง กระทาํ อะไรบ๎าง ซง่ึ ผลดีกํอให๎เกดิ การไดค๎ นมีความสามารถทํางานในแผนกน้ัน ๆ ทงั้ ยงั ฝึกบุคคลในแผนก นัน้ ๆ ใหม๎ คี วามเชยี่ วชาญกบั หน๎าที่ของงานนน้ั อยํางลึกซึ้ง สาํ หรบั ฝุายบรหิ ารระดับสูงน้ันก็เปน็ เพียงแตํ กําหนดนโยบายไว๎กวา๎ ง ๆ เพราะมีผ๎เู ช่ียวชาญเฉพาะดา๎ นคอยปูอนขอ๎ มลู ทถ่ี ูกตอ๎ งให๎พจิ ารณาตัดสินใจ และใหม๎ ีความผดิ พลาดได๎น๎อยมาก อีกประการหนึ่งในแตลํ ะแผนกน้นั เมื่อทุกคนมีความเชย่ี วชาญงานใน หน๎าท่ชี นดิ เดียวกัน ยํอมกํอใหเ๎ กดิ การประสานงานได๎งํายเนอ่ื งจากแตลํ ะคนมคี วามสนใจในงานและใช๎ ภาษาเดียวกัน ทําให๎สามารถสร๎างบรรยากาศการทาํ งานท่ีดีไดง๎ าํ ยนอกจากนน้ั การบรหิ ารงานก็เกิดความ ประหยัดด๎วย เพราะแตํละแผนกไดใ๎ ช๎ความเชีย่ วชาญเฉพาะด๎านสรา๎ งผลิตผลได๎เต็มเม็ดเตม็ หนํวย การใช๎ เครอ่ื งจักรและแรงงานก็ใชไ๎ ด๎ผลคุม๎ คาํ อยํางไรกต็ าม การจดั รูปแบบองคก์ ารแบบน้ีก็มผี ลเสยี ในทางการ บริหารหลายประการ อาทิเชํน การแบํงงานออกเปน็ หลายแผนกและมผี ๎ูเช่ียวชาญหลายคน ทําให๎การ วางแผนงานยํุงยากข้นึ อาจมีการปดั ความรบั ผดิ ชอบได๎ นอกจากนั้นการจดั องคก์ ารรูปแบบน้ีมักเน๎นท่ีการ รวมอาํ นาจไว๎ ณ จุดทีส่ ูงทส่ี ดุ ไมมํ ีการกระจายอาํ นาจในการบรหิ ารใหล๎ ดหลนั่ ลงไป

7 2. โครงสรา๎ งองค์การตามสายงานหลกั (Line Organization Structure) หมายถึงการจดั รูปแบบ โครงสร๎างใหม๎ สี ายงานหลกั และมีการบังคบั บัญชาจากบนลงลํางลดหั่นเป็นขนั้ ๆ จะไมํมีการสงั่ การแบบ ข๎ามขั้นตอนในสายงาน ซึง่ โครงสร๎างแบบน้ีเหมาะสมสําหรับองค์การตําง ๆ ที่ตอ๎ งการให๎มีการขยายตวั ใน อนาคตได๎ เพราะเพยี งแตํเพ่มิ เตมิ โครงสร๎างในบางสายงานให๎มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหล่นั ลงไปอีกได๎ การจดั องค์การแบบน้ี อาจจะคํานงึ ถึงสภาพของงานท่ีเป็นจริง เชํน แบํงตามลกั ษณะของผลติ ภณั ฑ์ หรอื แบํงตามอาณาเขต หรือแบํงตามประเภทของลูกคา๎ หรือแบํงตามกระบวนการ ผลดขี องโครงสรา๎ งแบบนมี้ ี หลายประการ เชนํ การจัดโครงสร๎างด๎วยรูปแบบทีเ่ ข๎าใจงําย การบงั คับบญั ชาตามสายงานเปน็ ข้นั ตอน ฉะน้ันจดุ ใดทม่ี ีการปฏบิ ตั ิงานลําชา๎ ก็สามารถตรวจสอบได๎รวดเรว็ จากผูบ๎ งั คับบัญชาในระดับน้นั ได๎งําย นอกจากนน้ั ผ๎ูปฏบิ ัติงานได๎คลุกคลกี ับสภาพของปัญหาท่เี ป็นจริงและเกิดขน้ึ เสมอ ทําให๎การตดั สินใจตําง ๆ มขี ๎อมลู ท่แี นนํ อน และสามารถตัดสนิ ใจได๎ถูกต๎องรวดเรว็ ซึ่งสงํ ผลสะทอ๎ นให๎มีการปกครองบงั คับบัญชา ท่ีอยํูในระเบียบวนิ ยั ไดด๎ ี การติดตํอสื่อสารและการควบคุมการทํางานทําได๎งําย ตลอดจนเมอื่ ต๎องการจะ เปลยี่ นรปู โครงสรา๎ งขององคก์ ารกส็ ามารถทจี่ ะเปลี่ยนได๎คํอนข๎างสะดวก เพราะการจดั รปู แบบองคก์ ารนี้ ไมํมีอะไรสลับซับซ๎อนมากนกั ประการสดุ ท๎าย องค์การนเ้ี หมาะสาํ หรบั การจดั รปู แบบองค์การขนาดเลก็ แตํไมํเหมาะทีจ่ ะจดั ในลักษณะองค์การขนาดใหญํทีม่ ีการปฏบิ ตั งิ านสลับซบั ซ๎อน สวํ นขอ๎ เสยี ของ โครงสร๎างแบบนีน้ ั้นได๎กอํ ใหเ๎ กิดปัญหาดังน้ีคอื ประการแรก ไมํไดส๎ นบั สนนุ ให๎ผทู๎ ํางานมีความเชย่ี วชาญ เฉพาะด๎าน นอกจากนน้ั บางขณะปริมาณของงานมมี าก จนต๎องใช๎เวลาทํางานประจาํ ใหเ๎ สรจ็ ไมํมเี วลาท่ี จะมาศึกษาถึงระบบการทาํ งานทด่ี กี วาํ อีกประการหนึ่งลกั ษณะของโครงสร๎างเชนํ น้ีเป็นอุปสรรคตอํ การ ดาํ เนนิ งาน เพราะไมสํ ามารถครอบคลุมขอบขาํ ยของงานได๎ทงั หมดได๎ และประการสุดท๎าย ผบ๎ู ริหาร ระดับสงู อาจจะไมยํ อมมอบหมายงาน ให๎ผูบ๎ ริหารงานระดับรอง ๆ ลงมา หรือพยายามกีดกนั หรอื สํงเสริม คนอนื่ ให๎ข้ึนมาแทนตน ทาํ ให๎ขวัญของผู๎ปฏิบตั ิงานในระดับรอง ๆ ไปไมํดี หมดกําลงั ใจในการปฏิบัตงิ าน เนื่องจากโครงสร๎างแบบน้ีให๎อํานาจควบคมุ โดยตรงตํอผูบ๎ ังคับบญั ชาระดบั สงู เทาํ น้นั

8 3. โครงสรา๎ งองคก์ ารแบบคณะทป่ี รกึ ษา (Staff Organization Structure)หมายถึงการจัดโครงสร๎าง โดยการใหม๎ ีท่ีปรึกษาเข๎ามาชํวยการบริหารงาน เชํน ที่ปรกึ ษานายก ฯ ท่ีปรึกษาผ๎ูวําฯ กทม. เป็นต๎น เพราะวาํ ที่ปรึกษามคี วามร๎ู ความชาํ นาญเฉพาะดา๎ น โดยเฉพาะการใช๎เทคโนโลยสี มัยใหมํ ซ่งึ ตอ๎ งอาศัย ผูเ๎ ชีย่ วชาญมาชวํ ยหรอื คอยแนะนาํ ทาํ ให๎องค์การมองเหน็ ความสาํ คญั ของการมีท่ปี รกึ ษาขึ้น อยาํ งไรก็ ตาม พวกที่ปรึกษาไมํมีอาํ นาจในการส่ังการใด ๆ นอกจากคอยปอู นขอ๎ มลู ใหผ๎ บู๎ รหิ ารเปน็ ผูช๎ ้ขี าดอีก ชนั้ หน่งึ ซ่ึงการจัดองคก์ ารรปู แบบนีม้ ผี ลดคี ือ ทาํ ให๎การดาํ เนนิ งานตาํ ง ๆ มีการวางแผนและประเมนิ สถานการณ์ลํวงหนา๎ ได๎ มที ่ีปรึกษาคอยให๎ความกระจํางและประสานงานกับหนํวยงานอืน่ ๆ และทาํ ให๎การ ทาํ งานใช๎หลักเหตุและผลมากขนึ้ มีการใชเ๎ คร่ืองมือท่ที นั สมัย และคนมปี ระสิทธภิ าพยงิ่ ข้ึน นอกจากนัน้ ยงั ทําให๎งานตามสายงานและงานของคณะท่ีปรึกษาสมั พันธก์ ัน และเขา๎ ใจบทบาทซึง่ กันและกัน แตผํ ลเสยี ของการใช๎ที่ปรกึ ษาอาจมีการปีนเกลยี วกนั เนอื่ งจากความเห็นไมํลงรอยกัน และฝุายคณะทป่ี รึกษาอาจ ทอ๎ ถอยในการทํางานได๎ เพราะมหี น๎าทเ่ี พียงเสนอแนะแตํไมํมอี ํานาจสั่งการ 4. โครงสร๎างองคก์ ารแบบคณะกรรมการบรหิ าร (Committees Organization Structure) หมายถงึ การจัดโครงสรา๎ งองค์การโดยใหม๎ ีการบรหิ ารงานในลักษณะคณะกรรมการ เชนํ คณะกรรมการ บรหิ ารงานรถไฟแหํงประเทศไทย คณะกรรมการ อ.ส.ม.ท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภค ภณั ฑ์ เปน็ ต๎น การบรหิ ารงานองค์การโดยให๎มีคณะกรรมการบรหิ ารเชนํ น้ี ผลดจี ะชวํ ยขจดั ปัญหา การ บริหารงานแบบผูกขาดของคน ๆ เดยี ว หรือการใช๎แบบเผด็จการเขา๎ มาบรหิ ารงาน นอกจากนน้ั การต้งั คณะกรรมการซ่ึงประกอบดว๎ ยบคุ คลมาจากหลาย ๆ ฝุายจะทําให๎ทกุ คนเขา๎ ใจปัญหาและกํอใหเ๎ กิดการ ยอมรบั ในปัญหาทฝ่ี าุ ยอนื่ เผชิญอยูํทาํ ใหก๎ ารประสานงานเป็นไปไดง๎ ํายขึ้น แตํอยํางไรกต็ าม ข๎อเสียของ การใชร๎ ะบบคณะกรรมการก็คือเกิดการสญู เสียทรัพยากรโดยใชํเหตุ เนือ่ งจากเวลาสํวนใหญํใช๎ไปในการ ประชมุ ถกเถียงกัน กวําจะได๎ข๎อยตุ ิอาจไมํทนั การตํอการวินิจฉยั ส่ังการได๎ หรืออาจเป็นการแลกเปล่ยี น ผลประโยชนใ์ นระดับคณะกรรมการหรอื ยอมประนีประนอมกนั เพ่ือให๎ได๎ข๎อยตุ ทิ ่ีรวดเรว็ ทําให๎การตั้ง คณะกรรมการไรผ๎ ล

9 5. โครงสร๎างองคก์ ารงานอนกุ ร (Auxiliary) คอื หนํวยงานชวํ ย บางทเี รียกวาํ หนวํ ยงานแมํบ๎าน (House-keeping agency) ซงึ่ เป็นงานเกี่ยวกับธรุ การ และอาํ นวยความสะดวก เชํน งานเลขาการ และงานตรวจสอบภายใน เปน็ ตน๎ นุ 6. โครงสรา๎ งองคก์ าร แบบสงู และแบบกวา๎ ง การออกแบบโครงสรา๎ งองค์การ ( สมคิด บางโม, 2538) มีสง่ิ หนงึ่ ทคี่ วรคาํ นงึ คือความสูง และความกวา๎ ง ของโครงสร๎าง ถ๎าโครงสร๎างขององค์การมีการบังคบั บัญชากนั หลายชั้นหลายระดบั กระบวนการทํางาน ยํอมชา๎ แตถํ า๎ โครงสร๎างองค์การมีระดบั การส่ังการน๎อยกระบวนการทํางานยํอมรวดเร็วกวําชวํ งของการ ควบคมุ (span of control) หมายถึง จํานวนผ๎อู ยใูํ ต๎บังคบั บญั ชาทถี่ กู ควบคุมหรือส่ังการจาก ผู๎บงั คับบัญชาคนหน่ึง ตัวอยํางเชํน คณุ วิสนี เป็นประธานบรษิ ัท และมีคณุ กาํ ชัยเป็นรองประธานบริษัท เพยี งคนเดียว แสดงวําชวํ งของการควบคุมของประธานคอื มเี พียง 1 แตถํ ๎าบรษิ ัทน้มี รี องประธาน 3 คน แสดงวําชวํ งของการควบคมุ ของประธานมเี ทํากับ 3 เป็นตน๎

10 ข๎อดขี องโครงสรา๎ งแบบสูง 1.การบริหารงานใกลช๎ ิด 2.การควบคุมใกล๎ชดิ 3.การติดตอํ สื่อสารรวดเร็วระหวํางหวั หนา๎ และลูกนอ๎ ง 4.งานมคี ณุ ภาพเพราะอยูํภายใต๎การควบคุมของผูช๎ ํานาญการเฉพาะ ข๎อจาํ กดั ของโครงสรา๎ งแบบสงู 1.คําใชส๎ ูงสําหรบั หวั หนา๎ แตลํ ะระดับ 2.มรี ะดบั การจัดการมาก 3.ระยะทางระหวาํ งระดบั สูงถงึ ระดบั ต่ําหาํ งเกนิ ไป 4.หวั หนา๎ มแี นวโนม๎ ท่ีจะเกยี่ วขอ๎ งกับการทํางาน ของลูกน๎องมากเกนิ ไป ขอ๎ ดขี องโครงสรา๎ งแบบกวา๎ ง 1.ลดคาํ ใชจ๎ ํายในการบริหาร 2.ลูกนอ๎ งมีอิสระสงู ในการทาํ งาน เนื่องจากหัวหน๎ามีผู๎ใต๎บงั คบั บญั ชาจํานวนมากจงึ มีการควบคมุ น๎อย ข๎อจํากดั ของโครงสรา๎ งแบบกวา๎ ง 1.ต๎องการผูบ๎ งั คบั บญั ชาทมี่ คี วามสามารถมาก 2.ผบู๎ งั คบั บญั ชาอาจจะควบคุมงานทุกอยาํ งได๎ไมํทว่ั ถงึ

11 7. การจัดแผนกงาน (Departmentation) การจัดแผนกงาน หมายถงึ การรวมกลุํมกิจกรรมตาํ ง ๆ เข๎าด๎วยกัน โดยการรวมกจิ กรรมที่คลา๎ ยกนั และ เหมาะสมทจี่ ะนาํ มาปฏิบัติ ในกลํมุ เดยี วกนั เข๎าไวด๎ ว๎ ยกันเป็นกลมุํ แผนก หรือหนวํ ยงาน หลักเกณฑพ์ ื้นฐานท่จี ะใชส๎ าํ หรับการจัดแผนกงาน มีดงั น้ี 1. การจดั แผนกงานตามหนา๎ ที่ (Departmentation by Function)การจัดแผนกงานตามหน๎าทน่ี ้ี เปน็ การจัดองคก์ ารทีเ่ ป็นทยี่ อมรับอยํางกว๎างขวาง และหนา๎ ทห่ี ลกั สํวนใหญแํ ผนกตาํ ง ๆ จะมกี ็คือ หน๎าท่ี ทางดา๎ นการผลิต การขายและการเงิน ธงชัย สนั ตวิ งษ์ (2537) ไดก๎ ลําวถึงข๎อดีและข๎อเสยี ของแตํละแบบการจัดแผนกงานไวต๎ ามตารางข๎างลําง ตํอไปน้ี ข๎อดกี ารจดั แผนกงานตามหนา๎ ที่ 1.เหมาะกบั ธุรกิจขนาดเล็กในระยะเร่ิมแรก 2.เปน็ การจัดทีถ่ ูกต๎องตามเหตุผลในเรอ่ื งของหน๎าท่หี ลัก 3.เม่ือเกิดปัญหาขน้ึ ระหวาํ งผ๎ูบรหิ ารในแตํละหน๎าทีก่ ็จะสามารถทําการประสานงานใหท๎ กุ อยาํ งเปน็ ไป โดยสอดคล๎องกัน 4.ถกู ต๎องตามหลักเกณฑ์ของการแบงํ อาชพี ตามความถนดั

12 ข๎อเสยี การจดั แผนกงานตามหนา๎ ที่ 1.ไมํเหมาะสมกับธรุ กิจท่ีมกี ารขยายตวั 2.การทาํ งานของทกุ กลมุํ ไมสํ ามารถเน๎นถงึ วตั ถปุ ระสงค์ขององคก์ ารโดยสวํ นรวมได๎ 3.การประสานงานติดตอํ ระหวํางหน๎าที่ตํางๆเปน็ ไปได๎ยาก 4.ไมํเปิดโอกาสใหม๎ ีการฝึกฝนตวั ผ๎บู ริหารในระดบั รองลงและไมํมีโอกาสเรียนร๎งู านของสวํ นตาํ งๆ 2. การจดั แผนกงานตามประเภทผลติ ภณั ฑ์ (Departmentation by Product) การจัดแผนกแบบ น้ีมักจะใชใ๎ นการจัดแผนกงานขององค์การธรุ กจิ ขนาดใหญมํ ีกระบวนการในการปฏบิ ัติงานซับซอ๎ น องค์การธรุ กิจผลติ สินคา๎ หลายอยาํ ง ถา๎ จะใชก๎ ารจดั แผนกงานตามหน๎าท่ีกจ็ ะทําใหแ๎ ตํละแผนกมีงานมาก เกนิ ไป การดแู ลผลติ ภัณฑ์แตํละอยํางอาจดแู ลไมํทั่วถงึ การขยายงานก็จะมีปัญหาอยาํ งมาก ทําให๎องค์การ ธรุ กิจขาดความคลอํ งตวั ในการดาํ เนนิ งานและเสียโอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์กับองค์การได๎ ขอ๎ ดกี ารจดั แผนกงานตามผลติ ภณั ฑ์ 1.เหมาะสมกบั องค์การที่มขี นาดใหญํขึ้น 2.ชํวยใหผ๎ บ๎ู รหิ ารสงู สดุ สามารถมอบหมายอํานาจหนา๎ ท่ใี นการทํางานตามหนา๎ ที่ตาํ งๆให๎กบั ผูบ๎ ริหาร ของหนวํ ยได๎ 3.ชํวยใหป๎ ระเภทสนิ ค๎าตํางๆไดร๎ บั ความสนใจเตม็ ที่ 4.ชวํ ยให๎ผ๎ูทํางานในหนา๎ ทตี่ ํางๆมโี อกาสฝกึ ฝน ความรู๎ความสามารถของตน ในสวํ นท่เี กยี่ วกับผลิตภณั ฑแ์ ตํละอยํางได๎อยาํ งดี ขอ๎ เสยี การจดั แผนกงานตามผลติ ภณั ฑ์ 1.เกิดปัญหาในเรื่องของการประสานงานในองค์การ 2.หนวํ ยตาํ งๆทแ่ี บํงแยกตามผลติ ภณั ฑ์มีอาํ นาจมากเกนิ ไป

13 3. การจดั แผนกงานตามพน้ื ทท่ี างภมู ศิ าสตร์ (Departmentation by Territory) การจัดแผนกโดยแบํง ตามพ้นื ทที่ างภมู ิศาสตรห์ รอื อาณาเขตน้โี ดยคํานงึ ถงึ สภาพทางภมู ิศาสตรห์ รือทําเลที่ต้งั ทีก่ ิจการจะต๎องเข๎า ไปดําเนินการในพืน้ ที่น้ัน ๆ เป็นสาํ คญั และจะถูกนํามาใช๎จดั แผนกงานสาํ หรบั องค์การธรุ กิจ ทอี่ าณาเขต การขายกว๎างขวางและธุรกจิ อยํูในสภาวะท่ีมีการแขงํ ขันสูง ข๎อดกี ารจดั แผนกงานตามพ้นื ทภี่ มู ศิ าสตร์ 1.ชํวยใหป๎ ระหยดั คาํ ใชจ๎ าํ ยในการปฏบิ ัตกิ าร ทั้งทางดา๎ นการผลิตและการขายรวมทั้งคําขนสํง 2.แกไ๎ ขปญั หาในเรื่องของการติดตํอภายในของบรษิ ัท 3.ชํวยใหม๎ ีการฝึกฝนและพัฒนาตัวผบู๎ ริหารใหมๆํ ไดเ๎ ป็นอยํางดี 4.ชํวยใหท๎ ราบถึงความต๎องการของท๎องถ่ินได๎ดกี วาํ จึงเกดิ จดุ แข็งทางการตลาดได๎ ขอ๎ เสียการจดั แผนกงานตามพนื้ ทภี่ มู ศิ าสตร์ 1.ต๎องเสียคาํ ใช๎จํายเพิม่ ข้ึนในเรอ่ื งของการประสานงานและการคมนาคม 2.เกิดปัญหาเรอ่ื งของการประสานงานในองค์การ 3.หนวํ ยตาํ งๆท่ีแบงํ แยกตามพื้นท่ีอาจจะมีอํานาจมากเกนิ ไป 4.ขาดโอกาสฝกึ ความชํานาญเฉพาะดา๎ นตามอาชีพเฉพาะอยาํ ง

14 4. การจดั แผนกงานตามกระบวนการผลติ (Departmentation by Process) การแบงํ กจิ กรรม ออกเป็นกลมุํ ตามขั้นตอน กระบวนการผลิต หรอื กระแสการไหลของงาน เชํน กจิ การหนังสอื พิมพ์ เชยี งใหมํนิวส์อาจจะมกี ารจดั แผนกศลิ ป์ทาํ หนา๎ ทอี่ อกแบบรปู เลํม์ แบบหน๎าโฆษณา แบบตวั อักษร แผนก พิมพแผนกสต๏อก แผนกจัดสงํ สนิ คา๎ ฯลฯ ข๎อดกี ารจดั แผนกงานตามกระบวนการผลติ 1. ชํวยให๎เกิดผลดจี ากการแบํงงานกนั ทาํ ตามความถนัด 2. สะดวกและงาํ ยที่จะนาํ มาใช๎ในระดบั ต่าํ ขององค์การ ขอ๎ เสียการจดั แผนกงานตามกระบวนการผลติ 1.การประสานงานระหวาํ งแผนกทาํ ได๎ยาก 5. การจดั แผนกงานตามหรอื ลูกคา๎ (Departmentation by Customer) เป็นวธิ ีจดั แผนกงานอีกอยําง หนงึ่ ทอ่ี งคก์ ารธรุ กิจจะให๎ความสาํ คญั แกกํ ลํุมลูกคา๎ เพราะสินค๎าที่องค์การผลติออกมานั้นอาจตอบสนอง ความต๎องการของผ๎บู รโิ ภตแตกตาํ งกัน เนื่องจากพฤตกิ รรมของกลํุมลกู ค๎าทีจ่ ะซอื้ สินค๎านั้นแตกตาํ งกนั

15 ขอ๎ ดกี ารจดั แผนกงานตามลกู คา๎ 1.ชวํ ยให๎สามารถสนองความต๎องการของลูกคา๎ กลุํมตํางๆได๎ดี 2.เป็นการพัฒนาให๎มีผเ๎ู ชย่ี วชาญและความชํานาญในการขายสินค๎าให๎กบั กลํุมลูกค๎าแตลํ ะกลมุํ ข๎อเสยี การจดั แผนกงานตามลกู คา๎ 1.การประสานงานของแตํละหนวํ ยงานจะเกิดข้นึ ได๎ยาก เพราะตํางฝาุ ยตํางแขํงขนั กนั 2.การจัดแบํงกลํุมผูบ๎ รโิ ภคอาจทําไดย๎ าก หากผบ๎ู ริโภคบางรายประกอบธรุ กิจหลายประเภท 3. หากมกี ารเปล่ยี นแปลงในกลํมุ ของลูกคา๎ อาจจะทําให๎การทาํ งานของบางแผนกน๎อยลงไปหรอื ไมมํ ี งานทาํ เลยก็ได๎ 8. แผนภมู อิ งคก์ าร(Organization charts) แผนภมู อิ งค์การ หรอื ผงั โครงสรา๎ งองค์การ หมายถงึ แผนผงั ที่แสดงถึงกลมํุ ตาํ แหนงํ งาน ซ่ึงรวมกลมํุ เปน็ สายการบงั คบั บัญชา โดยมีการแบํงกลมุํ แบํงระดบั โครงสรา๎ งองค์การท่ีมกี ารจัดข้ึนอยํางถูกต๎อง โดยมีการ จัดตาํ แหนงํ ชัดเจน มีสายการบงั คับบญั ชาทีแ่ นํนอน และมีช่อื ตาํ แหนงํ ระบุไว๎ ก็จะชวํ ยให๎ไดข๎ ๎อมูลการ จัดการทเ่ี ป็นประโยชนย์ ิง่ ข้นึ กลําวอกี นยั หนึ่ง ผังโครงสรา๎ งองคก์ ารเปน็ เครอ่ื งมือ ท่จี ะชํวยให๎เขา๎ ใจ โครงสรา๎ งขององคก์ าร อาํ นาจหนา๎ ท่ี ความรับผดิ ชอบ ตลอดจนสายการบงั คับบญั ชาในองค์การนน้ั ๆ บรรจง อภริ ติกุล และสุรินทร์ มวํ งทอง (อา๎ งใน ศิริอร ขันธหตั ถ์, 2536 ) ไดจ๎ ัดแบงํ ประเภทของแผนภูมิ องค์การไว๎ 2 ประการ คือ แผนภมู หิ ลกั (Master Chart)เป็นแผนภมู ทิ ีแ่ สดงโครงสร๎างขององค์การทง้ั หมดขององค์การวํา มกี ารแบงํ สวํ นงานใหญํ ออกเป็นกหี่ นวํ ย ท่ีกอง กแี่ ผนทีส่ าํ คัญ ๆ ตลอดจนความสมั พนั ธ์ทตี่ ํอเนอ่ื งกัน เน่ืองจาก แผนภูมิชนดิ นีแ้ สดงสายการบังคับบัญชาลดหลน่ั ตาลําดบั จึงอาจเรียกได๎วาํ \"Hierarchical Chart\" แบบ แผนภมู หิ ลัก หรือ Master Chart นแ้ี บํงออกได๎ 3 แบบคือ แบบสายงานปิรามิด (Conventional Chart) แบบนเ้ี รียกได๎อกี หลายอยาํ ง เชํน Line or Military เป็น แบบทจ่ี ดั รูปคลา๎ ยกองทพั หรืออาจเรียกได๎อีกอยํางหนึ่งวาํ แบบตามแนวด่ิง (Vertical Chart) แผนภูมิ ลักษณะน้ไี ด๎กาํ หนดให๎ตําแหนงํ สูงสดุ เชํน ตาํ แหนํงผ๎อู ํานายการ หรือผ๎ูจัดการใหญอํ ยูสํ ูงสุด ตําแหนงํ รอง ไว๎ในระดับทต่ี ่าํ ลงมาตามลําดับดงั น้นั จึงมีลกั ษณะคลา๎ ยรปู ปริ ามดิ ดงั นี้

16 แบบตามแนวนอน (Horizontal Chart)หรือแบบซา๎ ยไปขวา (Left to Right Chart) แบบนเ้ี ป็นลกั ษณะ การเขียนแผนภมู ทิ ี่แสดงตําแหนํงสงู สุดไวท๎ างซา๎ ยมือ และหนํวยงานระดับรอง ๆ เล่ือนออกไปทางขวามือ ตามลาํ ดบั แบบวงกลม (Circular Chart)ลักษณะของแผนภมู ชิ นดิ นีแ้ สดงเปน็ วงกลมโดยกาํ หนดตาํ แหนํงสงู สดุ อยํู ตรงกลางและตาํ แหนงํ รอง ๆ อยูใํ นรัศมที หี่ ํางออกๆปตามลําดับ

17 แผนภูมเิ สริม (Supplementary Chart)แผนภูมเิ สริม คือแผนภมู ิท่แี สดงถึงรายละเอียดของหนํวยงาน ยอํ ย ๆ ทีแ่ ยกจากแผนภมู ิหลัก โดยแยกเป็นหนวํ ยงานยอํ ยวาํ มลี กั ษณะหนา๎ ท่ีและความรับผิดชอบอยํางไร หรอื แสดงของเขตความสัมพันธข์ องงานในหนํวยหนึ่ง ๆ ซ่ึงอาจจะเปน็ หน๎าที่และความรับผิดชอบอยํางไร หรอื แสดงขอบเขตความสมั พันธข์ องงานในหนํวยหนงึ่ ๆ ซ่ึงอาจจะเป็นภายในแผนกเดยี วกัน หรอื เกย่ี วโยง ไปยงั แผนกอ่นื ๆ แผนภมู เิ สริมน้ี แบงํ ออกเป็น ได๎หลายลกั ษณะ หรือหลายแบบ เชํน 1. แผนภมู แิ สดงทางเดนิ ของสายงาน (Work Flow Chart)หมายถงึ แผนภูมิท่ีแสดงสายการปฏิบัติทางเดนิ ของงาน 2. แผนภมู กิ ารจดั รปู แบบสถานที่ (The Layout Chart)เป็นแผนภูมทิ แี่ สดงการจดั สถานท่ที ํางาน ซ่งึ หมายถึงการจดั สถานท่ตี ําแหนํงของงาน การจัดห๎องท่ีทาํ งาน เพือ่ ให๎การปฏบิ ัตงิ านเปน็ ไปโดยสะดวก และเรียบรอ๎ ย รวดเร็ว 3. แผนภมู ชิ อื่ บคุ คล (Roster Chart)เปน็ แผนภูมิท่ีแสดงชือ่ บุคคลทีด่ าํ รงตําแหนํงทั้งน้ีเพ่ือประโยชน์ใน การตดิ ตํอประสานงานและให๎บริการ ข้ันตอนและขอ๎ เสนอแนะนาํ ในการเขยี นแผนภมู ิ 1. รวบรวมหน๎าทต่ี าํ ง ๆ ตามทก่ี าํ หนดไวใ๎ นการแบํงงาน1. จดั ประเภทของงาน งานทค่ี ล๎ายกนั ให๎อยูํแผนก และฝาุ ยเดียวกนั 2. กาํ หนดตําแหนํงงานโดยคํานงึ ถึงอํานาจหนา๎ ทแี่ ละความรับผดิ ชอบ และความสาํ คญั ของาน 3. กาํ หนดชนิดของแผนภมู ิ 4. เขียนชื่อเร่ืองของแผนภมู ิ อันประกอบดว๎ ย - ชอื่ ของหนํวยงานหรือช่ือองค์การนน้ั ๆ - ช่ือของแผนภมู ิตามกจิ กรรม เชํน \"แผนภูมแิ สดงแบงํ สํวน ราชการ\" \"แผนภมู ิสายทางเดนิ ของงาน\" ฯลฯ - ใช๎รูปส่ีเหลย่ี มผืนผ๎า แทนหนํวยงาน หรอื ตาํ แหนํง หรือบคุ คล และควรมีขนาดเทาํ กันโดยกาํ หนด ตาํ แหนงํ สูงสุดให๎รูปใหญํกวําตําแหนํงรอง ๆ ลงไป - จดั รูปส่เี หล่ียมผืนผ๎าใหต๎ าํ แหนงํ สงู ต่ําลดหลั่นตามสายงานการบงั คับบัญชา หนวํ ยงานใดท่ีมี ความสําคญั มีอํานาจหน๎าที่เทํากัน ก็ให๎อยูใํ นระดบั เดียวกัน - ลากเส๎นสายการบงั คบั บัญชาผาํ นรปู สีเ่ หล่ยี ม ใชเ๎ ส๎นตรงตามขวางและตามยาวขดี เช่ือมโยงแทนสาย การบงั คบั บัญชา และไมคํ วรลากผํานทะลรุ ูปสี่เหลี่ยมแทนที่หนํวยงานหรือบคุ คลเป็นอนั ขาด - พวกท่ที าํ หน๎าท่ปี รกึ ษา (Staff) ให๎เขยี นไว๎ตํางหากตามระดับของหนํวยงานท่ีให๎คาํ ปรกึ ษาถา๎ มีอยูํ หนํวยเดยี วให๎เขยี นไวท๎ างซา๎ ยมอื - การเขียนเสน๎ สายการบงั คบั บญั ชาตามขอ๎ 8 ให๎ใชเ๎ ส๎นทึบหนา หรอื เสน๎ หนกั แทนสายการบงั คับ บญั ชาโดยตรงในหนา๎ ทีห่ ลกั สํวนหนวํ ยงานทีป่ รกึ ษาให๎ใช๎เส๎นบางหรือจดุ ไขปํ ลาแทน

18 9. อํานาจหนา๎ ทแี่ ละความรบั ผดิ ชอบ (Authority and Responsibility) ในการจัดองค์การจะสามารถจัดการได๎อยํางเหมาะสม เมอื่ มกี ารแบงํ งานกันตามหน๎าท่ีท่ีไดร๎ ับมอบหมาย และทกุ คนร๎ูจักงานและหน๎าท่ีของตน ปฏบิ ัตงิ านภายในขอบเขตท่ีองค์การมอบหมายมา แตงํ านท่ี ดาํ เนนิ การจะสามารถสมั ฤทธ์ิผลไดก๎ ต็ อํ เมอื่ ผบู๎ ริหารทม่ี ีอาํ นาจในการมอบหมายอํานาจหนา๎ ที่นนั้ จะต๎อง กาํ หนดความรับผดิ ชอบของบุคคลแตํละคนในการปฏิบตั ิงานอกี ดว๎ ย อาํ นาจหนา๎ ท่ี (Authority)หมายถึง สทิ ธอิ นั ชอบธรรมทไ่ี ด๎รับมอบหมายมาใหส๎ ั่งบุคคลอ่ืนปฏบิ ัตติ ามท่ีตน ตอ๎ งการได๎ สํวนใหญํแลว๎ ผ๎บู ริหารระดับสูงจะมีการมอบหมายงานให๎ผู๎ใตบ๎ ังคบั บญั ชาระดับตอํ ไปเม่อื มกี าร ส่งั งานเพื่อใหบ๎ คุ คลน้ันสามารถปฏบิ ัติงาน สํวนมากแล๎วอาํ นาจหนา๎ ทีจ่ ะต๎องมีอํานาจในการส่ังการและ การตัดสนิ ใจควบคํูกนั ไปดว๎ ย โดยรู๎จักการสั่งการ คือมอบหมายงานใหก๎ ับใตผ๎ ู๎บงั คับบัญชาทํางานอยําง ตํอเนอื่ ง และตัดสินใจ ในลักษณะงานที่อยูภํ ายในขอบเขตแหํงอาํ นาจตน อํานาจหนา๎ ท่เี ปน็ อาํ นาจที่บุคคล ผม๎ู อี ยไํู ดร๎ ับมอบหมายมาโดยถกู ต๎องตามกฎหมาย และขณะเดียวกนั ก็มีสทิ ธิใหร๎ างวัลและลงโทษผู๎ท่ีปฏิบัติ ตามอาํ นาจหนา๎ ที่นั้นไดอ๎ ีกด๎วย อาํ นาจหนา๎ ที่ (Authority) แตกตาํ งจากอํานาจ (Power) คือ อํานาจหนา๎ ท่ีเป็นสิทธิท่ีได๎รบั มอบหมายมา โดยถกู ต๎องตามกฎหมาย แตํอํานาจเป็นส่งิ ที่บคุ คลนนั้ สรา๎ งข้นึ มาเองและทาํ ให๎บุคคลอื่นยอมรับเพอื่ ท่ีจะ ปฏบิ ัติตาม อํานาจเกิดในด๎านบวกหรอื ด๎านลบก็ได๎ ความรบั ผิดชอบ (Responsibility)เป็นภาระผูกพนั ของบุคคลในการปฏบิ ตั ิอยํางใดอยาํ งหนง่ึ โดยบุคคล จะตอ๎ งรับผดิ ชอบในการทาํ งานเพื่อใหง๎ านสาํ เรจ็ ตามเปูาหมายทว่ี างไว๎ ในองค์การทมี่ ีการวางโครงสรา๎ ง แบบเปน็ ทางการจะมกี ารกําหนดความรับผิดชอบของบุคคลท่ที าํ หนา๎ ท่ใี นกจิ กรรมตาํ ง ๆ อยํางชัดเจนและ ใหอ๎ าํ นาจหน๎าที่ (Authority) ให๎แกํผู๎ปฏิบัติงานอยํางเหมาะสม เพ่อื ที่จะสามารถปฏิบัติงานไดด๎ ๎วยดี อยาํ งไรก็ตามปญั หาของความสมดลุ กนั ระหวาํ งความรับผดิ ชอบและอํานาจหน๎าที่ก็มมี ากขึ้นในขณะที่ องค์การขยายใหญขํ ้ึน ท้ังน้ี เนอื่ งจากผ๎ูปฏบิ ัติงานจะต๎องมีขอบเขตของอํานาจหน๎าทแ่ี ละความรบั ผดิ ชอบ ในสวํ นของตนเพิม่ ขน้ึ ดว๎ ย จึงมีความสบั สนในเรือ่ งของงาน ตลอดจนปญั หาของตวั บุคคลทเี่ กีย่ วข๎องในการ จัดแบํงความรับผดิ ชอบในกิจกรรมตํางๆขององค์การนั้น ควรคํานงึ ถงึ ปจั จยั ตํอไปนี้ - กจิ กรรมที่คลา๎ ยกันควรที่จะให๎อยํูในความรบั ผิดชอบของคนๆเดยี ว การแบํงความรับผิดชอบใหค๎ น หลายคนกํอให๎เกิดผลเสยี ในการปฏบิ ัติงาน ท้งั นี้ เนอ่ื งจากปญั หาการหลีกเลี่ยงความรบั ผิดชอบดงั กลาํ ว - พจิ ารณาคุณสมบัติของผู๎รับมอบหมายงาน เชนํ มีความสามารถท่จี ะทํากิจกรรมนน้ั ๆได๎หรอื ไมํ

19 10. การมอบหมายงาน (Delegation) การมอบหมายงาน หมายถึง การกาํ หนดความรับผิดชอบและอาํ นาจหนา๎ ท่ี (Assignment of Responsibility and Authority ) โดยตวั ผบ๎ู งั คับบญั ชาให๎แกผํ ู๎ใตบ๎ ังคบั บญั ชา = การกระจายงานใน หน๎าที่, ความรบั ผดิ ชอบ (Responsibility) และอํานาจในการตดั สนิ ใจ (Authority) ภายในขอบเขตท่ี กําหนดให๎ผรู๎ ํวมงานหรอื ผ๎ูใต๎บังคับบัญชาไปปฏบิ ัติ (ศิริพร พงศ์ศรโี รจน์, 2543) ในการจดั องค์การจะเห็นได๎วาํ ในการปฏบิ ัติงานในสายการบังคบั บญั ชาจะตอ๎ งมกี ารส่ังงานตามลาํ ดบั ข้นั โดยมีการมอบหมายอํานาจหนา๎ ท่ีใหผ๎ ู๎ใตบ๎ ังคับบัญชาปฏบิ ัติ เพื่อให๎งานนนั้ มีประสิทธิภาพ การมอบหมาย งานมกั จะมคี วามยุํงยากในการปฏิบัติเพราะการตัดสินใจมอบหมายงาน และอาํ นาจหน๎าทเี่ ป็นสง่ิ ที่ ผู๎บรหิ ารช้ันสงู จะต๎องปฏิบัติ และคัดเลือกบุคคลท่ตี นคดิ วํามคี วามสามารถเข๎ามาชํวยงาน การมอบหมาย งานจะมีการมอบหมายงานตามลาํ ดับขน้ั เชํน จากประธานกรรมการไปยงั ผจู๎ ัดการ หัวหนา๎ หนํวยงาน ฯลฯ กระบวนการในการมอบหมายงาน มีลาํ ดบั ขนั้ ดังตํอไปนี้ - การพจิ ารณาจะคิดถงึ ผลท่คี าดวาํ จะได๎รบั จากงาน - การจดั แบํงงานตามความเหมาะสม - การมอบหมายอํานาจหน๎าท่ใี ห๎แตํละบุคคล ท่ีคดิ วําจะทําใหง๎ านบรรลุวัตถปุ ระสงค์ได๎ - พยายามจดั การใหท๎ ุกคนทาํ งาน โดยมคี วามรบั ความรับผดิ ชอบตํองานทท่ี าํ เพือ่ จะไดบ๎ รรลุ ความสําเรจ็ ของงานนนั้ ขนาดของการมอบหมายงาน การท่ีผู๎บังคับบัญชาจะมีความเตม็ ใจทจ่ี ะมอบหมายอํานาจหน๎าท่ใี นการ ทาํ งานมากน๎อยเพยี งใดข้ึนอยํูกับปัจจัย เหลาํ นี้ คือ 1. สภาพบรรยากาศ หรอื วัฒนธรรมขององค์การถ๎าองคก์ ารถือวิธปี ฏิบตั ิงานในลักษณะทเี่ ป็น ประชาธิปไตยมักมกี ารมอบหมาย งานให๎ผทู๎ ่ที าํ งานระดับตํ่าได๎มีโอกาสตดั สนิ ใจด๎วยตนเองมาก ตรงขา๎ มกบั องค์การทใี่ ชว๎ ิธกี ารควบคมุ อยําง มากจะมีการจาํ กัดการตดั สนิ ใจไว๎ท่ผี ๎ูบรหิ ารระดับสูงเทํานน้ั 2. ลักษณะของงานที่ทํางานบางอยาํ งทค่ี ํอนขา๎ งยากและมคี วามสาํ คัญที่ตอ๎ งใช๎ความรอบคอบ หรือ งานบางอยําง ถ๎ามีการตัดสินใจที่ผดิ พลาดแล๎วจะกํอความเสยี หายมหาศาลให๎แกํกิจการนัน้ ผบ๎ู ริหารจะ สงวนไว๎ตัดสนิ ใจเอง แตํหากงานนนั้ มีลกั ษณะคอํ นข๎างงําย เหมาะสมท่ีผ๎ูใต๎บังคับบัญชาจะทําแทนได๎ ผบ๎ู ริหารกจ็ ะมอบหมายใหบ๎ ุคคลอ่นื ทําแทนได๎ 3. ลกั ษณะพฤติกรรมของผู๎บรหิ ารกรณีผู๎บรหิ ารเปน็ บคุ คลท่มี แี นวความคิดสมัยใหมํ หรอื สมยั เกํา ถ๎า เป็นผูบ๎ รหิ ารสมยั เกาํ การปฏิบัติงานจะยดึ หลักของการรวมอํานาจ (Centralization)คอื จะยดึ ถือ แนวความคดิ ของตนเป็นเร่อื งสําคญั แตผํ บู๎ รหิ ารสมัยใหมํจะใชห๎ ลกั ของการกระจายอํานาจ (Decentralization) คือผบู๎ รหิ ารมคี วามเต็มใจทีจ่ ะยอมมอบอาํ นาจให๎ผูอ๎ ืน่ กระทําผดิ ได๎บา๎ ง และเป็น ผบ๎ู ริหารทใี่ จกว๎างยอมรับฟังความคดิ เห็นของบุคคลอื่นไดบ๎ ๎าง

20 ศลิ ปะของการมอบหมายงาน ผ๎ูบังคบั บัญชาจะสามารถมอบหมายงานให๎กับผ๎ูใตบ๎ งั คบั บัญชาปฏิบตั ิ จะต๎องมีศลิ ปของการมอบหมายงานโดยจะต๎องพยายามทําให๎ผใู๎ ต๎บังคับบญั ชาปฏิบัติงานไดอ๎ ยาํ งมี ประสทิ ธภิ าพ ดงั น้ันศิลปของการมอบหมายงานของผู๎บังคับบญั ชาแตลํ ะคนจึงขึน้ อยํกู บั ทัศนคตสิ ํวนบคุ คล (Personel Attitudes) ของผ๎ูบังคับบญั ชาเอง อันไดแ๎ กํ - ยอมรบั ความคิดเห็นของผ๎ใู ตบ๎ ังคับบัญชาเพยี งใด - เตม็ ใจท่จี ะมอบหมายอํานาจในการตดั สินใจให๎ผูใ๎ ตบ๎ งั คบั บญั ชาเพียงใด - เตม็ ใจที่จะเปิดโอกาสให๎บคุ คลอ่นื กระทําความผดิ ได๎ - เตม็ ใจที่จะกาํ หนดขอบเขต ความรบั ผดิ ชอบและมีการควบคุมงานที่เหมาะสม ประโยชนข์ องการมอบหมายงาน จะกอํ ให๎เกิดประโยชน์ 3 ประการใหญํๆ ดงั นี้ 1. ชํวยลดภาระของผู๎บรหิ ารระดบั สงู 2. ชวํ ยในการพฒั นาผ๎อู ยูํใตบ๎ งั คบั บัญชา 3. เปน็ การสรา๎ งขวญั ทด่ี ใี หแ๎ กํผูป๎ ฏิบตั งิ าน ขอขอบคณุ ข๎อมลู ***ภาควชิ าบรหิ ารสาธารณสขุ - คณะสาธารณสุขศาสตร์ : มหาวทิ ยาลยั ขอนแกนํ อาจารยส์ วุ ทิ ย์ แย๎มเผ่อื น หลักการจดั การ ศนู ย์ตาํ ราอาจารยน์ มิ ติ จริ ะสันตกิ าร

21 หนวํ ยที่ 2 การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในองคก์ ร หวั ข๎อ 1. ความหมายการเพิม่ ประสิทธิภาพในองคก์ ร 2. พฤติกรรมในองคก์ ร 3. การพฒั นาศักยภาพของบุคลากรในองค์กร 4. บคุ ลิกภาพ 5. กลยทุ ธ์การเพ่ิมประสทิ ธิภาพการทํางานในองค์กรด๎วยการสร๎างบรรยากาศในการทํางาน 6. การส่อื สารในองคก์ ร แนวคดิ 1. การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในองคก์ ร เป็นการเปรียบเทียบทรัพยากรที่ใช๎ไปกับผลท่ีได๎จากการทาํ งานวําดี ขน้ึ มากน๎อยเพยี งใดคุ๎มคําหรือไมํ ซง่ึ มีเกณฑใ์ นการวัดและการทอี งค์กรจะไปสํคู ุณภาพได๎มีอยํางน๎อย 3 วิธกี ารคือการลดต๎นทนุ การเพ่ิมผลผลิตอยํางตํอเน่ือง และการปรบั ปรงุ คุณภาพอยํางตํอเนือ่ ง 2. พฤตกิ รรมในองคก์ ร รปู แบบเฉพาะในการดําเนนิ งานที่องค์กรสร๎างขน้ึ นั้น เปน็ ผลมาจากการปรับ องค์ประกอบตาํ งๆใหส๎ อดคล๎องกันและกนั โดยศกึ ษาพฤติกรรมตํางๆในองค์กร 3 ระดบั คือ พฤตกิ รรม บคุ คล พฤติกรรมกลุํม พฤติกรรมองค์กร ซงึ่ นําไปสูํการสร๎างความพึงพอใจในการปฎิบัติงานซ่งึ มผี ลตํอ การเพิ่มประสิทธภิ าพในการทํางานและองค์กร 3. การพฒั นาศกั ยภาพของบคุ ลากรในองคก์ ร การรู๎จักตนเองเป็นจุดเริ่มตน๎ ของการพฒั นาศักยภาพ ของบุคลากรซ่ึงประกอบดว๎ ยส่ิงสาํ คญั คอื องคป์ ระกอบของการเรียนร๎ูตนเอง และองค์ประกอบการเรียน การปรับบคุ ลกิ ภาพ 4. บคุ ลกิ ภาพ คอื ลกั ษณะพเิ ศษเฉพาะของบุคคลแตลํ ะบคุ คล อาํ ทาํ ใหบ๎ คุ คลน้ันแตกตาํ งจากบคุ คลอ่ืนๆ ซึง่ มีองค์ประกอบ คือ ลักษณะทาํ ทาง ลักษณะทางใจ ลกั ษณะทางสงั คม ลักษณะทางอารมณ์ 5. กลยทุ ธก์ ารเพมิ่ ประสิทธภิ าพการทํางานในองคก์ รดว๎ ยการสรา๎ งบรรยากาศในการทาํ งาน ความหมายของกลยุทธใ์ นองค์กร กลยุทธ์ขององค์กร หมายถึง การที่องค์กรไดแ๎ สดงความสมั พนั ธก์ บั สภาพแวดล๎อม โดยใช๎วธิ กี ารบริหารที่องค์กรไปเก่ียวข๎องกับสภาพแวดลอ๎ มที่มกี ลุํมตําง ๆ ตัวบคุ คล องค์กรอน่ื และสถาบันประเภทอื่นท้ังหลายทอี่ ยํูภายในองค์กรและนอกองค์กรการบรหิ ารองคก์ รใหม๎ ี ประสทิ ธภิ าพมีเร่อื งทส่ี ําคญั ทต่ี อ๎ งพจิ ารณา 2 ประการ คอื ประการแรก ผ๎ูบรหิ ารตอ๎ งเข๎าใจถงึ ลกั ษณะ สภาพแวดลอ๎ มทีเ่ ก่ยี วข๎อง ประการทสี่ อง ผบู๎ ริหารต๎องเขา๎ ใจวํา องค์กรสัมพันธ์กบั สภาพแวดล๎อมอยํางไร โดยพจิ ารณาในแงขํ องการพจิ ารณาปัจจยั สาํ คัญตาํ ง ๆ 6. การสื่อสารในองคก์ ร หมายถงึ กระบวนการในการแลกเปล่ยี นขําวสารของหนวํ ยงานกับบคุ ลากรทกุ ระดบั ภายในองค์กร ซ่ึงมคี วามสัมพนั ธก์ นั ภายใตส๎ ภาพแวดลอ๎ ม บรรยากาศขององค์กร และสงั คม ซ่ึง สามารถเปล่ียนแปลงไปไดต๎ ามสถานการณ์ กระบวนการสื่อสารการส่อื สารให๎เป็นระบบแล๎ว คงจะชํวยให๎ เขา๎ ใจการสื่อสารได๎ดียิ่งข้นึ ด๎วยเหตุน้ี กระบวนการส่อื สารประกอบดว๎ ยแหลงํ ข๎อมูล คือ แหลํงที่มาของ

22 ข๎อมูลขาํ วสาร หรือเป็นต๎นตอของแหลงํ ขอ๎ มูลขําวสารนั่นเองขาํ วสาร คอื เน้ือหาสาระที่ต๎องสํงไปผ๎ูสํง คือ บคุ คลท่ีจะเปน็ ผู๎ดาํ เนินการสงํ ขาํ วสารผู๎รับ คอื ผ๎เู ป็นเปาู หมายในการรบั ขาํ วสาร ซึง่ ถอื วําเปน็ เปาู หมาย สดุ ท๎ายของการสื่อสารประเภทของสือ่ ที่ใชใ๎ นการสอ่ื สารในองค์กรส่อื หรอื ชํองทาง ใช๎เพื่อให๎ขําวสารน้นั ไหลหรือถูกพาไปยังผูร๎ บั สาร พอจะแบํงออกได๎ 3 ประเภท ดังนี้ ประเภทการใชภ๎ าษา ไดแ๎ กํ การพูด คําพูด ซึง่ การใช๎ภาษานบั วาํ เป็นการสอื่ สารทใ่ี ช๎กนั มาก ประเภทไมใํ ชภ๎ าษา ไดแ๎ กํ สัญลกั ษณ์ การเขยี นข๎อความ ภาพ หรือเคร่ืองหมายตํางๆ เป็นต๎น ประเภทอาศยั การแสดง/พฤตกิ รรม จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. อธบิ ายความหมายของการเพ่ิมประสทิ ธิภาพในองค์กรได๎ 2. อธิบายพฤติกรรมในองค์กร ได๎ 3. อธบิ ายการพฒั นาศักยภาพของบุคลากรในองคก์ รได๎ 4. อธิบายบุคลิกภาพได๎ 5. อธบิ ายกลยทุ ธก์ ารเพมิ่ ประสทิ ธิภาพการทํางานในองค์กรดว๎ ยการสรา๎ งบรรยากาศในการทาํ งานได๎ 6. อธิบายการส่ือสารในองค์กร ได๎ 1.การเพิม่ ประสทิ ธภิ าพในองคก์ รความหมาย การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในองคก์ ร ขอ๎ แตกตํางของคาํ วํา ประสิทธผิ ล กบั ประสิทธภิ าพ ประสทิ ธผิ ล (Effectiveness) หมายถึง ความสําเร็จในการท่สี ามารถดําเนินกจิ การกา๎ วหน๎าไปและ สามารถบรรลุเปาู หมายตําง ๆ ทอี่ งค์กรตง้ั ไว๎ ประสทิ ธภิ าพ (Effciency) หมายถึง การเปรียบเทยี บทรัพยากรท่ใี ช๎ไปกับผลทไ่ี ด๎จากการทาํ งานวําดีขึ้น อยาํ ไร แคไํ หน ในขณะทีก่ ําลงั ทํางานตามเปาู หมายขององค์กร เกณฑว์ ดั ประสทิ ธภิ าพขององคก์ ร 1. เกณฑว์ ดั ผลตามเปาู หมาย 2. เกณฑ์การบรหิ ารประสทิ ธิภาพเชงิ ระบบ 3. เกณฑ์การบริหารประสทิ ธิภาพโดยอาศยั กลยุทธต์ ามสภาพแวดล๎อมเฉพาะสวํ น 4. การใชว๎ ิธกี ารแขํงขันคณุ คําการสรา๎ งองค์กรแหํงคุณภาพ การที่องคก์ รจะไปสคูํ ณุ ภาพนน้ั จาํ เปน็ ต๎องปรบั องคก์ ร โดยทว่ั ไปนยิ มใช๎ 3 วธิ คี อื 1. การลดตน๎ ทนุ 2. การเพิ่มผลผลิตอยํางตอํ เน่ือง 3. การปรบั ปรงุ คุณภาพอยาํ งตอํ เนือ่ ง นสิ ยั แหงํ คณุ ภาพมี 7 ประการ ดงั น้ี 1. ความเปน็ ระเบยี บเรียบร๎อย

23 2. การทํางานเปน็ ทมี 3. การปรับปรงุ อยาํ งตํอเนื่อง 4. การมงํุ ที่กระบวนการ 5. การศึกษาและฝึกอบรม 6. ประกนั คุณภาพ 7. การสํงเสริมใหพ๎ นักงานมสี ํวนรวํ ม กลยทุ ธ์การบรหิ ารเชงิ คุณภาพ เปน็ เพยี งการนาํ เสนอดังน้ี 1. วงจร PDCA หรือ PDCA 2. ระบบ 5 ส หรอื 5 S 3. กลํุมระบบ QQC (Quality ContrlCircle:QCC) 4. ระบบการปรบั รื้อ(Re-engineering) 5. ระบบ TQM (Total Quality Management) 2 พฤตกิ รรมในองคก์ ร การศึกษาเร่ืองพฤติกรรมองค์การมคี วามจาํ เปน็ ทเี่ ราจะตอ๎ งเข๎าใจ ความหมายของคาํ วาํ “พฤติกรรมของมนษุ ย์ในองคก์ าร” (Human Behavior in Organization) และ “พฤตกิ รรมองคก์ าร” (Organization Behavior) เสียกํอนวํามคี วามแตกตาํ งกันหรอื ไมํอยํางไร โดยทัว่ ไปแล๎วการศึกษาวชิ าพฤตกิ รรมมนษุ ยใ์ นองค์การ และพฤติกรรมองค์การไมํมีความแตกตาํ งกนั มาก นกั กลําวคือ เปน็ การศึกษาวเิ คราะห์พฤติกรรมมนุษยใ์ นระดับตาํ งๆ เพื่อแนวทางใน การพฒั นาพฤตกิ รรม และเพ่ิมประสิทธิภาพการทํางาน จึงกลําวได๎วําการศกึ ษาทงั้ สองสํวนนเ้ี ปน็ การศึกษาในขอบเขตเน้ือหา เดยี วกนั อยํางไรกต็ าม ทง้ั 2 วชิ ามคี วามแตกตํางกันอยบํู า๎ ง คือ เม่ือเราเอยํ ถงึ พฤติกรรมของมนษุ ย์ใน องค์การเรามักจะหมายถึง การแสดงออกของปัจเจกบคุ คล ( Individual ) ทีอ่ ยํใู นสภาวะการทํางานที่มี ตอํ เพื่อนรวํ มงาน ผูบ๎ ังคับบญั ชา สถานที่ และวธิ ีการทํางาน เป็นตน๎ ซึง่ สวํ นใหญแํ ล๎วต๎องอาศัยทฤษฎี จิตวิทยาเป็นเคร่อื งมือในการวิเคราะห์ แตเํ มือ่ เราพูดถงึ วชิ าพฤติกรรมองคก์ าร เรามกั จะมองในแงขํ องกลมุํ ( Group ) การทํางานวาํ มีพฤตกิ รรมอยํางไร มีความรวํ มมือ ความขัดแย๎ง และแบบฉบบั ปฏิสัมพนั ธ์ ( Interaction ) เป็นอยํางไร ผลกระทบท่ีกลมํุ มีตอํ ผลงาน และผลกระทบของงานท่ีมีตํอกลมุํ เปน็ อยํางไร การอธบิ ายปรากฏการณเ์ หลํานีจ้ าํ เปน็ ต๎องอาศัยความรท๎ู างด๎านสังคมวิทยา มนุษยวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ มาประกอบ เม่ือพิจารณาในข๎อเท็จจริงแล๎ว การศกึ ษาพฤตกิ รรมองค์การจะต๎องศึกษา พฤติกรรมของมนุษยใ์ นฐานะปจั เจกบคุ คล เพราะแม๎วาํ เราตอ๎ งการเขา๎ ใจพฤติกรรมกลมํุ แตํกลุํมก็คือการ รวมตวั ของปจั เจกบคุ คล เราจึงไมํสามารถแยกปจั เจกบุคคลออกไปจากองค์การได๎ การที่จะเขา๎ ใจ พฤติกรรมองคก์ ารได๎ดีนน้ั จึงจาํ เป็นตอ๎ งเข๎าใจพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์การให๎ดเี สียกํอน นอกจากนี้ตัว ขององค์การเองไมํวาํ จะเปน็ บทบาท หนา๎ ที่ตลอดจนบรรยากาศในองค์การกจ็ ะมีอิทธิพลตอํ พฤตกิ รรมของ บุคคลด๎วย

24 ความหมายของพฤตกิ รรมองคก์ าร พฤติกรรมองค์การมาจากการรวมคําสองคําเขา๎ ดว๎ ยกัน คอื คําวํา “พฤติกรรม” กบั “องค์การ” พฤติกรรม หมายถึง การแสดงออก หรอื แนวโนม๎ ของปฏกิ ิรยิ าที่ จะแสดงออกของบุคคลในสภาพการณแ์ ละสงิ่ แวดลอ๎ มตํางๆ ทีอ่ ยูรํ อบๆ ตวั บุคคล คาํ วํา “พฤตกิ รรมองค์การ” ( Organizational Behavior ) มผี ๎ใู หค๎ วามหมายไว๎หลากหลาย ดังนี้ มดิ เดิลมิสท์ และฮิทท์ (Middle mist and Hitt, 1988: 5) ใหค๎ วามหมายวํา พฤตกิ รรมองคก์ ารเป็น การศกึ ษาพฤติกรรมของบคุ คลและกลุํมภายในองค์การ ซึ่งความเข๎าใจดังกลาํ วจะนําไปใชใ๎ นการเพม่ิ ความ พงึ พอใจให๎แกํพนกั งาน เพิม่ ผลผลติ และประสิทธผิ ลขององคก์ ารนน้ั ๆ บารอน และกรนี เบริ ์ก ( Baron and Greenberg, 1989 : 4 ) กลําววํา พฤตกิ รรมองคก์ าร หมายถึง การศกึ ษาพฤติกรรมของมนุษยใ์ นองค์การ โดยศกึ ษากระบวนการของปจั เจกบุคคล กลุํม และองคก์ าร อยํางเป็นระบบ เพ่ือนําความรด๎ู ังกลาํ วไปใช๎ในการเพ่ิมประสิทธิผลขององค์การ และทาํ ให๎บคุ คลท่ที าํ งาน ในองค์การมีความสขุ สรุปไดว๎ ํา พฤติกรรมองค์การเปน็ การศึกษาพฤติกรรมของมนษุ ย์ในองค์การอยาํ งเป็นระบบ ทั้ง พฤติกรรม ระดับบุคคล กลมุํ และองคก์ าร โดยใช๎ความรู๎ทางพฤตกิ รรมศาสตร์ ซึ่งความรท๎ู ่ีไดส๎ ามารถนาํ ไปใช๎ในการ เพิ่มผลผลติ และความพงึ พอใจของบุคลากร อนั นําไปสูํการเพมิ่ ประสิทธผิ ล ขององค์การในภาพรวม ความสาํ คญั ของพฤตกิ รรมองค์การ ผ๎ูบรหิ ารในยคุ แรก ๆ มองบุคคลวาํ เป็นปจั จยั การผลติ อยํางหนงึ่ เชนํ เดียวกับเคร่ืองจกั รเคร่ืองกล ตํอมาได๎ มคี วามพยายามท่ีจะเพิ่มประสิทธภิ าพ ใหค๎ นทํางานได๎มากขึ้น เร็วข้ึน โดยการจงู ใจดว๎ ยเงินและวัตถุเป็น หลกั ทีเ่ รียกวํา “การบรหิ ารเชิงวิทยาศาสตร์” แตพํ บวํา วธิ ีการใหค๎ วามสําคัญกับ มนุษยสัมพันธ์ไมํได๎ คาํ ตอบที่ดีกบั การบริหาร จงึ มีการใช๎วิธีการศึกษาทางพฤตกิ รรมศาสตร์ ทท่ี ําให๎เขา๎ ใจพฤติกรรมของมนุษย์ ท่ีอยํู ภายใตส๎ ภาพแวดล๎อม ขององคก์ าร อันเป็นท่ีมาของการศกึ ษาพฤตกิ รรมองค์การ ซ่ึงการศึกษา ดงั กลาํ ว มีอิทธิพลอยํางมากตํอแนวคิดการบริหารในปัจจุบัน เนื่องจากการบรหิ ารเป็น กระบวนการ ทํางานให๎สาํ เรจ็ โดยใชบ๎ คุ คลอ่ืน พฤติกรรมของบคุ คลในองค์การจึงมคี วามสาํ คัญตํอการเพ่ิมผลผลิตและ ประสิทธผิ ลขององค์การ เนื่องจากการบรหิ ารงานเปน็ กระบวนการทาํ งานให๎สาํ เรจ็ โดยใชบ๎ คุ คลอ่นื และการบรหิ ารเป็น กระบวนการของการวางแผน การจดั องค์การ และการควบคมุ ปัจจยั ตําง ๆ โดยเฉพาะทรัพยากรมนุษย์ เปน็ ปจั จัยท่มี คี วามต๎องการ มีความรูส๎ กึ และอารมณ์ ดงั นนั้ การทจ่ี ะบริหารจัดการให๎มนุษย์ทํางานได๎ สําเรจ็ เกดิ ประสิทธผิ ลตามจุดมุํงหมายขององค์การ ตลอดจนสามารถแขํงขันและทาํ ให๎องคก์ ารอยํูรอดได๎ น้นั ผู๎บรหิ ารจําเปน็ ตอ๎ งทําการศกึ ษาพฤติกรรมภายในองค์การ เพ่ือใหเ๎ กิดความเข๎าใจและสามารถทํานาย พฤติกรรมในองค์การได๎ ตลอดจนสามารถควบคุมปัจจัยตําง ๆ ทีเ่ กี่ยวข๎อง เพื่อให๎เกดิ พฤติกรรมท่ีพึง ประสงค์ ท้งั น้ี การศึกษาพฤติกรรมองคก์ ารมคี วามสาํ คัญตํอผ๎ูบริหารดงั ตอํ ไปนี้

25 1. ทาํ ให๎เกดิ ความเขา๎ ใจ และสามารถทํานายและควบคุมพฤติกรรมของตนเอง การศึกษาพฤติกรรมองค์การจะชวํ ยใหผ๎ ู๎บริหารเขา๎ ใจพฤตกิ รรมและความร๎สู ึกของตนเอง เชนํ มี ความเขา๎ ใจในความรส๎ู ึก ความต๎องการและแรงจูงใจของตนเอง ทาํ ให๎ทราบธรรมชาติ จุดอํอน และจดุ แขง็ ของพฤตกิ รรมของตนเอง ตลอดจนปัจจัยท่ีเป็นสาเหตุ ทําใหส๎ ามารถทาํ นายและ ควบคุมพฤตกิ รรม ของตนเองให๎เป็นไปในทิศทางท่ีพึงประสงค์ เชนํ นาํ ความรู๎ที่ได๎มาใช๎ในการ ปรับปรงุ พฒั นาพฤติกรรม และความความสามารถในการตัดสนิ ใจ การตอบสนอง การควบคมุ อารมณ์และความเครียดตาํ ง ๆ การ พฒั นาการสื่อสารกบั ผู๎อน่ื ซึ่งจะกอํ ใหเ๎ กดิ ประโยชนอ์ ยาํ ง มากตํอการบรหิ ารงานในอาชีพของตน 2. ทาํ ใหเ๎ กิดความเข๎าใจ และสามารถทํานายและควบคมุ พฤติกรรมของผใ๎ู ต๎บงั คบั บัญชา เนอ่ื งจากผ๎บู รหิ ารจาํ เป็นต๎องรับผิดชอบในการวางแผน การจดั องค์การ และการควบคุมให๎มกี าร ทํางานท่ีนําไปสผํู ลสาํ เรจ็ ขององค์การ การศึกษาพฤตกิ รรมองค์การจะทําให๎ผู๎บรหิ ารเข๎าใจ ธรรมชาตแิ ละความต๎องการของผใู๎ ตบ๎ ังคับบญั ชาแตลํ ะคน เข๎าใจปจั จัยสาเหตุของพฤติกรรม จึง ทําใหผ๎ ๎บู ริหารเขา๎ ใจในปญั หาตาํ ง ๆ ทีเ่ กดิ ข้นึ ได๎อยํางถูกต๎อง สามารถทํานายได๎วํา ถ๎าใสํปัจจัย หรอื ตัวแปรใดเข๎าไป จะสงํ ผลให๎เกิดพฤติกรรมอะไรขึ้น ซึ่งนาํ มาสูํการแก๎ไขปญั หาพฤติกรรมใน องค์การดว๎ ยการควบคุมตวั แปรตาํ ง ๆ ได๎อยาํ งเหมาะสม เชํน ใชก๎ ารจงู ใจบคุ ลากรให๎ทาํ งานอยาํ ง ทํุมเทมากข้ึน มีการจัดออกแบบงานได๎อยํางเหมาะสมกบั ธรรมชาติของคนทาํ งาน การแกไ๎ ข ปัญหาความขัดแย๎งในองค์การ การสนับสนนุ ให๎บคุ ลากรทาํ งานไดบ๎ รรลตุ ามเปาู หมายและไดร๎ บั รางวลั เป็นตน๎ 3. ทําให๎เกิดความเข๎าใจ และสามารถทาํ นายและควบคุมพฤติกรรมของเพอ่ื นรวํ มงาน เนื่องจากผู๎บริหารจาํ เป็นต๎องทํางานและมปี ฏิสัมพันธก์ ับเพ่ือนรวํ มงานในองค์การ การเข๎าใจ กระบวนการเกดิ ทัศนคติของบุคคล การเข๎าใจความแตกตําง ของแตํละบคุ คล กระบวนการกลมํุ ท่ี เกิดข้ึนจากการทํางานรํวมกนั และความสัมพนั ธร์ ะหวํางกลมุํ วัฒนธรรมภายในองค์การ พฤตกิ รรม ที่เกีย่ วกบั อํานาจและการเมืองภายในองค์การจะชํวยใหผ๎ ๎บู ริหารเข๎าใจกระบวนการทเี่ กีย่ วขอ๎ งกบั พฤติกรรมตําง ๆ ในองคก์ าร ทาํ ให๎สามารถทาํ นายและนาํ มาใชใ๎ นการสนบั สนุนใหเ๎ กิดการทํางาน รวํ มกนั ได๎เป็นอยาํ งดี 4. ทาํ ใหเ๎ กดิ ความเข๎าใจ และสามารถทํานายพฤตกิ รรมของผู๎บริหาร บุคคลอ่ืนและสภาวะตาํ ง ๆ ท่ี เก่ยี วข๎องในการกาํ หนดนโยบายขององคก์ าร เนือ่ งจากผ๎ูบริหารมหี ลายระดับผบู๎ รหิ ารในระดับท่ีอยเํู หนือขน้ึ ไปจะมีอิทธิพลตํอผ๎บู รหิ ารในระดบั รองลงมา และบุคคลอืน่ และสภาวะตาํ ง ๆ ท่เี กย่ี วข๎องในการกาํ หนดนโยบายการบรหิ ารจะมี อิทธพิ ลตํอผบ๎ู รหิ ารระดับสูง เชํน ผู๎บรหิ ารจากสํวนกลาง ผู๎ตรวจราชการ ผถ๎ู ือหุน๎ รวมทั้งคํแู ขํง ( Competitors ) ผสู๎ งํ วัตถุดิบให๎ ( Suppliers ) และลกู คา๎ ขององคก์ าร ตลอดจนสภาพแวดลอ๎ ม เทคโนโลยี

26 พฤติกรรมองคก์ ารจงึ เปน็ สิง่ ท่ีจะชวํ ยใหผ๎ ๎ูบรหิ ารมีความเข๎าใจพฤติกรรมและความต๎องการของผ๎ูบรหิ าร ที่ อยํูเหนือขนึ้ ไปและบุคคลอน่ื ท่ีมสี ํวนเก่ยี วขอ๎ ง กับนโยบายขององค์การ และสามารถทํานายการ เปล่ียนแปลงของ ปัจจัยภายนอกทีส่ งํ ผลตํอนโยบายขององค์การ ซงึ่ นํามาสกํู ารเจรจาตํอรอง การวางแผน การจดั องค์การ และการควบคุมให๎องค์การมกี ารเปล่ยี นแปลงไปในทิศทางท่ีพึงประสงค์ และสามารถ ตอบสนองความต๎องการของผู๎ทมี่ สี ํวนเกีย่ วข๎อง กับการกําหนดนโยบายขององค์การได๎ ดังน้ัน การศึกษาพฤติกรรมองค์การจงึ มีความสําคัญอยํางย่ิงตอํ ผู๎บริหาร กลําวคอื ทําให๎ผ๎ูบรหิ ารเข๎าใจ ตนเอง เข๎าใจผ๎ใู ตบ๎ งั คบั บญั ชา เข๎าใจเพ่ือนรํวมงาน ตลอดจนเข๎าใจผู๎บริหารและบุคคลอ่นื และสภาวะตํางๆ ทีเ่ กยี่ วข๎องในการกาํ หนดนโยบาย โดยความเข๎าใจเหลาํ นีจ้ ะทาํ ให๎สามารถทํานายพฤติกรรมที่จะเกดิ ขึ้น และสามารถปรับปรุงพฤติกรรมตนเอง จูงใจ สนบั สนุน และควบคมุ พฤตกิ รรมของบุคคลอนื่ อันเปน็ สํวน สําคญั ที่จะทําใหผ๎ ู๎บริหารสามารถบริหารตนเอง และบุคคลรอบขา๎ ง และทํา ให๎องค์การประสบ ความสาํ เรจ็ ได๎ : http://www.novabizz.com/NovaAce/Behavior/Organization- Behavior.htm#ixzz3ULSPPHmY พฤติกรรมในองค์กร องคก์ รจะสรา๎ งรปู แบบของการดาํ เนนิ งาน ตลอดจนการปฎบิ ัตงิ านตําง ๆ ขนึ้ เพ่ือ สนองตอบการเปลีย่ นของสง่ิ แวดลอ๎ ม และสภาวะที่เกดิ จากการดําเนนิ งานของบคุ คลและของกลมํุ หรือ อาจจะกลําวอกี นัยหน่ึงวํา รปู แบบเฉพาะในการดําเนนิ งานท่อี งคก์ รสรา๎ งขนึ้ นนั้ เปน็ ผลมาจากการปรับ องคป์ ระกอบตาํ ง ๆ ให๎สอดคล๎องกันและกันไดก๎ ารศึกษาพฤตกิ รรมตาํ ง ๆ ในองคก์ ร 3 ระดบั คือ พฤตกิ รรมบคุ คล (Individual Behavior) พฤตกิ รรมกลมํุ (Group Behavior) พฤติกรรมองคก์ ร (Organization Behavior) ความพงึ พอใจในการทาํ งาน ความพงึ พอใจในการทํางาน เปน็ เร่อื งที่ได๎รบั ความสนใจมาก ท้งั จาก นกั จติ วทิ ยา นกั วิชาการ และนกั บรหิ ารงาน ผ๎ูปฎบิ ตั ทิ มี่ ีความพึงพอใจในการทํางาน ยํอมปฎบิ ตั งิ านได๎ ประสบผลสําเรจ็ มากกวาํ ผท๎ู ่ีไมพํ งึ พอใจในการปฎิบัติงาน ดังนนั้ ในการบริหารงานจาํ เป็นจะตอ๎ งศึกษาให๎ เขา๎ ใจ เพราะความพงึ พอใจในการทาํ งาน เป็นกระบวนทางจติ วทิ ยาทีไ่ มํสามารถมองเห็นและสังเกตได๎ เพียงอาศยั การคาดคะเนและสังเกตพฤตกิ รรมเทาํ น้นั ความหมายของความพงึ พอใจในการทาํ งาน ความพงึ พอใจในการทํางาน หมายถึง สภาวะของอารมณ์ ความร๎ูสึก และเจตคติของบุคคลทม่ี ตี ํองานทีเ่ ขาปฎบิ ตั อิ ยํู โดยแสดงออกมาเปน็ ความสนใจ กระตอื รือรน๎ เต็มใจและสนุก รําเริง เปน็ ต๎น เมอ่ื ผ๎ูปฎบิ ตั ิงานเกิดความพึงพอใจในงานที่ทาํ เขากจ็ ะมคี วามพยายาม อตุ สาหะ มคี วามสขุ ในการทาํ งาน และความมํุงมัน่ จนงานนัน้ สาํ เรจ็ ตามวัตถุประสงค์ ความสาํ คญั ของความพงึ พอใจในการทาํ งาน ผ๎บู ริหารงานควรใหค๎ วามสนใจตํอผ๎ปู ฎิบตั ิงานหรือ ผ๎ูใต๎บังคับบญั ชา โดยให๎ผ๎ูปฎิบัติงานได๎ทราบเปาู หมาย นโยบาย มสี ํวนรํวมในการตัดสนิ ใจ การวางแผน

27 และพฒั นา ได๎รับการยอมรับและมคี วามเปน็ กนั เอง สงิ่ เหลํานี้เป็นแนวการบรหิ ารที่ให๎ความสาํ คญั ตํอผ๎ู ปฎิบัตงิ าน จึงทาํ ให๎ผ๎ูปฎิบตั งิ านมคี วามรส๎ู ึกท่ีดแี ละมีความพงึ พอใจในการทาํ งานองค์ประกอบท่ีมผี ลตํอ ความพึงพอใจในการทํางานการทํางานเพอ่ื ให๎พนักงานเกดิ ความพงึ พอใจในงานนนั้ มอี งค์ประกอบ มากมายทีส่ ํงเสริม สนับสนุนใหเ๎ กิดความพึงพอใจ องคป์ ระกอบพน้ื ฐานทส่ี าํ คญั ทมี่ ผี ลตอํ ความพงึ พอใจ มีดงั ตํอไปน้ี งาน คอื พนักงานมคี วามชอบ ความถนัด และความสนใจในงานนน้ั คาํ จา๎ ง คือ คําจา๎ งแรงงานในอตั ราที่เหมาะสม โอกาสทไ่ี ดเ๎ ล่ือนตาํ แหนงํ คือ ผูบ๎ รหิ ารจะต๎องมวี ิธีการท่ีดีในการพิจารณาการเล่อื นตําแหนํงของ พนกั งานเพื่อความยุตธิ รรมการยอมรบั คือ ท้ังผ๎บู ริหาร และเพ่ือนรํวมงาน หากมีการยอมรับในบทบาท ยอํ มทําให๎บคุ คลเกิดความพงึ พอใจในการทาํ งาน สภาพการทาํ งาน คือ สภาพโดยท่ัวไปของสถานที่ทาํ งาน เชํน ความสะอาด ความเป็นระเบยี บ กวา๎ งขวางโอํโถง เปน็ ตน๎ ผลประโยชน์ และ สวสั ดกิ าร คอื สิ่งที่พนักงานได๎รับตอบแทนจากการปฎบิ ตั ิงาน นอกเหนือจากคาํ จ๎าง เชํน บาํ เหน็จ บํานาญ คาํ รักษาพยาบาล คาํ ทีพ่ ัก เป็นตน๎ หวั หนา๎ งานหรอื ผบู๎ งั คบั บญั ชา คอื ลกั ษณะของหัวหน๎างานเปน็ แบบใด มที กั ษะการบริหารงานมาก นอ๎ ยเพยี งใด รจ๎ุ ักหลักจติ วทิ ยา หลักมนุษยสัมพันธเ์ พียงไร และเมื่อมปี ัญหา หวั หนา๎ สามารถที่จะแกป๎ ัญหา หรือใหค๎ าํ แนะนาํ แกํผ๎ูปฎิบตั งิ านได๎เพยี งใด หากหวั หน๎าดี ยํอมทาํ ให๎ผร๎ู ํวมงานเกิดความพึงพอใจ เพ่ือนรวํ มงาน คือ หากมีเพื่อนรํวมงานทดี่ ีในองคก์ ร การทํางานไปกันได๎ ยํอมสงํ ผลทําให๎ผูป๎ ฎบิ ตั ิ งานเกดิ ความพึงพอใจในงานมากขึน้ องค์กรและการจดั การ คือ หากองค์กรมีวธิ ีการจัดการ จดั ระบบการบริหารดี ยํอมสร๎างความพึง พอใจในงานได๎เชํนกัน ฉะนนั้ การสรา๎ งภาพลักษณ์ของหนํวยงานจงึ เปน็ เรื่องสาํ คัญ 3. การพฒั นาศกั ยภาพของบคุ ลากรในองคก์ ร การรจ๎ู กั ตนเอง ความรู๎สึกนกึ คิดและภาพการมองที่แตกตํางกนั ระหวํางบคุ คล 2 คน หรอื มากกวําน้ันเปรียบเสมือน กระจกเงาบานใหญํท่ีสํองภาพที่เปน็ ความจริงของตนเอง การยอมรับคาํ วจิ ารณ์ความคิดเหน็ ของบุคคลอืน่ อยํางมีเหตผุ ล ทําใหเ๎ ราสามารถทาํ การบ๎านใหก๎ บั ตัวเอง และรจู๎ กั ตวั เองได๎อยาํ งถูกต๎อง เชํน เรามจี ดุ อํอน ท่โี กรธงําย อารมณข์ ํุนมวั พูดจามะนาวไมํมีน้าํ ใบหน๎าไมํสร๎างความสัมพนั ธ์ การแสดงบทบาทเหลํานีเ้ ปน็ อปุ สรรคในการสร๎างมนุษยสัมพนั ธ์ จาํ เป็นอยาํ งย่งิ ตอ๎ งปรับเปลีย่ นบคุ ลกิ ภาพใหมํ หลักการในการรจ๎ู กั ตนเอง มี 6 ประการ 1. ความร๎ู 2. สุขภาพและศักยภาพทางรํางกาย 3. ฐานะทางเศรษฐกิจ

28 4. สติปญั ญา 5. นสิ ัยและความสนใจ 6. ความสามารถและความถนัดเฉพาะ องคป์ ระกอบของการเรยี นร๎ูตนเอง 1. บุคลกิ ภาพ หมายถึง ทุกสง่ิ ทุกอยํางของบคุ คลท่ใี ช๎ในการแสดงออกกบั บคุ คลอนื่ อยํางมีความพอดี การร๎ูจักตนเองประกอบด๎วย 1.1 พนั ธกุ รรม 1.2 สง่ิ แวดล๎อม 2. คาํ นยิ ม หมายถงึ คุณคําของบุคคล/สงั คม สํวนนิยมปฏิบตั ิตํอๆกนั มาเพราะเหน็ วาํ เปน็ สิง่ ทเ่ี ป็น ประโยชน์ คาํ นิยมแบํงเป็น 2 ประการ คือ 2.1 คํานิยมดี 2.2 คํานิยมเลว การปรบั บคุ ลกิ เพอื่ พฒั นาตนเองประกอบดว๎ ย 1. ลักษณะทาํ ทาง หมายถงึ รูปรํางหนา๎ ตา การพดู บุคลกิ เหลํานสี้ ามารถแก๎ไขเปลยี่ นแปลงพัฒนาได๎ 2. การแตงํ กาย หมายถึง การเลอื กใช๎เสอ้ื ผา๎ เครอื่ งประดับ ให๎เหมาะสมกบั บุคลิก 3. สขุ ภาพราํ งกายและจิตใจ หมายถึง การมีสุขภาพอนามยั แจํมใส 4. ความรอบรู๎ หมายถึง การใชส๎ ตปิ ญั ญา แลว๎ นาํ มาวิเคราะหเ์ พอื่ แสดงบทบาทได๎อยาํ งเหมาะสม การปรบั ปรงุ พฒั นาตนเองมี 4 ขั้นตอน 1. ตะหนกั ถึงความสาํ คญั และความจําเปน็ ที่ต๎องพฒั นาตนเอง 2. มคี วามปรารถนาอยาํ งแรงกล๎าทีจ่ ะพฒั นาตนเอง 3. วเิ คราะหข์ ๎อดขี ๎อเสียของตนเอง 4. มแี ผนการพัฒนาตนเองอยํางเป็นระบบระเบยี บ กลยทุ ธใ์ นการพฒั นาตนเองมี ดงั น้ี 1. การเปน็ ผู๎มีใจสงบ 2. การเปน็ ผมู๎ ีจติ ใจเบิกบาน 3. ความเปน็ ผูไ๎ มหํ วาดหวนั่ ตํอความยากลาํ บาก 4. เป็นผูต๎ รงตํอเวลา 5. การเป็นคนขยันขนั แข็ง 6. ความเปน็ ผเ๎ู ชอ่ื มัน่ ในตนเอง 7. ความเป็นผู๎ละเอียดรอบคอบ 8. ความเปน็ ผูเ๎ ชอ่ื ถือของผอ๎ู ่นื

29 การสรา๎ งทมี งาน • ความสําเร็จของงานข้ึนอยูํกับปัจจัยการทํางานเปน็ ทมี ภารกจิ สําเรจ็ ทสี่ ุดของนักบรหิ ารจัดการ คอื การพยายามทาํ ความเขา๎ ใจกบั สวํ นประกอบของทีมงาน การกาํ หนดวัตถุประสงค์ของทมี งาน ใหช๎ ดั เจน และการทํางานอยํางตอํ เน่ือง เพ่ือให๎บรรลวุ ัตถุประสงคต์ ามเปาู หมายขององค์กร ความสาํ เร็จของงานบนพ้นื ฐานงํายๆคือ บุคคลแตลํ ะคนในทมี งานมีพลังความสามารถในปรมิ าณ ท่ีแนนํ อนจํานวนหนึง่ โดยแตํละคนจะใช๎พลงั งานที่จาํ เป็นสํวนหน่งึ ในการคม๎ุ ครองความรูส๎ ึกหรือ อารมณ์ของตน แลว๎ จงึ ใชพ๎ ลงั งานสํวนที่ทํมุ เทให๎กับงาน ดงั น้ัน พลงั งานสํวนทีเ่ หลือคือสวํ นที่จะ อุทศิ ใหก๎ ับตัวงาน ความหมายของการสรา๎ งทมี งาน  1.การสร๎างทมี งาน หมายถงึ การจัดการด๎านพลังกลมุํ คนที่มจี ุดมงํุ หมายรํวมกัน และต๎องทํางาน รวํ มกนั ให๎ทํางานดว๎ ยใจรักสนกุ เพลดิ เพลิน อนั จะกํอให๎เกิดพลังผูกพนั รับผิดชอบรวํ มกัน  การทํางานเป็นทมี หมายถงึ การที่บคุ คลตง้ั แตสํ องคนขึน้ ไปมาทํางานรวํ มกัน เพื่อให๎บรรลุ จุดมํุงหมายเดียวกนั อยาํ งมปี ระสทิ ธิภาพ การทํางานเป็นทีมชํวยเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพขององค์กร เนือ่ งจากทาํ ให๎วัตถปุ ระสงค์รวมขององค์กรประสบความสาํ เร็จสูงสดุ และมคี วามพงึ พอใจใน เพ่ือนรวํ มงาน วตั ถปุ ระสงคใ์ นการสรา๎ งทมี งาน ► ลักษณะงานทตี่ ๎องการสรา๎ งสรรคส์ ิ่งใหมํๆจะตอ๎ งจัดระบบในเรอ่ื งตํางๆ ไดแ๎ กํ การติดตํอสอื่ สาร กระบวนการแก๎ปญั หา และการทํางานเป็นทีมมากกวําลกั ษณะงานประจํา การบรหิ ารที่อยํู ภายใตส๎ ถานการณ์ทเ่ี ปลี่ยนแปลงตลอดเวลาน้ี เราจะต๎องใช๎ความคดิ สรา๎ งสรรคแ์ ละสตปิ ัญญาใน อนั ทจ่ี ะรเิ ร่ิมสรา๎ งสงิ่ ใหมํๆ รวมทั้งเตรยี มรบั มอื กับเหตกุ ารณ์ไมํคาดคิด และต๎องอาศัยการทุํมเท ความสามารถอยาํ งเต็มที่ของพนกั งาน เพือ่ บรรลวุ ัตถุประสงคร์ ํวมกัน การสรา๎ งทมี งานมวี ตั ถุประสงค์ ดงั น้ี  1. เพือ่ สรา๎ งความไว๎วางใจในหมํูสมาชกิ ทมี งานเดยี วกนั  2. การทาํ งานเปน็ ทีมมปี ระสิทธผิ ลมากข้นึ  3. ประสิทธิภาพการทํางานจะเพิ่มขนึ้  4.คนเราจะทํางานรวํ มกันได๎ดีขน้ึ เมอ่ื มีการเปิดเผยและจรงิ ใจตอํ กัน  5. เพอ่ื ให๎การสนบั สนุนด๎านพัฒนาบุคลกิ ภาพ  6. เพอื่ การพัฒนาทกั ษะในการแกป๎ ญั หารวํ มกนั  7. สงํ เสรมิ ความคดิ รเิ รมิ่ สร๎างสรรคใ์ นหมูสํ มาชิกของทมี

30 ลกั ษณะทมี งานทด่ี ี  ทมี งานท่ดี ี จะมีความสมดุลท่ีเหมาะสมของทกั ษะและความสามารถ รวมทง้ั ความพอใจทุกคน สามารถแสดงออกด๎วยความซื่อสตั ยแ์ ละเปิดเผย การสนทนาเกี่ยวกบั งานจะเหมือนกันทง้ั ภายใน และภายนอก องคก์ รมีการเผชิญหน๎ากับความผดิ พลาดอยํางเปิดเผย และใช๎สอ่ื กลางสาํ หรบั การ เรียนร๎ู และเม่ือเผชิญกับสถานการณ์ท่ลี าํ บาก ประโยชนข์ องการทาํ งานเปน็ ทมี  งานดีมคี ุณภาพ  2. เพิ่มผลผลติ ของงาน  3. ลดความขดั แย๎งในองค์กร  4. รูบ๎ ทบาทหน๎าทข่ี องตนเอง  5. ปลกู ฝงั ความรบั ผดิ ชอบ  6. สรา๎ งมติ รสัมพนั ธ์  7. พัฒนาความคดิ สร๎างสรรค์ 4.บคุ ลกิ ภาพ ความหมายและความสาํ คัญของบุคลกิ ภาพบุคลกิ ภาพเป็นลักษณะโดยรวมของบุคคลท้ังรูปลักษณ์ทาง กาย อารมณ์ สงั คม สตปิ ัญญาและพฤติกรรม ซ่ึงทําให๎มีลกั ษณะแตกตํางกันในแตลํ ะบุคคล บคุ ลกิ ภาพ บางอยาํ งก็ติดตัวมาแตกํ าํ เนิดและบางอยาํ งก็ไดร๎ บั ผลจากการตดิ ตอํ สัมพนั ธ์กบั บุคคลอนื่ ในสภาพแวดลอ๎ ม หรือในสงั คมทใ่ี กลช๎ ดิ ซง่ึ แตลํ ะคนมีการพฒั นาและประสบการณท์ ่ีไมเํ หมือนกนั บุคลิกภาพจึงมีลกั ษณะ เป็นของเฉพาะตวั บคุ ลิกภาพของแตลํ ะบคุ คลอยํางนอ๎ ยจะแสดงออกให๎ปรากฏ 3 ดา๎ นคือ 1. แสดงบคุ ลิกภาพด๎านรูปราํ งหน๎าตา สผี ม สผี ิว เพศ อายุ และจากอิทธพิ ลของตํอมในรํางกาย 2. แสดงบุคลิกภาพในดา๎ นจติ ใจ สติปญั ญา อารมณ์และความร๎ูสกึ 3. แสดงทางด๎านสงั คม อุปนิสัยใจคอ ความนิยมชมชอบ ระเบยี บแบบแผนและประเพณีการเรียนรท๎ู าํ ให๎ บุคลกิ ภาพของคนเปลย่ี นแปลงไปทีละน๎อย และความคบั ข๎องใจทีเ่ กิดจากการสนองความต๎องการไมํได๎จะ มีผลตอํ พฒั นาการของบุคลกิ ภาพ การปรบั ตวั จงึ มีสํวนสมั พันธ์กับพัฒนาการทางบคุ ลกิ ภาพของบคุ คลเปน็ อยํางมาก ความหมายของบคุ ลกิ ภาพ บุคลิกภาพ หมายถึง ลกั ษณะโดยรวมของแตํละบุคคล ทั้งลักษณะภายในและภายนอกและ ปัจจัยตาํ งๆ อันมีอิทธิพลตอํ ความรสู๎ ึกของผูพ๎ บเหน็ ลกั ษณะท่วั ไปของบคุ ลกิ ภาพ 1. บคุ คลแตํละคน มีลักษณะรปู ราํ งเป็นไปตามพันธุกรรม เมื่ออยํใู นสงั คมจะเกิดการเรียนรู๎และมผี ล ตํอบคุ ลิกภาพของบุคคล

31 2. บุคลิกภาพ เป็นลกั ษณะพฤตกิ รรมสํวนรวมของบคุ คล ซึ่งหมายถึงทกุ ส่ิงทุกอยํางทป่ี รากฏ ออกมาจากตวั บคุ คลนัน้ 3. บคุ ลกิ ภาพของบุคคลจะเป็นอยํางไรข้นึ อยํูกบั การมองเห็นของบุคคลอ่นื 4. บุคลกิ ภาพเกิดจากการท่บี ุคคลใชค๎ วามสามารถทจ่ี ะปรับตวั ใหเ๎ ข๎ากบั บุคคลอื่นได๎ องคป์ ระกอบของบุคลกิ ภาพ 1. ลักษณะทางกาย ได๎แกํ รูปรําง หนา๎ ตา สดั สํวน ผวิ พรรณ สผี ม ความสงู นา้ํ หนกั เป็นลักษณะ ประจาํ ตัวของบุคคล 2. ลกั ษณะทางใจ ไดแ๎ กํ ความคิด ความจาํ จินตนาการ ความสนใจ ความตง้ั ใจ การตดั สินใจ สติปัญญา เปน็ เรือ่ งเกย่ี วกับสมอง 3. อุปนิสัย ได๎แกํ ความสุภาพออํ นโยน ความซ่ือสัตยเ์ ชื่อถอื ได๎ ความเคารพสทิ ธิ สํวนบุคคลไมํเหน็ แกตํ ัว มศี ีลธรรมจรรยา ซึ่งเป็นกิริยาที่สอดคล๎องกบั สภาพของสังคม 4. อารมณ์ ได๎แกํ ความร๎สู ึกแหํงจิตทกี่ ํอให๎เกดิ อาการตํางๆ เชํน ต่นื เต๎น ตกใจ โกรธ กล๎าหาญ หวาดกลัว ราํ เริง หดหํู หงุดหงิด วิตกกงั วล ฯลฯ 5. การสมาคม คอื กริ ิยาทาํ ที อาการท่ีบคุ คลแสดงตํอผ๎ูอื่น เชนํ เปน็ คนชอบคบหาสมาคมกับผูอ๎ ื่น หรือเปน็ คนเก็บตัว เหน็ ใจผ๎ูอื่น ไมํแยแสผ๎อู ่นื ฯลฯ ปจั จัยทมี่ ีผลตํอบคุ ลกิ ภาพ 1. พนั ธกุ รรม (Heredity) เป็นสงิ่ ทบ่ี ุคคลไดร๎ ับการถาํ ยทอดจากบรรพบุรุษ ได๎แกํ รปู รํางหนา๎ ตา ผวิ พรรณ ฯลฯ 2. ประสบการณ์ (Experience) เปน็ การเรียนร๎ูและปรับตัวตํอสภาพแวดลอ๎ มทีบ่ ุคคลเข๎าไป เกี่ยวขอ๎ ง ประสบการณม์ ี 2 ประเภทคือ 2.1 ประสบการณ์ทว่ั ไป เปน็ ประสบการณ์ธรรมดาท่ีทุกคนในสังคมได๎รับเหมือนๆ กนั เชนํ ขนบธรรมเนียมประเพณี การเรยี นร๎ูบทบาทของตนเอง 2.2 ประสบการณ์สํวนตวั เป็นประสบการณ์ของแตํละคนทป่ี ระสบด๎วยตนเองโดยทบี่ ุคคลอ่ืนไมํ เคยพบเชํนเดียวกับเรา หรอื เราอาจจะเปน็ ผ๎ูทีป่ ระสบเพยี งคนเดียวกไ็ ด๎ ความสาํ คญั ของบคุ ลกิ ภาพ บคุ ลิกภาพ มคี วามสาํ คญั ตอํ การดาํ รงชีวติ ในสงั คมเป็นอยาํ งมาก ดงั จะพิจารณาไดจ๎ ากประเดน็ ดังน้ี 1. ความมนั่ ใจ ผ๎ูมีบคุ ลกิ ภาพดีจะมคี วามมั่นใจในการแสดงออกมากขนึ้ และมโี อกาสทีจ่ ะประสบ ความสาํ เร็จจงึ มีมากขึ้น 2. การยอมรบั ของกลํมุ ผ๎ทู มี่ บี คุ ลิกภาพดยี ํอมเปน็ ทีย่ อมรับของคนท่ัวไป และต๎องการท่ีจะให๎อยูํใน กลํมุ 3. การปรับตัวให๎เขา๎ กับผู๎อ่นื การที่เรารบู๎ คุ ลิกภาพของผู๎อนื่ ทําใหเ๎ ราสามารถปรับตัว เข๎ากบั บคุ คล และสถานการณ์ไดด๎ ขี ้นึ รวดเรว็ ขน้ึ งํายข้นึ 4. ความสาํ เรจ็ ผูท๎ มี่ ีบุคลิกภาพดจี ะได๎เปรียบคนอืน่ เสมอ เพราะสามารถสรา๎ งความศรัทธา

