s: ผู้ป่วยบอกว่า " ไม่ได้นอนเพราะมีผู้ป่วยมาอยู่ใหม่แล้วเขาเอะอะ อาละวาด แล้วก็มานั่งอยู่ที่เตียงเรา" o: ผู้ป่วยมีสีหน้าไม่สดชื่นง่วงตลอดทั้งวัน การพยาบาล 1.ประเมินอาการง่วงนอนและการพักผ่อนเพียงพอในแต่ละวัน เช่น อาการง่วงนอนอย่างไร แผนการนอนหลับในแต่ละวันกี่ชม กิจวัตรประจำวัน แผนการออกกำลังกาย แผนการรับประทานอาหาร เป็นเช่นไรและให้การพยาบาลตามแผนที่ผิดปกติ หากเราอดนอน หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลเสียกับร่างกายทำให้ระบบร่างกายทำงานติดขัด จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดความดันโลหิตสูง และปัญหาด้านระบบหลอดเลือดหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกันทำงานโดยมีประสิทธิภาพลดลง หายจากโรคต่างๆ ได้ช้าลง มีผลต่อการเจริญเติบโต มีการซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่สึกหรอได้ลดลง ฟื้นตัวจากโรคได้ช้า ร่างกายมีภาวะอ่อนเพลีย ส่งผลต่อระบบเผาผลาญ ร่างกายต้องการอาหารมากขึ้น มีอาการป่วย เช่น คลื่นใส้ ปวดศีรษะ ท้องผูกหรือท้องเสีย กล้ามเนื้อทำงานได้ไม่เต็มที่ กล้ามเนื้อทำงานได้ลดลง หรืออ่อนแรง อ่อนเพลีย มีผลทางด้านจิตใจและอารมณ์ เช่น โกรธง่าย มีอารมณ์แปรปรวน ไม่คงที่ ซึมเศร้า และมีอาการเฉื่อยชา ไม่อยากทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นจึงต้องดูแลร่างกายให้ดี การพักผ่อนนอนหลับนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่แพ้เรื่องการบริโภคหรือการออกกำลังกายเลยโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus : DM, Diabetes) เป็นโรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการนำน้ำตาลไปใช้ประโยชน์อันเกี่ยวเนื่องกับความบกพร่องของฮอร์โมนอินซูลิน* ทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้เป็นเวลานานจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ เสื่อม ก่อให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา ผู้ที่เป็นเบาหวานมักจะมีประวัติคนในครอบครัว (พ่อแม่หรือญาติพี่น้องสายตรง) เป็นโรคนี้ด้วย และมักจะมีภาวะน้ำหนักตัวเกินร่วมด้วย เบาหวานเป็นโรคที่พบได้สูงในคนทุกอายุและทั้งสองเพศ และพบได้สูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ในบ้านเราพบคนเป็นโรคเบาหวานประมาณ 4-6% ของประชากรทั่วไป, 7.1% ของคนไทยช่วงอายุ 20-79 ปี และ 9.6% ของคนไทยที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556 มีผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทยประมาณกว่า 3.5 ล้านคน) และทางสหพันธ์เบาหวานนานาชาติมีการคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 415 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2558 เป็น 642 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2583 คนจำนวนมากกว่าครึ่งไม่ทราบว่าตนเป็นโรคเบาหวาน สถิติการพบผู้ป่วยโรคนี้จึงยังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้องมีการรณรงค์กันอย่างต่อเนื่องถึงภัยร้ายของโรคนี้ เพราะโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนลุกลามใหญ่โตจนต้องสูญเสียอวัยวะที่สำคัญของร่างกายได้ ด้วยเหตุนี้ทางสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation : IDF) และองค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้กำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลก เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคนี้ หมายเหตุ : อินซูลิน (Insulin) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากเบตาเซลล์ (Beta cells) ของตับอ่อน (Pancreas) โดยฮอร์โมนอินซูลินนี้จะมีหน้าที่ช่วยนำน้ำตาลหรือกลูโคสในเลือด (ซึ่งได้จากอาหารที่เรารับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต และของหวาน) เข้าสู่ทั่วร่างกาย เพื่อเผาผลาญให้เป็นพลังงานสำหรับการทำหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ IMAGE SOURCE : www.diabetesdaily.comสาเหตุของโรคเบาหวานโรคเบาหวานมีสาเหตุมาจากการบกพร่องของฮอร์โมนอินซูลิน ผู้ที่เป็นเบาหวานจะพบว่าตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยหรือผลิตไม่ได้เลย หรือผลิตได้ปกติ แต่ประสิทธิภาพของอินซูลินลดลง เช่นที่พบในคนอ้วน ซึ่งเรียกว่า “ภาวะดื้อต่ออินซูลิน” (Insulin resistance) เมื่อขาดอินซูลินหรืออินซูลินทำหน้าที่ไม่ได้ น้ำตาลในเลือดจึงเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ได้น้อยกว่าปกติ จึงทำให้เกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือด และน้ำตาลก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงเรียกโรคนี้ว่า “เบาหวาน” ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมาก (มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก) มักจะมีอาการปัสสาวะบ่อยและมาก เพราะน้ำตาลที่ออกมาทางไตจะดึงเอาน้ำออกมาด้วย จึงทำให้มีปัสสาวะออกมามากกว่าปกติ เมื่อผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะมากก็จะทำให้รู้สึกกระหายน้ำจนต้องคอยดื่มน้ำบ่อย ๆ และเนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานจะไม่สามารถนำน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงานได้ ร่างกายจึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันแทน จึงทำให้ร่างกายผอม กล้ามเนื้อฝ่อลีบ ไม่มีไขมัน อ่อนเปลี้ยเพลียแรง นอกจากนี้ การมีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ๆ ยังทำให้อวัยวะตาง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติและนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนได้มากมาย สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานนั้น สามารถอ่านได้ที่หัวข้อด้านล่าง เกณฑ์การตรวจคัดกรองโรคเบาหวานในผู้ที่ไม่มีอาการแสดง
ชนิดของเบาหวานโรคเบาหวานสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด ซึ่งจะมีสาเหตุ ความรุนแรง และการรักษาที่แตกต่างกันไป ได้แก่
อาการของโรคเบาหวาน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานภาวะแทรกซ้อนมักเกิดกับผู้ป่วยเบาหวานที่ปล่อยปละละเลย ขาดการรักษา หรือดูแลรักษาไม่ถูกต้อง โดยภาวะแทรกซ้อนนี้จะมีทั้งแบบเฉียบพลัน (เช่น หมดสติ ติดเชื้อรุนแรง) และแบบเรื้อรัง (มักเกิดในกล่มผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้เป็นเวลานาน ซึ่งบางคนอาจใช้เวล 5-10 ปีขึ้นไป ทำให้หลอดเลือดแดงทั้งเล็กและใหญ่แข็งและตีบตัน ส่งผลให้อวัยวะหลายส่วน เช่น ระบบประสาท สมอง หัวใจ ตา ไต เท้า ขาดเลือดไปเลี้ยงจนเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะเหล่านี้เสื่อมสมรรถภาพ พิการหรือสูญเสียหน้าที่ไป) ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีจะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ (เพราะเม็ดเลือดขาวทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคได้น้อยลง) นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวานยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะอื่น ๆ เป็นเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้อีกหลายอย่าง ซึ่งในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญหรือพบได้บ่อย ได้แก่
การวินิจฉัยโรคเบาหวานแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเบาหวานได้จากประวัติอาการ ประวัติการเจ็บป่วยต่าง ๆ ประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว การตรวจร่างกาย และที่สำคัญมากที่สุดคือ การตรวจเลือดเพื่อดูปริมาณน้ำตาลในเลือด นอกจากนั้นอาจมีการตรวจอื่น ๆ ประกอบไปด้วยตามความเหมาะสม เช่น การตรวจปัสสาวะเพื่อดูน้ำตาลในปัสสาวะ (ซึ่งจะไม่พบในคนปกติ), การตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไต (เพราะเบาหวานมักส่งผลต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง), การตรวจสุขภาพตาโดยจักษุแพทย์ (เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานต่อจอตา) สำหรับคนทั่วไปที่ใช่หญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการของโรคเบาหวาน (เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย) หรือไม่มีอาการ แต่ตรวจพบน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติหรือตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ หรือเป็นผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน (เช่น อ้วน มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ดังนี้
นอกจากนี้ แพทย์ยังสามารถวินิจฉัยโรคเบาหวานได้จากการตรวจพบระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม หรือฮีโมโกลบินเอวันซี (Hemoglobin A1C : HbA1C) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 6.5% จากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน (ค่าปกติจะต่ำกว่า 5% แต่ถ้ามีค่าอยู่ที่ 5.7-6.4% จะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน) หมายเหตุ : การทดสอบความทนต่อน้ำตาล (OGTT) เป็นวิธีทดสอบโดยการให้ผู้ป่วยอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แล้วทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อน 1 ครั้ง จากนั้นจะให้ผู้ป่วยดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม และทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มน้ำตาลไปแล้ว 2 ชั่วโมง (ค่าปกติจะต่ำกว่า 140 มก./ดล. แต่ถ้ามีค่า 140-199 มก./ดล. จะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน และถ้ามีค่าตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไปจะถือว่าเป็นเบาหวาน) แต่วิธีนี้จะใช้เฉพาะในรายที่ตรวจพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารสูงผิดปกติ (IFG) และหญิงหลังคลอดที่เคยตรวจพบว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (GDM) สรุปเกณฑ์การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน (สำหรับหญิงที่ไม่ได้ตั้งครภ์)*
หมายเหตุ : สำหรับหญิงตั้งครรภ์นั้น สามารถใช้เกณฑ์ข้อที่ 1 (เฉพาะ FPG) และข้อที่ 2 ในการวินิจฉัยได้เช่นกัน ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดจากการทดสอบความทนต่อน้ำตาล (OGTT) โดยการดื่มกลูโคส 100 กรัม จะใช้เกณฑ์ดังนี้ (ต้องมีค่าน้ำตาลสูงตามเกณฑ์ด้านล่างตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป)
สิ่งที่ตรวจในผู้ป่วยเบาหวาน ในรายที่เป็นระยะแรกเริ่มหรือเป็นไม่มาก แพทย์มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติตามร่างกาย ส่วนในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจพบอาการชาตามปลายมือปลายเท้า แผลเรื้อรัง ต้อกระจก หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ โดยในผู้ป่วยเบาหวานทุกรายนั้นแพทย์จะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ และระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร 8 ชั่วโมง (FPG) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 126 มก./ดล. การรักษาโรคเบาหวาน
การป้องกันโรคเบาหวานโรคเบาหวานแต่ละชนิดสามารถป้องกันได้แตกต่างกัน ซึ่งโรคเบาหวานประเภทที่ 1 อาจหาทางป้องกันได้ยากหรือแทบไม่สามารถป้องกันมิให้เกิดโรคได้ (เพราะสาเหตุการเกิดมาจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้) ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตให้เหมาะสม (หลักสำคัญในการป้องกันเบาหวานทุกชนิด คือ คอยระวังระดับน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ) ซึ่งสามารถทำได้ตามคำแนะนำต่อไปนี้
เกณฑ์การตรวจคัดกรองโรคเบาหวานในผู้ที่ไม่มีอาการแสดง
เอกสารอ้างอิง
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมดไทย เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด |