วางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการครับ กับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สมาร์ทโฟนที่หลายคนรอคอย หลังจากที่ได้เปิดตัวพร้อมกันทั่วโลกไปเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา ในที่สุดก็ได้ฤกษ์วางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย วันนี้ผมจะพาไปดูทุกฟีเจอร์ใหม่ของ iPhone 7 พร้อมบอกเล่าประสบการณ์การใช้งานจริง ว่าคุ้มค่า น่าซื้อ น่าเปลี่ยน น่าอัปเกรดมาใช้หรือไม่ ไปชมกันครับ Show หากใครได้ติดตามอย่างใกล้ชิด น่าจะทราบว่าผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานเปิดตัว iPhone 7 ที่นครซานฟรานซิสโกมาด้วย และได้ทำการสรุป พร้อม hands on ตัวเครื่องทันทีหลังงานเปิดตัวให้ได้ชมกันไปแล้ว เพื่อเป็นการ wrap-up ฟีเจอร์ต่างๆ กันก่อน ถ้าใครพลาดชมการ hands on ครั้งนั้น แนะนำให้ชมในคลิปด้านล่างนี้กันก่อนนะครับ แต่วันนี้ ในไทยเริ่มวางจำหน่ายกันจริงๆ แบบที่เราสามารถเดินหาซื้อกันทั่วไปได้แล้ว เรามาดูกันครับว่า ฟีเจอร์ใหม่แต่ละอย่างของ iPhone 7 นั้น คุ้มค่าน่าปรับเปลี่ยนมาใช้แค่ไหนกันบ้าง สีใหม่iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เปิดตัวมาพร้อม 2 สีใหม่ครับ นั่นก็คือสีดำเงา (Jet Black) ที่ Apple ชูเป็นสีโปรโมต และคาดว่าจะเป็นสีที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด บวกกับอีกหนึ่งสีใหม่ คือสีดำด้าน (ใช้ชื่อสีว่า Black เฉยๆ) ที่ออกมาทดแทนสีเทา Space Grey ตัวเดิม ส่วนอีก 3 สีเป็นสีที่มีอยู่ในไอโฟนอยู่แล้ว นั่นคือสีเงิน สีทอง และสีโรสโกลด์ รวมทั้งหมดแล้ว มีให้เลือกมากถึง 5 สีด้วยกัน Jet Blackสีดำเงา หรือ Jet Black เป็นสีใหม่ล่าสุด ซึ่งของจริงนั้น เป็นสีดำที่ดำสนิทมากๆๆ ครับ และความเงาคือสามารถสะท้อนได้ใกล้เคียงกระจกเลย สีใหม่นี้ ได้รับความ exclusive อย่างยิ่ง โดดเด่นกว่าอีก 4 สีที่เหลืออย่างชัดเจน เพราะ Jet Black เป็นเพียงสีเดียวของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เท่านั้น ที่จะได้รับกล่องสีดำ แตกต่างจากอีก 4 สีที่เหลือ ที่จะเป็นกล่องสีขาวทั้งหมด นอกเหนือจากเรื่องกล่องดำที่โดดเด่นตั้งแต่แรกเห็นแล้ว Jet Black ยังคงเป็นเพียงสีเดียว ที่มีพื้นผิวแตกต่างจากไอโฟนสีอื่นๆ ด้วยครับ นั่นคือมันถูกขับเคลือบพื้นผิวของอะลูมิเนียมซีรีส์ 7000 ด้วยกรรมวิธีพิเศษถึง 9 ขั้นตอน ให้ความดำสนิท และเงางามจนแทบจะไม่สามารถแยกได้ว่า ตรงไหนคือขอบของตัวเครื่อง เพราะดูเนียนไปกับความเงาของกระจกหน้าจอ จากการใช้งานจริงมาระยะหนึ่ง ความกังวลของหลายคนต่อสี Jet Black ที่สงสัยว่ามันจะเป็นรอยง่ายหรือไม่ ต้องบอกเลยว่า “เป็นรอยง่าย” ครับ รอยขีดข่วนหรือที่เราเรียกว่ารอยขนแมวนั้น เกิดขึ้นได้แทบจะทันทีที่ถูกหยิบมาใช้งาน รวมถึงมันยังเป็นวัสดุที่เปรอะรอยนิ้วมือได้ง่ายกว่าวัสดุผิวด้านที่ใช้ในสีอื่นๆ ของไอโฟนด้วย จึงขอแนะนำสำหรับผู้ที่เล็งสี Jet Black เอาไว้ว่า ต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้งานมากเป็นพิเศษ หากไม่ต้องการให้ตัวเครื่องเป็นรอยนะครับ อีกส่วนที่ทำให้ผมชอบ Jet Black ก็คือพื้นผิววัสดุที่ผ่านขั้นตอนการขัดเคลือบมานี้ มันมีความหนืดกว่าวัสดุของสีอื่นๆ พอสมควร โอกาสลื่นหลุดมือเป็นไปได้ยากกว่าอย่างเห็นได้ชัดมากๆ Blackสีใหม่อีกสี คือสีดำด้าน ซึ่งจริงๆ แล้ว มันเป็นสีที่มาแทนสีเทาเข้มอย่าง Space Grey ที่มีอยู่ในไอโฟนรุ่นก่อนๆ นั่นแหละครับ รอบนี้ Apple ปรับให้สีเทาเข้มนั้น กลายเป็นสีดำ มืดลงไปเยอะ และที่ผมเรียกว่าสีดำด้านนั้น ความจริงก็คือวัสดุเดียวกับสีพื้นฐานอื่นๆ อย่างสีเงิน สีทอง และ สีชมพู Rose Gold นั่นแหละครับ แต่ต้องมีคำว่าดำด้าน เพื่อที่จะแยกความแตกต่างออกจากดำเงาของ Jet Black เท่านั้นเอง สีดำด้าน เป็นสีที่ Apple ไม่เคยทำในไอโฟนมาก่อน และก็ทำให้หลายๆ คนเกิดคำถามว่า ดำเงา หรือ ดำด้าน สวยกว่ากัน? อันนีต้องขึ้นกับความชอบส่วนบุคคลกันเลย แต่ไม่ว่าจะเป็นสี Black หรือ Jet Black ก็จะได้เปรียบสีอื่นๆ ตรงที่เราจะมองไม่เห็นเส้นสัญญาณของเสาอากาศที่พาดอยู่บริเวณขอบบนและล่างของตัวเครื่องได้ชัดเจนนัก ต่างหากตัวเครื่องสีทอง สีเงิน และสีโรสโกลด์ที่จะมองเห็นเป็นเส้นสีเทาอย่างชัดเจน Rose Gold, Gold, Silverสีพื้นฐานอีก 3 สี คือ สีเดิมของไอโฟนจากรุ่นก่อนๆ ครับ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้ถูกพูดถึงให้มีความฮือฮาอะไรแล้ว สังเกตได้ว่า เราจะมองเห็นเส้นสัญญาณเสาอากาศบริเวณขอบบนและล่างของตัวเครื่องได้ชัดกว่าสีดำอยู่มาก แต่ทั้งสามสีนี้ก็จะยังได้รับความนิยมสูงเช่นเดิม เพราะนี่เป็นเพียง 3 สีเท่านั้น ที่ด้านหน้าของตัวเครื่องเป็นสีขาวนั่นเองครับ (รุ่นที่เป็นสีดำ ก็จะมีด้านหน้าเป็นสีดำนะ) ถ้าให้เลือกเพียง 1 สี ส่วนตัวแล้ว ผมก็จะเลือกสี Jet Black อยู่ดีครับ (และจะแนะนำให้คุณผู้อ่านเลือกสีนี้ด้วย) จะซื้อใหม่ทั้งที ก็จัดสีใหม่กันไปเลยดีกว่า แต่ลืมบอกไปว่า สี Jet Black จะถูกจำกัดที่ความจุ 128GB และ 256GB เท่านั้น ในขณะที่สีอื่นๆ จะมีตัวเลือกของรุ่น 32GB ให้ได้เลือกกันด้วย IP67 กันน้ำ กันฝุ่นความสามารถในการกันน้ำ และ กันฝุ่นของ iPhone 7 ตามมาตรฐาน IP67 นั้น มีไว้เพื่อความอุ่นใจเท่านั้นครับ ว่าถ้าเกิดกรณีเราเผลอทำ iPhone 7 ตกน้ำ หรือใช้งานกลางฝน ก็จะยังสามารถใช้งานได้เป็นปกติโดยไม่สร้างความเสียหายกับตัวเครื่อง แต่!! Apple ไม่แนะนำให้นำไปใช้ใต้น้ำ หรือนำไปว่ายน้ำด้วยนะครับ และไม่เคยโปรโมตในลักษณะดังกล่าวด้วย แม้ว่าตามมาตรฐาน IP67 นี้ จะสามารถกันน้ำที่ความลึก 1 เมตรได้นาน 30 นาทีก็ตาม จากการทดลองใช้งานจริง และจงใจนำ iPhone 7 ไป “เล่นกันน้ำ” ทั้งจุ่ม ทั้งแช่ ทั้งใช้งานกลางฝนแบบไม่ต้องคอยบังไม่ให้มันเปียกเหมือนแต่ก่อน พบว่ามันก็สามารถใช้งานได้อย่างเป็นปกติ ไม่มีอาการอะไรให้เห็นเลย แต่ก็อย่าลืมเช็ดให้แห้งสนิทหลังจากนำขึ้นมาจากน้ำ หรือในกรณีที่ใส่เคสไว้ ก็อย่าลืมถอดเคสมาเช็ดด้วยนะครับ (เคสหนัง ไม่ควรเอาลงน้ำนะ) สำรวจรูเสียบชาร์จให้แน่ใจ ว่าไม่มีน้ำขังอยู่ภายใน ก่อนที่จะทำการเสียบชาร์จด้วยนะครับ และที่ต้องย้ำเตือนและแจ้งให้ทราบคือ หาก iPhone 7 เสียหายจากกรณีที่น้ำรั่วซึม หรือเสียหายจากความชื้น จะไม่อยู่ในเงื่อนไขการรับประกันทุกกรณีครับ ปุ่มโฮมความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ iPhone 7 ก็คือปุ่มโฮมครับ ปุ่มที่เราต้องกดเป็นร้อยๆ ครั้งต่อวัน พอมาใน iPhone 7 นี้ บริเวณปุ่มโฮมจะไม่สามารถกดให้มันลึกลงไปได้แล้ว แตต่มันถูกทดแทนด้วยเซนเซอร์รับน้ำหนัก ที่สามารถรับรู้แรงกดได้แทนปุ่มครับ ปุ่มโฮมแบบนี้ ใช้เทคโนโลยีเดียวกับ Force Touch ที่อยู่ใน Magic Trackpad ใน MacBook และ MacBook Pro รุ่นใหม่ ที่แอปเปิลเคลมว่า จะสามารถพัฒนาให้ปุ่มโฮมมีฟีเจอร์ที่หลากหลายมากขึ้นในอนาคต รวมถึงยังมีความทนทานมากกว่าปุ่มโฮมแบบเดิมอีกด้วย เท่าที่ผมลองใช้ดู ในการกดช่วงแรกๆ จะรู้สึกแปลกๆ ครับ เพราะตัวปุ่มไม่ได้ยุบลงไปเหมือนกับไอโฟนที่เราคุ้นเคยมาหลายต่อหลายปี แต่ Apple ก็มี Taptic Engine มาช่วยในเรื่องของความรู้สึก โดยมันจะสั่นกลับมาเบาๆ ให้ใกล้เคียงกับความรู้สึกตอนกดปุ่มโฮมในไอโฟนรุ่นก่อนๆ ให้มากที่สุด ที่มีเมนูให้เราเลือกการตอบสนองของ Taptic Engine ได้ 3 ระดับตั้งแต่การเปิดเครื่องมาใช้งานครั้งแรก มีตั้งแต่สั่นกลับมาเบาๆ จนไปถึงสั่นหนักๆ กลับมาตามแต่ที่ผู้ใช้งานแต่ละคนจะชอบ ต้องยอมรับว่า “ปุ่มโฮมปลอม” นี่ใช้เวลานานพอสมควรเลยนะครับ กว่าที่เราจะเริ่มชินกับมัน ในการใช้งานในชีวิตประจำวัน ส่วนตัวผมใช้เวลาอยู่ประมาณ 5 วันเต็มๆ กว่าที่จะเริ่มกดได้แบบไม่รู้สึกว่ามันเป็นปุ่มปลอมครับ ในวันแรกๆ อาจจะมีอาการกดย้ำแล้วย้ำอีก จนกลายเป็น