ในปัจจุบันรูปแบบการทำงานขององค์การต่าง ๆ ได้มีการปรับตัวเพื่อตอบรับกับการก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบเต็มตัว ซึ่งเราก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการปรับตัวดังกล่าวนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จนเกิดเป็นกระแส Digital Disruption (การเปลี่ยนแปลงในด้านการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ และการดำเนินชีวิตอันมีผลมาจากนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่) เช่นในบางองค์การได้นำ AI เข้ามาทำงานแทนคนในส่วนที่ต้องใช้ทักษะเหตุผล ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ในการเปลี่ยนแปลง จึงขอแนะนำ 5 ทักษะที่จะช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเปิดขึ้น 1. มีความคิดแบบประยุกต์ ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์ (Adaptive Thinking) : ทักษะการคิดรูปแบบนี้ เป็นทักษะการคิดที่ตอบรับกับการทำงานในปัจจุบันเพราะต้องใช้ทั้งความคิดในเชิงสร้างสรรค์ (Creative) และการคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytics) เพื่อรับมือต่อปัญหา และตอบสนองต่อบริบทของข้อมูล (Context) ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยอาศัยการวางแผนที่มีประสิทธิภาพ มีความยืดหยุ่นทางความคิดทั้งของตนเองและผู้อื่น มีรูปแบบการคิดที่หลากหลาย รวมถึงต้องมีทักษะในการทำงานเป็นทีมเพื่อเปิดรับแนวความคิดที่หลากหลายจากเพื่อนร่วมทีม 2. การปรับตัวตอบรับปรากฏการณ์ New Media (New-media Literacy) : ข้อมูล ความรู้ และข่าวสารต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ในกระดาษเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถสืบต้นได้จากสื่อดิจิทัล และสื่อโซเชียลมีเดียออนไลน์ที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งข้อมูลด้านวิชาการ หรือข้อมูลเพื่อความบันเทิง ซึ่งเป็นโอกาสที่ช่วยให้เราสามารถสืบค้นแยกตามความสนใจของเราได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรียนรู้ผ่านแอปพลิเคชั่นอย่าง TikTok หรือการฟัง Podcast เพื่อเสริมสร้างความรู้ตามความสนใจของเรา โดยเราสามารถค้นหาความรู้และแนวทางที่เหมาะสมกับเราได้อย่างไม่รู้จบ 3. เรียนรู้และเข้าใจศาสตร์ที่หลากหลาย (Transdisciplinarity) : ไม่ว่าในปัจจุบันคุณจะมีความชำนาญเฉพาะทางเกี่ยวกับอะไรก็ตาม การขยายของเขตของการเรียนรู้เพื่อให้เข้าในในหลากหลายศาสตร์ก็จะสิ่งที่ดี เพราะองค์ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ นั้นสามารถมีความเชื่อมโยงกันอยู่เสมอ ซึ่งจะทำให้เรามารถเข้าใจในข้อมูลผ่านมุมมองที่หลากหลายนอกเหนือจากความชำนาญเฉพาะที่เรามีอยู่แล้ว โดยจะต้องเปืดรับความรู้ใหม่ๆ เช่น ความรู้ทางด้านสิ่งแวดล้อมที่มีผลกับโลก การเมืองกับมุมมองสิทธิมนุษยชน วัฒนธรรมที่หลากหลาย ความเปลี่ยนแปลงของผู้คนแต่ละเจเนอเรชัน ฯลฯ 4. การออกแบบความคิดเชิงเหตุผลและอารมณ์ (Computational Thinking + Sense Making) : ด้วยรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปและเราไม่ได้ทำงานร่วมกับแค่คนเพียงอย่างเดียว เพราะในปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้รูปแบบการคิดเพื่อการทำงานจึงต้องถูกแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ (1) ด้านการคิดเชิงเหตุผล (Computational Thinking) ที่จะต้องมีการทำงานที่เป็นขั้นตอนเพื่อแก้ปัญหา คือ การย่อยหรือสรุปปัญหา การจดจำรูปแบบต่าง ๆ การวิเคราะห์ความคิดเพื่อมุ่งสู่ข้อมูลสำคัญ และการออกแบบหลักเกณฑ์เพื่อการแก้ปัญหา (2) ด้านการคิดเชิงอารมณ์ (Sense Making) ที่จะใช้เพื่อทำงานร่วมกับคน