“การพูด” เป็นพัฒนาการทางภาษาที่สำคัญ ในช่วง 2 ขวบปีแรกของชีวิต หากผู้ปกครองสังเกตและพบว่าลูกน้อยมีปัญหาดังต่อไปนี้ • ไม่พูด พูดช้า สามารถทำนัดเพื่อปรึกษาและประเมินพัฒนาการด้านภาษาและการพูด โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขการพูด
As our hospital is JCI accredited, should you feel that we do not meet this international standard,
Copyright © 2021 หน้า 3 จาก 3 การประเมินพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย การประเมินพัฒนาการทางภาษาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งในการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านภาษา เป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการจัดประสบการณ์ แนวทางการประเมินพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัยตามสภาพจริง (Tompkins, 1997: 440) มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. ใช้เครื่องมือการประเมินที่เหมาะสมกับธรรมชาติของการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ครูต้องศึกษาพัฒนาการด้านการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียนของเด็ก แล้วนำหัวข้อเหล่านี้มาสร้างเป็นตัวบ่งชี้(Indicators) ในเครื่องมือการประเมิน กล่าวคือตัวบ่งชี้ในเครื่องมือการประเมินพัฒนาการทางภาษาต้องสอดคล้องกับพัฒนาการทางภาษาและธรรมชาติการเรียนรู้ภาษาของเด็กนั่นเอง 2. ใช้เครื่องมือในการประเมินที่หลากหลาย การประเมินพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย ควรเป็นการประเมินแบบไม่เป็นทางการ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในการประเมินที่เหมาะสม คือ การสังเกตหรือการสนทนากับเด็ก แล้วบันทึกอย่างเป็นระบบ วิธีการบันทึกอาจใช้วิธีการสำรวจรายการ การจดบันทึกพฤติกรรม หรือมาตราส่วนประเมินค่า อาจใช้วิธีการบันทึกวีดิทัศน์ บันทึกเสียง เก็บตัวอย่างงาน หรือใช้พอร์ทโฟลิโอ (Portfolio) ทั้งนี้ ครูควรเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือในแต่ละประเภท และเลือกใช้เครื่องการประเมินที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถสะท้อนการเรียนรู้ภาษาของเด็กอย่างแท้จริง(Ratcliff, 2001: 68) 3. บูรณาการการสอนกับการประเมิน การประเมินถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดประสบการณ์ การประเมินอย่างต่อเนื่องทำให้ครูทราบพัฒนาการทางภาษาของเด็ก เข้าใจเด็ก และรู้ว่าจะพัฒนาเด็กอย่างไรต่อไป งานที่สำคัญของครูในส่วนนี้คือ ครูต้องทบทวนว่าจะประเมินพัฒนาการทางภาษาในตัวบ่งชี้ใด โดยเลือกใช้เครื่องมือประเมินชนิดใดในช่วงเวลาใดในกิจกรรมประจำวันที่จัดขึ้น การวางแผนการประเมินที่เหมาะสมและยืดหยุ่นได้จะช่วยให้ครูสามารถจัดประสบการณ์โดยทำการประเมินควบคู่กันไปได้อย่างราบรื่น 4. เน้นที่ความก้าวหน้าของเด็ก ในการประเมินพัฒนาการทางภาษาครูควรบันทึกสิ่งที่เด็กสามารถทำได้ เพื่อเป็นการประเมินความก้าวหน้าของเด็ก ไม่ควรมุ่งสังเกตสิ่งที่เด็กยังไม่สามารถทำได้ การทราบสิ่งที่เด็กสามารถทำได้จะช่วยให้ครูสามารถแนะนำ สนับสนุนให้เด็กก้าวไปสู่พัฒนาการทางภาษาในขั้นที่สูงขึ้นได้ การเน้นที่ความก้าวหน้าของเด็กนี้ถือเป็นการวินัยฉัยและช่วยแก้ปัญหาให้แก่เด็กได้เป็นอย่างดี 5. ให้ความสนใจทั้งกระบวนการและผลผลิต ขณะที่เด็กร่วมกิจกรรมทางภาษาครูควรให้ความสนใจกับกระบวนการในการใช้ภาษาของเด็ก เช่น ขณะที่เด็กกำลังลงชื่อมาโรงเรียน เมื่อครูสังเกตกระบวนการทำงานของเด็ก จะพบว่าเด็กบางคนใช้วิธีคัดลอกชื่อของตนโดยมองจากชื่อที่ปักที่เสื้อ ทำให้ผลงานการเขียนมีลักษณะกลับหัว บางคนอาจเขียนได้อย่างคล่องแคล่วจากความจำของตนเองโดยที่ผลผลิตมีลักษณะใกล้เคียงกับคนที่เขียนโดยการคัดลอกจากแบบที่ครูเตรียมไว้ หากไม่สังเกตกระบวนการย่อมทำให้ครูไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเด็กได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามครูควรให้ความสนใจและควรตรวจสอบทั้งกระบวนการและผลผลิตด้านการใช้ภาษาควบคู่กันไป 6. ประเมินจากบริบทที่หลากหลาย ครูจำเป็นต้องประเมินพัฒนาการทางภาษาของเด็กจากบริบทที่หลากหลาย เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่ตรงตามสภาพจริงของเด็ก