พระอภัยมณี Show นางยักษ์ พระโยคี เงือกเฒ่า ปล.ได้แค่นี้แหละ:)ผิดพลาดอะไรก็อย่าว่ากัน จากพฤติกรรมและบทบาทของพระอภัยมณีที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น ทำให้มองเห็นบุคลิภภาพของพระอภัยมณีทั้งในทางกายและทางใจ ดังนี้ บุคลิกภาพทางกาย โดยรูปร่างลักษณะภายนอก กล่าวได้ว่าพระอภัยมณีมีรูปร่างงดงามเช่นเดียวกับพระเอกในวรรณคดีไทยทั้งหลาย แม้จะมีคำพรรณนาถึงความงดงามแต่เพียงสั้นๆ ว่า ฝ่ายองค์พระอภัยวิไลโฉม ดั่งนี้ ก็กล่าวได้ว่าพระอภัยมณีมีรูปโฉมงดงามทัดเทียมกับพระเอกอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อความพรรณนาที่แสดงให้เห็นว่าพระอภัยมณีมีรูปโฉมที่งดงาม กล่าวคือ เมื่อผู้อื่นได้เห็นพระอภัยมณีก็ชื่นชมในรูปร่างหน้าตาอันงดงามนั้น เช่นเมื่อนางผีเสื้อสมุทรได้เห็น พระอภัยมณีก็ให้รัญจวนใจ เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมใจ นั่งเป่าปี่อยู่ใต้พระไทรทอง ในคราวที่บริวารของท้าวสิลราชเมื่อได้เห็นพระอภัยมณีในเพศดาบส ก็กล่าวว่าตะลึงในรูปโฉม มองเห็นคนบนศาลาที่หน้าชาน มากประมาณร้อยเศษหลายเพศพรรค์ เมื่อครั้งนางมณฑามเหสีท้าวสิลราชได้พบพระอภัยมณีครั้งแรก ก็พรรณนาแสดงความรู้สึก ฝ่ายโฉมยงองค์ชนนีนาถ เห็นสองราชบพิตรอดิศร นอกเหนือจากมีรูปโฉมงดงามแล้ว พระอภัยมณียังมีความสง่างามสมเป็นกษัตริยดังในคราวที่อุศเรนมาพบพระอภัยมณีที่เขามหิงษ์สิงขร พอเห็นองค์พระอภัยวิไลโฉม งามประโลมแลเลิศดูเฉิดฉาย อนึ่ง ไม่มีข้อความตอนใดที่กล่าวแสดงให้เห็นความมีอำนาจของพระอภัยมณีเลยอย่างมากก็เพียงใช้คำว่า “พระอภัยเจ้าไตรจักร” หรือ “พระอภัยเจ้าไตรภพ” เท่านั้น นอกจากนี้ ก็ไม่มีพฤติกรรมอะไรที่เป็นการแสดงอำนาจของพระอภัยมณี ทั้งนี้อาจเนื่องด้วยลักษณะนิสัยของพระอภัยมณีเป็นอย่างนั้น คือไม่ต้องการแสดงอำนาจทั้งๆ ที่มีอำนาจ จะเห็นได้ในคราวที่มังคลาพาเอานางสุวรรณมาลีกับธิดาแฝดไปลังกา พระอภัยมณีให้ประชุมพวกขุนนางนายทหารเพียงเพื่อจะปรึกษาโฉม พระเอื้อนอรรถตรัสประภาษราชการ เรามีภารธุระไปไกลบุรี ครั้นบรรดาขุนนางนายทหารขอโอกาสแก้ตัวโดยยกไปรบกับลังกา พระอภัยมณีก็พอใจยกโทษให้ ในด้านท่วงทีกิริยานั้น พระอภัยมณีเป็นบุคคลที่มีความสุภาพอ่อนน้อมต่อคนทุกชั้น วรรณะ การปฏิบัติตนต่อผู้อื่นเป็นไปด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่ง คราวที่พบกับบุตรพราหมณ์สามคน เมื่อสามพราหมณ์ไต่ถามความเป็นมา พระอภัยมณีก็ตอบอย่างสุภาพว่า พระฟังความถามทักเห็นรักใคร่ จึงขานไขความจริงทุกสิ่งสรรพ์ คราวที่เงือกถูกสินสมุทรจับได้แล้วฉุดกระชากลากถูมาได้รับความเจ็บปวด พระอภัยมณี กล่าวคำขอโทษด้วยอาการสุภาพอ่อนน้อมว่า จึงว่าพี่มีคุณน้องสักครั้ง ให้ได้ดังถ้อยคำที่รำพัน พระมารดาปรานีมีอาลัย พระคุณใหญ่หลวงล้นพ้นประมาณ จริงอยู่ ในความรู้สึกที่แท้จริงของพระอภัยมณีก็คงมีความปรารถนาในราชสมบัติและการที่ตอบแก่นางมณฑาเช่นนี้ อาจจะถือว่าตอบโดยมารยาท พระอภัยมณีน่าจะได้คิดแล้วว่าหากตอบรับในทันทีก็จะดูน่าเกลียด เพราะถึงอย่างไรนางมณฑาคงจะอ้อนวอนให้รับอย่างแน่นอน ก็นับได้ว่าพระอภัยมณี เป็นคนฉลาดลึกซึ้ง อย่างไรก็ตาม ก็ด้วยอัธยาศัยที่อ่อนน้อมนั้นเองที่ทำให้พระอภัยมณีตอบนางมณฑาด้วยลักษณะที่ถ่อมตน น่าฟังอย่างยิ่ง กับอุศเรนซึ่งถือได้ว่าเป็นมิตรที่กลายเป็นศัตรูก็ไม่น่าจะต้องปฏิบัติอย่างมิตรอีก