double click ไปบ้าง หรือเผลอแช่ปุ่มค้างไว้จน Siri ทำงานขึ้นมาเองบ้าง จนแทบเป็นเรื่องปกติของทุกคนที่จะเพิ่งปรับเปลี่ยนมาใช้ iPhone 7 กล้องระบบกล้องของ iPhone 7 น่าจะเป็นส่วนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในไอโฟนรุ่นใหม่นี้ครับ ซึ่ง Apple แบ่งกล้องออกเป็นสองรุ่น คือ iPhone 7 จะมีกล้องหลังแบบตัวเดียวตามปกติ แต่ iPhone 7 Plus จะมีกล้องหลังแบบกล้องคู่ หรือ Dual Camera เป็นครั้งแรก โดยกล้องหลังนี้ ทีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/1.8 สว่างกว่าที่เคยมีมา และมีระบบกันสั่นที่ตัวเลนส์ (Optical Image Stabilizer: OIS) มาให้ทั้งรุ่นพลัส และไม่พลัสเป็นครั้งแรกเช่นกัน iPhone 7 – Cameraกล้องของ iPhone 7 รุ่นเล็ก จะยังคงเป็นกล้องเดี่ยวปกติอยู่ครับ แต่เราจะสังเกตได้ชัดมากๆ ว่าขนาดของตัวกล้องนั้นเติบโตขึ้นมาก ขนาดเลนส์ที่ใหญ่ขึ้น รูรับแสงกว้างขึ้น และเสริมเอาระบบกันสั่น (Optical Image Stabilization) เข้ามาอยู่ในไอโฟนขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้วเป็นครั้งแรก เรียกว่าถ้าดูจากขนาดของเลนส์กล้องแล้ว ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเยอะเลย ว่าเลนส์ใหญ่ขึ้นขนาดนี้ ต้องถ่ายได้สวยงามขึ้นอย่างมากแน่นอน ในการใช้งานจริง แม้ว่าความละเอียดของกล้องจะอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิม แต่กล้อง iPhone 7 นี่โฟกัสและวัดแสงได้เร็วขึ้นกว่าเดิมมากครับ บวกกับรูรับแสงที่กว้างขึ้น ทำให้ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่คือตัวอย่างภาพบางส่วนจากกล้อง iPhone 7 ครับ (ไม่ผ่านการแต่งภาพ, ไม่ผ่านแอพ, ไม่ปรับสี, ทำปรับลดขนาดเพียงอย่างเดียว) ตัวอย่างภาพจากกล้อง iPhone 7iPhone 7 Plus – Dual Cameraมาถึง iPhone 7 Plus บ้าง กับครั้งแรกของ “กล้องคู่” บนไอโฟนครับ กล้องคู่นี้ ไม่ได้มีอะไรที่เข้าใจยากเลย กล้องตัวหนึ่งจะเหมือนกับกล้องบน iPhone 7 ทุกประการ (28mm f/1.8 มีระบบกันสั่น OIS) ส่วนกล้องที่เพิ่มเติมมาอีกตัว จะเป็นกล้องที่มีระยะซูมเข้าไปอีก 1 เท่าตัว (56mm) ส่งผลให้ iPhone 7 Plus สามารถทำการซูมได้ 2x จากออปติคัลล้วนๆ ให้ภาพในระยะซูม 2x ที่คมชัด สวยงามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่หากเราทำการซูมเข้าไปมากกว่านั้น ซึ่ง iPhone 7 Plus ได้เราซูมได้สูงสุดถึง 10x เลย ก็จะเป็นการซูมแบบดิจิทัลครับ ภาพก็จะแตกๆ บ้างตามข้อจำกัดของการซูมด้วยซอฟต์แวร์ (แต่ถ้าแสงไม่ได้มืดมาก ก็ทำได้โอเคเลยนะครับ) ดังภาพตัวอย่างการซูมนี้ ตัวอย่างภาพจากกล้อง iPhone 7 Plusจากการใช้งานจริง ฟีเจอร์การซูม 2 เท่านี่มีประโยชน์ดีทีเดียวแหละครับ มีโอกาสได้ภาพคมชัดสูงกว่าการซูมด้วยซอฟต์แวร์ค่อนข้างมาก ถึงแม้ในชีวิตจริงอาจจะไม่ได้ใช้มุมกล้อง 56mm เป็นหลัก (เรามักจะถ่ายภาพมุมกว้างกันมากกว่าเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว) แต่ก็มีไว้ อุ่นใจเมื่อเจอสถานการณ์ที่ต้องใช้งาน Portrait Mode หน้าชัดหลังเบลอแต่ทีเด็ดจริงๆ ของกล้องคู่บน iPhone 7 Plus ก็คือโหมดที่เรียกว่า Portriat หรือ “หน้าชัดหลังเบลอ” ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน iPhone เป็นครั้งแรก ชนิดที่จะทำให้หลายคนตกตะลึงกับภาพที่ได้จากโหมดนี้ ว่ามันมาจากกล้องมือถือ ไม่ใช่กล้องใหญ่อะไรเลย โหมด Portrait นี้ จะใช้การทำงานของกล้องคู่ ทำงานร่วมกันครับ โดยเมื่อเลื่อนเข้าโหมด Portrait มุมภาพจะถูกปรับไปใช้ระยะ 56mm (ระยะซูม 2x) โดยอัตโนมัติ และตัวไอโฟนจะใช้กล้องในมุมกว้าง (28mm) ในการหาระยะลึกตื้นของภาพ จากนั้น ซอฟต์แวร์ของตัวเครื่องจะทำการ “เบลอ” ส่วนที่ไม่ได้โฟกัสในภาพให้กับเรา ส่งผลให้ภาพถ่าที่ได้ออกมา มีความ “หน้าชัดหลังเบลอ” พื้นหลังละลายอย่างที่หลายคนต้องการ ซึ่งทั้งหมดนี้ มันทำได้รวดเร็วพอสมควรเลย ข้อจำกัดของโหมด Portrait ก็คือ เราต้องมีระยะห่างระหว่างไอโฟน กับวัตถุที่เราต้องการโฟกัสพอสมควรครับ (ประมาณ 8 ฟุต หรือ 2.43 เมตร) และอยู่ในสภาพแสงที่ดีระดับหนึ่ง (หากแสงไม่มากพอ อาจจะทำ Depth Effect ไม่ได้ หรืออาจจะมี noise เกิดขึ้นค่อนข้างมาก) เมื่อไอโฟนจับโฟกัสได้แล้ว จะมีแถบสีเหลืองปรากฏคำว่า “Depth Effect” ขึ้น พร้อมละลากฉากหลังให้เราเสร็จสรรพ เมื่อกดถ่ายภาพในโหมดนี้แล้ว เราจะได้ 2 ภาพเสมอ นั่นคือภาพปกติ และ ภาพที่มีการละลายฉากหลังด้วยซอฟต์แวร์นั่นเองครับ ตัวอย่างภาพจากกล้อง iPhone 7 Plus – Portrait Modeดูจากตัวอย่างภาพแล้ว น่าตกใจพอสมควรเลยใช่มั้ยครับ มันทำได้ดี และเนียนใช้ได้ นี่คือภาพที่ถ่ายจาก iPhone โดยโหมด Portrait นี้ไม่จำกัดว่าต้องถ่ายเฉพาะคนนะครับ สามารถใช้ถ่ายวัตถุใดๆ ก็ได้ ถ้ามันสามารถจับโฟกัสได้แล้ว ก็จะเบลอส่วนอื่นของภาพออกได้อย่างแนบเนียนทีเดียว ถึงแม้ว่าอาจจะเทียบกับการเบลอของภาพที่ได้จากชิ้นเลนส์จริงๆ ของกล้อง mirrorless หรือ DSLR ตรงๆ ไม่ได้ แต่คุณภาพระดับนี้ กับกล้องบนสมาร์ทโฟน ถือว่าสุดยอดแล้วครับ ปัจจุบันโหมด Portrait ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาในเวอร์ชั่น iOS 10.1 Public Beta อยู่ คาดว่า Apple