หนังสืออ่านนอกเวลา วิชาภาษาไทย

ถ้าเหนื่อยนักก็พักบ้าง ลองหยิบหนังสืออ่านนอกเวลาสมัยเด็กมานั่งอ่านสักเล่ม หามุมของชีวิตให้กับความสุขที่เรียบง่ายและอ่อนโยนดู รับรองว่าพลังใจของคุณจะเบิกบานขึ้นอย่างแน่นอน วันนี้ทางทีมงาน Feel Good รวบรวมหนังสือนอกเวลาในความทรงจำมาให้อ่านอีกครั้ง เพื่อนๆ ยังจำกันได้หรือเปล่า

1.มอม ผู้แต่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
เรื่องย่อ
เรื่องราวที่เล่าผ่านมุมมองของมอม สุนัขพันธุ์ผสมอัลเซเชียนและพันธุ์ไทย ในเหตุการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มอมอาศัยอยู่กับนาย นายผู้หญิง และหนูลูกสาวของนายกับนายผู้หญิง ซึ่งเคยเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีชีวิตที่สุขสบาย แต่เมื่อนายต้องออกไปรบ ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ฐานะทางบ้านจากที่ดีก็เริ่มแย่ลง หนูจากเด็กที่เคยอ้วนสมบูรณ์ก็ผ่ายผอม แถวบ้านก็เริ่มมีเครื่องบินทิ้งระเบิดลงมาเป็นระยะ นายผู้หญิงจึงต้องขุดหลุมไว้หลบภัย มอมเองก็เข้าไปช่วยขุดด้วย
จนกระทั่งวันที่เครื่องบินทิ้งระเบิดลงที่บ้าน มอมได้รับบาดเจ็บ ส่วนนายผู้หญิงและหนูต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น มอมกลายเป็นสุนัขเร่ร่อนไปตามทาง จนได้พบกับคุณแต๋วที่หน้าตึกสูงหลังหนึ่ง ซึ่งตั้งชื่อใหม่ให้มอมว่า “ดิ๊ก” และเลี้ยงดูมอมเป็นอย่างดี
วันหนึ่งคุณแต๋วไม่อยู่ที่บ้าน ออกไปพักร้อน คืนนั้นมอมได้ยินเสียงคนงัดประตู ตั้งใจว่าจะจับโจรให้ได้ แต่เมื่อยิ่งเข้าใกล้ มอมก็ยิ่งคุ้นกลิ่น ไม่รอช้า มอมกระโจนเข้าใส่ชายคนนั้นอย่างดีใจ เพราะนั่นคือนายของมอม หลังจากงงอยู่สักพัก นายก็จำมอมได้และเรียกชื่อมอมออกมา นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครเรียกชื่อมอมอย่างนี้ มอมเดินตามนายไปแบบไม่ต้องคิด และแม้นายจะไล่เท่าไหร่มอมก็ไม่ยอมเลิกตาม ทั้งคู่ก็เดินเคียงข้างกันต่อไป

ข้อคิด
มอมทำให้เราได้เห็นถึงความรัก ความซื่อสัตย์ของสุนัขที่มีต่อเจ้าของ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหน มันก็ไม่คิดจะทอดทิ้งเจ้าของของตนไป เพราะแค่ได้อยู่กับนายอันเป็นที่รักก็เป็นความสุขที่สุดแล้ว

