อนุสัญญากรุงสต็อกโฮล์ม ว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (Stockholm Convention on Persistent Organic Pollutants: POPs) หรือเรียกย่อว่า อนุสัญญา POPs มีจุดมุ่งหมายเพื่อคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (POPs) ปัจจุบันนี้ สารเคมี POPs ที่ถูกกำหนดขึ้นมี 12 ชนิดคือ อัลดริน (aldrin) คลอเดน (chlordane) ดิลดริน (dieldrin) เอนดริน (endrin) เฮปตะคลอร์ (heptachlor) เอชซีบี (hexachlorobenzene) ไมเร็กซ์ (mirex) ท็อกซาฟีน (toxaphene) พีซีบี (Poly chlorinated Biphenyls: PCBs) ดีดีที (DDT) ไดออกซิน (Polychlorinated dibenzo-p-dioxins: PCDDs) และฟิวแรน (Polychlorinated dibenzofurans: PCDFs) สารเหล่านี้เป็นกลุ่มสารประกอบอินทรีย์ซึ่งถูกย่อยสลายได้ยากโดยแสงหรือสารเคมี หรือโดยชีวภาพทำให้เกิดการตกค้างในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานานและสามารถเคลื่อนย้ายไปได้ไกลมาก มีคุณสมบัติละลายน้ำได้น้อยมากแต่ละลายได้ดีในไขมันจึงเป็นผลให้มีการสะสมในไขมันของสิ่งมีชีวิต มีความเป็นพิษสูงจึงเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต การเจ็บป่วย และความพิการแต่กำเนิดของมนุษย์และสัตว์ เป็นสารก่อมะเร็ง อาการแพ้ และระบบประสาทไวต่อความรู้สึก ระบบประสาทส่วนกลางและรอบนอกถูกทำลาย ระบบการสืบพันธุ์บกพร่อง สารดังกล่าวบางชนิดสามารถเปลี่ยนแปลงระบบฮอร์โมน ทำลายระบบการสืบพันธุ์และระบบภูมิคุ้มกันได้ พันธกรณีสำคัญที่ภาคีต้องปฏิบัติได้แก่ การออกมาตรการทางกฎหมายและการบริหารในการห้ามผลิตและใช้สาร POPs 9 ชนิดแรก การควบคุมการนำเข้าและส่งออกสาร POPs การส่งเสริมการใช้สารทดแทน การกำหนดแนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุด (Best Available Techniques: BAT) และแนวทางปฏิบัติทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด (Best Environmental Practices: BEP) และประสานงานกับประเทศภาคี ประเทศไทยให้สัตยาบันในอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2548 โดยกรมควบคุมมลพิษ ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงาน (focal point) ในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญา อาเซียนและอนุสัญญา POPs ภายใต้ อนุสัญญา POPs ประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศได้ให้สัตยาบันและภาคยานุวัติแล้ว เนื่องจากเห็นความสำคัญของอันตรายและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมภายในประเทศของตน ประเทศไทยกำหนดให้กรมควบคุมมลพิษ ในฐานะศูนย์ประสานงานอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ (Stockholm Convention Focal Point) ได้จัดทำแผนจัดการระดับชาติเพื่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ ซึ่งได้รับการรับรองจากคณะรัฐมนตรี จากการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 โดยมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่ประสานงานและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนจัดการระดับชาติฯ และจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อรัฐบาล รวมทั้งมอบหมายกระทรวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนจัดการระดับชาติฯ และรายงานผลการดำเนินงานประจำปีต่อรัฐบาล [ข้อมูลจาก www.pcd.go.th] นอกจากนี้ ประเทศไทยได้จัดทำ Thailand Dioxin and Furan Release Inventory ภายใต้การทำงานร่วมกันระหว่างกรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และ กรมวิชาการเกษตร กรมอนามัย เป็นต้น โดยจดกำเนิดสารมลพิษอินทรีย์ตกค้างยาวนาน ได้แก่ การเผาขยะ กระบวนการผลิต/การถลุงโลหะ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน เป็นต้น นอกจากนี้ การควบคุมการใช้สาร POPs ยังอยู่ภายใต้กฎหมายหลายฉบับที่มีองค์กรดำเนินงานมากมาย เช่น ในช่วงปี พ.ศ. 2523 – 2538 มีการห้ามการนำเข้าสารหลายประเภท ห้ามใช้สาร DDT สำหรับการเกษตร ในปี พ.ศ. 2525 และห้ามใช้ในการกำจัดยุงลายในปี พ.