โดยมุ่งหวังให้การทำงานในทีมเกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลที่ดีที่สุด ผ่านมุมมองของการให้คุณค่า ความเข้าใจ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน 5. มีศักยภาพในการต่อรองเพื่อรับมือกับปัญหาต่าง ๆ (Negotiation) : ในการทำงาน และการแก้ปัญหา ทักษะการต่อรองมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นทักษะที่ต้องอาศัยทั้งความรู้สึก และความคิด เพราะจะต้องทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ของปัญหา ความคิดของคู่สนทนา จึงจะสามารถเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงอันจะนำไปสู่การคิดค้นทางออก หรือข้อตกลงระหว่างกันที่มีความเหมาะสม และรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายได้มากที่สุด เผยแพร่: 2 ก.ค. 2557 09:52 โดย: MGR Online
การพัฒนาทักษะการปรับตัวหรือยืดหยุ่น มิใช่การหยุดเรื่องเลวร้ายหรือตึงเครียดไม่ให้เกิดขึ้น แต่มันสามารถลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น พลาดรถประจำทาง การเปลี่ยนงาน ที่อยู่อาศัย ไปจนถึงการตกงาน หย่าร้าง ป่วยเรื้อรัง ฯลฯ บางครั้งการทำตัวเหมือนหนังยางที่มีความยืดหยุ่น ก็ดีเหมือนกัน และเทคนิค ต่อไปนี้อาจจะเปลี่ยนคุณให้กลายเป็นหนังยางก็เป็นได้ 1.
ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เป้าหมายบางอย่างที่คุณเคยวางไว้ อาจไม่บรรลุผล เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่หากคุณมีความยืดหยุ่นก็จะช่วยให้ปรับตัวได้โดยไม่เครียดเท่าใดนัก และแทนที่จะต่อต้านหรือพยายามควบคุมสิ่งต่างๆ ขอให้มองว่า มันเป็นโอกาสที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้เพื่อเดินหน้าต่อไป เพราะฉะนั้น จงพุ่งความสนใจไปยังเรื่องที่คุณสามารถจัดการได้ 2. คิดแง่บวกให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องมองข้ามเหตุการณ์ปัจจุบันไป แล้วคิดในแง่บวกอย่างมีความหวังว่า สถานการณ์ต่างๆจะค่อยๆคลี่คลายไปในทางที่ดีในที่สุด เชื่อเถอะว่า ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ 3.
มุ่งมั่นทำให้ดีขึ้น ระลึกไว้เสมอว่า เมื่อปัญหาเกิดขึ้น ต้องมีความเด็ดเดี่ยวที่จะแก้ไข อย่าทิ้งหรือหนีปัญหาและความกดดันตรงหน้าโดยหวังว่ามันจะหายไปเอง 4. ดูแลกายใจให้พร้อม ดังนั้น อย่าลืมหันมาใส่ใจสุขภาพของตัวเอง ด้วยการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบและช่วยให้ผ่อนคลายเป็นประจำ เมื่อกายพร้อม ใจพร้อม คุณก็พร้อมที่จะเผชิญทุกสถานการณ์อย่างชิลๆ 5. สร้างมิตรภาพที่ดี นอกจากนี้ การเข้าร่วมทำกิจกรรมในชุมชน กลุ่มอาสาสมัคร ฯลฯ จะทำให้คุณรู้จักคนมากขึ้น และช่วยเสริมสร้างทักษะ พร้อมทั้งสุขภาพกายใจที่ดี อันจะช่วยในเรื่องการปรับตัวได้เป็นอย่างดี 6. อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะฉะนั้น ทางที่ดีควรตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และสามารถทำได้จริง แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ทำสำเร็จได้ในแต่ละวันก็ตาม เพราะมันสามารถนำไปสู่จุดหมายใหญ่ได้เช่นกัน 7.
อยู่ท่ามกลางคนคิดบวก ดังนั้น อย่ารีรอที่จะพาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในกลุ่มคนที่มีความคิดดี ทำดี รับรองว่า มันจะช่วยสร้างความมั่นใจและศรัทธาในตัวคุณเองได้อย่างเหลือเชื่อ 8. หัวเราะบ่อยขึ้น การหัวเราะดังๆ เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดระดับความเครียดอย่างได้ผล และทำให้คุณปรับตัวในทุกๆสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี จึงควรหาโอกาสให้ตัวเองได้หัวเราะทุกวัน ฮิฮิ.. 9. ย้อนดูบทเรียนชีวิต 10.
หาตัวช่วยอื่นๆ (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 163 กรกฎาคม 2557 โดย ประกายรุ้ง) |