2.ลูกอีสาน ผู้แต่ง คำพูน บุญทวี
เรื่องย่อ
วิถีชีวิตของชาวอีสานที่ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ของผู้เขียนครั้งยังเป็นเด็ก ทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรมต่างๆ ซึ่งผู้เขียนบรรยายได้อย่างเห็นภาพและใช้ภาษาตรงไปตรงมา ทำให้คนอ่านได้สัมผัสและเข้าใจถึงวิถีชีวิตของคนอีสานมากยิ่งขึ้น โดยหนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมรางวัลซีไรท์ดีเด่นประเภทนิยายประจำปี พ.ศ. 2522
เด็กชายคูนอาศัยอยู่ในชนบทของภาคอีสานกับครอบครัว ซึ่งเป็นพื้นที่แห้งแล้งกันดาร สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยแก่การเพาะปลูก ทำให้หลายครอบครัวโยกย้ายออกไปในแถบลุ่มแม่น้ำซึ่งอุดมสมบูรณ์มากกว่า ชาวบ้านที่ยังอาศัยอยู่ที่นั่นก็ต้องอดทนและปรับตัวเพื่อความอยู่รอดโดยใช้ภูมิปัญญาต่างๆ เข้ามาช่วย อย่างบ้านของคูนเองก็เดินทางไปจับปลาที่แม่น้ำชีมาถนอมอาหารทั้งปลาร้า ปลาส้มกินกัน ซึ่งแต่ละครั้งที่ไปก็ใช้เวลาถึง 20 กว่าวัน เนื่องจากในสมัยนั้นการเดินทางยังไม่สะดวกเช่นทุกวันนี้
นอกจากเรื่องวิถีชีวิตความเป็นอยู่แล้ว ผู้เขียนยังเล่าถึงน้ำใจไมตรีที่มีระหว่างกันของชาวอีสานด้วย โดยตอนหนึ่งของหนังสือกล่าวว่า "...เรื่องน้ำใจ พ่อของคูนเคยสอนคูนเหมือนกันว่าคนมีชื่อนั้นคือ คน รู้จักสงสารคนและช่วยเหลือคนตกทุกข์ ถ้าไม่มีสิ่งของช่วย ก็เอาแรงกายช่วย และไม่เลือกว่าคนๆ นั้นจะอยู่บ้านใด อำเภอใด"

ข้อคิด
แม้ว่าชุมชนที่คูนอยู่จะแห้งแล้งกันดาร แต่คนในชุมชนกลับไม่แล้งในน้ำใจ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง แต่เขาก็เอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความจนไม่ได้แปลว่าเราจะช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ เพราะน้ำใจไม่ต้องใช้เงิน
นอกจากนี้ยังทำให้เราได้เห็นถึงความลำบากของคนอีสานในสมัยก่อนว่าต้องอดทนปรับตัวต่อสู้เพื่อความอยู่รอดอย่างมาก แต่ก็ยังมีความสุขได้ ขณะที่สมัยนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่ช่วยให้การใช้ชีวิตของเราง่ายขึ้น แต่หลายคนกลับไม่มีความสุข

3.อยู่กับก๋ง ผู้แต่ง หยก บูรพา
เรื่องย่อ
ผลงานการเขียนจากประสบการณ์ของหยกเมื่อครั้งวัยเด็กที่ได้อาศัยอยู่กับก๋ง ผู้ซึ่งเลี้ยงดูให้ความรักความอบอุ่น และมอบคำสอนที่มีค่าให้แก่เขา
เรื่องราวของหยกและก๋งในช่วงราวปี พ.ศ. 2500 ที่เล่าถึงชีวิตคนจีนที่ย้ายเข้ามาอยู่ไทยในสมัยนั้น ชุมชนคนจีนที่อยู่ในห้องแถวเล็กๆ การปรับตัวและการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทยจีน การค้าขาย รวมถึงความหวังของคนจีนที่อยากมีอนาคตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ก๋งมักจะสอนแง่คิดและปลูกฝังทัศนคติที่ดีให้กับหยกอยู่เสมอ ก๋งสอนให้หยกไม่อายความจน แต่อายความเลว สอนให้ตั้งใจเรียนหนังสือ เพราะความรู้จะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราไป ทำให้เรามีการงานที่ดี มีโอกาสมีชีวิตที่ดีขึ้น และไม่โดนเอาเปรียบ นอกจากนี้ก๋งยังสอนให้หยกไม่ตัดสินหรือมองคนอื่นในแง่ร้าย แต่ให้รู้จักเข้าใจเพื่อนมนุษย์ ดังตอนหนึ่งในหนังสือที่ว่า “ฉันไม่เคยริษยาใครก็เพราะได้เรียนรู้จากก๋งว่า คนเราเมื่อเกิดมาต่างสิ่งแวดล้อม ต่างโอกาสและฐานะ องค์ประกอบของชีวิตก็ต้องแผกกันออกไป”

