ท าไมถ งเปล ยนผอ.โรงเร ยนบ านส มกบ ช ยภ ม

สัมนนาตั้งปลัดกระทรวง-อธิบดี ผลการศึกษาแนะตั้ง ก.บ.ช.คัดสรร กันการเมืองจุ้น

เผยแพร่: 14 มี.ค. 2559 18:09 ปรับปรุง: 14 มี.ค. 2559 23:07 โดย: MGR Online

กมธ. บริหารราชการแผ่นดิน สัมนนาตั้งปลัดกระทรวง - อธิบดี แจงสรุปผลการศึกษา เสนอตั้งก.บ.ช. กันการเมืองจุ้นมาคัดสรร อดีตเลขาฯ ก.พ. ติง ระบบเปิดทำจริงอาจยาก อำนาจ ก.บ.ช. กว้างมาก แนะโฟกัสด้านเดียว ชี้ กระจายตามกระทรวงแทรกแซงยากขึ้น “ประมนต์” แนะพัฒนาแต่ต้น แก้ระบบ ก.พ.ร. ให้แข็งก่อน ที่ปรึกษาสำนักนายกฯ รับการเมืองต้องควบคุม แต่ต้องควบคู่คุณธรรม

วันนี้ (14 มี.ค.) คณะกรรมาธิการ (กมธ.) บริหารราชการแผ่นดิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้จัดสัมมนาเรื่อง “ข้อเสนอการคัดเลือกและแต่งตั้งปลัดกระทรวงและอธิบดี” ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ หมายเลข 306 - 308 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 2

โดยก่อนการสัมนา นายมนุชญ์ วัฒนโกเมร รองประธาน กมธ. คนที่หนึ่ง ในฐานะประธานอนุ กมธ. การปกครองการบริหารราชการแผ่นดิน และการพัฒนาระบบราชการ ได้สรุปผลการศึกษาข้อเสนอนี้ ว่า การแต่งตั้งตำแหน่งดังกล่าวเป็นอำนาจของรัฐมนตรีตามมาตรา 57 ขณะที่ ตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า ถือเป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูงทั้งในด้านงบประมาณ รวมถึงมีความเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายการเมืองกับข้าราชการประจำในการนำนโยบายปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต้องเป็นคนเก่ง คนดี ผนวกกับต้องมีความสามารถและเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย ดังนั้น กมธ. เห็นว่าเรื่องนี้ ต้องอยู่บนพื้นฐาน 4 ประการ คือ 1. หลักระบบเปิดภายในระบบราชการ 2. หลักการได้มาคนซึ่งคนดีและคนเก่ง 3. หลักการบริหารจัดการเป็นเฉพาะตามลักษณะงานของตำแหน่ง และ 4. หลักความสมดุลระหว่างฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ

ซึ่งมีข้อเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการคัดเลือกนักบริหารแห่งชาติ (ก.บ.ช.) เป็นองค์กรกลางบริหารงานบุคคล เพื่อให้ป้องกันการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง โดยมีคณะกรรมการ 3 - 5 คน ดำรงตำแหน่งเพียงวาระเดียว เพื่อคัดสรรผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการดังกล่าวจะมาจากกรรมการ ก.พ. ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาคัดเลือก ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง จากนั้นจึงเข้าสู่การอภิปรายและวิพากษ์รายงาน โดย นายนนทิกร กาญจนะจิตรา อดีตเลขาธิการ ก.พ. มองว่า กมธ. ได้ทำการศึกษาครอบคลุมในหลายประเด็น ซึ่ง ก.พ. ก็ได้ศึกษาร่างนี้มาตั้งแต่ปี 2551 แต่ยังไม่ได้ออก เพราะติดขัดเรื่องการเลือกปลัดกระทรวงที่รัฐบาลไม่เห็นด้วยและค้างมาทุกวันนี้

อย่างไรก็ดี ก.พ. มีข้อพิจารณากันมาก โดยเฉพาะระบบเปิด ถ้าทำจริงอาจยาก เนื่องด้วยพฤติกรรมการเติบโตสายงานตัวเอง ซึ่งระบบนี้ดีแต่ต้องมีระบบหมุนเวียน อาจะเป็นระดับกระทรวงสายงานใกล้เคียงกัน เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล หรือหน่วยงานใช้ความรู้อย่างเดียวกัน เริ่มตั้งแต่ระดับล่าง เพราะระดับบนอาจเกิดปัญหา