แต่เมื่ออุศเรนยกกองทัพมาตีเมืองผลึกต้องพ่ายแพ้ถูกจับได้ แทนที่พระอภัยมณีจะแสดงท่าทีเหยียดหยาม กล่าววาจาเยาะเย้ยอย่างผู้ชนะ กลับปฏิบัติต่ออุศเรนเยี่ยงมิตร โดยกล่าววาจาอย่างสุภาพ แม้อุศเรนจะกล่าวแสดงความอาฆาตพยาบาท พระอภัยมณีก็ไม่แสดงว่าขุ่นเคืองแต่อย่างใด กล่าวแก่อุศเรนในลักษณะที่สุภาพ และไพเราะเช่นเดิมว่า จึงว่าเจ้าเล่าก็ยังกำลังแค้น จะทดแทนทำสงครามก็ตามจิต ในด้านวาจานั้น พระอภัยมณีเป็นผู้มีวาจาไพเราะอ่อนหวาน ถ้อยคำของพระอภัยมณีใครได้ยินได้ฟังก็ให้รู้สึกชื่นใจ ติดอกติดใจและอาจถึงกับหลงเสน่ห์เพราะถ้อยคำอันไพเราะอ่อนหวานนั้น และคำพูดที่ไพเราะอ่อนหวานนั้นพระอภัยมณีพูดกับทุกคน มิใช่เจาะจงเฉพาะคนหนึ่งคนใด เช่นในคราวที่สินสมุทรจับเงือกมาให้ดู พระอภัยมณีพูดภับเงือกโดยเรียกเงือกว่าพี่และใช้สรรพนามแทนตัวว่าน้อง จึงว่าพี่มีคุณน้องสักครั้ง ให้ได้ดังถ้อยคำที่รำพัน กับนางผีเสื้อสมุทรซึ่งพระอภัยมณีมิได้มีความรักหรือปรารถนาจะอยู่ร่วมด้วยเลย เมื่อหนีนางมาถึงเกาะแก้วพิสดารต้องการจะให้นางกลับไปถํ้าที่อยู่ ก็มิได้ขับไล่ไสส่ง แต่กล่าวด้วยถ้อยคำที่ละมุนละไมว่า พระอภัยใจอ่อนถอนสะอื้น อุตส่าห์ฝืนพักตร์ว่านิจจาเอ๋ย เมื่อคราวที่อุศเรนยกกองทัพมารบเมืองผลึกและแพ้ถูกจับเป็นเชลย พระอภัยมณีก็พูดด้วยถ้อยคำที่อ่อนหวานมิให้กระทบกระเทือนจิตใจสักแม้แต่น้อย จึงสุนทรอ่อนหวานชาญฉลาด เราเหมือนญาติกันดอกน้องอย่าหมองศรี นางมัจฉาวารีของพี่เอ๋ย เจ้าทรามเชยอยู่ที่นี่หรือที่ไหน เมื่อนางเงือกขึ้นมาพบ พระอภัยมณีก็กล่าวประโลมนางว่า จงอดออมอาดูรให้สูญหาย เจ้าพาพี่หนีรอด ไม่วอดวาย เมื่อนางเงือกค้านว่านางกับพระอภัยมณีต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์ ทั้งนางก็น้อยวาสนา แต่พระอภัยมณีก็ให้เหตุผลแก้จนนางเงือกคล้อยตามและปลงใจด้วยในที่สุด พระแย้มยิ้มพริ้มพรายว่าสายสวาท แสนฉลาดเหลือดีจะมีไหน นางละเวงซึ่งโดยฐานะก็เป็นศัตรูคู่ศึก และในจิตใจของนางเองก็มีความแค้นพระอภัยมณี ที่เป็นต้นเหตุให้บิดาและเชษฐาต้องเสียชีวิต แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำที่พระอภัยมณีทอดไมตรีในวันที่พบกันกลางสนามรบว่า พระน้องหรือชื่อละเวงวัณลาราช อย่าหวั่นหวาดวิญญามารศรี ก็ให้จับใจต้องเอ่ยวาจาตอบแม้จะเป็นถ้อยคำที่กระทบกระเทียบเปรียบเปรยถึงเหตุการณ์เสียชีวิตของพ่อและพี่ก็ตาม เมื่อพระอภัยมณีกล่าวแก้และฝากรักว่า ประเดี๋ยวนี้พี่ได้พบประสบน้อง อย่าขุ่นข้องขาดรักหักประหาร นางละเวงก็รู้สึก “เสียวสวาทหวานหูไม่รู้หาย” และเริ่มมีจิตใจผูกพันพระอภัยมณีตั้งแต่ขณะนั้น และยิ่งได้ฟังเพลงปี่ของพระอภัยมณีด้วยแล้ว นางต้องพยายามหักใจมิให้หลงใหล เพราะมิฉะนั้น การณ์จะเป็นไปอย่างที่นางรำพึงเมื่อห่างพระอภัยมณีมาแล้วว่า อันลมปี่นี้ระรวยให้งวยงง สุดจะทรงวิญญารักษาตัว ที่นางละเวงรำพึงว่า “ถ้าขืนอยู่สู้อีกไม่หลีกเลี่ยง” นั้น ได้แก่การต่อสู้กันด้วยวาจานั้นเอง ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องด้วยพระอภัยมณีมิใช่จะ “ปากหวาน” เท่านั้น ยังพูดเป็น คือรู้จักใช้ถ้อยคำโวหาร ที่จะให้ผู้ที่ประคารม หรือคู่สนทนาต้องยอมฟังและคล้อยตามไปด้วย ลักษณะเช่นนี้แม้แต่พระอภัยมณีเองก็รู้ตัว ดังที่กล่าวแก่ศรีสุวรรณและสินสมุทรว่า