ข้อคิด
ก๋งได้ฝากคำสอนที่ให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตไว้มากมาย เช่น สอนให้รู้จักอดทน ขยันทำมาหากิน และรู้จักพึ่งพาตัวเอง ตามที่กล่าวไว้ว่า “ไม่ใช่ว่าดวงดีแล้วจะร่ำรวยได้ ก่อนจะสร้างตัวได้สำเร็จเขาจะต้องผ่านการทำงานอย่างหนักมาแล้วด้วย รู้จักหาเงิน รู้จักเก็บงำ รู้จักคิดหาช่องทางต่อทุน ฐานะของเขาจึงเป็นปึกแผ่นขึ้นมาได้ ไม่มีใครโชคดีถึงกับนอนขี้เกียจอยู่ข้างถนนแล้วเทวดาจะโยนถุงเงินลงมาให้ถึงหน้าตัก...จำไว้”

4.เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก ผู้แต่ง ทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
เรื่องย่อ
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 - 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้เขียนได้นำเรื่องราวชีวิตครอบครัวคนไทยสมัยที่คุณตาคุณยายเป็นเด็กมาเล่าให้ฟังโดยถ่ายทอดเป็นภาษาง่ายๆ หากแต่บรรยายให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันเหตุการณ์บางอย่างหรือสิ่งของหลายสิ่งก็ได้เริ่มจางหายไปจากสังคมไทยแล้ว
ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่าว่า เมื่อครั้งคุณตาคุณยายยังเด็ก เมื่อฝนตก เด็กๆ จะเล่นน้ำฝนกันอย่างสนุกสนานพร้อมกับขัดบ้านไปด้วย ฝนที่ตกลงมายังรองไว้ใช้ ไว้ดื่มได้อีก คุณตาคุณยายเล่าว่าคนสมัยนั้นนิยมดื่มน้ำฝนกันมาก เพราะสะอาดและหวาน หรือสมัยคุณตาคุณยายเป็นเด็กนั้น จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปซื้อขนมนอกบ้าน และไม่ได้มีร้านอาหารมากมายอย่างทุกวันนี้ แต่ก็ไม่อดอยาก เพราะพ่อค้าแม่ค้าเร่จะหาบของกินมาขายถึงที่บ้านทีเดียว ซึ่งจะเห็นว่าหลายสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้วในปัจจุบัน

ข้อคิด
ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้ความเชื่อ ความคิด และการดำเนินชีวิตของผู้คนแตกต่างกันออกไป ทั้งการพูด การกิน และธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ซึ่งเราในฐานะที่เป็นคนสมัยใหม่ หากลองเปิดใจเรียนรู้สิ่งที่คนสมัยก่อนทำก็จะได้เห็นอีกแง่มุมที่น่าสนใจและอาจนำไปประยุกต์ใช้ได้ เช่น ในเรื่องของการเลี้ยงดูลูกหลาน สมัยคุณตาคุณยายยังเด็ก เนื่องจากมีไฟฟ้าจำกัดและยังไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างวิทยุโทรทัศน์ ทำให้ต้องเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำ ก่อนนอนผู้ใหญ่ก็จะเล่านิทานกล่อมเด็กๆ ให้หลับกันไป ซึ่งต่างกับสมัยนี้ที่เด็กๆ นอนค่อนข้างดึก และใช้เครื่องใช้ไฟฟ้ากันเยอะ หากเราลองลดการใช้ไฟในยามค่ำคืนและลองหันมาเล่านิทานให้เด็กๆ ฟังบ้าง ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อย

