“นักบริหารทรัพยากรบุคคลหรือ HR เป็นผู้มีบทบาทในการสร้างสีสันให้แก่องค์การ มีหน้าที่สรรหาสิ่งที่เป็นความสุขในการทำงานให้แก่พนักงาน” คำกล่าวนี้ ผมได้พบเห็นได้ยินได้ฟังมาจากประสบการณ์ในการทำงานบริหารทรัพยากรบุคคล เมื่อครั้งที่ต้องมีหน้าที่ในกิจกรรมทางด้านพนักงานสัมพันธ์ ( employee relations) ซึ่งต้องสรรหาความหลากหลายรูปแบบและวิธีการ อย่างไรก็ดี ความสุขที่พนักงานได้รับซึ่งเกิดจากกิจกรรมพนักงานนั้นเป็นเพียงความสุขแบบ ชั่วคราวในช่วงระยะเวลาที่จำกัดเท่านั้น แต่บทบาทของ HR ในการสร้างให้พนักงานมีความสุขในการทำงานจะต้องมีตลอดทุกระยะเวลาในที่ทำงาน ซึ่งหมายถึงการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่เรียกว่าการพัฒนา คุณภาพชีวิตในการทำงานหรือ Quality of work lifeRichard E.Watton กล่าวถึงมิติของ การพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงาน ได้แก่ 1. การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะอนามัย มีความปลอดภัย พนักงานมีความมั่นใจ 2. การทำงานที่มีความมั่นคง และมีความก้าวหน้าในการทำงาน 3. การให้พนักงานได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถ มีโอกาสในการได้ใช้ความรู้ความสามารถในการทำงาน มีอำนาจในการควบคุมตนเอง ทักษะที่หลากหลาย ให้ได้ใช้ความรู้ความสามารถ มีข้อมูลที่มีความหมายและส่งผลในอนาคต 4. ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ผ่านกระบวนการประเมินค่างาน องค์การมีความสามารถในการจ่ายและ เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในสังคม 5. สิทธิในการทำงานของพนักงาน โดยมีสิทธิส่วนตัว เสรีภาพในการพูด ความเสมอภาค กระบวนการยุติธรรม ได้รับข้อมูลข่าวสารที่สำคัญเพียงพอถูกต้อง 6. บูรณาการทางสังคมในองค์การ โดยบุคลากรมีความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วยความเป็นมิตร มีความเปิดเผย มีการช่วยเหลือกัน การปลอดจากอคติ ความเสมอภาคในโอกาส มีระบบการเคลื่อนย้ายตำแหน่ง การสนับสนุนกันภายในกลุ่ม แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน ความเป็นชุมชน ที่นอกเหนือจากเรื่องงาน 7. สมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ไม่ใช่ทำงานจนหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาพักผ่อน
ทั้งนี้การสร้างสถานที่ทำงานให้มีบรรยากาศแห่งความสุข ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคล ครอบคลุมทั้ง 3 ด้านของปรัชญาการบริหารทรัพยากรบุคคลคือ การสรรหา (Recruitment) องค์การใดมีสถานที่ทำงานที่ทำให้พนักงานมีความสุข ย่อมดึงดูดใจให้บุคคลภายนอก อยากจะเข้าทำงานหรือร่วมงานด้วย เมื่อมีบุคคลเข้ามาสัมภาษณ์งาน และได้เห็นบรรยากาศของสถานที่ทำงาน หรือการต้อนรับที่อบอุ่น มีแนวคิดค่านิยมพื้นฐานการทำงานร่วมกันที่เป็นมิตร จึงเกิดความพึงพอใจ สถานที่ทำงานที่มีความสุขนี้ ถือว่าเป็นจุดขาย (Selling point) ซึ่งหลายองค์การ นำไปเป็นสโลแกน เช่นคำว่า A nice place to work หรือบ้านแห่งที่สองของพนักงาน ใช้ประโยชน์ในการเลือกคนดี คนเก่งที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน การพัฒนา (Development) การบำรุงรักษา (Retention)
อย่างไรก็ดี บทบาทในการสร้างสถานที่ทำงานให้มีความสุข มิได้เป็นเพียงบทบาทของนักบริหารทรัพยากรบุคคล (HR) เท่านั้นแต่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคคลหลายส่วนและต้องมีองค์ประกอบ อีกหลายอย่าง หากเราลองมองภาพลักษณ์ขององค์การในทางที่กลับกันพบว่าปัจจัยที่ทำให้พนักงาน ไม่มีความสุข เกิดความเครียด ไม่สนใจงาน ขาดความสนุก จนคิดลาออกไปทำงานที่อื่น ได้แก่ หากประเด็นเหล่านี้ เป็นลักษณะที่ยังคงดำรงอยู่ในองค์การใด องค์การนั้นพนักงานจะไม่มีความสุข ผลงานก็ไม่ดีขึ้น เกิดปัญหาตามมาหลายประการ คนดีๆอยู่ไม่ได้ ลาออกจากงานไป องค์การขาดศักยภาพในการแข่งขันในระยะสั้นและระยะยาวทันที ปัญหาเหล่านี้กลายเป็นประเด็นปัญหาที่ท้าทายความสามารถของ HR ว่าจะผลักดันหรือแก้ไขอย่างไร เราคงปฎิเสธว่ามิใช่เป็นหน้าที่ของ HR ก็ไม่ได้ เพราะปัญหาทั้งหมด เป็นปัญหาที่เกี่ยวและมีที่มาจากเรื่อง “คน” ดังนั้น จะต้องมีแผนงานหรือแนวทางการเสนอแนะนโยบายต่อผู้บริหารในการจัดการเรื่อง “คน” แต่ก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยยาก บางครั้งพบว่าเป็นปัญหาเหล่านี้ในบางองค์การ เราไม่ได้สร้างให้เกิด แต่บุคคลอื่นทำให้เกิดขึ้น เป็นปัญหาเกิดขึ้นมาก่อนที่เราจะมาดำรงตำแหน่ง แต่เราต้องแก้ไข เช่น เมื่อเราเป็น HR หน้าใหม่ ที่ได้รับการว่าจ้างให้เข้าไปทำงานในองค์การแห่งหนึ่งที่มีแต่ปัญหาพนักงาน ขาดความสุขจนเปรียบได้ดัง “เสื้อที่ขาดวิ่นหรือรถยนต์ที่ล้อยางสึก หากเป็นคนที่อดยากก็ซูบผอมเห็นแต่กระดูก” เราจะแก้ไขอย่างไร เป็นปัญหาที่เราไม่ได้สร้าง แต่จะต้องไปแก้ไขปัญหาให้บุคคลอื่น เราจะวางแผนกลยุทธ์อย่างไร ที่สะท้อนถึงความท้าทายของมืออาชีพ และให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว อย่างไรก็ดี การสร้างสถานที่ทำงานให้มีความสุข จะต้องเป็นลักษณะสร้างสรรค์ในแง่บวกด้วย คือเป็นความสุขที่ก่อให้เกิดผลิตภาพในการทำงาน มิใช่เกิดความสุขของพนักงานที่เป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบน และไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น พนักงานบางคนมีความคิดว่าองค์การที่จะทำงานแล้วเกิดความสุขคือ องค์การที่พนักงานทำงานแล้ว พนักงานสามารถเอาเปรียบองค์การได้ ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี เราพบว่า สถานที่ทำงานบางแห่งทำงานกันแบบสบายๆ เป็นผลให้บุคคลเกิดความขี้เกียจที่จะทำงาน หลบเลี่ยง อู้งาน ลูกน้องก็ไม่ชอบให้หัวหน้างานมาจุกจิก หัวหน้าก็ไม่เอาใจใส่ ปล่อยปละละเลย เรื่องกฎ ระเบียบ เข้าทำนอง “แมวไม่อยู่หนูร่าเริง” เกิดการทุจริตฉ้อโกง นั่งทับผลประโยชน์จนไม่อยากจะย้ายไปไหน บางบริษัทพนักงานมีเวลาว่างนั่งทำงานส่วนตัวและใช้เวลางานของนายจ้างประกอบ กิจการธุรกิจส่วนตัวได้ มีความสุขกันจนเลยเถิดไม่อยากจะย้ายงานไปไหน บางครั้งนายจ้างก็ทราบ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมให้ลูกจ้างแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน ปล่อยให้หาความสุขเช่นนั้นไปบ้างเพราะหากไม่ไว้วางใจให้ทำงานต่อไป ก็จะหาคนมาทำงานแทนยาก หรือแม้แต่การแปลหรือการตีความหมายของคำว่า “บริษัทเป็นเสมือนบ้านแห่งที่สอง” ต้องแปลว่า บริษัทพยายามสร้างให้บริษัทเป็นดังบ้านที่มีความสุข เพราะเวลาของพนักงานอยู่กับบริษัทอาจมากกว่าที่บ้าน ไม่ใช่ให้พนักงานเข้าใจว่า ในเมื่อบริษัท เป็นบ้านแล้วก็คือจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ แต่จะต้องเป็นการสร้างสรรค์ในสิ่งที่ดี มิใช่บริษัทคือสถานที่พักผ่อนนอนหลับได้ด้วย ต้องสื่อสารและทำความเข้าใจให้สมดังเจตนารมณ์ สถานที่ทำงานบางแห่งพนักงานทำงานกันแบบสบายเกินไปจนกลายเป็นปัญหาการบั่นทอน ประสิทธิภาพองค์การในระยะยาวก็มี ทั้งนี้ ผู้เขียนเคยไปร่วมงานให้คำปรึกษาบริษัทหนึ่ง มักได้ยินได้ฟังว่า ใครที่เข้ามาทำงานกับบริษัทนี้แล้วไม่มีใครคิดอยากจะออก เพราะจ่ายค่าตอบแทนดี พนักงานจึงไม่คิดอยากจะย้ายงานไปไหน หากแต่เพราะการทำงานที่นี่มีความปล่อยปละละเลย พนักงานจึงอยู่กันแบบสบายเกินไป จนทำให้เกิดคำพูดที่ว่า “ ใครที่ลาออกจากบริษัทนี้แล้ว ต้องกลับมาอีก” ความจริงก็คือ ความเคยชินในความสบายของพนักงานในบริษัทนี้ เพราะลาออกไปทำงานกับบริษัทอื่นแล้วเจองานหนัก ทนทำงานไม่ได้ ปรับตัวไม่ได้ เพราะเคยอยู่แบบสบายเกินไป ประเด็นเหล่านี้ก็เป็นประเด็นปัญหาที่ HR จะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาอีกเช่นกัน ซึ่งบางครั้งพบว่าเป็นเรื่องยาก บางองค์การกลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึก ผู้บริหารระดับสูงก็ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร HR ก็เลยทำงานแบบปล่อยปละละเลยตามน้ำไปด้วย การเป็นองค์การที่มีความสุขในเชิงสร้างสรรค์ได้จะต้องอาศัยองค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย การบริหารจัดการ การพัฒนาความเป็นผู้นำบุคลิกลักษณะของผู้บริหาร หัวหน้างาน การปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานด้วย ส่วนการบริหารทรัพยากรบุคคลนั้น เป็นเพียงปัจจัยสนับสนุน กิจกรรมหนึ่งเท่านั้น การพัฒนาความสุขในองค์การสู่ความสุขแบบยั่งยืนในระยะยาว บทความโดย : อภิชัย_ศรีเมือง |