Sorry, we just need to make sure you're not a robot. For best results, please make sure your browser is accepting cookies. Type the characters you see in this image:Try different image Conditions of Use Privacy Policy © 1996-2014, Amazon.com, Inc. or its affiliates ปัจจุบันประชาชนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงยาได้ง่าย โดยการซื้อยามารักษาตนเองจากร้านขายยา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยาแผนปัจจุบัน ถึงแม้จะมีข้อดีตรงที่สามารถเข้าถึงยาได้ง่าย แต่ข้อเสียคือ จะรู้ได้อย่างไรว่ายาที่ซื้อมาใช้รักษาได้ถูกโรคถูกอาการ เนื่องจากการวินิฉัยบางโรคควรได้รับการตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุความผิดปกติและแนวทางการรักษาโดยให้ยาที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น หากวันหนึ่งเราเกิดมีอาการตาแดง แต่ไม่อยากเสียเวลาไปหาหมอตา เดินไปซื้อยาที่ร้าน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราก็จะบอกที่ร้านว่าเรามีอาการตาแดง น้ำตาไหล เจ็บตา ทางร้านยาจัดยามาให้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถตรวจร่างกายได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ายาที่ได้ตรงกับโรคที่เป็น เนื่องจากอาการตาแดง มีสาเหตุได้ตั้งแต่ภูมิแพ้ขึ้นตาธรรมดา ระคายเคืองเล็กน้อย ไปจนถึงโรครุนแรงอย่างตาติดเชื้อ หรือบางทีอาจเป็นโรคม่านตาอักเสบจากภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกออกได้ ถ้าไม่ได้รับการตรวจร่างกาย วันนี้จะมาบอกให้ฟังว่า ยาหยอดยาแบบไหนปลอดภัยสามารถซื้อได้จากร้านยาทั่วไป และแบบไหนต้องระวังไม่ควรซื้อใช้ด้วยตัวเอง “ยาหยอดตา” แบบไหนซื้อเองได้แบบไหนต้องระวัง?
ยาหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นยากดภูมิคุ้มกัน เมื่อใช้หยอดตา อาการอักเสบ ระคายเคืองต่าง ๆ มักหายได้อย่างรวดเร็ว เพราะยาจะไปกดอาการไว้ แต่ยาประเภทนี้อันตรายมากเพราะทำให้คนไข้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ความดันภายในตาสูงขึ้น กลายเป็นต้อหิน และหากอาการรุนแรงอาจส่งผลให้ตาบอดได้ โดยบางครั้งอาการที่รุนแรงเกิดจากการใช้กลุ่มสเตียรอยด์หยอดตาติดกันเพียงระยะเวลาสั้น ๆ แค่ 2-3 อาทิตย์เท่านั้น ดังนั้นข้อควรระวัง หากจะไปซื้อยาหยอดตามาใช้เอง ควรถามทุกครั้งว่า “มีสเตียรอยด์หรือเปล่า?” ทั้งนี้ หากซื้อยามาใช้หยอดตาเองภายในระยะเวลา 1-2 วันแล้วไม่ดีขึ้น อาการกลับแย่ลง ให้รีบพบแพทย์พร้อมนำยาที่ซื้อมาด้วย เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยวิธีการรักษาและให้ยาที่ถูกต้องตรงกับโรค กลุ่มยาสเตียรอยด์ ใช้เพื่อลดการอักเสบ ในกรณีที่ใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้ความดันตาสูงและเกิดเป็นต้อหินได้ จึงควรได้รับการตรวจวัดความดันตาอย่างสม่ำเสมอ และหากนำไปใช้หยอดผิดประเภท เช่น นำไปหยอดในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อ อาจทำให้การติดเชื้อแย่ลงได้ โดยเฉพาะเชื้อราและเชื้อเริม นอกจากนี้ยังทำให้การกำจัดเชื้อทำได้ยากขึ้นเช่นกัน กลุ่มยาแก้แพ้ ยากลุ่มนี้ใช้เพื่อรักษาอาการภูมิแพ้ที่เยื่อบุตา