วิสัยพี่นี้ชำนาญแต่การปาก มิให้ยากพลไพร่ใช้หนังสือ บุคลิกภาพทางใจ ความเป็นตัวของตัวเอง แต่ใจพี่นี้รักทางนักเลง หมายว่าเพลงดนตรีนี้ดีจริง ความเป็นคนฉลาด มีสติปัญญา ความฉลาดในทางสติปัญญานั้น จะเห็นได้ว่าพระอภัยมณีได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาเป่าปี่กับพินทพราหมณ์เพียง ๗ เดือน ก็มีความชำนาญลํ้าเลิศ สามารถบรรเลงเพลงปี่ได้อย่างไพเราะ แสนหวาน ใครได้ยินได้ฟังก็ให้เพลิดเพลิน ปล่อยอารมณ์ไห้เคลิบเคลิ้มไปกับท่วงทำนองเพลงปี่ที่วิเวกหวาน และหลับไปในที่สุด แม้แต่สัตว์เมื่อได้ยินเพลงปี่ก็ลืมกินหญ้ากินนํ้าเข้ามาฟังหมดทั้งสิ้น ดังที่พรรณนาไว้ว่า แล้วพาไปยอดเขาให้เป่าปี่ ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น ยิ่งกว่านั้น พระอภัยมณียังสามารถเป่าให้ฟังเกิดความรู้สึกวิเวกหวิว…จนไม่อาจทนอยู่ได้ ต้องขาดใจตาย เช่นคราวที่เป่าฆ่านางผีเสื้อยักษ์ แล้วทรงเป่าปี่แก้วให้แจ้วเสียง สอดสำเนียงนิ้วเอกวิเวกหวาน ความฉลาดในทางปัญญาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระหว่างที่อาศัยอยู่เกาะแก้วพิสดารซึ่ง ณ ที่นั้น มีบรรดาชาวต่างชาติซึ่งได้แก่ ฝรั่ง จีน และจาม เรือแตกขึ้นมาอาศัยอยู่ด้วย พระอภัยมณีได้เรียนภาษาต่างประเทศเหล่านั้น จนมีความชำนาญสามารถพูดภาษาเหล่านั้นได้คล่องราวกับล่าม จะกล่าวถึงพระอภัยมณีนาถ กับองค์ราชกุมารชาญสนาม ความฉลาดในทางด้านรู้ใจ รู้เท่าทันคนนั้น พระอภัยมณีได้แสดงให้เห็นหลายอย่างเช่นการล่วงเจตใจของผู้หญิง พฤติกรรมต่างๆ ที่นางสุวรรณมาลีแสดงให้เห็นว่ามีความรักใคร่เอ็นดูสินสมุทรตั้งแต่วันแรกที่พบ และสินสมุทรขอฝากตัวเป็นลูกเป็นต้นมานั้น พระอภัยมณีรู้ว่านางก็มีจิตใจเอนเอียงมาทางตนอยู่ ฉะนั้น แม้พระอภัยมณีจะทราบในภายหลังว่านางมีคู่หมั้นแล้ว ก็ยังอยากจะลอง “ชิงชู้” ดูสักครั้ง พระเอนเอกเขนกขึงรำพึงคิด ไม่แจ้งจิตเลยว่าเขามาขอ และก็เป็นไปตามที่พระอภัยมณีคาดคิด นางสุวรรณมาลีก็มีจิตใจรักใคร่พระอภัยมณีเช่นเดียวกัน ถึงกับยอมแลกของที่ระลึก ฉะนั้น ในระหว่างที่พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรนมาเพื่อติดตามหานางนั้น พระอภัยมณีได้รำพึงถึงนางด้วยความมั่นใจในความรักของนางที่มีต่อตน แม้จะกังวลในข้อที่ว่านางเป็นคู่หมั้นของอุศเรนซึ่งมีบุญคุณต่อตนอยู่ก็ตาม ความกังวลในเรื่องบุญคุณดูจะมีนํ้าหนักน้อยกว่า ถ้าพบนางกลางน้ำทำอย่างไร จึงจะได้นุชน้องเป็นของเรา นางละเวงก็เช่นเดียวกัน ท่าทีของนางที่แสดงให้พระอภัยมณีเห็นในวันที่พบกันครั้งแรกในสนามรบ ทำให้พระอภัยมณีมั่นใจว่านางก็มีจิตใจผูกพันกับตนอยู่เหมือนกัน ฉะนั้น พฤติกรรมของพระอภัยมณีที่ไปเกี่ยวข้องกับทางฝ่ายเมืองลังกา จึงเป็นไปในลักษณะที่วางใจไม่ได้เกรงว่าจะเป็นอันตรายแต่อย่างใด เช่นการตามนางยุพาผกาเข้าไปในเมืองลังกา โดยมีความมั่นใจนางละเวงมีจิตใจรักใคร่ผูกพันตนอยู่ คงจะไม่คิดทำร้ายแน่นอน ส่วนอุศเรนนั้น ดูพระอภัยมณีจะล่วงรู้จิตใจไปเสียทุกอย่าง รู้ถึงความรู้สึกความคิดของอุศเรน ข้อที่สำคัญก็คือรู้ถึงความหยิ่งในศักดิ์ศรีของอุศเรน ด้วยเหตุนี้พระอภัยมณีสามารถทำอะไรโดยไม่ กระทบกระเทือนความรู้สึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักดิ์ศรีของอุศเรน อันอาจจะกระทบกระเทือนไมตรีระหว่างตนกับอุศเรน ซึ่งพระอภัยมณีไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ความฉลาดอีกประการหนึ่งก็คือ ฉลาดในการใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์ ความฉลาดของพระอภัยมณีในข้อนี้ จะเห็นได้จากคราวที่โดยสารเรืออุศเรนมาจนพบกับเรือสินสมุทรและศรีสุวรรณ เมื่ออุศเรนทราบว่านางสุวรรณมาลีอยู่ในเรือลำนั้น ก็ขอนางคืน แต่สินสมุทรไม่ยอมให้ จึงจะเกิดสงครามชิงนางสุวรรณมาลี โดยที่พระอภัยมณีได้ประเมินกำลังและฝีมือการรบแล้วเห็นว่าการรบจะยุติในลักษณะใด เพื่อที่จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนเนรคุณ เพื่อที่จะไม่ให้สินสมุทรโกรธ และเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของอุศเรน พระอภัยมณีจึงบอกแก่ทุกคนว่าจะวางตนเป็นกลาง อันใจพี่นี้ไม่หวงไม่ลวงหลอก แต่พี่บอกน้องรักขืนหักหาญ แล้วสั่งให้สินสมุทรคืนเรือแพนาวาทั้งหมดแก่อุศเรน อันเป็นการปลดเปลื้องบุญคุณที่อุศเรนได้มีแก่พระอภัยมณีแต่ต้นโดยสิ้นเชิง นอกเหนือจากความฉลาดแล้ว พระอภัยมณียังมีความรอบคอบดังจะเห็นได้จากการให้บรรดาสานุศิษย์ที่ติดตามพระอภัยมณีมาจากเกาะแก้วพิสดารและได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลกันทั่วหน้าแล้ว ไปอยู่ตามเมืองต่างรายรอบเขตเมืองผลึกเพื่อสืบข่าวศึกทั้งนี้ดีร้ายจะได้เตรียมการสู้รบป้องกันเมืองได้ทัน แล้วรางวัลบรรดาสานุศิษย์ ซึ่งตามปกติปรนนิบัติเมื่อขัดสน ความเป็นผู้มีอารมณ์อ่อนไหว นิจจาเอ๋ยเคยอยู่เป็นคู่ชื่น ทุกวันคืนค่ำเช้าไม่เศร้าหมอง พระอภัยมณีก็เกิดความสงสาร บังเกิดความสะเทือนใจในทันที พระอภัยใจอ่อนถอนสะอื้น อุตส่าห์ฝืนพักตร์ว่านิจจาเอ๋ย ความอ่อนไหวในอารมณ์ประกอบความเป็นเลิศในวิชาเป่าปี่ ทำให้พระอภัยมณีได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจออกมาปรากฎในเพลงปี่อย่างไพเราะและสะเทือนอารมณ์ ปกติ เพลงดนตรีที่จะสะกดผู้ฟังให้เคลิบเคลิ้ม ปล่อยใจปล่อยอารมณ์ให้รู้สึกเพลิดเพลิน หรือเศร้าหมอง ต้องอาศัยท่วงทำนอง กระแสเสียง และเนื้อความของเพลงประกอบกัน องค์ประกอบทั้งสามอย่างนี้ด้วยกลวิธีการประพันธ์ก็อาจถ่ายทอดออกมาเป็นถ้อยคำได้ ฉะนั้น เพลงปี่ของพระอภัยมณี แม้จะปรากฎเพียงถ้อยความก็ด้วยกลวิธีดังกล่าว ผู้อ่านจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับท่วงทำนองและกระแสเสียงของเพลงที่แทรกอยู่ในถ้อยคำ จังหวะ และลีลาของกาพย์กลอนนั้นด้วย การเป่าปี่ของพระอภัยมณีทั้ง ๑๑ ครั้ง มีสาเหตุแตกต่างกันดังที่กล่าวแล้ว และโดยที่สาเหตุของการเป่าต่างกัน เนื้อความและท่วงทำนองก็น่าจะแตกต่างกันไปด้วย กล่าวคือ การเป่าปี่เพื่อจะให้หลับ เนื้อความและท่วงทำนองต้องวังเวงต่อความรู้สึกให้วาบหวิวจนเคลิบเคลิ้ม และหลับไปในที่สุด การเป่าเพื่อเรียกให้ไปหา ก็น่าจะมีท่วงทำนองที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ว้าเหว่ จนต้องไปหา หรือการเป่าเพื่อปลุกทัพ เพลงก็น่าจะมีเนื้อความ และท่วงทำนองที่ร่าเริงสร้างความรู้สึกที่สดชื่น แต่ปรากฎว่าเนื้อความของเพลงเป็นไปในทำนองเดียวกันทั้งหมดคือ ส่วนใหญ่เป็นการพรรณนาถึงความว้าเหว่อ้างว้าง การพลัดพรากตลอดจนความอาลัยอาวรณ์ที่เกิดจากความห่างไกลกัน ดังข้อความในเพลงปี่ต่อไปนื้ เพลงปี่เป่าเมื่อลองวิชาครั้งแรกให้พราหมณ์ทั้งสามคนฟัง ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย พระอภัยมณีเป่าเรียกสินสมุทรขณะซึ่งอยู่บนเรือพร้อมกับศรีสุวรรณ พระเป่าปี่เปิดเสียงสำเนียงเอก เสนาะดังฟังวิเวกกังวานหวาน เพลงปี่ที่เป่าสะกดทัพนางละเวง วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น คนขยั้นขืนขึงตลึงหลง เพลงปี่ที่เป่าเรียกนางละเวงในคราวที่พบกันในสนามรบ ต้อยตะริดติ๊ดตี่เจ้าพี่เอ๋ย จะละเลยเร่ร่อนไปนอนไหน เพลงปี่ที่เป่าสะกดทัพคราวที่พระอภัยมณีจะลอบตามนางยุพาผกาเข้าเมืองลังกา เสียงแจ้วแจ้วแว่วโหวยโหยละห้อย เพลงปี่ที่เป่าเรียกนางละเวงเมื่อนางพลัดกับทัพลังกา เพลงปี่ที่ปลุกทัพมังคลา จากเนื้อความในเพลงปี่ ทำให้มองเห็นว่าส่วนลึกในจิตใจของพระอภัยมณีนั้นมีแต่ความรู้สึกที่อ้างว้าง ว้าเหว่ เนื่องแต่พลัดพรากจากบ้านและผู้เป็นที่รัก ทำให้รู้สึกขาดความอบอุ่นจากผู้ที่ให้ความอบอุ่นได้ สาเหตุนี้เห็นได้ชัด ดังที่กล่าวมาแล้วว่าพระอภัยมณีมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่พี่น้อง ได้รับความอบอุ่นในชีวิตครอบครัวเพียงระยะเวลา ๑๕ ปี ก็ต้องออกจากบ้านไปศึกษาหาความรู้ เมื่อสำเร็จกลับมาก็มีเวลา อยู่เห็นหน้าพ่อแม่ไม่ถึงครึงวัน ก็ต้องระหกระเหินอยู่เป็นเวลานาน เมื่อไปอยู่เมืองผลึก ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ก็น่าจะมีโอกาสได้กลับไปบ้านเมืองเพื่อเห็นหน้าพ่อแม่ ก็มีเหตุที่ทำให้เป็นห่วงไม่อาจละทิ้งเมืองผลึกไปได้ ด้วยกลัวศึกจะมาติดเมือง ต้องให้ศรีสุวรรณไปแทน กว่าพระอภัยมณีจะมีโอกาสกลับไปยังกรุงรัตนาได้ก็เมื่อท้าวสุทัศน์กับนางปทุมเกสรสิ้นพระชนม์แล้วคือไปเคารพศพ นี่คือสาเหตุแห่งความรู้สึกที่อ้างว้าง ว้าเหว่ ขาดความอบอุ่นทั้งหลายทั้งปวง อนึ่ง ความเป็นผู้มีอารมณ์อ่อนไหว สะเทือนใจง่ายนี้เอง ทำให้พระอภัยมณีหลงใหลในรูปโฉมของสตรีได้ง่าย และความหลงใหลก็กลายเป็นความลุ่มหลง ความลุ่มหลงนั้นคงมีลักษณะรุนแรง ตามลักษณะอารมณ์ของศิลปิน ทำให้พระอภัยมณีทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่ยั้งคิด เอาอารมณ์ของตนเป็นที่ตั้ง ดังคราวที่ทิ้งทัพตามนางยุพาผกาเข้าเมืองลังกา ด้วยหลงใหลในเสน่หานางละเวง โดยไม่ทันได้คิดว่าขณะนั้นอยู่ในระหว่างศึก ศรีสุวรรณกับสินสมุทรต้องรบศึกหนัก เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย เดือดร้อนไปทั่ว ความเด็ดขาด คำพูดของพระอภัยมณีที่กล่าวแก่อุศเรน หลังจากที่อุศเรนรบแพ้ถูกจับได้ ในคราวสงครามเมืองผลึกว่า อันวิสัยในพิภพแม้นรบกัน ก็หมายมั่นว่าจะได้ชัยชนะ นี้แสดงให้เห็นความเด็ดขาดในการกระทำ โดยเฉพาะในเรื่องการสงครามจำเป็นต้องต่อสู้กันอย่างเต็มที่ จะมีอารมณ์ความรู้สึกอื่นมาทำให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความเด็ดขาดของพระอภัยมณีที่ปรากฎให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง ได้แก่คราวที่ไปลังกาเพื่อจัดการศึกมังคลา ทั้งนางสุวรรณมาลีและนางละเวงซึ่งอยู่พร้อมหน้ากัน ต่างแง่งอนไม่ยอมให้เกี่ยวข้องด้วย เป็นเหตุให้พระอภัยมณีขุ่นเคืองและมองเห็นความวุ่นวายในทางโลกจึงตัดสินใจออกบวชหาความสุขในทางธรรม เมื่อนางสุวรรณมาลีและนางละเวงมาเฝ้า พระอภัยได้บอกถึงการตัดสินใจว่า นี่แน่เจ้าเล่าก็มีบุรีครอง ทั้งเงินทองมองมูลประยูรยศ นางทั้งสองเข้าใจว่าพระอภัยแกล้งตรัส ก็ไม่ทูลทัดทาน ซ้ำยังกล่าวประชดอีกว่า ขอตามติดคิดคุณพระมุนี