จะปล่อยให้บุคคลทั่วไปสามารถอัปเดตได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ กล้องหน้า FaceTime HD Cameraในส่วนของกล้องหน้า ของทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ปรับขึ้นมาเป็นความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ใช้เทคโนโลยีโฟกัสพิกเซลแบบใหม่ และมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัว (Auto Image Stabilization: AIS) ผมลองถ่ายดูแล้ว เซลฟีได้ง่าย และสวยกว่ารุ่นเดิมเยอะเอาเรื่องเหมือนกันนะครับ รวมถึงใช้ในการทำ Video Call ก็ชัดเจนกว่ารุ่นเดิมค่อนข้างมาก น่าจะถูกใจหลายคนครับ หน้าจอรูปที่ถ่ายสวย ต้องแสดงผลบนหน้าจอที่ดีด้วยเช่นกันครับ แม้ว่า iPhone 7 จะมีขนาดหน้าจอเท่ากับ iPhone 6s มีความละเอียดเท่ากัน ใช้จอแบบ IPS เหมือนกันทุกอย่าง แต่หน้าจอของ iPhone 7 นั้น มีความสว่างที่มากขึ้นกว่าเดิม 25% และรองรับการแสดงผลด้วยขอบเขตสี (color gamut) ที่กว้างกว่าเดิม โดย Apple เรียกจอนี้ว่าเป็นหน้าจอแบบ Retina HD และแน่นอนว่า ยังคงรองรับการกดแบบ 3D Touch เช่นเคย จากการใช้งานจริง พบว่า iPhone 7 มีหน้าจอที่สวยสดใสขึ้นอย่างสังเกตได้ครับ โดยเฉพาะรูปถ่ายต่างๆ ที่แสดงสีสันได้ฉูดฉาดกว่าเดิม แต่อาจจะเห็นความแตกต่างไม่ชัดมากนักถ้าเป็นการดูเว็บ หรืออ่านข้อความทั่วไป ซึ่งในอนาคต จะเริ่มมี app ที่ใช้ประโยชน์ของช่วงสีที่กว้างขึ้นของจอภาพ iPhone 7 ออกมาอัปเดตกันมากขึ้น ช่วยให้เราสามารถดูแอปต่างๆ หรือตกแต่งภาพได้ในช่วงสีที่กว้างขึ้นกว่าการใช้งานบนไอโฟนรุ่นก่อนหน้า ลำโพงส่วนของลำโพงไอโฟน มีการปรับปรุงครั้งใหญ่เลยครับ เพราะนี่คือครั้งแรกที่ไอโฟนมีลำโพงแบบ Stereo แล้ว (ตัวหนึ่งจะอยู่ในตำแหน่งเดิม คือช่องลำโพงด้านขวาของรูเสียบชาร์จไฟ และอีกตัวหนึ่งจะปล่อยเสียงมาจากบริเวณลำโพงสนทนา เหนือจอภาพ) สามารถปรับความดังได้สูงสุดกว่าเดิมถึงสองเท่า ดังสะใจขึ้นกว่าเดิมมากๆ แต่ไม่มีช่องเสียบหูฟังแล้วนะiPhone 7 เป็นไอโฟนรุ่นแรก ที่หาญกล้า ตัดรูเสียบหูฟัง 3.5mm ออกไปครับ โดยให้เหตุผลว่า ถึงเวลาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมนี้ สิ้นยุคหูฟังแบบ analog โดยต่อไป ต้องเสียบหูฟังผ่านพอร์ต Lightning พอร์ตเดียวกับที่เราใช้ชาร์จไฟให้กับไอโฟนเท่านั้น หรือเลือกใช้หูฟังแบบไร้สายแทน โดยในกล่อง iPhone 7 ทุกรุ่น จะแถมหูฟัง EarPods แบบที่ใช้หัว Lightning มาให้ 1 ชุด (และมีขายแยกด้วยในราคา 1,200 บาท – ราคาเท่ากับรุ่นที่ใช้หัว 3.5mm ตัวเดิม) บวกกับใจดี มีเมตตา แถมสายแปลงหัว Lightning