ทั้งนี้ อำนาจ กบช. กว้างมากตามที่ กมธ. เสนอ เกรงว่า อาจทำไม่ไหว ดังนั้น ควรโฟกัสไปงานด้านเดียว ส่วนที่มา ก.บ.ช. การสรรหากรรมการ ทุกฝ่ายอยากได้กรรมการดีและเก่ง แต่ไม่ง่าย และการกำหนดอายุคนเข้ามาทำหน้าที่ ก.บ.ช. เกรงว่า จะได้กรรมการเป็นข้าราชการเก่า ส่วนความเป็นกลางของกรรมการ ส่วนตัวเชื่อว่าระบบราชการเป็นกลางหายาก ตราบใดผู้บริหารระดับสูง หรือคนชั้นนำ ข้าราชการ มีคอนเนกชัน ซึ่งเป็นรากเหง้าปัญหาข้าราชการไทย แก้ได้หรือไม่ยังไม่เห็นทาง แต่ต้องเปลี่ยนความเคยชิน นอกจากนี้ เกรงความไม่มั่นคง เพราะมีการรวมศูนย์อำนาจ และหากการเมืองเข้มแข็งเข้ามาแทรกแซง ก.บ.ช. ที่เดียวทุกอย่างก็จบ หากกระจายไปตามกระทรวง คงแทรกแซงได้ยากขึ้น ส่วนวาระการดำรงตำแหน่ง ก.บ.ช. มองว่า สั้นเกินไป ควรมีอายุการดำรงตำแหน่ง 6 ปี แต่แค่วาระเดียว สำหรับเรื่องคุณสมบัติจริยธรรม มองว่าเป็นนามธรรมจับต้องได้ยาก ทำได้เพียงการระบุข้อห้ามที่เห็นได้ชัด ไม่ถูกกล่าวหาทุจริตหรือชู้สาว

“ส่วนตัวเห็นด้วยในหลักการปรับปรุงระบบแต่งตั้งข้าราชการทุกระดับให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ได้คนดี คนเก่ง ซึ่งข้อเสนอของ กมธ. ในเรื่องหลักการเห็นด้วย แต่มีบางข้อเสนอที่ยังน่าเป็นห่วง” นายนนทิกร กล่าว

ด้าน นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ในฐานะกรรมการ ก.พ. และสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ให้ความเห็นว่า เรื่องนี้นอกจาก สนช. ก.พ. ที่เป็นต้นเรื่องได้ดูมาหลายปี และเห็นปัญหาในการปรับปรุง แต่ที่ไม่เกิดขึ้นเพราะกระบวนการทางการเมือง

ทั้งนี้ ใน 4 หลักการ โดยเฉพาะระบบส่วนตัวเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ถ้าทำจริงต้องพัฒนาตั้งแต่ต้น ให้ข้าราชการสามารถย้ายได้ก่อนมากกว่าหนึ่งกรม หรือย้ายข้ามกระทรวง ไม่เช่นนั้น จะไม่สร้างความเข้าใจได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวในภาคเอกชนถือเป็นธรรมดา แต่ถ้าจะใช้ความพร้อมมีหรือยังแต่ได้คนเป็นที่ยอมรับมาก

ส่วนความสมดุลการเมืองและราชการ การแต่งตั้งเป็นหน้าที่รัฐมนตรีรวมถึงถอดถอน ซึ่งมีปัญหาถ้ามีรัฐมนตรีไม่ดี ดังนั้น จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง แต่การมีสมดุลทางการเมืองจำเป็นต้องดู เมื่อแต่งตั้งได้ก็ต้องถอดถอนได้ ถ้าข้าราชการไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ทว่า ไม่ใช่ตัดสินเพียงคนเดียวต้องมีคณะกรรมการ

อย่างไรก็ดี ก.บ.ช. หลักการทั่วไป แม้จะเป็นเรื่องดี แต่กรรมการไม่สามารถรู้จักคนสมัครได้ทั้งหมด ดังนั้น จำเป็นที่ควรมีผู้แทนในกระทรวงนั้น ๆ บ้าง เพราะถ้าปล่อยให้ก.บ.ช.แต่งตั้งแบบนี้ ก็คือ คนนอก อาจไม่รู้จัก ดังนั้น เพื่อความสมดุล

“คนเก่ง คนดี กระบวนการที่ทำเป็นการวัดที่ไม่สะท้อนความรู้ ความสามารถ แท้จริงทั้งหมด การรู้จักคน หรือ ก.บ.ช. ต้องรู้จักพฤติกรรม ยกตัวอย่างภาคเอกชนมีการประชุมเพื่อวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้เกิดการรู้จักกัน แต่ถ้าทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องมีการบวนการคุยกันได้ เปิดเผย เพื่อทำความรู้จัก ระบบก.พ.ร. ของไทยไม่เวริ์ค ต้องทำให้เข้มแข็งก่อน และเป็นประเด็นสำคัญ ระบบต้องแก้ไข ก่อนมีกรรมการ” นายประมนต์ กล่าว

ขณะที่ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และในฐานะอดีตเลขาธิการ ก.พ.ร. อธิบายว่า การจะทำให้ระบบราชการปลอดการแทรกแซงรวมถึงเป็นอิสระ แต่ปัญหาจะทำงานอย่างไรให้ประชาชนไว้ใจระบบราชการเองเข้าไปมีอิทธิพล เพื่อรักษาฐานอำนาจตัวเองแทนประโยชน์สุขของประชาชน

ทั้งนี้ จำเป็นต้องมีการออกแบบควบคุม คือ ฝ่ายการเมือง ออกนโยบายการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง ซึ่งนานาประเทศ การแต่งตั้งเป็นเรื่องทางการเมืองทั้งสิ้น เพราะผู้บริหารระดับสูงต้องมีสัมพันธ์ภาพ ก็มีหลายประเทศคิดเหมือนไทย จึงมีการใช้ระบบ Hybrid system คือ คุณธรรมควบคู่การเมือง และอำนาจทางการเมืองไม่เข้ามายุ่งการแต่งตั้งคงเป็นไปไม่ได้ เพราะในฐานะตัวแทนปวงชนชาวไทย เพื่อควบคุม