5.นิกกับพิม ผู้ประพันธ์ ว.ณ.ประมวญมารค
เรื่องย่อ
การสื่อสารกันผ่านจดหมายระหว่างพิเชฐและมนทิรา โดยเล่าผ่านมุมมองของสุนัขแสนรักของทั้งคู่คือ “นิก” สุนัขพันธุ์บ็อกเซอร์เพศผู้ตัวใหญ่สีน้ำตาลของพิเชฐ กับ “พิม” สุนัขสายพันธุ์พุดเดิ้ลเพศผู้ขนหยิกสีดำของมนทิรา โดยเรื่องราวของพิเชฐและมนทิรานั้นเริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่ที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง ที่เมืองซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่ซึ่งทั้งคู่เจอนิกกับพิมนั่นเอง
หลังจากที่พิเชฐกลับเมืองไทยไปพร้อมกับนิกและความเข้าใจผิดในตัวมนทิรา ผ่านไป 2 ปี จึงลองเขียนจดหมายติดต่อมนทิราอีกครั้ง มนทิราได้ตอบกลับ และเสนอเป็นสื่อกลางให้สุนัขทั้งสองได้สานสัมพันธ์กันต่อทางจดหมาย เรื่องราวระหว่างพิเชฐและมนทิราที่เล่าผ่านมุมมองของนิกกับพิมจึงได้เริ่มต้นขึ้น โดยผลัดกันเล่าเรื่องราวที่พบเจอในชีวิตประจำวันของนิกกับพิมอย่างสนุกสนาน ทั้งเล่นซุกซน ทำวีรกรรมจนโดนจับ ไปเที่ยวสวนสัตว์กับเจ้าของ หรือแม้แต่พูดถึงเจ้านายในมุมของสุนัขเอง

ข้อคิด
การเล่าเรื่องของพิเชฐและมนทิราในมุมมองของสุนัข ทำให้เราได้เห็นภาพที่แปลกใหม่และน่ารักของเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น และได้เห็นว่าสิ่งเดียวกันแต่มองจากคนละด้านก็สามารถให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปได้ อย่างในเรื่องของความหอม ที่เมื่อคนเห็นสุนัขตัวเหม็นก็จะชอบพาไปอาบน้ำ แต่สุนัขเองกลับชอบเอาตัวไปคลุกอะไรเหม็นๆ มากกว่า ทำให้อาจมองได้ว่า หรือความหอมของสุนัขกับคนมันเป็นคนละแบบกัน

6.ฉันอยู่ที่นี่...ศัตรูที่รัก ผู้แต่ง ส. เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา
เรื่องย่อ
“รวมเรื่องสั้นสะเทือนอารมณ์ไม่รู้สืม” ข้อความที่เขียนไว้บนปกของหนังสือฉันอยู่ที่นี่...ศัตรูที่รัก หนังสือที่ทำให้ใครหลายคนต้องเสียน้ำตา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง”เรือรบจำลอง” ที่แสดงให้เห็นถึงความรักระหว่างเด็กชายอันดร ที่เคยเกเร ไม่เป็นมิตรกับใคร กับเด็กชายชาลี เด็กที่เกิดในครอบครัวที่อบอุ่น นิสัยดี จากที่ทะเลาะชกต่อยกันกลับกลายเป็นเพื่อนรักกันได้เพราะความเมตตาจากครูบุษบงที่อบรมสั่งสอนอันดรเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายเด็กชายอันดรก็ต้องจากโลกนี้ไปในที่สุด เพราะกระโดดไปช่วยชาลีเพื่อนรักของเขาที่ตกน้ำ ทั้งที่ตัวอันดรเองก็ว่ายน้ำไม่เป็นเช่นกัน
นอกจากนี้ยังอีกหลายเรื่องราวทั้ง “ห่านย่างไฟแดง” “ฉันอยู่นี่...ศัตรูที่รัก” “นายที่รัก” “เสื้อราตรีสีเลือดนก” และ “ลาก่อน..INTERMEZZO (อินเตอร์เมโซ)...เพลงรักของแม่” ที่แต่ละเรื่องก็มีความเศร้า ความสะเทือนใจ ความซาบซึ้งใจที่แตกต่างกันออกไป นับเป็นหนังสืออีกเล่มที่ทรงคุณค่าและสามารถส่งผ่านความรู้สึกไปถึงผู้อ่านได้อย่างดี

