นนร. หลายนายคงรู้จัก proposal กันบ้างแล้ว โดยเฉพาะ นนร. ที่เริ่มทำโครงงาน เพราะหลังจากที่ความคิดตกผลึก ได้ข้อตกลงใจกันในกลุ่มแล้วว่าจะทำอะไร ก็ต้องหาข้อมูล ศึกษาค้นคว้าเรื่องที่ตนสนใจ นำมาเขียน proposal เพื่อขออนุมัติการทำโครงงานนั้น มาถึงตรงนี้ นนร. ที่ยังไม่รู้จัก proposal ก็พอจะเห็นภาพลาง ๆ แล้วนะครับว่าคืออะไร การเขียน proposal ก็คือการเขียนโครงการวิจัยนั่นเองครับ การที่โครงงานของ นนร. จะได้รับการอนุมัติได้นั้น นนร. จะต้องสื่อสารกับคณะกรรมการผ่าน proposal ให้ชัดเจน กระชับ ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นหลักการเขียน proposal อย่างง่าย ส่วนที่ 1 วางแผนการเขียน proposal 1. ระบุตัวผู้อ่าน: จะต้องรู้ว่าผู้ที่อ่าน proposal นั้นมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราจะนำเสนอมากน้อยเพียงไร 2. ระบุหัวข้อ: หัวข้อต้องชัดเจน ไม่เฉพาะผู้เขียนเท่านั้นที่อ่านหัวข้อแล้วเข้าใจ ต้องให้ผู้อ่านอ่านเข้าใจด้วย 3. ระบุวิธีแก้ปัญหา: วิธีแก้ปัญหา ต้องตรงจุด และเข้าใจง่าย 4. ระบุรูปแบบ: ต้องตรวจสอบว่า proposal ที่จะต้องเขียนส่ง มีรูปแบบ หรือแบบฟอร์มหรือไม่ 5. เขียน outline: เพื่อช่วยให้เราสามารถเรียนเรียงความคิดของเราได้ ส่วนที่ 2 เริ่มเขียน proposal 1. เริ่มต้นด้วยบทนำที่หนักแน่น: เพื่อให้ผู้อ่านสนใจ มั่นใจว่าโครงงานของเรามีประโยชน์และสามารถทำได้สำเร็จ 2. ความสำคัญและที่มาของปัญหา (Rationale): เป็นการบรรยายถึงปัญหาของเรื่องที่ทำวิจัย มีความเป็นมาและมีความสำคัญอย่างไร มักเริ่มเขียนจากสภาพปัญหาอย่างกว้างๆ เข้าสู่ประเด็นปัญหาที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา 3. ทบทวนวรรณกรรมงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (Review Literature): เป็นการเขียนถึงสิ่งที่ได้จากการค้นคว้าเอกสาร ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของเราทั้งด้านปัญหาการวิจัยหรือวิธีการวิจัย 4. วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Objectives): ระบุประเด็นหรือจุดมุ่งหมายที่ต้องการศึกษา ซึ่งต้องสอดคล้องกับคำถามการวิจัย และสมมติฐาน ตัวอย่างที่ 1 วัตถุประสงค์ (หลัก) เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะพิษต่อตับในผู้ป่วยโรคตับแข็งที่ได้รับยาต้านวัณโรค วัตถุประสงค์ (รอง) เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายการฟื้นตัวรวมทั้งผลลัพธ์ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะพิษต่อตับจากยาต้านวัณโรคในผู้ป่วยตับแข็ง ตัวอย่างที่ 2 วัตถุประสงค์ (หลัก) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของแพทย์ผู้รักษาในการส่งตรวจคัดกรองมะเร็งตับ ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงในประเทศไทย วัตถุประสงค์ (รอง) เพื่อศึกษาวิธีการที่จะช่วยเพิ่มอัตราการส่งตรวจคัดกรองกรองมะเร็งตับในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงในประเทศไทยอย่างถูกต้องตาม Guidelines 5. คำถามของการวิจัย: ควรเป็นคำถามที่ผู้วิจัยต้องการคำตอบมากที่สุดจากการวิจัยนี้ และสอดคล้องกับชื่อเรื่องที่จะวิจัยและวัตถุประสงค์ของการ ตัวอย่างที่ 1 คำถาม (หลัก) ปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะพิษต่อตับในผู้ป่วยโรคตับแข็งที่ได้รับยาต้านวัณโรคเป็นอย่างไร คำถาม (รอง) ปัจจัยทำนายการฟื้นตัวรวมทั้งผลลัพธ์ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะพิษต่อตับจากยาต้านวัณโรคในผู้ป่วยตับแข็งเป็นอย่างไร ตัวอย่างที่ 2 คำถาม (หลัก) ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อการตัดสินใจของแพทย์ผู้รักษาในการส่งตรวจคัดกรองมะเร็งตับในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงในประเทศไทย คำถาม (รอง) วิธีการใดบ้างที่จะช่วยเพิ่มอัตราการการส่งตรวจคัดกรองมะเร็งตับในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงในประเทศไทยอย่างถูกต้องตาม Guidelines 6. สมมติฐาน (Hypothesis): เป็นกำหนดทิศทางหรือแนวทางความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามในการวิจัย เพื่อคาดคะเนผลที่จะได้จากการวิจัย ตัวอย่างที่ 1 โรคประจำตัว ความรุนแรงของภาวะตับแข็ง สูตรยาต้านวัณโรคเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะพิษต่อตับและผลลัพธ์การฟื้นตัวในผู้ป่วยโรคตับแข็งที่ได้รับยาต้านวัณโรค ตัวอย่างที่ 2 ความรู้ ทัศนคติของแพทย์เกี่ยวกับการส่งตรวจคัดกรองมะเร็งตับ (HCC) ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงส่งผลต่ออัตราการส่งตรวจอย่างเหมาะสมอย่างมีนัยสำคัญ 7. ระเบียบวิธีการวิจัย (Research Methodology): ระบุถึงประชากร/ประชากรตัวอย่าง และจำนวนประชากรที่จะใช้ในการวิจัย รวมถึงกำหนดลักษณะ Inclusion criteria และ Exclusion criteria ของประชากรที่ต้องการจะศึกษาให้ชัดเจน และกำหนดสูตรในการคำนวณ จำนวนขนาดตัวอย่างที่ต้องศึกษา 8. การรวบรวมข้อมูล (Data Collection): ระบุถึงข้อมูลที่ต้องการ และขั้นตอนหรือวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง เช่น จะใช้วิธีการส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ หรือจะใช้ข้อมูลจากเวชระเบียน เป็นต้น 9. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้วิเคราะห์ (Data Analysis and Statistics) : ระบุถึงวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล และจะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติอะไร เพื่อที่จะสามารถตอบคำถามการวิจัยทั้งหมดที่ต้องการได้ มาเริ่มกันเลย 1 ไอเดีย แต่จริงๆแล้วเราควรทำเรื่องที่เราอยากรู้หรือสนใจ แต่อย่างที่บอก ถ้ามันทำให้เราจบยากก็ควรเลี่ยง เปลี่ยนเรื่องดีกว่า อ่ะมาต่อกัน |