ศ. 2537 และ ห้ามนำเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่มีสาร PCBs เป็นองค์ประกอบในปี พ.ศ. 2518 แต่ยังให้ใช้ได้ในบางอุตสาหกรรม เป็นต้น [UNEP, 2001] แผนจัดการระดับชาติเพื่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ ของไทยได้กำหนดแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ การสร้างความตระหนักให้กับประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง การจัดทำ/ปรับปรุงฐานข้อมูลทำเนียบสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน การพัฒนาระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูล ให้ความรู้การศึกษาวิจัยเทคโนโลยีการจัดการสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานที่เหมาะสม ตลอดจนการกำจัดสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานขั้นสุดท้ายเพื่อไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมและเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดและขจัดมลพิษจากสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน [ที่มา: www.pops.pcd.go.th] จากรายการสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานที่สำคัญ 12 รายการดังกล่าวข้างต้นนั้น สารมลพิษที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ สาร DDT และ PCBs เนื่องจากภายใต้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มีอยู่ (best available techniques) โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้น การใช้สารเคมีดังกล่าวจึงยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน จึงยังคงมีความกังวลในเรื่องสารมลพิษตกค้างยาวนาน โดยเฉพาะสาร Dioxin และ Furans (ซึ่งเป็นสารมลพิษที่รุนแรงที่สุดในบรรดารายการสารมลพิษ POPs) ที่มีการใช้ในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม และในกรณี DDT ยังคงมีใช้ในการควบคุมการแพร่พันธุ์ของยุง (WHO ยังยอมรับการใช้สาร DDT) โดยเฉพาะการป้องกันไข้มาลาเรีย จนกว่าจะมีสารอื่นที่ดีกว่ามาใช้ทดแทน ภายใต้ข้อตกลงที่จะลดการใช้สาร PCBs (phasing out) ที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2025 ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องยังพอมีเวลาปรับตัวที่จะหาสาร PCB-free มาใช้แทนในอนาคต อย่างไรก็ดี ประเทศสมาชิกจะต้องหาหนทางหรือวิธีการที่จะกำจัดชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่มีสาร PCBs เป็นองค์ประกอบให้ถูกต้องตามหลักวิชาการและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ในประเทศ สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ที่เป็นประเทศต้องเผชิญกับการจัดการสารมลพิษ PCBs ที่มีอยู่ในชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการจัดการ E-waste ที่มีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ว ยังต้องเผชิญกับการจัดการสารมลพิษที่มีอยู่ใน E-waste ด้วย ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมากในการรวบรวมชิ้นส่วน ตลอดจนการให้ความรู้ความเข้าใจแก่กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ E-waste ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ย่อมเผชิญกับปัญหาดังกล่าวในอนาคต แต่มีศักยภาพในการจัดการที่ต่ำ ด้วยเหตุนี้ การดำเนินการภายในประเทศสมาชิกอาเซียน อาจจะยังไม่มีความก้าวหน้าเท่าใดนัก ทั้งด้านกิจกรรมและมาตรการหรือกฎหมาย เนื่องจากงบประมาณและบุคลากรในด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากสารฆ่าแมลงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศที่พึ่งพิงการเกษตรเป็นหลัก ทำให้มาตรการในการควบคุมสาร POPs จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศที่มีลักษณะการปกครองและโครงสร้างเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น
ที่มา: นิรมล สุธรรมกิจ และคณะ (2555). “โครงการการเปรียบเทียบมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของสมาชิกประชาคมอาเซียน”. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. |