เป็นหลวงชีปรนนิบัติด้วยศรัทธา ขอตามติดคิดคุณพระมุนี เป็นหลวงชีปรนนิบัติด้วยศรัทธา แต่พระอภัยมณีมีความตั้งใจแน่วแน่เสียแล้ว จึง พระขึ้นบนมนเทียรวิเชียรรัตน์ จึงปลดเปลืองเครื่องกษัตริย์ประภัสสร ทำให้นางสุวรรณมาลีและนางละเวงเกิดศรัทธาขอออกบวชตามด้วย ความหลงใหลในรูปโฉมของสตรี พงศ์กษัตริย์ทัศนานางเงือกน้อย ดูแช่มช้อยโฉมเฉลาทั้งเผ้าผม ด้วยความพอใจในรูปโฉมของนางเงือกนี้เอง เมื่อหนีนางผีเสื้อยักษ์มาอยู่ที่เกาะแก้วพิสดารแล้ว พระอภัยมณีก็ประโลมนางจนได้นางมาเป็นชายา ระหว่างที่อยู่เกาะ พระอภัยมณีก็ได้พบนางสุวรรณมาลีซึ่งท้าวสิลราชผู้บิดาได้พาเที่ยวทางทะเล และหลงทางพลัดกับขบวนเรือมาถึงที่เกาะแก้วพิสดารนั้น ทั้งๆ ที่อยู่ในเพศนักบวช และนางเงือก ก็ยังอยู่ที่เกาะนั้น พระอภัยมณีก็ให้หลงใหลในรูปโฉมของนางสุวรรณมาลี ปรารถนาจะได้นางมาเป็นคู่ครอง ดังข้อความที่พรรณนาตอนที่นางหลับด้วยอำนาจเพลงปี่ที่สินสมุทรทดลองเป่าให้ฟัง พระเพ่งพิศธิดายุพาพักตร์ ดูน่ารักรูปทรงส่งสัณฐาน ส่วนนางละเวงนั้น เพียงแต่พระอภัยมณีได้เห็นโฉมในรูปวาดก็ให้หลงใหลติดเสน่ห์นางแล้ว ฉะนั้น เมื่อได้พบนางกลางสนามรบได้เห็นรูปโฉมตัวจริง พระอภัยมณีถึงกับกล่าววาจาทอดไมตรี พระน้องหรือชื่อละเวงวัณลาราช อย่าหวั่นหวาดวิญญามารศรี ความหลงใหลในรูปโฉมของสตรีนี้เอง น่าจะทำให้บุคลิกลักษณะของพระอภัยมณีมีแววของความเป็นคนเจ้าชู้ให้คนอื่นมองเห็นได้ ดังที่เสนาเมืองลังกากล่าวกับอุศเรนว่า อันรูปทรงองค์พระอภัยมณี ดูท่วงทีเธอทายาทชาติเจ้าชู้ มีความอ่อนโยนและเยือกเย็น ซึ่งองค์พระอนุชาเรียนอาวุธ เข้ายงยุทธข้าก็เห็นจะเป็นผล พระอภัยมณีมิได้มีความขุ่นเคือง ได้อธิบายคุณค่าของวิชาดนตรีและอำนาจของเพลงปี่อย่างปกติว่า พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข แล้วพระอภัยมณีก็บรรเลงเพลงปี่ให้เป็นที่ประจักษ์ในคุณค่า เช่นเดียวกับในครั้งที่ท้าวสิลราชเมื่อทรงทราบว่าพระอภัยมณีเรียนวิชาเป่าปี่ก็กล่าวเป็นทำนองว่าเป็นวิชาที่ไม่มีคุณค่าแต่อย่างใด ดีแต่จะเที่ยวเป่าให้ใครๆ ฟังอย่างเพลินๆ เท่านั้น กรุงกษัตริย์ตรัสว่าน่าหัวร่อ เออก็พอที่หรือพระฤาษี พระอภัยมณี ก็มิแสดงอาการว่าขุ่นเคืองท้าวสิลราชแต่อย่างใด พระอภัยมณีก็ไม่โกรธ ตอบอุศเรนด้วยความปรานีว่า จึงว่าเจ้าเล่าก็ยังกำลังแค้น จะทดแทนทำสงครามก็ตามจิต อย่างไรก็ตาม เมื่อพระอภัยมณีมีวัยล่วงเลยมากขึ้น ความมีจิตใจเยือกเย็นหนักแน่นดูจะลดลง กลายเป็นคนใจน้อย แสนงอน เช่นในคราวที่พร้อมหน้ากันที่ลังกาหลังจากศึกมังคลาแล้ว ทั้งนางสุวรรณมาลีและนางละเวงไม่ยอมปรองดองให้เกี่ยวข้องด้วย พระอภัยมณีก็ขุ่นเคืองเมื่อนางทั้งสองมาเฝ้าทูลถามถึงอาการประชวรอันเกิดจากสาเหตุนี้ พระอภัยมณีก็แสดงอาการแสนงอนไม่ยอมตอบ พระฟังคำชำเลืองค้อนเคืองขัด มิได้ตรัสตอบความทรามสงวน เมื่อนางทั้งสองเห็นผิดสังเกตก็เข้านวดฟั้น พระอภัยมณีเห็นเช่นนั้นก็ พระเห็นนางข้างสุวรรณบรรจถรณ์ ชำเลืองค้อนโฉมฉายทั้งซ้ายขวา แล้วกล่าวตัดพ้อต่อว่านางด้วยความน้อยพระทัยว่า …………………… แน่นางมาลีนะนางละเวง ความไม่นิยมความรุนแรง กล่าวได้ว่า นางผีเสื้อยักษ์นั้นตายเพราะความรุนแรงของตนโดยแท้ นอกจากไม่นิยมความรุนแรงแล้ว พระอภัยมณียังไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นใช้ความรุนแรงเพื่อตัดสินการอย่างหนึ่งอย่างใดอีกด้วย และหากมีหนทางที่จะป้องกันมิให้ผู้อื่นใช้ความรุนแรง พระอภัยมณีก็จะพยายามกระทำเช่นในคราวที่ห้ามอุศเรนกับสินสมุทรมิให้ทำสงครามเพื่อแย่งนางสุวรรณมาลี ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ฟังดึงดันจะรบ แม้กระนั้นพระอภัยมณีซึ่งคาดการณ์และประเมินฝีมือการรบของอุศเรนแล้วว่าสู้สินสมุทรไม่ได้ การรบจะยุติในลักษณะใด ก็ห้ามอุศเรนโดยบอกให้รู้ถึงฝีมือของสินสมุทรว่า เป็นความจริงสิ่งสัตย์บรรทัดเที่ยง ไม่หลีกเลี่ยงเลยพระองค์อย่าสงสัย แต่อุศเรนไม่เชื่อหาว่าพระอภัยมณีพูดขู่เพื่อหวังจะได้นางสุวรรณมาลี ในที่สุดอุศเรนก็ต้องพ่ายแพ้ได้รับทั้งบาดแผลและความอับอาย เมื่ออุศเรนยกกองทัพมาตีเมืองผลึกเป็นการแก้แค้น ด้วยอุบายของนางวาลี อุศเรนแพ้ถูกจับได้ พระอภัยมณีได้แสดงให้เห็นลักษณะนิสัยที่นิยมการเอาชนะโดยสันติมากกว่าใช้กำลังจากคำพูดที่กล่าวแก่อุศเรนตอนหนึ่งว่า ซึ่งครั้งนี้พี่พาเจ้ามาไว้ หวังจะได้สนทนาวิสาสะ ดังนี้ แม้พระอภัยมณีจะอยู่ในฐานะผู้ชนะอย่างไม่มีข้อแม้แล้วก็ตาม พระอภัยมณีก็พยายามเกลี้ยกล่อมศัตรูอย่างละมุนละม่อม อันเป็นลักษณะของนโยบายทางการทูต รักความสงบ ปรารถนาการอยู่ร่วมกันโดยสันติ ซึ่งครั้งนี้พี่พาเจ้ามาไว้ หวังจะได้สนทนาวิสาสะ นั้น แสดงให้เห็นลักษณะนิสัยของพระอภัยมณีได้อย่างชัดเจนว่า เป็นผู้รักความสงบ ปรารถนาจะให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกันโดยสันติ ไม่เบียดเบียนรุกรานกัน อนึ่ง การแสดงอัธยาศัยไมตรีต่อทุกคนที่ได้พบและรู้จัก แม้แต่อุศเรนซึ่งพระอภัยมณีก็รู้ว่า เป็นคู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี โดยฐานะต่างก็เป็น “คู่แข่งขัน” กัน แต่ด้วยความปรารถนาดังกล่าวนี้ ทำให้พระอภัยมณีคิดว่า ……………. ไม่ควรชิงพระธิดามารศรี อย่างไรก็ตาม การที่พระอภัยมณียกกองทัพข้ามไปตีเมืองลังกาในครั้งแรกนั้น มิใช่เป็นการก่อสงคราม แต่ด้วยความคิดที่ตรัสแก่พวกเสนาอำมาตย์ที่ว่า ……………………. นางวัณลายังเป็นสาวสิบเก้าปี อันเป็นการยุติศึกซึ่งจะก่อให้เกิดความสงบและสันติโดยถาวร ความเป็นผู้มีความกตัญญู โดยที่พระอภัยมณีถือว่าอุศเรนมีบุญคุณแก่ตนที่รับให้โดยสารเรือจากเกาะนับเป็นการช่วยให้ชีวิตรอด ฉะนั้น การที่พระอภัยมณีบอกแก่ทุกคนว่าจะวางตัวเป็นกลาง ไม่เอาตัวไปเกี่ยวข้องด้วยกับกรณีพิพาทในเรื่องนางสุวรรณมาลี ระหว่างสินสมุทรกับอุศเรน ก็น่าจะเนื่องด้วยไม่ปรารถนาจะได้ชื่อว่า เป็นคนเนรคุณ นี้ประการหนึ่ง นอกจากจะไม่ต้องการได้ชื่อว่าเป็นคนเนรคุณแล้ว พระอภัยมณีก็น่าจะคิดใช้สถานการณ์ตอบแทนบุญคุณอุศเรนด้วยเช่นเดียวกัน ฉะนั้น เมื่อพระอภัยมณีเห็นว่าจะรบกันแน่และพอจะเดาได้ว่าผลการรบจะยุติลงในลักษณะใด จึงตรัสห้ามสินสมุทรไว้ล่วงหน้ามิให้ฆ่าอุเศเรน จงคิดอ่านการสงครามตามแต่เจ้า ผู้ใดเขาเคยศึกจงปรึกษา และการณ์ก็เป็นไปตามความคาดคิด อุศเรนแพ้ถูกจับได้ พระอภัยมณีก็ให้รีบแก้มัดและปล่อยเป็นอิสระในทันที นับเป็นการตอบแทนบุญคุณในครั้งแรก เมื่ออุศเรนถูกจับได้อีกครั้งหนึ่ง คราวศึกเมืองผลึก พระอภัยมณียังนึกถึงบุญคุณของอุศเรนที่ทำไว้ พระอภัยมณีก็จะปล่อยอุศเรนให้เป็นอิสระเป็นการตอบแทน โดยกล่าวแก่อุศเรนว่า จะปล่อยไปไม่สังหารผลาญชีวิต ด้วยว่าคิดคุณน้องสนองคุณ แต่เป็นคราวเคราะห์ของอุศเรนจะถึงฆาต