ข้อคิด
ฉันอยู่ที่นี่...ศัตรูที่รัก แสดงให้เห็นถึงความรัก มิตรภาพ และการให้อภัยได้เป็นอย่างดี คนที่เคยเป็นศัตรูกัน แต่กลับมารักกันได้ในที่สุด เพราะคำๆ เดียว คำว่า “ให้อภัย” ความบาดหมาง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เราไม่สามารถลบล้างหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ปัจจุบันและอนาคตเราเลือกได้ว่าจะก้าวต่อไปเช่นไร

7.ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก ผู้แต่ง อี.บี.ไวท์
เรื่องย่อ
วิลเบอร์หมูน้อยที่เกือบจะโดนฆ่าหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็รอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ที่น่ารัก ทั้งเฟิร์น เด็กหญิงแสนใจดี แทมเปิลตัน หมูจอมตะกละที่รักเพื่อนมาก และชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรักของเขา
ความรัก ความผูกพัน และมิตรภาพระหว่างเจ้าแมงมุมชาร์ล็อตต์กับหมูน้อยวิลเบอร์ และผองเพื่อน ได้ก่อกำเนิดขึ้นที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในเมืองบรู๊คลิน สหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งวิลเบอร์ถูกเลี้ยงไว้เพื่อรอวันโดนทำเป็นอาหาร
ชาร์ล็อตต์ แม้จะเป็นแมงมุมที่มีรูปร่างหน้าตาน่ากลัว แต่เธอกลับมีจิตใจที่งดงาม ชาร์ล็อตต์เข้ามาผูกมิตรกับวิลเบอร์และช่วยเหลือวิลเบอร์อย่างสุดความสามารถ โดยชักใยเป็นตัวอักษรถ้อยคำต่างๆ เช่น หมูพิเศษ องอาจ และนอบน้อม ทำให้ผู้คนต่างพากันสนอกสนใจในความพิเศษของหมูน้อยตัวนี้ และทำให้วิลเบอร์รอดพ้นจากการถูกฆ่าในที่สุด สุดท้ายแม้ชาร์ล็อตต์จะตายจากไป แต่วิลเบอร์ก็ยังคงรักและคิดถึงแมงมุมเพื่อนรักเสมอ และชาร์ล็อตต์จะเป็นเพื่อนแท้ต่างสายพันธุ์ที่จะอยู่ในความทรงจำของวิลเบอร์ตลอดไป

ข้อคิด
เรื่องราวระหว่างชาร์ล็อตต์และวิลเบอร์ ทำให้เราได้สัมผัสและซาบซึ้งกับมิตรภาพของเพื่อนแท้ ที่แม้จะต่างสายพันธุ์ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ชาร์ล็อตต์ก็ช่วยเหลือวิลเบอร์อย่างเต็มใจ ส่วนวิลเบอร์ก็รักและประทับใจชาร์ล็อตต์มาก นอกจากนี้การที่เราได้ช่วยเหลือใครสักคนยังทำให้เรารู้สึกมีคุณค่าในชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย ดังตอนหนึ่งในหนังสือที่ชาร์ล็อตต์กล่าวว่า "ชีวิตคืออะไร เราต่างเกิดมามีชีวิตอยู่ในระยะเวลาอันสั้น ไม่ช้าก็ตาย การที่ฉันได้ช่วยเธอ ทำให้ชีวิตของฉันมีค่าขึ้น"