32 นําเช่ือถือแกผํ ๎ูพบเห็น ไดร๎ บั ความรวํ มมอื และการตดิ ตํอด๎วยดี ชํวยให๎ทาํ งานไดส๎ ําเร็จงํายขึ้น 5. เอกลักษณ์ของบุคคล บคุ ลิกภาพทําให๎คนมีลักษณะเฉพาะตวั ซงึ่ สามารถใช๎เป็นแบบอยํางที่ดีและ แบบอยาํ งที่ไมดํ ไี ด๎ ความแตกตาํ งของบคุ ลกิ ภาพ เปน็ ที่ยอมรับกนั วําบุคลิกภาพของบุคคลจะแตกตํางกนั ปจั จยั ท่มี ีผลทําให๎เกิดความแตกตํางของ บคุ ลิกภาพ มดี งั นี้ 1. เพศ ธรรมชาตแิ ละสังคมกําหนดใหเ๎ พศหญิงและชายมบี ุคลิกภาพที่แตกตํางกนั และในวัยเดก็ ไมํ อยํูในขนั้ ของการแยกแยะความแตกตํางระหวํางเพศอยาํ งชัดเจน แตเํ พศหญิงไมวํ ําจะอยํูในชํวงอายใุ ดจะมี ความสามารถในการเข๎าใจอารมณข์ องบคุ คลได๎ดีกวาํ เพศชาย และเพศชายมคี วามกา๎ วรา๎ วมากกวําเพศ หญิงในทุกกรณี 2. อายุ บคุ ลกิ ภาพของบุคคลจะเปลย่ี แปลงไปตามอายุ ไดแ๎ กํ ความระมัดระวงั ความเข๎มแขง็ ความคิดและความจาํ ชํวงอายุท่มี ีความผิดปกติทางพฤติกรรมดา๎ นความคิดและความจํา สวํ นใหญํคอื กลมํุ อายุท่ีสงู กวาํ 60 ปีข้ึนไป 3. สุขภาพ บคุ ลิกภาพของบคุ คลมคี วามเก่ียวข๎องกับสขุ ภาพ 2 ด๎านคือ สุขภาพทางกาย และ สุขภาพทางจติ บคุ คลที่มรี ํางกายสมบรู ณแ์ ข็งแรงจะสงํ ผลถงึ ความพร๎อมในการสร๎างบุคลกิ ภาพทด่ี ี และ บุคคลท่ีมสี ุขภาพจิตดี จะทําใหบ๎ ุคลกิ ภาพภายนอกดตี ามไปด๎วย 4. อาชีพ อาชีพเปน็ ปัจจัยท่มี ีอิทธพิ ลตํอบคุ ลิกภาพ เพราะอาชีพจะหลอํ หลอมใหบ๎ ุคลิกภาพของ บุคคลสอดคลอ๎ งกบั ลกั ษณะอาชีพ เชํน อาชพี ครู อาจารย์ จะถกู หลํอหลอมให๎เป็นบคุ คลท่ชี อบบอก ชอบ สอนและพร๎อมทจี่ ะให๎อภยั เสมอ 5. ประสบการณ์ บุคคลยอํ มมีประสบการณ์ทแ่ี ตกตาํ งกัน บุคคลทีไ่ ด๎รับการเล้ยี งดูทด่ี ี มคี วามอบอํุน ในครอบครัว จะทําให๎เป็นผู๎ที่มีความเชื่อมน่ั ในตัวเอง และบุคคลทีม่ ีประสบการณ์ท่เี ลวรา๎ ยในชวี ิต จะทํา ใหเ๎ ป็นผูท๎ ่ีมองโลกในแงํร๎าย หวาดระแวง ชาํ งสงสยั วติ กกังวล ขาดความเชื่อมนั่ ในตนเอง ลักษณะของผม๎ู ีบคุ ลิกภาพดี ผม๎ู บี คุ ลิกภาพดี เป็นผท๎ู ่ีมพี นื้ ฐานด๎านสุขภาพดี สามารถปรับตวั ไดด๎ ี และสงํ ผลทําให๎บคุ ลิกภาพดีด๎วย ผ๎มู บี ุคลกิ ภาพดจี ะมีคุณลักษณะและความสามารถทางจติ ใจทีส่ ําคัญ ดังน้ี 1. ความสามารถในการรับรู๎ และเขา๎ ใจสภาพเปน็ จรงิ อยํางถูกตอ๎ ง บุคคลที่มสี ุขภาพจิตสมบูรณ์ จะมี ความสามารถในการรับร๎แู ละเข๎าใจสภาพความจริงท้ังความจริงภายนอกและความจริงภายใน เชํน สภาพแวดลอ๎ มทางกายภาพ ทางสงั คม ความรสู๎ กึ และความต๎องการของตวั เรา 2. การแสดงอารมณใ์ นลักษณะและขอบเขตทเ่ี หมาะสม ผทู๎ ่มี ีสุขภาพจติ ดีจะสามารถควบคุมอารมณ์ ได๎อยาํ งเหมาะสม แตกํ ารควบคุมอารมณม์ ากเกินกวาํ เหตจุ ะมีผลร๎ายคอื ทําให๎มอี ารมณเ์ ครียดผดิ ปกติ ซง่ึ จะทําใหเ๎ กดิ ปญั หาในการดําเนนิ ชวี ิตและไมสํ ามารถควบคุมอารมณ์ของตนเอง และขาดการยบั ยงั้ ชง่ั ใจ 3. ความสามารถในการสร๎างความสมั พนั ธ์ทางสังคม โดยธรรมชาตขิ องมนุษย์จะไมํชอบอยลํู าํ พัง

33 จะตอ๎ งมีความสัมพนั ธ์กับผู๎อ่นื มีสํวนรวํ มในสงั คม ต๎องการได๎รบั การยกยํองและมีช่อื เสยี งเปน็ ทรี่ กั ของทุก คนตลอดจนทําใหเ๎ กดิ ความร๎ูสึกปลอดภยั จากอันตรายตํางๆ และไดร๎ ับความไว๎วางใจจากผ๎อู ่นื 4. ความสามารถในการทํางานท่เี ปน็ ประโยชน์ตํอสงั คมและสวํ นรวม คนเราจําเปน็ ต๎องเลือก ประกอบอาชีพทต่ี นถนัด เพอ่ื ใหใ๎ ชค๎ วามรูค๎ วามสามารถไดอ๎ ยาํ งเต็มท่ี ซึง่ จะเป็นประโยชน์ตํอตนเองในการ ทาํ งาน และเป็นประโยชน์ตอํ สงั คมโดยรวม 5. ความรักและความต๎องการทางเพศ มคี วามสําคัญตํอสุขภาพจิตและสงํ ผลตํอบคุ ลิกลักษณะของ บุคคล ความรกั จะสรา๎ งความสัมพันธ์ระหวาํ งมนุษย์ ความรักใครํผกู พันจะสรา๎ งความปรารถนาและอทุ ิศ ตัวในการอยูํรํวมกนั และผกู พันกับผอู๎ ื่น ซง่ึ จะสรา๎ งความสุขความพอใจ และเกิดความรสู๎ ึกเปน็ ตัวของ ตัวเอง และสรา๎ งสัมพนั ธภาพทด่ี กี ับผ๎อู ่นื ด๎วย 6. ความสามารถในการพัฒนาตน ตนในทนี่ ้หี มายถงึ ตนทีแ่ ท๎จรงิ และตนทแ่ี สดงออกตํอผูอ๎ ่นื ดังน้นั ผ๎ู มีสุขภาพจิตสมบูรณจ์ ะมีความรู๎สึกตอํ ตนเองในแงํดี และเข๎าใจตนเอง ในบางครง้ั คนเราก็อาจจะเกิด ความรส๎ู กึ ขัดขนื ไมํเห็นด๎วยกับสิง่ ท่ีตนตอ๎ งกระทํา แตตํ ๎องปฏบิ ัตติ นให๎สอดคล๎องกบั ความตอ๎ งการของ ผอู๎ ื่น ซึ่งอาจจะทาํ ใหก๎ ระทบกระเทือนตํอความรสู๎ ึกและความตอ๎ งการของตนเอง ลกั ษณะของบคุ ลกิ ภาพทด่ี ี 1. ลกั ษณะบคุ ลิกภาพทางกาย เปน็ ลกั ษณะท่ีมองเห็นได๎โดยงําย ซง่ึ ประกอบด๎วย 1.1 รูปราํ ง หนา๎ ตา เปน็ ลกั ษณะภายนอกท่ีกอํ ให๎เกิดความพึงพอใจแกบํ ุคคลรอบขา๎ ง และผ๎ูท่ีมา ตดิ ตอํ บคุ คลท่ีมรี ปู ราํ งหน๎าตาดี ยอํ มไดเ๎ ปรียบบคุ คลอน่ื แตจํ ะตอ๎ งอาศัยลักษณะอยาํ งอื่น เชนํ กิริยามารยาท ดี มีความเป็นกนั เอง มนี า้ํ ใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผํ และมีความสามารถในการพดู ทดี่ ีเปน็ สวํ นประกอบดว๎ ย 1.2 การแตงํ กาย ผูท๎ ีม่ บี ุคลิกภาพดจี ะต๎องแตํงกายให๎ถูกกาลเทศะ มรี ูปแบบของเสื้อผ๎าและสสี ันที่ เหมาะสมตลอดจนมีความสะอาด การแตํงกายเป็นตวั แทนอยาํ งหนง่ึ ของคนซ่ึงสามารถปรบั ปรงุ เปล่ยี นแปลงไดง๎ าํ ยและรวดเร็ว รวมทง้ั เคร่ืองแตงํ กายเป็นตัวกาํ หนดระเบียบของสังคม การแตงํ กายให๎ เหมาะสมเปน็ การใหเ๎ กยี รติกัน และใหค๎ วามเคารพตอํ สถานท่ี 1.3 ความสะอาดและสุขภาพอนามยั อวัยวะสํวนตาํ งๆ ในรํางกายนบั ต้ังแตํศีรษะ จรดปลายเทา๎ จะตอ๎ งสะอาดทุกๆ สํวน ซ่ึงจะสํงผลใหส๎ ขุ ภาพอนามัยดีมคี วามสมบูรณ์ 1.4 กิริยาทาํ ทาง เป็นลักษณะอยาํ งหนง่ึ ซึง่ จะสามารถสร๎างความประทับใจให๎กับผู๎พบเห็นหรือมา ติดตํอได๎ ดงั นนั้ บุคคลจึงควรจะมีกริ ยิ าทําทางที่แสดงออกถึงความรวดเร็ว คลอํ งแคลวํ วํองไว 2. บคุ ลกิ ภาพทางอารมณ์และจติ ใจ เปน็ ส่ิงทีส่ งํ เสรมิ ใหบ๎ ุคลิกภาพทางกายให๎งดงาม นาํ ศรัทธา เชื่อถือมากยิ่งขึ้น จงึ ควรมีบคุ ลกิ ภาพดังน้ี 2.1 ความสามารถในการควบคมุ อารมณ์ คอื ความสามารถในการควบคมุ อารมณ์ โลภ โกรธ หลง ไมํใหเ๎ กดิ ข้ึนเพราะหากไมสํ ามารถควบคุมความโลภของตนเองไว๎ได๎กจ็ ะเกดิ การคดโกงหรือหากเกดิ อารมณ์โกรธจะเกดิ อาการหงุดหงิดไมํสามารถควบคมุ สติ ขาดการย้งั คิดก็อาจจะทําใหก๎ ารตดั สินใจ ผิดพลาด หรอื ทาํ งานบกพรอํ ง และการหลงงมงายในอบายมุข สิ่งเสพติด จะทําใหล๎ ะทงิ้ หน๎าที่การงานละ

34 ทิ้งครอบครัวจนอาจทาํ ใหค๎ รอบครวั แตกแยกในทีส่ ุด ดงั นั้นบุคคลทีส่ ามารถควบคุมอารมณไ์ ดจ๎ ะเปน็ ผท๎ู ี่มี อารมณ์ดี ยิม้ แยม๎ แจมํ ใสและมีมนุษยส์ ัมพันธด์ ีตอํ คนใกล๎ชิดและคนรอบขา๎ ง 2.2 มที ัศนคติท่ดี ีตํอการปฏิบัติงาน การท่ีบุคคลมีทศั นคติที่ดีตอํ งาน จะทาํ ให๎มีจติ มุงํ มั่นในการ ทํางาน ทุมํ เทในการทํางานทง้ั ราํ งกายและจติ ใจและพร๎อมที่จะฝุาฟันอปุ สรรคตาํ งๆ ทาํ งานดว๎ ยใจรกั และ ทาํ งานโดยไมํหวงั ส่งิ ตอบแทนใดๆ ก็ยํอมได๎ 2.3 มีความสามารถในการตัดสินใจ บคุ คลท่ีมีความสามารถในการตดั สินใจสํวนใหญํ จะเป็นผท๎ู ีม่ ี ประสบการณ์ในด๎านตาํ งๆ รู๎บทบาทหน๎าท่ีของตนเอง มองเห็นผลทีจ่ ะเกิดขึ้นตามมาจาก การตัดสินใจของ ตนซ่ึงสวํ นใหญํจะใหเ๎ กิดความเสยี หายนอ๎ ยทสี่ ดุ หรือองคก์ รได๎รบั ผลประโยชน์สูงสดุ 3. บุคลกิ ภาพทางวาจา ลักษณะทางวาจาท่ีดคี วรมี 3.1 วาจาสุภาพนมํุ นวล การพูดทีด่ จี ะต๎องพดู สุภาพนมุํ นวล และมีหางเสียง จะทําให๎เป็นท่ีช่ืนชม รกั ใครขํ องคนทัว่ ไป และสามารถทาํ ให๎เกิดมนุษยสัมพนั ธท์ ่ีดตี ํอทุกคน 5 กลยทุ ธก์ ารเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการทาํ งานในองคก์ รด๎วยการสรา๎ งบรรยากาศ ในการทาํ งาน ความหมายของกลยทุ ธใ์ นองค์กร กลยุทธ์ขององคก์ ร หมายถงึ การที่องค์กรได๎แสดงความสัมพันธ์กับ สภาพแวดล๎อม โดยใชว๎ ิธกี ารบริหารที่องค์กรไปเกยี่ วข๎องกับสภาพแวดลอ๎ มท่ีมีกลํมุ ตําง ๆ ตัวบุคคล องค์กรอ่นื และสถาบันประเภทอ่ืนทั้งหลายทอ่ี ยภูํ ายในองค์กรและนอกองค์กร การบรหิ ารองค์กรใหม๎ ปี ระสทิ ธภิ าพมเี รอ่ื งทส่ี าํ คญั ทีต่ อ๎ งพจิ ารณา 2 ประการ คือประการแรก ผบู๎ รหิ ารตอ๎ งเข๎าใจถงึ ลักษณะสภาพแวดลอ๎ มท่ีเกย่ี วข๎อง ประการทสี่ อง ผ๎บู รหิ ารตอ๎ งเขา๎ ใจวํา องคก์ รสมั พนั ธก์ บั สภาพแวดล๎อมอยาํ งไร โดยพิจารณาในแงํของการ พจิ ารณาปจั จัยสาํ คัญตาํ ง ๆ ตามความหมายของพฤตกิ รรมองคก์ ร  การจดั ชุดของทรัพยากรที่จะใชง๎ านในองค์กร ในการจดั ชดุ ทรพั ยากรเพอ่ื ใช๎ในการบริหาร องค์กรจะมีวิธีการจดั ที่แตกตาํ งกนั ออกไป โดยทรพั ยากรตาํ ง ๆ สามารถทจ่ี ะนํามาพลิกแพลงและจัดทําขน้ึ เพ่ือสนองตํอแผนงานในรปู แบบที่แตกตํางกนั ออกไปสุดแตํ ความเหมาะสม เชํน จัดเพื่อมุํงใหเ๎ กดิ การสนใจตอํ ผลิตภัณฑ์ จัดเพื่อทํุมเทมงุํ สตํู ลาดใดตลาดหนึ่งท่ี ต้ังเปาู หมายไว๎ จดั ขน้ึ เพ่ือทํุมเทไปกับเทคโนโลยอี ยํางใดอยํางหนึ่งเป็นพเิ ศษ หรืออาจจะนํามาใช๎กระจาย ไปยังส่งิ ตําง ๆ ที่กลาํ วมาให๎ครบทุกดา๎ น  กลยทุ ธ์ ในฐานะเปน็ เครอ่ื งมอื สาํ หรบั ใชจ๎ ดั ใหส๎ ภาพแวดลอ๎ มสอดคลอ๎ งกบั ทรัพยากร การกาํ หนดจุดมํงุ หมายและนโยบายที่เกี่ยวกับความต๎องการจะของบรษิ ทั และธรุ กจิ ท่ีบรษิ ัทจะดําเนิน น้นั เอง จากท่กี ลําวมา ถา๎ หากนาํ มากําหนดเปน็ กรอบการคิดเกย่ี วกับกลยุทธแ์ ลว๎ จะปรากฏตามรูปแบบตํางๆ องค์กรจะมีการพิจารณาวเิ คราะหส์ ภาพแวดลอ๎ ม เพื่อที่ดูถึงขอ๎ จํากัดตาํ งๆ ความต๎องการและโอกาสตํางๆ ทม่ี อี ยํู การตรวจสอบสภาพแวดล๎อมน้ี ในบางคร้ังอาจจะมีการวเิ คราะห์อยํางละเอียดและจัดทาํ เป็นระบบ

35  กลยทุ ธ์การบรหิ ารท่ที รงประสทิ ธภิ าพ ปญั หาหนกั อกของผ๎ูบรหิ ารท่ีเผชิญอยูํ ก็คือ ปัญหาประสิทธิภาพทางการบริหาร โดยเฉพะในด๎านที่ เกย่ี วกบั ผลผลิต ทต่ี กตํ่ากวาํ เดมิ กลยทุ ธก์ ารบรหิ ารที่ทรงคุณภาพนี้ คือ การมปี ระสิทธผิ ล ทส่ี ามารถ กําหนดเปาู หมายทีด่ ี และสามารถบรรลุผลสาํ เร็จในเปูาหมายนนั้ ๆ ได๎ และการมปี ระสทิ ธภิ าพ ทสี่ ามารถ ทําสําเรจ็ ในเปูาหมายเหลํานน้ั โดยมตี น๎ ทุนคาํ ใชจ๎ าํ ยตํา่ ทีส่ ุดดว๎ ย ลักษณะของกลยุทธ์การบรหิ ารท่ีทรงประสิทธภิ าพทีจ่ ะทาํ ให๎การบริหารสามารถประสบผลสาํ เร็จได๎อยํางดี ในทกุ สถานการณ์  เงอ่ื นไขของสภาพแวดลอ๎ ม  กลยทุ ธ์การบรหิ าร  การบรหิ ารเชงิ รวมทเ่ี ปน็ ภารกจิ ทางการบรหิ ารของผบู๎ รหิ าร บรรยากาศในองคก์ ร บรรยากาศในองค์กร จะมผี ลตํอประสทิ ธิภาพในการบรหิ ารองค์กรให๎บรรลุเปาู หมายทีก่ ําหนดไว๎ ดังนี้  ความไวว๎ างใจ ความเชือ่ ถือ และความม่นั คงของบุคลากรทุกระดับ  การมสี วํ นรํวมในการตดั สินใจ การใหก๎ ารสนบั สนุน  ความเปดิ เผยในการสือ่ สารจากเบอ้ื งบนสํเู บื้องลําง  การรับฟังความคิดเห็นจากเบ้ืองลํางสํเู บือ้ งบน นกั วชิ าการหลายทํานได๎เสนอบรรยากาศขององค์กรที่มผี ลกระทบตํอการรบั รูท๎ ่ีนาํ ไปสูํการลงความ คิดเหน็ เก่ียวกบั บรรยากาศขององค์กร  บรรยากาศในองค์กรและความพึงพอใจในการทาํ งาน บรรยากาศในองค์กร จะนาํ ไปสํู ความพึงพอใจในการทํางาน เม่ือบคุ ลากรมคี วามสมั พันธ์อันดรี ะหวาํ งกัน มีความเข๎าใจใน วัตถปุ ระสงค์ขององคก์ รเปน็ อยาํ งดี มีความไว๎เนอ้ื เช่ือใจกนั และกันสูงยํอมสงํ ผลถงึ การมี บรรยากาศในการทาํ งาน มคี วามพงึ พอใจในการทาํ งานมากขนึ้ ผลงานดขี ึน้ โดยทีบ่ ุคลากรไมํเบื่อ หนาํ ยในการทํางาน และปฎบิ ัติหน๎าที่ทไ่ี ด๎รบั มอบหมายได๎เป็นอยาํ งดี  การสรา๎ งบรรยากาศในองคก์ รกบั ความกา๎ วหนา๎ ของบคุ ลากร การสรา๎ งบรรยากาศใน องค์กร กบั ความก๎าวหน๎าของบุคลากร และการพัฒนาองค์กรจาํ เปน็ ต๎องมลี ําดับข้นั ตอนในการ ดาํ เนนิ งาน เพื่อนาํ ไปสํคู วามสําเรจ็ ขององค์กร ซงึ่ พอสรปุ ได๎คือ องค์กรควรจะกาํ หนดแผนระยะยาว ซ่งึ ในแผนนน้ั จะตอ๎ งมีเปาู หมาย และวัตถุประสงคเ์ ฉพาะเจาะจง  องค์กรจะต๎องกาํ หนดความต๎องการด๎านกําลังคนจากวัตถุประสงคแ์ ละเปูาหมาย เพอื่ บุคลากร คนปัจจุบันจะไดเ๎ ตรยี มตัว หรืออาจแสวงหาความร๎ูเพิ่มเติม เพ่ือความก๎าวหนา๎ ในการทาํ งานของ เขา  องค์กรควรทาํ การสํารวจบคุ ลากรทมี่ ีอยูํ เพ่ือจะไดร๎ ว๎ู ําปจั จุบันมกี าํ ลังคนลักษณะและคุณสมบตั ิ อยาํ งไร

36  องค์กรควรคํานงึ ถงึ กําลงั คนที่มปี ัจจุบนั กบั ความต๎องการกําลงั คนขององค์กรในกิจการงานที่ สําคัญตาํ ง ๆ เพื่อจะได๎จดั คนให๎เหมาะสมกับงานหรือหนา๎ ที่  องค์กรควรจะกําหนดโครงการฝกึ อบรมตามความต๎องการ เพื่อสงํ เสริมบุคลากรใหม๎ ี ความกา๎ วหน๎าในการทาํ งาน หรือปรับตวั ให๎ทันกบั เทคโนโลยีสมยั ใหมํ หรอื การสรรหาบคุ ลากร เพิ่มเติมตามความจําเป็นขององค์กร  องค์กรควรจะส่ือสารบอกกลาํ วให๎บคุ ลากรรู๎ถงึ ความต๎องการกาํ ลงั คนประเภทตําง ๆ เพื่อให๎ บคุ ลากรได๎มคี วามกระตอื รือร๎นในการพฒั นาตนเองเสมอ  องค์กรควรจัดรับสมัคร สัมภาษณ์ คัดเลือก และตระเตรยี มบุคลากรให๎อยใูํ นสภาพพร๎อมที่ ทาํ งาน จัดทําคาํ บรรยายลกั ษณะงานไว๎อยํางชดั เจน วางแผนงานให๎เหมาะสมตามสภาพ กําลงั คนท่ีมอี ยํู และท่รี บั เข๎ามาใหมํ  องค์กรควรมีระบบตรวจสอบการสอ่ื ภายใน เพื่อรักษาบรรยากาศขององค์กร 6.การสอื่ สารในองคก์ ร การสื่อสารภายในองค์กรท่ีดี ทจ่ี ะชํวยสรา๎ งความเข๎าใจในนโยบายของผูบ๎ ริหาร และเปน็ สิ่งเชอื่ มความ สมั พันธ์ระหวํางบุคลากรในองค์กร และเพ่ือใหเ๎ กดิ ประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลตํอองค์กรในทางบวก เพราะนโยบายการบรหิ ารงานการจดั การขององค์กรเป็นสํวนสําคญั และเพื่อให๎การดาเนินงานบรรลุ เปาู หมาย ทีว่ างไว๎ การส่ือสารภายในองค์กร จึงเปน็ ส่ิงจาเป็นยง่ิ สาหรับกิจกรรมและการดาเนนิ งานตํางๆ ที่จะเกิดขึน้ ในองค์กร ทัง้ นี้หากการส่อื สารภายในองค์กรดีชัดเจน กจ็ ะสํงผลใหก๎ ารปฏิบตั ิงานตามนโยบาย เป็นไปในทิศทางเดียวกัน บุคลากรในองคก์ รเกิดความพงึ พอใจ และเขา๎ ใจนโยบายไดอ๎ ยํางชดั เจน และ สงํ ผลตํอประสิทธิภาพ ในการทางาน ดงั นนั้ กระบวนการทางานขององคก์ รเพ่ือให๎บรรลเุ ปูาหมายจะต๎อง ทาให๎การติดตอํ สื่อสารระหวํางบุคลากรในฝาุ ยตํางๆ ทัง้ ภายใน และภายนอกองค์กรเปน็ ไปอยาํ งคลองตวั เพ่ือใหเ๎ กดิ ความเขา๎ ใจทต่ี รงกันเกดิ ความรวํ มมือ และการประสานงานอยํางมปี ระสิทธิภาพ เพ่ือให๎การทา งานขององคก์ รสามารถบรรลเุ ปูาหมาย และประสบผลสาํ เร็จดว๎ ยดี ความหมายของการสอ่ื สาร การสือ่ สาร หมายถงึ การแลกเปลยี่ นขาํ วสารระหวาํ งผสู๎ งํ สาร และผ๎รู บั สาร โดยใชส๎ อ่ื หรือชํองทาง ตาํ ง ๆ เพอื่ มงํุ หมายโนม๎ นา๎ วจิตใจให๎เกดิ ผลในการใหเ๎ กดิ การรับร๎ู หรอื เปลยี่ น ทศั นคติ หรอื เพอ่ื ให๎เปลีย่ น พฤติกรรมอยํางใดอยาํ งหนึ่งหรือหลายอยาํ ง การตดิ ตํอสอ่ื สาร เปน็ กระบวนการท่บี ุคคลใช๎ในการแลกเปล่ยี นขําวสําคญั และการสือ่ ความคดิ ความร๎สู กึ ซ่งึ กันและกัน การติดตํอส่ือสารเปน็ การท่ีบุคคลตั้งแตสํ องคนขน้ึ ไป มีสํวนรํวมในการแลกเปล่ยี นขําวสาร ความคดิ หรือทศั นคติ เพอ่ื สรา๎ งความเขา๎ ใจตํอกนั การส่อื สารเป็นกิจกรรมสาํ คัญทม่ี นุษย์ต๎องการบอกผู๎อน่ื ใหร๎ ๎วู ําตนเองต๎องการอะไร ทาอยํางไรโดยผํานสือ่ หรอื ชอํ งทางตาํ ง ๆ ท่ีเหมาะสมให๎เขา๎ ใจตรงกัน ระหวาํ ง ผ๎สู งํ สารกับผร๎ู บั สาร การอยํรู ํวมกนั ของมนุษย์เปน็ หมเํู ปน็ พวกในสังคม ทกุ คนจะมหี น๎าที่ตําง ๆ ในการอยํู รวํ มกัน ทางานพร๎อมกนั มีการติดตอํ กัน ซ่งึ ต๎องอาศยั ศาสตรแ์ ละศิลป์ในการส่อื สาร เพอื่ ใหเ๎ กิดความ

37 เข๎าใจอนั ดีตํอกนั สงํ ผลตอํ ประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ลของงาน การส่ือสารที่ขาดประสทิ ธภิ าพจะ กํอให๎เกดิ ความล๎มเหลวของงาน อทิ ธพิ ลของการสอื่ สารสงํ ผลในการทาลายความสามัคคี หรอื กํอให๎เกดิ ความเขา๎ ใจอันดีได๎ ความสาํ คญั ของการตดิ ตอํ สอื่ สารภายในองค์กร 1. เปน็ เคร่ืองมือของผู๎บริหารในการบริหารงาน เพราะการส่อื สารภายในองค์กรจะชวํ ยทาให๎สามารถทา งานไดส๎ าํ เรจ็ ลลุ วํ งไปด๎วยดี เนอ่ื งจากการทางานต๎องอาศยั หลายฝุาย หลายสวํ นงานเขา๎ มาชวํ ยเสริมสรา๎ ง ศกั ยภาพให๎กบั องค์กร 2. เป็นเคร่ืองมือทชี่ วํ ยสรา๎ งความสมั พนั ธ์ระหวาํ งผบ๎ู รหิ ารกับบคุ ลากรตํางๆ ภายในองคก์ รเดียวกัน เพือ่ ให๎ เกดิ ความเขา๎ ใจทตี่ รงกัน และสรา๎ งความไวว๎ างใจตํอกนั โดยเฉพาะการเปิดโอกาสใหบ๎ ุคลากรในระดับ ตํางๆได๎มสี ํวนรํวมในการบรหิ ารงานของผู๎บรหิ าร 3. การชํวยกนั ปฏิบัติภารกิจขององคก์ รและมีการประสานงานระหวาํ งกัน พร๎อมท้งั ทางานสอดคลอ๎ งกัน แม๎วาํ จะตาํ งฝาุ ยกันก็ตาม แตํเพอ่ื องค์กรเดยี วกัน ผ๎ูบริหารสามารถใชก๎ ารส่ือสารให๎เป็นการส่อื สารเพ่ือ สร๎างความเป็นหนึง่ เดียวภายในองค์กรใหไ๎ ด๎ 4. การชํวยให๎เกดิ การพัฒนาและการทางานทมี่ ีประสิทธภิ าพ จากปัจจัยตาํ งๆ ขา๎ งตน๎ เม่ือผสมผสานเข๎ากัน แล๎ว สามารถชํวยทาใหเ๎ กดิ การพฒั นาองค์กรได๎ โดยเฉพาะพลังขับเคลอื่ นทน่ี าโดยผูบ๎ ริหารที่ร๎ูจกั การ สอ่ื สารภายในองคก์ รเปน็ อยํางดี ดงั นน้ั การสือ่ สารคือเคร่ืองมืออยํางหนง่ึ ของผบ๎ู รหิ าร ที่จะทาใหเ๎ กดิ ความสัมพันธท์ ีด่ ีภายในองค์กร ถา๎ ผูบ๎ ริหารเปดิ โอกาสให๎บคุ ลากรทกุ บริหารระดับมสี วํ นในการบรหิ าร ถ๎าขาดการสอ่ื สารก็ไมํสามารถทีจ่ ะทา ใหก๎ ารงานมีประสทิ ธภิ าพและกํอใหเ๎ กิดคุณภาพชวี ิตแกบํ ุคลากรได๎ การสือ่ สารในองค์กรนัน้ เปน็ สิ่งที่ไมํ สามารถจะหลกี เลยี่ งได๎และเป็นปัจจยั สาํ คัญย่งิ ที่จะเอื้อให๎องคก์ รประสบความสาํ เร็จในการบริหารจัดการ องค์กร แตกํ ารส่ือสารทดี่ ๎อยคุณภาพนนั้ เป็นสง่ิ ท่สี ามารถจะหลีกเลยี่ งได๎ และท่ีสาํ คญั ซ่ึงไปกวํานั้นก็คือ ผบู๎ ริหารจัดการ และผนู๎ าทุกคนจะต๎องทาหน๎าท่ีเป็นผู๎สอ่ื สาร (Communication) ในความเปน็ จริงแล๎วส่งิ ทีผ่ ูบ๎ รหิ ารจัดการ และผูน๎ าทาลงไปทุกอยํางน้ันเปน็ การส่อื สารอะไรบางอยาํ ง โดยวิธีการบางอยํางถึงคน บางคนหรือบางกลุํม คาถามก็คอื สิ่งทส่ี อื่ ออกไปนนั้ จะมผี ลเชํนใด น่ันคือ ในการส่อื สารออกไปนั้นผลที่ ตามมาคืออะไร เปน็ ไปตามเจตนาหรอื ไมํ ในการดาเนินธุรกิจน้นั การสอื่ สารมบี ทบาทหรือเราสามารถจะ ใชป๎ ระโยชนจ์ ากการส่ือสารใน 4 ประเด็นหลกั ๆ คอื การควบคุมดูแล (Controlling) การจงู ใจ (Motivation) การแสดงออกทางอารมณค์ วามร๎สู ึก (Emotional expression) และด๎านขําวสารขอ๎ มลู ตาํ ง ๆ (Information) การส่ือสารในองค์กร มีลักษณะเป็นกระบวนการ (process) อยาํ งหนึง่ ซงึ่ เป็นการผาํ นข๎อมลู ขําวสารและ ความเข๎าใจเพื่อที่จะใหผ๎ ใ๎ู ตบ๎ ังคับบัญชาหรอื บุคคลอ่ืนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามที่ต๎องการ สวํ นประกอบ สําคัญของกระบวนส่ือสารประกอบดว๎ ย ผู๎สํงขอ๎ มูลขําวสาร (sender) ผ๎รู บั ข๎อมูลขําวสาร (receiver) ชอํ งทาง การส่อื สาร (communication channel) และสัญลกั ษณ์ตําง ๆ (symbols)

38 กระบวนการสอ่ื สาร (Communication Process) กระบวนการส่ือสาร มีองค์ประกอบเป็นข้ันตอน ดงั นี้ 1. ผ๎สู งํ สาร ( Sender) ผบู๎ รหิ ารถา๎ ตอ๎ งการจะตดิ ตํอสือ่ สารกบั ใครกต็ าม จะต๎องทาความเข๎าใจเร่อื งทีจ่ ะ สอ่ื สารใหช๎ ัดเจนสารที่จะสงํ ( Message) การตดิ ตํอสอื่ สารอาจจะใชว๎ ธิ ีการพดู คยุ ออกคาสง่ั บนั ทกึ ข๎อความขาํ วสาร รายงาน หรือสิง่ ใด ๆ กไ็ ด๎ 2. ชํองทางหรือส่ือในการติดตํอสื่อสาร (Media / Source)คอื เคร่อื งมือหรอื ตวั กลางท่ีขําวสารสามารถ เดนิ ทางจากแหลํงทกี่ ําเนดิ อาจเปน็ สัญญาณเสียงจากเครือ่ งขยายเสยี ง สัญญาณวทิ ยุ สญั ญาณโทรทศั น์ Internet ทาง Websiteทาง e – mail ตาํ ง ๆ 3. ผร๎ู ับสาร (Receiver)จะตอ๎ งมคี วามรคู๎ วามเข๎าใจในเรอ่ื งทจี่ ะรับอยํางดี ตอ๎ งมีความคดิ ประสบการณ์ มที กั ษะรวมถึงความสามารถในการถอดรหสั (Decoding) เพอื่ ให๎เขา๎ ใจขําวสารท่ผี ๎สู งํ สารสํงเป็นรหสั (Encoding) ไดด๎ ๎วย ซึ่งคุณภาพของการรบั สารทเ่ี กดิ จากการใชส๎ ือ่ ประเภทตาํ ง ๆ การสอื่ สารในองคก์ ร การใช๎กลยทุ ธ์การสื่อสารในองค์กรเพ่ือใหป๎ ระสบผลสําเรจ็ ในการดาเนนิ งานน้ัน ผบ๎ู ริหารจะต๎องใชก๎ าร สอ่ื สารท้ังทีเ่ ป็นทางการและไมเํ ป็นทางการ โดยเลือกใชใ๎ หเ๎ หมาะสมกับสถานการณ์ สอดคลอ๎ งกับสิ่งที่จะ สื่อสารและบุคคลทจี่ ะสือ่ สารเพ่ือให๎บรรลเุ ปาู หมายของการสอ่ื สารตามท่ีต๎องการได๎อยาํ งแทจ๎ รงิ การตดิ ตํอสอ่ื สารเปน็ กจิ กรรมทที่ ุกคนจะต๎องปฏบิ ตั ิอยูํเสมอไมวํ ําจะต๎องตาํ แหนงํ ใดในองค์กร ท้งั ในแงํ สวํ นตัวบคุ คลตาํ งๆ ก็ต๎องมีการสอ่ื สารกนั เพื่อให๎ไดม๎ าซึง่ ข๎อมูลการทางาน หรอื เพ่ือการประสานงานและ ความเขา๎ ใจตํางๆ อยํางเหมาะสม และในแงํองคก์ รการส่ือสารจะชํวยสรา๎ งและจรรโลงวฒั นธรรมของ องค์กรใหย๎ าวสืบตอํ ไป และสร๎างองค์กรให๎ก๎าวไปสอํู งคก์ รแหงํ การเรยี นร๎ดู ๎วย การติดตํอส่ือสารขององคก์ ร ประกอบดว๎ ย 2 กลมุํ ใหญํๆ คือ การติดตํอส่อื สารภายในองคก์ ร และการติดตํอสอื่ สารภายนอกองค์กร การสือ่ สารภายในองค์กร มี 4 ลักษณะ คือ จากบนลงลําง (Downward Communication) จากลํางขน้ึ บน (Upward Communication) การ สอ่ื สารในแนวนอน (Horizontal Communication) และการสอ่ื สารแบบตํางหนํวยงาน และตํางระดับ (Diagonal Communication) 1. การตดิ ตอํ สอ่ื สารจากบนลงลาํ ง (Downward Communication) ซ่ึงเป็นการติดตํอจาก ผบ๎ู ังคบั บญั ชาไปยังผ๎ูใตบ๎ ังคบั บัญชา เปน็ ลักษณะของการส่ังงาน บอกเปาู หมายวตั ถปุ ระสงค์ การ มอบหมายงาน การใหข๎ ๎อมลู ย๎อนกลับในการทางาน (Performance Feedback) รวมทัง้ การประชุม (Meeting) ก็เปน็ วาระทีด่ ีตํอกันได๎ ในปัจจบุ นั การติดตํอจากบนมาลาํ งทีผ่ บู๎ รหิ ารนยิ มใช๎มากคือ การ ประชมุ งาน การจัดทาวารสารภายใน ตลอดจนพยายามให๎บุคลากรเห็นความสัมพนั ธ์วาํ งานของเขามี ความสาํ คัญและมผี ลตอํ แผนงานโครงการขององค์กรอยาํ งไรบา๎ ง เพ่ือจะไดช๎ วํ ยกันสรา๎ งสรรค์ผลงานให๎ สูงข้นึ

39 2. การตดิ ตอํ สือ่ สารจากลาํ งขน้ึ บน (Upward Communication) เปน็ การสื่อสารจากบุคลากรไปยัง ผบ๎ู ริหาร เชํน การขอคาแนะนา การรายงานผลการปฏบิ ตั ิงานให๎ผู๎บริหารไดท๎ ราบ ซึง่ การสอื่ สารแบบน้ี มักจะส้ันและไมคํ ํอยเกดิ ขนึ้ เพราะบุคลากรไมํกล๎าพอทจ่ี ะติดตอํ กับผบ๎ู รหิ ารเพราะกลวั วาํ ผบู๎ ริหารจะ ประเมินตนเองวํา ไมํมคี วามสามารถ ไมํเกํง หรือกลวั วาํ จะได๎รับผลในทางลบกลบั คนื มา หรือถา๎ จะสือ่ ก็ อาจจะส่ือข๎อมูลท่เี ป็นเรื่องดเี พอื่ เอาใจผู๎บรหิ าร การสอ่ื สารจากลาํ งขนึ้ บนจะกํอใหเ๎ กิดประโยชนห์ ลายประการดงั นี้ 2.1 ทําใหผ๎ ู๎บรหิ ารได๎ข๎อมูลย๎อนกลบั จากการทางาน เชนํ ปญั หาจากการปฏบิ ัติงาน ซึ่งผ๎ูบรหิ ารจะ ไดใ๎ ช๎ข๎อมูลเหลํานเ้ี ปน็ ฐานในการกาํ หนดเปาู หมาย นโยบาย และทิศทางขององค์กรดว๎ ย 2.2 ทาใหผ๎ บ๎ู รหิ ารได๎รบั ทราบประสทิ ธิผลและปัญหาอปุ สรรคจากบนลงลําง 2.3 ชวํ ยทาให๎พนักงานลดความกดดัน และความเครียดตาํ งๆ ลงได๎ระดับหน่ึง เพราะไดโ๎ อกาส สือ่ สารให๎ผบู๎ ริหารไดร๎ บั ทราบข๎อมลู และปญั หา 2.4 การสอ่ื สารแบบนจี้ ะทาใหบ๎ ุคลากรได๎มีสวํ นรํวมและมีความผกู พนั กับองค์กรมากขึ้น จึงเพ่มิ แรงยึดเหน่ยี วขององคก์ รใหส๎ ูงข้ึนได๎ ดงั น้ันผ๎บู ริหารจงึ ควรสงํ เสริมให๎บุคลากรมีการสอื่ สารกับผู๎บรหิ ารมากขนึ้ ในรปู แบบตํางๆ ดงั ตอํ ไปน้ี เชํน จดั ให๎มกี ลํองรับความคิดเหน็ จัดสํารวจทศั นคติของบุคลากรในเรอื่ งตํางๆ เชํน สํารวจความคดิ เหน็ ดา๎ น การส่ือสาร , ประกาศนโยบายเปดิ ประตูกวา๎ งใหส๎ ามารถเข๎าพบผ๎บู ริหารได๎สะดวกข้ึน ,การประชมุ นัด พเิ ศษ ,การพูดคุยกนั อยาํ งไมเํ ป็นทางการ 3. การสอ่ื สารในแนวนอน (Later หรอื Horizontal Communication) เป็นการสื่อสารในแนวทาง เดียวกนั กลมุํ งานเดยี วกนั หรือในระดับเดยี วกันจะมีความเปน็ มิตร เป็นกันเอง จะชวํ ยใหก๎ ารประสานงาน ไดด๎ ีขน้ึ ซึง่ ชํวยลดเวลาการสอื่ สารตามสายงาน และยงั เปน็ ชอํ งทางในการสร๎างนวัตกรรมใหมํๆ ในองค์กร เพราะไดม๎ ีโอกาสรบั ร๎ขู าํ วสารข๎อมลู ระหวํางกนั ทาให๎เห็นโอกาสตาํ งๆ มากขึ้น 4. การตดิ ตอํ ส่ือสารในแนวทแยง (Diagonal Communication) มกั เปน็ การสอื่ สารข๎ามแผนกและ ขา๎ มระดบั โดยปกตมิ ักจะเปน็ การส่ือสารของฝาุ ยให๎คาแนะนา (Staff) กับฝาุ ยปฏบิ ัตกิ าร (Line) เชนํ ผูจ๎ ดั การฝาุ ยบคุ คลตดิ ตํอไปยังพนกั งานฝุายการผลติ เพอ่ื แจ๎งข๎อมลู ด๎านกฎระเบยี บท่ีประกาศให๎ใช๎ ไพ นักงานได๎ทราบ สรุปไดว๎ ํา ผบู๎ รหิ าร คอื บุคคลทส่ี ําคญั ทสี่ ดุ ในองค์กร ที่จะเลือกใช๎กระบวนการส่ืออยาํ งใด อยาํ งหนึง่ ให๎มี ความเหมาะสมกบั วัฒนธรรมองค์กรและสามารถเห็นความแตกตํางของบคุ ลากรโดยเฉพาะองคก์ รท่มี ี บคุ ลากรจานวนมากและตาํ งสาขาวชิ าชพี และจะต๎องใสํใจในรายละเอียดสํวนนด้ี ๎วย เนื่องจากการทางาน ตอ๎ งอาศัยสํวนงานหลายๆ ฝุาย จาเปน็ ต๎องอาศัยการส่ือสารท่ีสามารถส่อื ให๎เข๎าใจถงึ ภารกจิ แตํละด๎านได๎ เปน็ อยาํ งดี และเป็นการชํวยลดทอนปญั หาภายในองค์กร ซึ่งผบู๎ ริหารจะตอ๎ งรจู๎ ักบุคคลกรในแตํละฝาุ ยให๎ มากขนึ้ รจ๎ู กั สภาพทแ่ี ท๎จรงิ ขององคก์ รเปน็ อยาํ งดี จึงจะเอื้อประโยชน์ใหก๎ บั องค์กรไดอ๎ ยํางสมบูรณ์