การด่วนสรุปจากบริบทใดบริบทหนึ่งอาจทำให้ไม่ได้ผลการประเมินที่แท้จริง เนื่องจากเด็กอาจจะทำกิจกรรมในบริบทหนึ่งได้ดีกว่าอีกบริบทก็ได้ 7. ประเมินเด็กเป็นรายบุคคล การประเมินพัฒนาการทางภาษา ครูต้องเฝ้าสังเกตเด็กแต่ละคน เพื่อให้รู้จักเด็กเป็นรายบุคคล การประเมินเป็นรายบุคคลนอกจากจะทำให้ครูทราบความก้าวหน้าทางภาษาของเด็กแล้ว ยังช่วยให้ครูทราบความสนใจ ทัศนคติ ความคิด ฯลฯ เกี่ยวกับเด็ก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนการช่วยเหลือสนับสนุนเด็กได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย 8. ให้เด็กมีโอกาสประเมินตนเอง เด็กควรได้รับการกระตุ้นให้คิดไตร่ตรองเพื่อประเมินความก้าวหน้าของตนเอง การที่เด็กมีส่วนร่วมในการติดตามความก้าวหน้าของตนเอง จะช่วยให้เด็กภูมิใจ และเกิดความต้องการที่จะพัฒนาตนเองต่อไป โดยครูอาจนำพอร์ทโฟลิโอของเด็กมาใช้ในการให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการประเมินตนเอง การจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยที่พูดภาษาถิ่นเป็นภาษาที่หนึ่ง 1. ครูควรให้ความสำคัญกับภาษาที่หนึ่งของเด็กโดยยอมรับการใช้ภาษาของเด็ก ไม่ตำหนิ หรือบังคับให้เด็กใช้ภาษาที่ไม่ถนัด เนื่องจากพัฒนาการทางภาษาที่หนึ่งและภาษาที่สองมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นหากได้รับการส่งเสริมและให้คุณค่ากับทั้งสองภาษาอย่างเท่าเทียมกัน 2. การใช้ภาษาในการทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างเด็กกับครูในระยะแรก ควรใช้ภาษาถิ่นซึ่งเป็นภาษาที่เด็กคุ้นเคยเป็นหลัก และใช้ภาษาไทยกลางในระยะต่อมา โดยให้เด็กมีโอกาสเลือกใช้ภาษาตามความต้องการ โดยครูควรตระหนักว่าแม้จะมีการสอนทั้งสองภาษาโดยให้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันก็จริง แต่เด็กอาจยังไม่สามารถออกเสียงภาษาไทยกลางได้ทุกเสียงอย่างชัดเจนตามหลักการออกเสียงภาษาไทยกลาง 3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาที่มีความหลากหลายเอื้อต่อความต้องการของเด็ก ให้เด็กเรียนรู้การใช้ภาษาถิ่น และภาษาไทยกลางจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาด้วยตนเองตามสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และสถานการณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ครูและเด็กเรียนรู้และพัฒนาการใช้ภาษาของตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ ตัวอย่างกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ได้แก่ การร้องเพลง ท่องกลอน หรือคำคล้องจองด้วยภาษาไทยถิ่น และภาษาไทยกลาง การเล่านิทานปากเปล่า หรือเล่านิทานประกอบอุปกรณ์ด้วยภาษาไทยถิ่น และภาษาไทยกลาง การถามตอบ หรือพูดคุยกับเด็กด้วยภาษาไทยถิ่น และภาษาไทยกลาง การให้เด็กได้สนทนากับเจ้าของภาษาทั้งผู้ที่พูดภาษาไทยถิ่น และภาษาไทยกลาง ฯลฯ 4. ประสานความเข้าใจกับผู้ปกครองและชุมชน ใช้บริบททางสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาทั้งภาษาไทยถิ่น และภาษาไทยกลางเป็นสื่อในการสอนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเป็นการเรียนรู้ที่เป็นประสบการณ์ตรงในชีวิตจริง ในกรณีที่ครูไม่สามารถพูดภาษาถิ่นที่เด็กพูดได้ มีแนวทางในการปฏิบัติตนของครู (Hendrick, 1996: 462-463) ดังนี้ 1.
ครูต้องพูดคุยกับเด็กอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าบางครั้งเด็กจะไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่ครูพูด การเด็กจะอยู่ในบริบทของสังคมสองภาษา กล่าวคือ เด็กใช้ภาษาถิ่นเป็นภาษาที่หนึ่ง และใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษามาตรฐานการเรียนรู้ในโรงเรียนนั้น แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แต่หากครูทำความเข้าใจความแตกต่างของภาษาที่หนึ่ง และภาษาที่สอง รวมทั้งศึกษาวิธีการช่วยเหลือเด็กอย่างเหมาะสม เด็กย่อมจะได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้สองภาษาไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งยังเป็นการทำให้เด็กคุณค่าของภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกด้วย *** บทความนี้สามารถดาวน์โหลดไฟล์รูปแบบ pdf ได้ ***
Please login or register to add comments << เริ่ม < ก่อนหน้า 1 2 3 ต่อไป > สุดท้าย >> |