8.ต้นส้มแสนรัก ผู้แต่ง โจเซ่ วาสคอนเซลอส
เรื่องย่อ
เซเซ่ เด็กชายชาวบราซิลวัย 5 ขวบ ที่แสนฉลาด มีจินตนาการและความฝันที่งดงาม หากแต่เกิดในครอบครัวที่ยากจนนัก เซเซ่มีเพื่อนรักเป็นต้นส้ม เขาตั้งชื่อให้มันว่า “มิงกินโย” แม้เซเซ่จะไม่ได้มีคนเข้าใจมากมาย แต่เซเซ่ก็มีความสุขเพราะมีมิงกินโยเป็นเพื่อนและคอยรับฟังทุกสิ่งที่เขาเล่าอยู่เสมอ
นอกจากต้นส้มเพื่อนรักแล้ว เซเซ่ยังมีเพื่อนแท้ต่างวัยคือ “โปรตุก้า” ชายแก่ชาวโปรตุเกสที่เดิมเคยเป็นคู่อริต่างขั้วมาก่อน แต่หลังจากที่ทั้งสองได้รู้จักกัน ความรัก ความผูกพันก็เข้ามาแทนที่ ทว่าโชคร้ายของเด็กน้อย ในเวลาไม่นานที่เขาได้รู้จักกับความรักที่แท้จริง เซเซ่ก็ต้องสูญเสียทั้งต้นส้มและโปรตุก้าไป ต้นส้มที่บ้านเด็กน้อยกำลังจะถูกตัดเพื่อทำเป็นถนน ส่วนโปรตุก้าก็ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ถึงแม้จะต้องเจอเรื่องราวที่โหดร้ายแค่ไหน แต่เซเซ่ก็ต้องเข้มแข็งและก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

ข้อคิด
ความรักนั้นไม่ได้จำกัดว่าต้องเกิดขึ้นระหว่างคนด้วยกัน เชื้อชาติเดียวกัน หรือวัยเดียวกันเท่านั้น ความรักเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ และกับใครก็ได้ และแม้ว่าผลสุดท้ายเราอาจต้องเจ็บปวดเพราะต้องสูญเสียคนรัก แต่อย่างน้อยเราก็สามารถเก็บความทรงจำดีๆ ที่มีต่อกันได้

9.บ้านเล็กในป่าใหญ่ ผู้แต่ง ลอร่า อิงกัลล์ส ไวล์เดอร์
เรื่องย่อ
ลอร่าเล่าเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กและครอบครัวอิงกัลล์สของเธอ ครอบครัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ของรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ก่อนจะเดินทางย้ายถิ่นฐานไปยังที่ต่างๆ อีกหลายครั้ง ทั้งรัฐแคนซัส มินเนโซตา และเมืองเดอสะเม็ตจากหนังสืออีกหลายเล่มทั้งบ้านเล็กในทุ่งกว้าง เด็กชายชาวนา บ้านเล็กริมห้วย ริมทะเลสาบสีเงิน เมืองเล็กในทุ่งกว้าง ฤดูหนาวอันแสนนาน ปีทองอันแสนสุข สี่ปีแรก และตามทางสู่เหย้า
บ้านเล็กในป่าใหญ่สะท้อนให้เห็นถึงความสุขในกระท่อมไม้ซุง แม้ครอบครัวเล็กๆ นี้จะไม่ได้ร่ำรวย แต่พวกเขาก็อยู่กันอย่างอบอุ่น ทั้งพ่อแม่ และลูกสาวทั้งสี่อ คือ แมรี่ ลอร่า แครี่ และเกรซ อีกเสน่ห์ของบ้านเล็กในป่าใหญ่คือความสมจริงและความมีชีวิตชีวาของตัวละครต่างๆ ที่ลอร่าถ่ายทอดออกมาได้อย่างเห็นภาพ ทำให้ผู้อ่านสามารถจินตนาการตามได้อย่างดี