40 ทิศทางของการสอื่ สาร ประเภทของการสื่อสารตามทิศทางของการสือ่ สารซึ่งสามารถแบงํ ออกไดเ๎ ป็น 2 ประเภท คอื 1. การสื่อสารทางเดียว (One - Way Communication) เปน็ การสํงขาํ วสารหรือการสือ่ ความหมายไปยัง ผรู๎ บั แตํเพียงฝาุ ยเดียว โดยท่ผี ูร๎ บั ไมํสามารถมกี ารตอบสนองในทันที (immediate response) ให๎ผ๎ูสงํ ทราบได๎ แตํอาจจะมีปฏิกริ ิยาสนองกลบั (feedback) ไปยังผส๎ู งํ ภายหลังได๎ การสอ่ื สารในรูปแบบนี้ จึง เปน็ การท่ผี ูร๎ ับไมสํ ามารถมปี ฏิสมั พนั ธต์ อํ กันได๎ทันที จงึ มักเป็นการสื่อสารโดยอาศยั สื่อมวลชน เชนํ การฟัง วิทยุ หรอื การชมโทรทัศน์ เหลํานเี้ ป็นตน๎ 2. การสือ่ สารสองทาง (Two-Way Communication) เป็นการส่ือสารหรือการสื่อความหมายทผี่ ร๎ู บั มี โอกาสตอบสนองมายังผ๎ูสงํ ได๎ในทันที โดยท่ีผส๎ู งํ และผร๎ู บั อาจจะอยูํตํอหน๎ากนั หรืออาจอยํูคนละสถานท่ีก็ ได๎ แตํท้งั สองฝาุ ยจะสามารถมกี ารเจรจาหรอื การโต๎ตอบกันไปมา โดยทต่ี าํ งฝาุ ยตาํ งผลดั กันทาหนา๎ ที่เป็น ท้งั ผ๎ูสงํ และผ๎ูรับในเวลาเดยี วกัน เชนํ การพูดโทรศัพท์ การประชมุ เป็นตน๎ อยํางไรก็ตาม ด๎วยศักยภาพ ของเทคโนโลยีในปัจจบุ ัน เชํน คอมพวิ เตอร์ และอินเทอร์เน็ต การสือ่ สารสองทางสามารถเกดิ ขนึ้ ได๎โดยไมํ จาเปน็ ต๎องเกิดระหวํางบุคคลเทาํ นนั้ แตอํ าจเปน็ การสื่อสารระหวํางบคุ คลกับโปรแกรมคอมพวิ เตอรก์ ็ได๎ และการตอบสนองก็ไมจํ าเปน็ ตอ๎ งกระทาในทนั ที เชํน การทเ่ี ราไปเขยี นคาถามทิ้งไวบ๎ นเว็บบอร์ดหรอื กระดานขําว อาจต๎องรอเวลาท่ีจะมีคนมาตอบหรอื ให๎ ความเหน็ ซง่ึ ก็จัดวาํ เป็นการส่ือสารสองทางเชนํ กนั วธิ กี ารสอื่ สารในองคก์ ร 1. การสือ่ สารดว๎ ยวาจา (ภาษาพูด) คอื การพูดท่ีเป็นประโยค มจี งั หวะจะโคน นา๎ เสียงมที ้ังเบาและคอํ ย มี ความเรว็ หรือชาของการพดู 2. การส่อื สารด๎วยกริ ิยาทําทาง (ภาษากาย) เชน การกลอกตา การจอ๎ งตา การพยักหนา การกม๎ โค๎ง การ แสดงออกทางสีหนา การสัมผัส และการใช๎มือ 3. การสื่อสารด๎วยลายลกั ษณ์อกั ษร (ภาษาเขยี น) ไดแก สญั ลักษณ์และรูปภาพตําง ๆ การจะเลือกวธิ กี ารส่อื สารนี้มีปัจจัยเกี่ยวขอ๎ งอีกมากมาย ท้งั นี้จะขน้ึ อยกํู บั ผูส๎ งํ และผ๎รู บั ตลอดจน เหตกุ ารณ์แวดล๎อมตาํ ง ๆ ที่เกย่ี วขอ๎ ง บางคร้งั การสื่อความหมายอาจจะตอ๎ งใชท๎ ัง้ 2 หรอื 3 วิธรี วํ มกัน เพื่อใหส๎ อื่ นัน้ มีนา๎ หนัก และมีความหมายลึกซึ้งขึ้น และเมื่อมีการสํงสารแลว๎ ยังตอ๎ งสังเกตปฏิกิริยา ยอ๎ นกลบั ของผรู๎ บั เพ่อื ทจ่ี ะทาใหท๎ ราบวําขาํ วสารที่สํงไปนน้ั บรรลุเปูาหมายเพียงใด ปฏกิ ริ ิยาย๎อนกลับน้ี อาจจะมที ัง้ พอใจ ไมํพอใจ หรอื มคี วามเข๎าใจมากน๎อยเพยี งใดอกี ด๎วย สื่อทนี่ ามาใชใ๎ นการสอ่ื สารภายในองคก์ ร ส่ือทใ่ี ชใ๎ นการประชาสัมพันธ์ หมายถงึ เครื่องมือหรอื ตัวกลางที่ใชใ๎ นการนาขาํ วสาร เรอื่ งราว จากองค์กร หรอื หนวํ ยงานไปสํูบุคลากรภายในหนํวยงาน ส่ืออาจจาํ แนกได๎หลายประเภทหลายหลกั เกณฑ์ ได๎แกํ สื่อประเภทสงิ่ พมิ พ์ (The Printed Words) เป็นส่อื เพ่อื การสมั พนั ธภ์ ายในหนวํ ยงาน หนงั สอื ราชการ หนังสือส่ังการ หนังสอื เวียน และหนังสอื วารสาร สงิ่ พิมพ์ที่ใช๎ส่ือสัมพนั ธใ์ นหนํวยงานใหร๎ ู๎หรือเขา๎ ใจและ แจกจํายกันเฉพาะภายในหนํวยงาน ได๎แกํ แผํนปลิว แผนํ พับ โปสเตอร์

41 สอ่ื บคุ คล (Personal Media) เป็นสอ่ื ท่ีใชก๎ ันมากและนยิ มใช๎ สอื่ บุคคลมที งั้ ทีเ่ ป็นคาพูด กรยิ าทาํ ทาง การ แสดงออกทางอากปั กริ ิยา วิธกี ารสือ่ สารด๎วยบคุ คลจะเปน็ การใชค๎ าพดู เป็นหลัก ด๎วยวิธีการสนทนา อภิปราย บรรยาย สาธติ ประชมุ คาพดู เปน็ เครอื่ งมือส่ือสารทที่ ุกคนคุ๎นเคยกนั ดีอยูํแลว๎ และทกุ คนต๎องใช๎ คาพดู ในชวี ิตประจาวัน สอ่ื คาพดู จงึ เปน็ สื่อท่เี กาํ แกํทส่ี ุดชนดิ หนึ่ง นอกจากน้หี ากคาพูดน้ันพูดโดยบคุ คลที่ มีชอื่ เสียงทีส่ ังคมยกยํองนบั ถือก็จะย่งิ เพิ่มนา๎ หนกั ในคาพดู นน้ั มากข้นึ เปน็ เงาตามตัว การพูดจงึ เป็น เครื่องมอื ในการถํายทอดชกั นาความรู๎สึกนึกคิดของมนุษย์ออกมาใหผ๎ ๎ูอน่ื ไดท๎ ราบและเข๎าใจ คาพดู จึงเปน็ เครื่องมือท่สี าํ คญั ท่จี ะทาใหม๎ นุษยเ์ กดิ ความรํวมมือรํวมใจเป็นอันหนึง่ อนั เดียวกนั สอ่ื บุคคลหรือการส่ือสารด๎วยคาพดู น้นั มี 2 แบบ คือ 1. แบบทเ่ี ปน็ ทางการ (Formal oral communication) เชํน การอภิปราย การบรรยาย การประชมุ การสมั มนา 2. แบบที่ไมํเปน็ ทางการ (Informal oral communication) คือ การพดู จา สนทนาปราศรยั ตําง ๆ ใน การพดู ท่ีเป็นทางการน้ัน ผ๎พู ดู จะตอ๎ งพดู ให๎ผ๎ูฟังสนใจ เข๎าใจ ประทบั ใจ เกิดศรทั ธา แลว๎ ยงั อาจจะมี วัตถุประสงค์อ่นื ๆ ในทางการพดู ดว๎ ย เชํน เพือ่ ให๎ขาํ วสารความร๎ู เพอื่ ชกั จงู ใจ เพ่ือกระตุ๎นเร๎าอารมณ์ เพื่อ กํอใหเ๎ กดิ การปฏิบัตกิ ารหรือทาใหร๎ ู๎สึกซาบซึ้ง ทงั้ นี้อาจกลําวได๎วาํ จุดมงุํ หมายจะมี 2 ลักษณะ คือ จุดมุํงหมายทีเ่ ปิดเผย หรือจุดมงุํ หมายทีป่ กปดิ ลกั ษณะของส่ือบคุ คล 1. การพดู สนทนา เป็นการส่ือสารของบุคคลโดยท่ัวไปในวงสนทนา ซง่ึ เป็นการส่ือสารกันในชีวิตประจาวัน ท่ัวไป 2. การอภิปราย เป็นการส่ือความโดยกลํุมคนตั้งแตํ 3 คนขึ้นไป ซง่ึ เป็นการให๎ความรู๎ ความคิดเหน็ และ ข๎อเสนอแนะทม่ี แี นวโนม๎ ไปในทางเดียวกัน 3. การบรรยาย เปน็ การสอื่ ความเพ่ือให๎ความรู๎ความเขา๎ ใจตอํ เนอ่ื งในเรอ่ื งใดเร่ืองหน่ึง โดยผู๎ฟังเป็น ผู๎รับ สาร และผ๎บู รรยายเป็นผ๎ูให๎สาร 4. การประชมุ เปน็ การรวํ มกันปรกึ ษาหารือกันในกลมํุ หรือทีมงานอยาํ งมรี ะบบและระเบียบวธิ ีทางการ ประชุม เชํนการยกมือกํอนพูดแสดงความคิดเหน็ มีการจดบนั ทกึ รายงานการประชมุ และมปี ระธานการ ประชุม 5. การฝึกอบรม เปน็ การให๎ความรคู๎ วามเขา๎ ใจแกํบุคคล เพื่อให๎มีความรเู๎ พิ่มข้นึ และมคี วามสามารถข้นึ ใน เรอ่ื งที่ไดร๎ ับการฝึกและอบรมมา 6. การสัมมนา เป็นกระบวนการส่อื สารสองทาง ทัง้ ให๎และรับความรซ๎ู ึ่งกันและกันระหวํางวทิ ยากรและ ผ๎เู ขา๎ รวํ มสมั มนา 7. การพูดในทีช่ ุมชน เปน็ การพูดในท่สี าธารณะหรือชมุ ชนในวาระหรือโอกาสตําง ๆ เพ่ือเป็นการสร๎าง ความเขา๎ ใจ ความร๎ู ยกยํอง และยนิ ดี ตลอดจนความเห็นอกเหน็ ใจในเรื่องราวตาํ งๆ

42 สอื่ อิเลค็ ทรอนิก อนิ ทราเนต็ (Intranet) เป็นการตดิ ตอํ ส่ือสารภายในองค์กร อนิ ทราเน็ตเปน็ ระบบเครือขํายภายในที่ เช่อื มโยงเครือขาํ ยยํอยตําง ๆ เขา๎ ด๎วยกัน และให๎ทกุ คนในองค์กรใช๎รํวมกัน อนิ ทราเน็ตเป็นรูปแบบของ ระบบเครือขํายอินเทอร์เนต็ ที่ใชใ๎ นองค์กร เป็นการนาเทคโนโลยขี องระบบอนิ เทอรเ์ น็ตมาประยกุ ต์ใช๎ ใน องค์กร การประยุกต์ใช๎อินทราเนต็ ในปจั จบุ ันได๎รับการออกแบบมาเพื่อรองรบั การทางานที่หลากหลาย อาทเิ ชนํ การจัดการเอกสารข๎อมลู , การตีพิมพ์และกระจายขําวสาร, การจองห๎องและอุปกรณ์, หอ๎ ง สนทนาออนไลน์ (Chat Room), เวบ็ บอรด์ (Web Board), อัลบม้ั รูป, การจดั การสมดุ รายชอ่ื และข๎อมูล การตดิ ตํอ และอ่นื ๆ อีกมากมาย โดยแนวโนม๎ การใชง๎ านของอินทราเน็ตในปัจจุบนั (พ.ศ. 2554) มกี ารดงึ เอาเครือขาํ ยสังคม (social network) มาใชเ๎ พ่อื เชื่อมตํอและชวํ ยประสานการทางานของบคุ ลากรภายใน บริษทั หรือองค์กรทตี่ ั้งอยํหู ํางไกลกัน ไมํวาํ จะเป็นสาขาหรือสานักงานในสํวนภมู ิภาคใหใ๎ กล๎ชิดกนั มาก ยง่ิ ขน้ึ ทั้งนี้พบวําการนาเอาสังคมออนไลน์มาประยกุ ตใ์ ชใ๎ นองค์กรได๎รับความนยิ มเพม่ิ มากขึน้ เร่อื ยๆ เนือ่ งจากเทคโนโลยใี นปจั จุบันสนบั สนนุ ใหก๎ ารทางานของอินทราเนต็ เปน็ มากกวําเครือขํายเฉพาะภายใน องค์กรที่ใช๎จัดเก็บเอกสารเพยี งอยาํ งเดยี วเทําน้ัน แตยํ งั สามารถดงึ เอา แอปพลเิ คชนั ตํางๆเข๎ามาใชง๎ าน รํวมกับอินทราเนต็ ได๎เป็นอยํางดอี กี ดว๎ ย สอื่ กจิ กรรมตาํ งๆ สอ่ื กจิ กรรมตาํ งๆ ที่จดั ในลักษณะกิจกรรมตามวาระ หรือโอกาสตาํ ง ๆ ไดแ๎ กํ นทิ รรศการ บอร์ด ปาู ย ประชาสัมพันธ์ งานฉลองวาระวันเกิด การประกวด กจิ กรรมการสานสัมพันธ์ การส่ือสารในองคก์ รทมี่ ีประสิทธภิ าพ การสอ่ื สารท่เี กดิ ขน้ึ ในองค์กรจะมีประสิทธิภาพได๎น้ันประกอบด๎วยปัจจยั หลายอยางแตํท่ีสําคัญกค็ ือเร่ือง ของคณุ ธรรม ท้ังผ๎ูบงั คบั บัญชาผู๎ใต๎บงั คบั บัญชาและผู๎รวมงานตํางจะต๎องมีคุณธรรมประจําใจอนั ได๎แกํ ความจรงิ ใจ การแสดงความจริงใจสามารถแสดงออกมาไดทั้งการพดู และการเขยี น แตกํ ็ไมจํ ําเป็นต๎อง แสดงออกมาทั้งหมดเหมอื นท่ีคิด แสดงออกมาเทําทจ่ี ําเป็นและคดิ วําเหมาะสม เชน การชม การวิจารณ์ และการแสดงความเหน็ ความปรารถนาดี การแสดงความปรารถนาดกี ส็ ามารถแสดงออกมาไดทั้งการพดู และการเขยี นได๎เชนกนั เชน การใหค๎ าํ ปรึกษา การเสนอแนะ การทดั ทานและการตักเตือน ความมนี า้ํ ใจ การแสดงความมนี ้ําใจเป็นศลิ ปะของการอยํู รวํ มกัน การรูจักการให๎และรู๎จกั การรับเป็นการแสดงถึงความ มีนา้ํ ใจ เชํน การให๎ความชวยเหลอื การขอความเห็น ประสทิ ธภิ าพในการสอื่ สารขนึ้ อยูํกบั ปจั จยั หลายประการ ไดแ๎ กํ 1. ระดบั ความร๎ู(Knowledge) ผู๎สํงสารและผู๎รบั สารทมี่ ีความรู๎ใกล๎เคยี งกนั ในเรื่องท่ีต๎องการจะส่ือสารอาจ งาํ ยตอการทาความเขา๎ ใจกนั 2. ทศั นคติ (Attitude) การท่ีตางฝุายตํางมีทัศนคตทิ ดี่ ีตอการสงํ และการรับยอมมโี อกาสพจิ ารณาตาม ความเป็นจริงไดดีกวาการมที ัศนคตเิ ชิงลบตอกนั ซ่งึ อาจนาไปสํกู ารตัดสินใจด๎วยอารมณ์ท่ไี มเหมาะสม

43 3. ระดับสังคมและวัฒนธรรม (Social Cultural System) ผู๎สํงสารและผ๎ูรบั สารท่เี ขา๎ ใจระบบสังคม วฒั นธรรมของผู๎ท่ีมาติดตอกัน จะสามารถเลือกวิธี การจัดเนื้อหาสาระ รูปแบบทต่ี ดิ ตํอให๎สอดคล๎อง เหมาะสมได๎ภาษาทใี่ ช๎ในการสอ่ื สาร ควรเลอื กให๎เหมาะกบั บุคคลเปูาหมายของการติดตอสื่อสาร การสอื่ สารดา๎ นการเจรจาโตต๎ อบอยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 1. รขู๎ ้ันตอนของการสอื่ สาร มีความต้ังใจ ความเขา๎ ใจ การยอมรบั และนาไปสํกู ารปฏิบตั ิใหต๎ รงตาม เปูาหมายของการสํงสารได๎ให๎เกดิ ประสทิ ธิภาพ 2. ใชภ๎ าษาธรรมดาทใ่ี ชอ๎ ยํูประจา 3. ร๎ูจักเอาใจเขามาใสใํ จเราจะสามารถร๎ูและเข๎าใจจติ ใจ รวมถงึ ความคดิ ซง่ึ กนั และกันเป็นอยํางดี สามารถคาดการณ์ลํวงหนา๎ ได๎วาํ คสํู ่อื สารจะโตต๎ อบมาอยาํ งไร 4. เขา๎ ใจภาษาทําทาง 5. เรียนรวู ธิ ีรับและวิธีให๎ผลยอนกลับ การศกึ ษาวาขาวสารทส่ี งํ ไปน้ันผรู ับขาวสารเขาใจหรอื ไมและตอง รบี แกไข หากการสือ่ สารลมเหลว สวนการตรวจสอบที่ใช๎กันมากคือ “การดูผลยอนกลับ” (Feedback) ซึง่ ทาไดโดยการเปิดโอกาสหรือกระต๎นุ ให๎ผ๎ูรบั สารสามารถสื่อสารยอนกลบั มาให๎ไดส๎ มา่ํ เสมอ 6. พัฒนานสิ ยั การฟังท่ีดี ควรฟงั ทง้ั ความหมายของการพูด และการแสดงความเห็นประกอบของผพู ูดและ ตองดูวํามีความหมายซํอนอยูํในคาพูดเหลานน้ั หรือไมทกั ษะการฟังทีด่ ีสามารถลดความเข๎าใจผดิ ความขัด แยงในการปฏิสมั พนั ธ์กบั คน การใช๎ความคิด การจบั ประเด็น ฝึกความจาํ และฝึกฝนการจดจอแนวแนํ กบั ส่งิ ใดส่งิ หน่งึ ได๎อยํางมีประสิทธภิ าพ ไมควรแสดงความราํ คาญไมอยากฟงั หรอื ฟังแบบขอไปที โดยไมได๎ สนใจในสงิ่ ที่ผ๎ูอ่นื พดู จริง ๆ เปลย่ี นเรอ่ื งพูดหรือคุยเรื่องอ่นื แทรกขัดจังหวะ ไมควรคดิ เอาเองวาเขาคงเขา ใจเหมอื นอยํางที่ตนเองเข๎าใจ ควรสือ่ สารอยํางชดั เจนและมีประสิทธภิ าพมากที่สดุ เพอ่ื ให๎มั่นใจวําเขา เขา๎ ใจในส่งิ ท่ี เราพดู จรงิ ๆ ประโยชนก์ ารสอ่ื สารตอํ องค์กร การติดตํอสอ่ื สารมีประโยชน์ตอํ การติดตํอส่ือสารในองค์กร มีดงั นี้ 1. เพือ่ แจง๎ ข๎อมูลขาํ วสาร คอื การแจง๎ ข๎อมลู ขําวสารขององค์การตํอบคุ ลากรเพื่อให๎บุคลากรสามารถ ประสานและบรรลุวตั ถุประสงคร์ วํ มกัน 2. เพอ่ื กระตน๎ุ และจูงใจ การจงู ใจเป็นองค์ประกอบสําคญั ท่ีกํอให๎เกิดการพฒั นาการทางานของบุคลากรใน องค์การจะไดร๎ ับการจงู ใจและการกระตุ๎นจากการส่ือสารองค์การจะมีประสิทธภิ าพหรอื ไมจํ ึงขน้ึ อยํูกบั ความสามารถในการชักจงู ผาํ นการสอ่ื สารดังกลาํ ว 3. เพ่อื ประเมนิ ผลการทางานของบุคลากรในองคก์ ร และการทางานขององค์กร ปัจจบุ ันองค์การมีการ เปล่ยี นแปลงตลอดเวลาจงึ ทาใหต๎ อ๎ งมีการประเมนิ ผลการทางานสมํา่ เสมอเพื่อประเมนิ ความกา๎ วหนา๎ ของ การทางาน ดงั น้ัน กระบวนการสอ่ื สารจะต๎องมีประสิทธภิ าพและสมบรู ณ์พร๎อมมกี ารสํงข๎อมูลยอ๎ นกลบั ซึง่ จะทาให๎องค์การสามารถดาเนนิ งานไปในแนวทางท่ีถูกต๎อง 4. เพอ่ื สรา๎ งความสัมพนั ธใ์ นหมูํคณะ ความสัมพันธ์ระหวํางผบ๎ู รหิ ารกบั บคุ ลากร หรือผูบ๎ ริหารกบั ผบู๎ ริหาร บุคลากรกับบุคลากรทั้งในสายการบังคบั บัญชาท่เี ป็นทางการและไมเํ ป็นทางการกจ็ ะเกิดจากการส่อื สาร

44 ระหวาํ งกันทัง้ ส้นิ การสอ่ื สารจงึ เปน็ ตัวสรา๎ งความสัมพันธท์ ่ีดีตอํ กันและทาให๎องคก์ ารดารงอยํแู ละพัฒนา ไปได๎ในทกุ สถานการณ์ 5. เพื่อวินิจฉัยสงั่ การ หนา๎ ทอ่ี ยํางหนึง่ ของฝาุ ยบริหารก็คอื การออกคาสั่งกับกลํุมบคุ คลที่อยูํในองค์การ การออกคาส่งั ดังกลาํ วจาเปน็ ตอ๎ งใช๎การส่ือสารที่รวดเร็ว แนนํ อนและถกู ต๎อง ดงั นั้นถ๎าผ๎ูบรหิ ารไมํใช๎การ ส่อื สารก็ ไมสํ ามารถสง่ั การหรือมอบหมายหนา๎ ที่ให๎พนักงานดาเนินการได๎เลย 10 ประการทส่ี าํ คญั ในการตดิ ตอํ สอื่ สาร การดาเนนิ งานทุกอยํางในองคก์ ารนนั้ ต๎องอาศยั บุคลากรผเ๎ู กีย่ วขอ๎ ง การติดตํอส่อื สารนับได๎วําเป็นเร่ืองท่ี สาํ คัญอีกประการหน่ึง เพราะถา๎ การติดตํอสื่อสารดี บุคลากรเขา๎ ใจได๎อยาํ งถูกต๎อง กจ็ ะทาใหก๎ ารดาเนนิ งาน ทกุ อยํางบรรลุเปาู หมายขององค์การ บัญญัติ 10 ประการ ชํวยในการสื่อสารกับผ๎ูรํวมงาน ดังนี้ 1. แสวงหาความกระจาํ งในเรื่องทจ่ี ะถาํ ยทอดกอํ นทจ่ี ะทาการตดิ ตํอสอ่ื สารออกไปเพื่อชวํ ยใหก๎ าร ตดิ ตอํ สือ่ สารชัดเจนขึ้น 2. ตรวจสอบวตั ถุประสงคท์ ี่แทจ๎ ริงของการติดตอํ ส่ือสารแตํละคร้งั วาํ ต๎องการสํงขําวสารอะไร มี จุดมุงํ หมายอยํางไร 3. พจิ ารณาเตรยี มการเมื่อทาํ นจะติดตํอส่อื สาร โดยเฉพาะสภาพแวดล๎อมของบุคคล 4. ปรึกษาหารือกบั คนอ่ืนตามความเหมาะสม ในการวางแผน การติดตํอสื่อสาร เพื่อให๎เกิดความกระจาํ ง 5. จงระมัดระวังในขณะท่ีทาการติดตํอสอื่ สาร ท้ังดา๎ นบุคลิกภาพและกายวาจาโดยสงั เกตการตอบสนอง จากผู๎รับฟงั 6. โอกาสแรกต๎องแสดงถงึ ผลประโยชน์และการสรา๎ งความสาํ คญั ของผู๎รบั (received) 7. ตดิ ตามผลการติดตํอสอ่ื สารของตนเองเพอื่ นามาปรับปรุง 8. การตดิ ตอํ ส่ือสารสาหรับพรุงํ น้ีกับวันนี้ โดยยึดหลกั วําวันพรงํุ นตี้ ๎องดีกวําวันน้ี 9. ม่นั ใจวําการกระทาของตนเองสนบั สนุนการติดตํอสื่อสารให๎เกดิ ผลดี 10. เปิดโอกาสให๎ผ๎ูฟังได๎รบั ความเข๎าใจ ผู๎สอ่ื สารควรต้งั ใจฟงั และสงั เกตปฏกิ ิรยิ าของผ๎ูรับเป็นสงิ่ สาคญั อุปสรรคการสอ่ื สารในองคก์ ร การส่อื สารทเ่ี กดิ ข้ึนในองค์กรมกั จะมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขน้ึ ตามมาดว๎ ยหลายประการเชนกนั สําหรบั ปญั หาที่มักเกิดขน้ึ กค็ ือ 1. การรบั ร๎ูที่แตกตํางกนั การรบั รู๎ขําวสารเดียวกนั แตํผู๎รบั แตํละคนตคี วามไปแตกตางกนั กจ็ ะทาํ ให๎เกิด ความคลุมเครอื และสบั สนได๎ดังนนั้ ในการส่ือสารทุกครั้งจึงควรมน่ั ใจวาขาวสารน้นั มีความชดั เจนทจ่ี ะทาํ ให๎ ผู๎รบั แตํละคนมีความเขาใจตรงกัน 2. การบิดเบือนขอ๎ มูล การสํงขาํ วสารผํานกนั เปน็ ทอดๆผํานคนจํานวนมากอาจทําให๎ข๎อมลู เกดิ การตก หลํน หรอื บางครั้งมีการปรุงแตํงขอ๎ มูล จึงอาจทําให๎ข๎อมลู เกดิ การบิดเบือนไปจากความเป็นจริงได๎ 3. การกล่นั กรองขําวสาร เป็นอปุ สรรคทส่ี ําคัญตอการส่อื สารในองค์กรก็คือ กรณีทผี่ ู๎ให๎ขําวสารเลอื กให๎ ขําวสารเฉพาะบางขําวสารหรือเฉพาะบางสวนของขําวสารเทํานั้น เพ่ือให๎ผู๎ฟงั ร๎ูสึกพอใจโดยไมํให๎ขําวสาร