เป็นรูเสียบหูฟัง 3.5mm มาให้ฟรีอีก 1 เส้น เพื่อที่เราจะยังสามารถใช้หูฟังตัวเดิมร่วมกับ iPhone 7 ได้อยู่ครับ จากการใช้จริงมาร่วมเดือน พบว่าการตัดรูเสียบหูฟังออก ส่งผลต่อความเคยชินระดับนึงครับ หูฟังชุดเดิมที่ใช้งานประจำ ต้องเอาอะแดปเตอร์แปลงเป็นหัว Lightning มาเสียบค้างไว้ รวมถึงต้องปรับตัวไปใช้หูฟังไร้สายแทน หรืออย่างใครที่ถ่ายทอด Facebook Live อยู่บ้าง ก็อาจจะมีไมโครโฟนที่ใช้กับรูเสียบหูฟังแบบเก่าอยู่ ก็ต้องใช้หัวแปลงถึงจะเอามาใช้งานกับ iPhone 7 ได้นั่นเองครับ แต่หากใครที่ไม่ได้ใช้งานหูฟังมากนัก ใช้แค่ EarPods ของ Apple ที่แถมมาในกล่อง ก็แทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย ดูแล้วระยะยาวไม่ใช่ปัญหาครับ มีแค่เรื่องของความเคยชินในช่วงแรกๆ เท่านั้น AirPods หูฟังไร้สายตัวใหม่ในโอกาสเดียวกันนี้ Apple เลยได้ฤกษ์เปิดตัวหูฟังไร้สายของตัวเอง ในชื่อ AirPods ครับ โดย AirPods จะมาในกล่องที่หน้าตาและขนาดที่ใกล้เคียงกับไหมขัดฟันอย่างมาก แต่เป็นกล่องอัจฉริยะ ที่มีแบตเตอรีในตัว ด้านในเป็นที่เก็บหูฟังไร้สายทั้งสองข้าง ซึ่งจะชาร์จเองอัตโนมัติเมื่อเก็บอยู่ในกล่องนี้ โดยหูฟังเมื่อชาร์จเต็ม จะฟังได้ต่อเนื่องนาน 5 ชั่วโมง ส่วนตัวกล่องเมื่อชาร์จเต็ม จะสามารถชาร์จเจ้าหูฟังคู่นี้ได้เต็มถึง 5 ครั้ง เมื่อหมดแล้ว ต้องนำกล่องนี้ไปเสียบชาร์จกับหัว Lightning ปกติที่บ้านนั่นเอง หูฟัง AirPods มีหน้าตาเหมือนกับ EarPods ปัจจุบันของ Apple มากครับ แต่ว่าเป็น EarPods ที่ไม่มีสาย ก็เลยจะดูสั้นๆ ด้วนๆ แปลกตาไปหน่อย น้ำหนักเบา ตัวเล็ก และลื่นพอสมควร มีโอกาสหล่นได้ง่ายหากยังไม่ชินครับ ทันทีที่เปิดกล่องออกมา หากมีไอโฟนอยู่ใกล้ๆ ก็จะมี pop-up เด้งขึ้นมาถามว่าต้องการจะ Connect หรือไม่ เป็นอันเสร็จสิ้นการแพร์หูฟังไร้สายชุดนี้ ง่ายมาก สะดวกมาก ลักษณะตอนสวมหูฟัง AirPods ก็อาจจะดูแปลกตาอีกเหมือนกันครับ ส่วนคนที่สงสัยว่าหลุดได้ง่ายมั้ย ก็ยืนยันว่า ไม่ง่ายเลย ผมลองกระโดดๆ และสะบัดศีรษะดู ก็ไม่มีการหลุดออกมาเอง (หลุดง่ายหรือไม่ ลองกับหูฟัง EarPods ปัจจุบันดูก็ได้ครับ มันคือทรงเดียวกัน) นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้มือแตะที่ AirPods สองครั้ง เพื่อเรียกการทำงานของสิริได้ด้วยนะ แต่น่าเสียดายที่ AirPods ไม่สามารถควบคุมฟีเจอร์อื่นๆ ได้ เช่นไม่สามารถเพิ่ม/ลดเสียง รวมถึงไม่สามารถเปลี่ยนเพลง หรือเลือกรับสายสนทนาได้ครับ ต้องทำจากในไอโฟน หรือผ่าน Apple Watch แทน AirPods สามารถใช้งานได้กับไอโฟนรุ่นก่อนหน้าด้วย ไม่จำเป็นต้องเป็นไอโฟน 