ลดอาการระคายเคือง ตาแดง ในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการรุนแรง จักษุแพทย์อาจให้หยอดสเตียรอยด์เพื่อลดอาการอักเสบร่วมด้วย ในกรณีนี้ควรได้รับการวัดความดันตาอย่างสม่ำเสมอ กลุ่มน้ำตาเทียม ใช้ในผู้ที่มีอาการตาแห้ง ระคายเคืองตา เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย เพียงแต่ผู้ใช้ควรต้องทราบก่อนว่าอาการตาแห้งมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด หากเป็นเพียงเล็กน้อย สามารถหยอดน้ำตาเทียมที่มีลักษณะเป็นขวดได้ น้ำตาเทียมแบบขวดจะผสมสารกันบูดไว้ด้วยและจะมีอายุหนึ่งเดือนหลังเปิดใช้ ไม่ควรใช้เกินวันละ 4 ครั้ง เพราะจะทำให้ผิวกระจกตาหลุดร่อนได้ โดยทั่วไปเมื่อมีอาการผิดปกติทางตา แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง แต่ในกรณีไม่สะดวกที่จะไปตรวจได้ และจำเป็นต้องใช้ยาหยอดตาก็ควรหลีกเลี่ยงยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบจักษุแพทย์พร้อมนำขวดยาที่ใช้ไปให้แพทย์ด้วย หลังจากทราบถึงข้อบ่งชี้และข้อควรระวังของยาหยอดตาชนิดต่าง ๆ แล้ว ต่อไปควรทราบถึงข้อควรปฏิบัติและวิธีการหยอดยาอย่างถูกต้องกัน 1. เก็บรักษายาหยอดตา ยาแต่ละชนิดมีวิธีเก็บรักษาที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่สามารถเก็บที่อุณหภูมิห้องได้ บางชนิดต้องเก็บในตู้เย็น ที่สำคัญอย่าลืมยาทิ้งไว้ในรถที่ตากแดด เพราะความร้อนจะทำให้ยาเสื่อมสภาพ 2. ก่อนใช้อ่านฉลากวันหมดอายุ พร้อมเขียนวันเปิดใช้ไว้ที่ฉลากข้างขวด เมื่อเปิดใช้ครบหนึ่งเดือน หรือ ตัวยามีการเปลี่ยนสีให้ทิ้งทันที เนื่องจากอาจเริ่มมีการปนเปื้อนของเชื้อ 3. ล้างมือให้สะอาด ถ้ารอบ ๆ ดวงตามีขี้ตาหรือเครื่องสำอางให้ใช้สำลีสะอาดชุบน้ำอุ่นเช็ดอย่างเบามือ ยาบางชนิดจำเป็นต้องเขย่าขวดก่อนหยอดเนื่องจากมีลักษณะเป็นยาน้ำแขวนตะกอน 4. หาที่นั่งที่มีพนักพิงหรือที่นอนที่สามารถแหงนหน้าขึ้นได้โดยไม่เสียการทรงตัว ใช้นิ้วดึงเปลือกตาล่างลงพร้อมกับหยอดยาลงในกระพุ้งตาล่าง 1-2 หยด ถ้าเป็นขี้ผึ้งป้ายตา บีบยายาวประมาณ 1 เซนติเมตร ให้ป้ายจากหัวตาไปหางตา โดยระวังไม่ให้ปลายหลอดยาสัมผัสกับตาหรือมือ เนื่องจากจะทำให้เชื้อสามารถเล็ดลอดเข้าไปปนเปื้อนยาหยอดตาได้ 5. หลับตาไว้ 3 นาที ยาจะค่อย ๆ ถูกดูดซึมเข้าไป หากมียาหลายชนิดที่ต้องหยอดในเวลาเดียวกัน ควรรอให้ระยะเวลาหยอดตาห่างกันอย่างน้อย 10 นาที เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของยาทั้งสองชนิด เนื่องจากการหยอดยา 2 ชนิดในเวลาใกล้กันเกินไป ยาหยดที่ 2 จะไปทำให้ความเข้มข้นของยาหยดแรกลดลง จนอาจทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ 6. ยาบางชนิดหยอดแล้วอาจมีอาการขมคอ สามารถแก้ไขได้โดยการเอานิ้วกดบริเวณหัวตา การเอานิ้วกดตรงหัวตา นอกจากจะช่วยลดปริมาณยาไหลลงคอได้แล้วยังช่วยเพิ่มการออกฤทธิ์ที่ตาได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังลดอาการข้างเคียงต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกายได้อีกด้วย 7. ยาหยอดส่วนที่เกินล้นออกมานอกตา ให้ใช้สำลีค่อย ๆ ซับออก อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะจะทำให้ผิวหนังรอบดวงตาเกิดการอักเสบได้. |