ข้อคิด
ชีวิตในป่าใหญ่ไม่ได้ราบเรียบสงบสุขเสมอไป พวกเขาต้องเผชิญกับพายุและฤดูหนาว แต่ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยการเตรียมตัวรับมืออย่างดี ดังส่วนหนึ่งของหนังสือที่ว่า "ภายหลังจากฤดูหนาวที่ยาวนาน ครอบครัวอิงกัลล์สรวมทั้งชาวเมืองต่างก็เตรียมตัวตั้งรับกับหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง แต่ฤดูหนาวปีนั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่นึกกลัวกัน” ซึ่งแม้ลอร่าจะไม่เห็นประโยชน์จากการเตรียมตัวในสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ แต่แม่ของลอร่าก็ได้สอนไว้ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุผลของมันเสมอ ถึงแม้ว่าอากาศจะวิปริตพิสดารเพียงใดแต่พายุก็จะเกิดขึ้นในภูมิประเทศที่เคยมีพายุเท่านั้น ถ้าลอร่าเตรียมตัวที่จะเป็นครู เธออาจจะไม่เป็นหรือเป็นก็ได้ แต่ถ้าเธอไม่ได้เตรียมตัวเลย ก็เป็นการแน่นอนว่าเธอจะเป็นครูไม่ได้" ซึ่งสิ่งนี้เราสามารถนำไปเป็นแง่คิดในการดำเนินชีวิตได้ เพราะแม้สิ่งแวดล้อมภายนอกจะไม่แน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนคือตัวเราที่สามารถเตรียมพร้อมเพื่อรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้

10.โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง ผู้แต่ง เท็ตสึโกะ คุโรยานางิ
เรื่องย่อ
โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงชั้นประถม 1 ที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนโดยไม่รู้ตัว เพราะเล่นสนุกจนส่งเสียงรบกวนเพื่อนๆ และครูมากเกินไป แต่จากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้เธอได้มาเจอโรงเรียนโทโมเอ โรงเรียนที่มีประตูเป็นต้นไม้ ห้องเรียนทำจากตู้รถไฟ และครูโคบายาชิผู้ใจดีที่รับฟังเรื่องราวที่เธอเล่าให้ฟังในวันแรกถึง 4 ชั่วโมงเต็ม
ความทรงจำที่เธอมีต่อโรงเรียนแห่งนี้เต็มไปด้วยความประทับใจและความสนุกสนาน การเรียนที่มีอิสระ เด็กๆ สามารถเลือกเรียนวิชาที่ตนชอบเป็นวิชาแรกของวัน มีการแข่งกีฬาที่เด็กพิการกลายเป็นผู้ชนะ และมีรางวัลเป็นผักเอาไปให้แม่ทำกับข้าวได้
แม้เรื่องราวของโต๊ะโตะจังจะอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเหตุการณ์ที่น่าเศร้าใจมากมาย โรงเรียนโทโมเอที่โต๊ะโตะจังรักโดนระเบิด แต่การนำเสนอเรื่องราวของเธอก็ไม่ได้เศร้าสร้อยจนเกินไปนัก เด็กน้อยคนนี้ยังมีความน่ารักสดใสในใจอยู่เสมอ

ข้อคิด
เรื่องราวของโต๊ะโตะจัง นอกจากจะทำให้เราได้เห็นความสดใส ช่างคิดช่างจินตนาการของเด็กๆ แล้ว ยังทำให้เราได้เห็นถึงการเรียนการสอนในรูปแบบที่แตกต่างกัน ระหว่างโรงเรียนเดิมที่มีกรอบอย่างชัดเจน กับโรงเรียนโทโมเอที่มีอิสระและเปิดกว้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งคำถามและออกแบบการเรียนการสอนที่เหมาะกับการพัฒนาเด็กอย่างแท้จริง

หนังสือนอกเวลาทั้ง 10 เล่มนี้ แม้จะสื่อสารออกมาอย่างเรียบง่าย หากแต่แฝงไปด้วยแง่คิด ความหมาย และความประทับใจมากมายในเรื่องราวเหล่านั้น