7 แต่อย่างใด และไม่ได้แถมมากับไอโฟน 7 นะครับ แต่วางจำหน่ายแยกต่างหาก ในราคาชุดละ 6,900 บาท และคาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือนนี้แล้ว อุปกรณ์เสริมiPhone 7 และ iPhone 7 Plus ออกมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมใหม่ เช่น เคส ทั้งเคสหนัง และเคสซิลิโคน ที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานแบบตรงรุ่นโดยเฉพาะ เนื่องจากตำแหน่งของกล้องใน iPhone 7 / iPhone 7 Plus นั้นแตกต่างจากใน iPhone 6s / iPhone 6s Plus จึงไม่สามารถใช้เคสเดิมได้ครับ สำหรับฟิล์มและกระจกกันรอย เท่าที่ผมได้เดินสำรวจตลาดดู ก็พบว่าเริ่มมีวางจำหน่ายฟิล์มและกระจกกันรอยแบบตรงรุ่นกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus บ้างแล้ว โดยเฉพาะฟิล์มด้านหลังเครื่องที่ออกแบบมาแนบสนิทพอดีกับรอยเว้าของกล้อง และด้านหน้าของตัวเครื่อง อย่างของ Focus ที่นอกจากมีฟิล์มและกระจกรุ่นปกติ ก็เริ่มมีรุ่น 3D Full Frame ที่ครอบคลุมไปถึงขอบจอโค้งๆ รอบตัวเครื่อง จำหน่ายตรงรุ่นกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เช่นกัน และมียังฟิล์มสำหรับกันรอยกล้องด้านหลังของ iPhone 7 Plus แถมมาด้วย พวกรุ่นเต็มจอนี่พอติดแล้วก็จะเนียนๆ ดูไม่ค่อยออกว่าติดกระจกกันรอยมาแล้ว ความจุ / รุ่น / วันวางขายiPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ใน 3 ขนาดความจุ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นเดิมเท่าตัว คือรุ่น 32GB, 128GB และ 256GB ยกเว้นสีดำเงา Jet Black ที่จะมีให้เลือกเฉพาะความจุ 128GB กับ 256GB เท่านั้น เริ่มเปิดจองในไทยเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา และได้วางขายอย่างเป็นทางการวันที่ 21 ต.ค. ผ่านช่องทางการวางจำหน่ายหลักของ Apple ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการมือถือทั้ง 3 เครือข่าย (AIS, dtac, Truemove-H), ตามหน้าร้านตัวแทนอย่าง iStudio, Studio7, Powerbuy, ฯลฯ รวมถึงช่องทางออนไลน์ของ Apple Store ที่เว็บไซต์ www.apple.com/th ด้วยราคาที่แตกต่างกันไปตามแต่แพ็กเกจ และการผูกสัญญากับค่ายมือถือแต่ละค่าย พบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ
i7 iPhone iPhone 7 Jet Black Review Rose Gold กันน้ำ ดำเงา ราคาไอโฟน รีวิว ไอ7 ไอโฟน ไอโฟน 7 spin9อู๋ spin9, Frequent flyer, Content creator, Founder of spin9.me, MINI-TH.com and BIMMER-TH.com, Vantage Point, UK and German alumni. email: [email protected] |