นางวาลีซึ่งเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในภายหน้า เพราะ ประเพณีตีงูให้หลังหัก มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง จึงคิด “จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ ประหารบุตรเจ้าลังกาให้อาสัญ” แล้วนางวาลีก็ใช้วาจา กล่าวเยาะเย้ยให้อุศเรนชํ้าใจจนอกแตกตาย ความเข้าใจในแก่นแท้ของโลก และเชื่อในหลักธรรม คิดรำพึงถึงธรรมพระกรรมฐาน เป็นอาการถ่ายโทษที่โหดหืน แม้พระอภัยมณีจะยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีแก่นสาร เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงก็ตาม พระอภัยมณีก็ไม่อาจตัดให้ขาดได้ยังหลงใหลในโลกียสุขเหล่านี้ พระอภัยมณีออกบวช ขณะที่อยู่ที่เกาะแก้วพิสดาร โดยหวัง พอสมสร้างทางธรรมสำมะดึงส์ ให้ลุถึงพระนิพพานสำราญใจ แต่เมื่อได้พบนางสุวรรณมาลี ความหลงใหลในรูปโฉมของนางทำให้พระอภัยมณีไม่อาจตัดสิ่งที่ตนยอมรับว่าไม่มีแก่นสารไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริง แสดงความปรารถนาอย่างรุนแรงถึงกับติดตามนางสุวรรณมาลีไปทั้งๆ ที่อยู่ในเพศดาบส ฉะนั้นการที่พระอภัยมณีเทศนาให้นางผีเสื้อยักษ์เข้าใจถึงความไม่เป็นสาระ ความไม่จีรังของรูปรสกลิ่นเสียงและสัมผัส ก็เหมือนกับสั่งสอนตัวเอง นั้นเอง นี้แสดงให้เห็นความเป็นปุถุชนของพระอภัยมณีอย่างแท้จริง พระอภัยมณีประพฤติปฏิบัติเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นแก่นสาร ไม่จีรังยั่งยืนเหล่านี้จนเกือบจะตลอดชีวิต จนกระทั่งได้ประจักษ์ว่าสิ่งเหล่านี้ที่แท้คือความทุกข์ทั้งสิ้น จึงได้ออกบวชอีกครั้งหนึ่ง และเทศนายํ้าทุกคนประจักษ์ในความจริงว่า พระอภัยมณี มีลักษณะนิสัยอย่างไร *พระอภัยมณีมีนิสัย เจ้าชู้ จึงมีภรรยาหลายคน คือ -นางผีเสื้อสมุทรมีลูกชายชื่อ สินสมุทร -นางเงือกมีลูกชายชื่อ สุดสาคร -นางวาลีอยู่ด้วยกันไม่นานนางก็ตาย
สินสมุทรมีลักษณะอย่างไรสินสมุทรเป็นตัวละครที่สุนทรภู่สร้างขึ้นด้วยความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ โดยสืบทอดลักษณะเด่นทาง พันธุกรรมของทั้งฝ่ายพ่อและแม่ได้อย่างน่าสนใจ กล่าวคือ มีหน้าตาเป็นคนเหมือนพระอภัยมณีแต่ดวงตาเป็น สีแดง มีเขี้ยว และมีกำลังราวกับช้างสารเหมือนนางผีเสื้อสมุทร ดังบทพรรณนาว่า ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนองค์พระทรงเดช แต่ดวงเนตรแดงดูดังสุริย์ ...
นางผีเสื้อสมุทรมีลักษณะนิสัยอย่างไรนางผีเสื้อสมุทรเป็นตัวละครจากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ที่คนรู้จักกันมากที่สุดตัวหนึ่งในวรรณคดีไทยทั้งหมด แม้จะไม่มีบทบาทมากนักในเรื่อง แต่ก็ถือเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด อีกทั้งมีร่างกายสูงใหญ่ รูปร่างอัปลักษณ์ ทำให้คนจดจำนางได้มากขึ้น แต่ก็มักจะจดจำในแง่ร้าย โดยเฉพาะในความอัปลักษณ์ของนาง จนถึงกับมีคำเปรียบเทียบว่า ...
นางเงือกมีลักษณะนิสัยอย่างไรและอาจสรุปลักษณะของเงือกตามตำนานต่าง ๆ ได้ว่า: มีใบหน้าเล็กขนาดเท่างบน้ำอ้อย มีหวีและกระจก มักจะปรากฏกายขึ้นเหนือน้ำในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงเพื่อนั่งสางผม ถ้ามีใครผ่านมาเห็นจะตกใจหนีลงน้ำโดยทิ้งเอาไว้ ถ้ามีผู้ได้ครอบครองสามารถที่จะเข้าฝันทวงคืนได้ มีเสียงไพเราะล่อลวงให้คนเดินตกน้ำ
|