45 ในสํวนทเ่ี ป็นลบหรอื คาดวําจะทําให๎ผู๎ฟงั รู๎สกึ ไมพอใจและเกดิ ผลลบตํอตนเองดังนั้นจงึ ต๎องมีการสร๎างความ เขา๎ ใจอันดรี ะหวํางคนในองค์กรเพื่อขจัดความกลัวในเรื่องของความผดิ พลาดในการทางาน 4. จงั หวะเวลาของการตดิ ตํอส่อื สาร ขาวสารบางชนิดนั้นควรต้ังส่ือสารใหรับรูพรอมกนั แตํขําวสารบาง ชนิดก็ควรส่ือสารให๎รับรู๎เม่ือถึงเวลา ดังนนั้ จงึ ควรเลือกเวลาในการสือ่ สารใหเหมาะสมการปรับปรุงการ สอ่ื สารในองคก์ ร จากทีไ่ ดก๎ ลําวถงึ อุปสรรคของการสอ่ื สารในองค์กร เราสามารถที่จะปอู งกันปัญหาดังกลําวได๎ คือ 1. การเปน็ ผ๎ูฟังทีด่ ี ผ๎ูฟงั ท่ดี ีน้ันจะตองสามารถจับประเดน็ ของขาวสาร จับความร๎ูสึกของผ๎ูให๎ขําวสาร สังเกตปฏิกิริยา มกี ารตอบสนองและแสดงความร๎ูสึกในการสือ่ สารกลับ 2. การเปน็ ผู๎ตอบสนองทีด่ ี ผู๎ตอบสนองทด่ี ีจะต๎องให๎ข๎อมลู ย๎อนกลับบอกคํูสนทนาวําตนเอง ร๎ูสกึ อยํางไร และเขา๎ ใจขาํ วสารหรอื ไมํการให๎ข๎อมูลย๎อนกลับนน้ั เป็นศิลปะ ถ๎าปฏบิ ตั ิไมํถูกตอ๎ งหรอื ไมํเหมาะสม อาจ กํอให๎เกิดความไมพึงพอใจและการไมํยอมรับได๎ 3. การพฒั นาทักษะทด่ี ี ในการพฒั นาทักษะการส่ือสารทีด่ ี จะสามารถชวยปรับปรุงการสือ่ สารภายใน องค์กรใหม๎ ปี ระสิทธิภาพเพิ่มข้นึ กค็ ือ สร๎างความคดิ ให๎ชดั เจนกํอนทําการสื่อสาร กาํ หนดเปูาหมายในการ สื่อสารทุกคร้ัง พิจารณาสภาพแวดล๎อมของการสื่อสาร ควรระวังการสอ่ื สารทางสีหนา ทําทาง และ นํ้าเสยี ง พยายาม ทาํ การสอ่ื สารกับผู๎รวํ มงานในทุกคร้ังท่มี ีโอกาส คอยติดตามผลการสือ่ สารอยํูเสมอ วาง แผนการตดิ ตอส่อื สารทัง้ เรื่องที่จะทาํ ทั้งในปัจจบุ ันและในอนาคต และควรปฏิบัตติ ามส่ิงท่ีได๎พูดไว๎ http://community.jobdynamo.com

46 หนวํ ยที่ 3 การบรหิ ารงานคณุ ภาพ หวั ข๎อ 1.ความสําคญั และความเปน็ มาของระบบบริหารงานคณุ ภาพ 2 หลักการบริหารงานคณุ ภาพ 3 กระบวนการบรหิ ารงานคุณภาพตามข๎อกําหนด 4.เอกสารในระบบบริหารคุณภาพ แนวคดิ .มาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9000 ได๎กําหนดการจดั ทาํ ระบบคุณภาพใหข๎ ึ้นอยกํู บั ลักษณะขององค์กร บันทกึ เปน็ เอกสาร และคงไว๎ ซง่ึ ระบบคุณภาพนจ้ี ะทาํ ให๎ม่ันใจได๎วาํ กระบวนการสอดคล๎องกับขอ๎ กําหนด ระบบเอกสารประกอบด๎วย นโยบายคุณภาพ วัตถุประสงค์ด๎านคณุ ภาพ คํูมือคุณภาพ ระเบยี บปฏิบตั ิการ บนั ทกึ คุณภาพ และเอกสารอ่ืน ๆ ท่จี ําเป็น ซึ่งองค์กรเป็นผ๎ูจดั ทาํ เน๎นการจดั เกบ็ ให๎เป็นระบบ และนําไป ปฏบิ ัติไดจ๎ รงิ จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 1. บอกความสําคัญของระบบบริหารงานคุณภาพได๎ 2. อธบิ ายความเปน็ มาของระบบบริหารคณุ ภาพได๎ 3. อธิบายหลกั การบริหารงานคุณภาพได๎ 4. อธิบายกระบวนการบรหิ ารงานคุณภาพตามข๎อกําหนดได๎ 5. อธบิ ายเอกสารในระบบบริหารคุณภาพได๎ 1 ความสาํ คญั และความเปน็ มาของระบบบรหิ ารงานคณุ ภาพ หัวเร่ือง 1. หลักการสาํ คัญและความเป็นมาของการบริหารงานคณุ ภาพ 2. ความเปน็ มาของระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9000 3. การแกไ๎ ขปรบั ปรุงมาตรฐานระบบการบรหิ ารงานคณุ ภาพ ISO 9000:2000 สาระสาํ คญั 1. วัตถปุ ระสงคห์ ลักของการบรหิ ารงานคุณภาพ คือ การผลติ สนิ คา๎ หรือบริการท่ีตอบสนองตํอความ ต๎องการของลูกค๎า 2. ระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9000 หรอื QMS (Quality Management System) เกดิ ข้ึนโดย องค์กรระหวํางประเทศวาํ ดว๎ ยการมาตรฐาน หรือ ISO (International Organization For Standard) 3. ลักษณะสาํ คญั ของ ISO 9000:2000 คอื ใชภ๎ าษาท่เี ข๎าใจงาํ ย เปล่ียนแปลงคาํ ศัพท์ใหง๎ ํายตํอการตคี วาม เป็นแนวทางในการบริหาร ซงึ่ สามารถประยุกต์ได๎กบั องค์กรและกิจกรรมได๎อยาํ งหลากหลาย

47 จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. อธบิ ายความเป็นมาและความสําคัญของระบบบริหารงานคุณภาพได๎ 2. บอกหลกั การบรหิ ารงานคุณภาพได๎ 3. อธบิ ายจดุ เดํนของของระบบบริหารงานคณุ ภาพ ISO 9000 ได๎ 1 ความสําคญั และความเป็นมาของระบบบรหิ ารงานคุณภาพ หลกั การสาํ คญั และความเปน็ มาของการบรหิ ารงานคณุ ภาพ การบรหิ ารงานคุณภาพตามมาตรฐานสากล (Quality Management System : QMS) หรอื ระบบ บรหิ ารงานคณุ ภาพตามมาตรฐาน ISO9000 เปน็ ระบบบริหารงานคุณภาพท่ไี ด๎รบั ความนยิ มสูงสดุ เปน็ มาตรฐานระดับโลก ท่มี แี นวทางให๎เกดิ คุณภาพให๎แกํองค์การ ซึง่ เม่ือได๎นําไปใช๎ปฏบิ ัติตามขอ๎ กําหนดของ มาตรฐานแลว๎ จะชํวยพฒั นาประสิทธิภาพขององค์กร สร๎างความพึงพอใจให๎แกํลูกคา๎ ได๎มากขน้ึ และลด คําใชจ๎ าํ ยท่เี ป็นตน๎ ทนุ ในกระบวนการ ชวํ ยใหเ๎ กดิ การพฒั นาระบบทง้ั ภายในและภายนอกองคก์ ร ความสาํ คัญและความเปน็ มาของระบบบริหารงานคณุ ภาพระบบบรหิ ารงานคุณภาพตามาตรฐาน ISO 9000 หรอื QMS เกดิ ขึ้นโดยองค์การระหวาํ งประเทศวําดว๎ ยการมาตรฐาน หรอื ISO (International Organization for Standardization)ซงึ่ มงุํ เน๎นการหลักการพฒั นาและปรับปรุงคณุ ภาพท่ีกระบวนการ ผลิตสนิ คา๎ หรอื บรกิ าร โดยมิได๎เน๎นเฉพาะทตี่ ัวผลิตภณั ฑ์ โดยใหห๎ ลักประกนั กับลูกคา๎ วาํ จะไดร๎ ับสินค๎าหรือ บริหารทมี่ ีความนําเชื่อถือมีคุณภาพตามาตรฐานคงเส๎นคงวาสมาํ่ เสมอ ตรงตามความตอ๎ งการและมกี า รบั รองมาตรฐานดว๎ ยการตรวจสอบการดาํ เนนิ งานอยํางเป็นมาตรฐานสากล หลกั การสําคญั ของการบริหารงานคุณภาพ ISO 9000 1. มุงํ เน๎นท่ลี กู คา๎ 2. ปรบั ปรงุ กระบวนการทั้งหมดตัง้ แตจํ นจบควบวงจรอยํางตอํ เนอ่ื ง 3. ทกุ คนในองค์การมสี ํวนรํวมในการพัฒนาองค์การ 4. เป็นมาตรฐานทสี่ ามารถประยุกตใ์ ช๎ไดก๎ ับธุรกิจและองค์การทุกประเภท 5. เป็นมาตรฐานทยี่ อมรับกนั อยาํ งแพรํหลายในระดับสากล 6. เป็นมาตรฐานทม่ี กี ารตรวจประเมินโดยบคุ คลท่ีสามเพ่ือใหห๎ ลกั ประกนั ทางด๎านคุณภาพ 7. เปน็ พืน้ ฐานสําคญั สําหรับการปรับปรุงอยํางตํอเนื่องตํอไป ความเป็นมาของระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9000 “ISO” เปน็ คําภาษากริก แปลวํา “เทาํ กบั หรือเทํากนั ” สํวนตัวเลข “9000” เกิดขึ้นจาก การกําหนดขององคก์ รระหวาํ งประเทศวาํ ดว๎ ยการมาตรฐาน หรอื อักษรยํอ ISO ISO 9000 เป็นเลขหลักรหสั ของมาตรฐานคณุ ภาพ ซึง่ เกีย่ วขอ๎ งกบั ระบบบริหารงานคุณภาพทมี่ ีการ จัดการคุณภาพและการประกันคณุ ภาพโดยเนน๎ การสร๎างคุณภาพภายในองค์การเป็นหลัก ความเป็นมาของระบบบริหารงานคณุ ภาพ ISO 9000 มีจดุ เร่มิ ตน๎ จากการพฒั นามาตรฐานคณุ ภาพของ ประเทศองั กฤษ หรือสหราชอาณาจักร ซึ่งถอื เปน็ ชาติแรกที่ได๎นํามาตรฐานระบบคุณภาพไปใช๎อยํางเปน็

48 ทางการ สหราชอาณาจกั รได๎มีการพฒั นามาตรฐานระบบคุณภาพของประเทศ โดยกาํ หนดมาตรฐานใน กระบวนการผลิต ในชอื่ มาตรฐาน BS (British Standard) ในปี ค.ศ. 1997 ได๎ประกาศใช๎มาตรฐานฉบับ BS 5750 ซงึ่ เปน็ มาตรฐานท่ีได๎รับการนาํ ไปใช๎ในวงการอตุ สาหกรรมและการค๎าและเปน็ ท่ียอมรบั ในกลมุํ ประเทศยุโรป ตอํ มาในปี ค.ศ. 1987 มกี ารรอบยโุ รปเปน็ หนงึ่ เดยี ว ซง่ึ กลุํมประชาคมยุโรป (EC) ในปัจจบุ นั ได๎เปล่ยี นเป็น สหภาพยุโรป (EU) ตาํ งมคี วามเหน็ วํา ควรมีมาตรฐานในการพัฒนาระบบคุณภาพอยาํ งเปน็ สากลรํวมกัน องค์การ ISO ซง่ึ มสี หภาพยุโรปเป็นสมาชกิ แกนนําทสี่ าํ คญั จึงได๎จัดตั้งคณะกรรมการด๎านเทคนคิ (Technical Committee หรือ TC) ขนึ้ ชุดหน่งึ คือ ISO/TC 176 หรอื คณะกรรมการชุดท่ี 176 เพ่อื ทํา หนา๎ ทกี่ าํ หนดมาตรฐานสากลฉบบั ใหมํ โดยใช๎ตน๎ แบบจากมาตรฐาน BS 5750 ของสหราชอาณาจักร และ ประกาศใชใ๎ นชอื่ มาตรฐานระบบคณุ ภาพ ISO 9000 ซง่ึ ประกาศใช๎เป็นครง้ั แรกในปี ค.ศ. 1987 หลัก จากนั้น คณะกรรมการ TC 176 ไดต๎ กลงให๎มีการปรับปรุงมาตรฐาน ISO 9000 ทุกๆ 5 ปี การปรบั ปรุง ครง้ั แรกเกดิ ขน้ึ เมื่อปี ค.ศ. 1994 และคร้ังท่ี 2 เกิดขึ้นเม่ือปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543 ) ซึง่ ถือเป็นครั้ง หลงั สดุ และไดป๎ ระกาศใช๎มาตรฐานฉบับใหมํท่ีใชอ๎ ยูใํ นปจั จุบันเมือ่ วันที่ 15 ธันวาคม 2543 (ค.ศ. 2000) เป็นตน๎ มา ในชื่อระบบบรหิ ารงานคุณภาพ ISO 9000 : 2000 วตั ถปุ ระสงคข์ องระบบคณุ ภาพ ISO 9000 การกําหนดของมาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9000 มวี ัตถปุ ระสงคท์ ่สี าํ คัญ ดังน้ี 1. เพื่อใหล๎ กู ค๎าเกิดความมั่นใจในคณุ ภาพของสนิ คา๎ และบริการทจี่ ะไดร๎ บั 2. เพ่ือสรา๎ งความม่ันใจให๎แกํผบู๎ รหิ ารวาํ สามารถสนองความต๎องการของลกู ค๎าได๎ 3. เพื่อลดความสญู เสียจากการดําเนินงานท่ีไมํมีคณุ ภาพเป็นการประหยดั คาํ ใช๎จาํ ย 4. เพื่อใหม๎ รี ะบบการบริหารงานท่ีเป็นลายลักษณอ์ ักษรและเกิดประสิทธิภาพผลสงู 5. เพื่อใหส๎ ามารควบคมุ การดําเนินกระบวนการธุรกิจได๎ควบวงจรตงั้ แตตํ ๎นจนจบ 6. เพื่อให๎มีการปรับปรุงและพัฒนาระบบการปฏิบตั งิ านใหเ๎ กดิ ประสิทธิผลยิง่ ข้ึนและเปน็ พ้นื ฐานไปสูํระบบ การบริหารคณุ ภาพท่ัวทั้งองค์การ (TQC.) ตํอไป ลักษณะสําคญั ของมาตรฐานระบบคุณภาพ ISO 9000 1. เปน็ มาตรฐานเกย่ี วกบั ระบบบริหารงานคณุ ภาพทท่ี ําให๎ลกุ คา๎ พงึ พอใจ โดยยึดหลกั คณุ ภาพ ที่มงุํ เนน๎ การจัดทาํ ขั้นตอนการดําเนนิ งานและหลกั เกณฑ์ตํางๆ ท่ีจะทําใหส๎ ินค๎าบริหารเปน็ ไป ตามความต๎องการของลกู ค๎า ตั้งแตแํ รกที่ได๎รับทุกครั้งและตลอดไป 2. สามารถนาํ ไปใช๎ไดก๎ ับกจิ กรรมทุกประเภททงั้ ด๎านอตุ สาหกรรม พาณชิ ยกรรม ธุรกจิ บรกิ าร ท้งั ขนาด เล็กถึงขนาดใหญํ 3. เปน็ มาตรฐานระบบบรหิ ารงานคณุ ภาพทน่ี านาชาติยอมรับ และใชเ๎ ปน็ มาตรฐานของประเทศ 4. เปน็ ระบบบริหารงานคุณภาพท่ีทุกคนในองค์การมสี ํวนรวํ ม 5. เปน็ การบริหารคุณภาพทกุ ขัน้ ตอนในกระบวนการผลติ

49 6. เป็นการบรหิ ารทเ่ี น๎นเรือ่ งเอกสารในการปฏบิ ตั ิงาน นาํ สิ่งท่ปี ฏบิ ตั มิ าจัดทําเปน็ ระบบเอกสารเพอ่ื นาํ ไปใช๎งานได๎สะดวกเกดิ ประสิทธิผลและตรวจสอบได๎งาํ ย 7. เปน็ มาตรฐานระบบงานทเี่ ปิดโอกาสใหม๎ ีการปรับปรงุ แก๎ไขข้นั ตอนการปฏิบัติงาน วธิ กี ารปฏิบตั ิงาน และมาตรฐานการทํางานได๎ตลอดเวลา 8. เปน็ ระบบมาตรฐานทลี่ ูกค๎าชนั้ นาํ เชํน กลุํม EU. และกลํุมอื่น ๆ ยอมรับกันท่วั โลกและเปน็ เงื่อนไขของ GATT (General Agreement on Tariff and Trade) กําหนดใหใ๎ ชเ๎ ปน็ มาตรฐานสากล 9. เปน็ มาตรฐานที่ระบุถึงข๎อกําหนดทต่ี อ๎ งมใี นระบบคุณภาพ 10. เป็นระบบมาตรฐานสากลที่กาํ หนดให๎มีการตรวจประเมินโดยหนํวยงานที่ 3 (Third Party ) เพ่ือให๎ การรับรอง เม่อื ผาํ นการรับรองแล๎วจะไดร๎ บั การตรวจซํา้ แบบสมํุ ตัวอยํางปีละไมตํ ํ่ากวํา 1 คร้งั ถ๎าครบ 3 ปี จะตอ๎ งตรวจประเมนิ ใหมทํ ้ังหมดเหมอื นกับการขอรบั รองครัง้ แรก กุญแจสําคญั เพ่ือไปสํูการคา๎ ระหวาํ งประเทศ ในปัจจุบันโดยเฉพาะตลาดการคา๎ ท่สี ําคญั ได๎แกํ กลํุมสหภาพ ยโุ รป สหรัฐอเมรกิ า ญี่ปุนและประเทศตาํ ง ๆ ทัว่ โลก มกี ารแขงํ ขนั กนั สูงและมีความเครํงรัดในเร่อื ง คณุ ภาพของสินค๎า บรกิ าร จึงต๎องใช๎กติกาสากลเกีย่ วกับคุณภาพในรปู แบบของการออกแบบใบรบั รอง คุณภาพ ISO 9000 ซ่ึงเป็นการคุ๎มครองของกลํุมการคา๎ เพื่อกดี กนั คูํแขํงขนั และกําหนดมาตรฐานท่ี ตอ๎ งการใหท๎ ุกประเภทปฏบิ ตั ิตามเป็นแนวทางเดยี วกัน การแกไ๎ ขปรับปรุงมาตรฐานระบบการบรหิ ารงานคุณภาพ ISO 9000 : 2000 แนวทางการแก๎ไข ISO 9000 : 2000 อนุกรมมาตรฐาน ISO 9000 ฉบับเดมิ ปี ค.ศ. 1994 ประกอบด๎วย อนุกรมมาตรฐาน ISO 9000 ฉบับเดมิ ปี ค.ศ. 1994 ประกอบด๎ายมาตรฐาน 5 ฉบบั ได๎แกํ ISO 9000 , ISO 9001, 9003 และ ISO 9004 ซงึ่ มขี อ๎ กาํ หนดจาํ นวน 20 ขอ๎ มขี อ๎ จํากดั ในการนาํ ไปใช๎หลายประการ ทงั้ น้ีปญั หาท่ีพบจากการนําไปประยกุ ต์ ได๎แกํ 1. ภาษาทใ่ี ชเ๎ ขา๎ ใจยาก และสํวนใหญเํ น๎นคําศัพทท์ ี่ใชใ๎ นภาคอตุ สาหกรรมการผลติ มากกวําการบรกิ าร ทํา ให๎เกิดความยุํงยากในการนาํ ไปใช๎ 2. ขอ๎ กาํ หนด (Requirements) จดั เรยี งกันอยํางไมเํ ป็นพวกหมวดหมแูํ ละดเู หมือนแตลํ ะข๎อจะเป็น เอกเทศแยกออกจากกัน 3. ไมํสะดวกในการนาํ ไปใชร๎ วํ มกับมาตรฐานระบบบริหารงานอื่น ๆ เชํน ISO 14000 เป็นต๎น 4. ไมํครอบคลมุ ธรุ กจิ ทุกประเภทและไมใํ หป๎ ระโยชน์แกํผเู๎ กี่ยวข๎องหรอื มีสวํ นรํวมไดส๎ วํ นเสยี ในสังคมอยําง ชดั เจน 5. มีมาตรฐานทเ่ี กยี่ วข๎องมากรายการ ลักษณะสาํ คญั ของ ISO 9000 : 2000 1. ใช๎ภาษาทีเ่ ข๎าใจงาํ ยข้นึ เปล่ยี นแปลงคาํ ศัพท์ให๎งํายตํอการตคี วาม 2. เปน็ แนวทางในการบริการ ซ่ึงสามารถประยุกต์ใชก๎ บั องค์กรและกิจกรรมได๎อยํางกวา๎ งขวาง ทัง้ องค์กร ธรุ กิจ ภาครฐั และรฐั วสิ าหกจิ เปน็ ต๎น