The younger daddy ฟ ค ค ณพ อไอดอล ม อ2

สมัยก่อนตอนเรียนภาษาอังกฤษใหม่ๆสิ่งที่เราจะต้องเจอในบทเรียนแรกๆ ในเรื่องของ My family (ครอบครัวของฉัน) คือการบอกว่าในบ้านเรามีใครบ้าง ถ้าอย่างกรณีเป็นครอบครัวเล็กๆก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ ก็แค่แนะนำไปว่า “There are 3 people in my family: my father, mother and me.” แค่นี้ก็จบ

Show

แต่สำหรับคนที่มีครอบครัวใหญ่ แค่เรียกให้ถูกในภาษาไทยยังยากเลย ภาษาอังกฤษไม่ต้องพูดถึง! สุดท้ายเลยมักจบลงที่พูดตามเพื่อนไป ต่อให้ในบ้านจริงๆมีกันอยู่สิบคนก็บอกไปว่า There are 3 people in my family: my father, mother and me. เพื่อเอาตัวรอด (เคยเป็นกันใช่มั้ยบางคนน่ะ ยอมรับมาซะดีๆ)

เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ พวกเรา DailyEnglish เลยทำการจัดเรียงลำดับญาติของเราตั้งแต่ที่ใกล้ชิดมากๆ จนถึงไกลกันออกไป ลองมาดูกันนะคะว่าญาติๆของเราเนี่ย ภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่าอะไรกันบ้าง

The younger daddy ฟ ค ค ณพ อไอดอล ม อ2

ชุดคำศัพท์ ครอบครัวภาษาอังกฤษ

คำศัพท์ คำอ่าน คำแปลfather ฟาเธอะ พ่อ dad แด้ด พ่อ (ภาษาพูด) mother มาเธอะ แม่ mom / mum มอม/มัม แม่ (ภาษาพูด) son ซัน ลูกชาย daughter ดอเธอะ ลูกสาว brother บราเธอะ พี่ชาย/น้องชาย older brother โอลเดอ บราเธอะ พี่ชาย younger brother ยังเกอ บราเธอะ น้องชาย sister ซิสเทอะ พี่สาว / น้องสาว older sister โอลเดอ ซิสเทอะ พี่สาว younger sister ยังเกอ ซิสเทอะ น้องสาว siblings ซิบบลิงส์ พี่น้อง husband ฮัสแบน สามี wife ไวฟ ภรรยา parent พาเร้นทฺ ผู้ปกครอง/ บิดาหรือมารดา grandparents แกรนพาเร้นสฺ ปู่ย่าตายาย grandfather แกรนฟาเธอะ คุณปู่ / คุณตา grandmother แกรนมาเธอะ คุณย่า / คุณยาย grandchildren แกรนชิลเดรน หลาน grandson แกรนซัน หลานชาย granddaughter แกรนดอเธอะ หลานสาว great grandfather เกรท แกรนฟาเธอะ ปู่ทวด / ตาทวด great grandmother เกรท แกรนมาเธอะ ย่าทวด หรือ ยายทวด uncle อังเคิล ลุง / อา (เพศชาย) aunt อ๊านทฺ ป้า / น้า (เพศหญิง) cousin คะซึน ลูกพี่ลูกน้อง nephew เนฟิว หลานชาย niece นีซ หลานสาว father-in-law ฟาเธอะ อิน ลอ พ่อของ สามี / ภรรยา ของคุณ mother-in-law มาเธอะ อิน ลอ แม่ของ สามี / ภรรยา ของคุณ son-in-law ซัน อิน ลอ ลูกเขย daughter-in-law ดอเธอะ อิน ลอ ลูกสะใภ้ brother-in-law บราเธอะ อิน ลอ พี่เขย / น้องเขย sister-in-law ซิสเทอ อิน ลอ พี่สะใภ้ / น้องสะใภ้ stepfather สเต็ปฟาเธอะ พ่อเลี้ยง stepmother สเต็ปมาเธอะ แม่เลี้ยง stepson สเต็ปซัน ลูกเลี้ยง (ผู้ชาย) stepdaughter สเต็ปดอเธอะ ลูกเลี้ยง (ผู้หญิง) stepsister สเต็ปซิสเทอ ลูกสาวของพ่อเลี้ยง / แม่เลี้ยง stepbrother สเต็ปบราเธอะ ลูกชายของพ่อเลี้ยง / แม่เลี้ยง

เยอะแยะยั้วเยียะกันมั้ยล่ะคะ แน่นอนว่าวันสองวันคงจำได้ไม่หมดแน่นอน ฉะนั้นอย่าเพิ่งตกใจไปค่อยๆท่อง ค่อยๆจำ ที่สำคัญอย่าลืมนำไปใช้นะคะ

ถ้าไม่รู้จะแนะนำครอบครัวเรากับใคร ลองเปิดดูภาพสมาชิกในครอบครัวเรา พอเห็นหน้าใครก็ลองบอกซิว่าคนนี้คือ my uncle หรือ คนนี้คือ my sister-in-law หรือจะลองเขียนลำดับญาติแบบ family tree โดยเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็เก๋ไปอีกแบบ ได้ทบทวนด้วยว่าคนนี้ลูกใครหลานใครไปในตัว แค่นี้ก็เป็นการฝึกง่ายๆที่ทุกคนสามารถทำได้บ่อยๆเท่าที่เราต้องการและสะดวกเลยนะคะ

หลักการใช้ Present Continuous Tense ฉบับเข้าใจง่าย

Sep 1, 2015

อะไรเอ่ย เป็นปัจจุบันยิ่งกว่า Present Simple tense? พอจะตอบกันได้ไหมคะ ถ้าตอบได้แสดงว่าคุณเองคงจะพอรู้ๆเรื่องราวที่พวกเรา DailyEnglish กำลังจะพูดถึงกันต่อไปนี้ แต่ถ้าไม่ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ มาเรียนและทบทวนไปพร้อมๆกันนะคะ

อธิบายชื่อเสียก่อนเลยละกันจะได้ทำความเข้าใจง่ายขึ้น Present Continuous Tense หรือบางคนอาจะคุ้นหูในชื่อ Present Progressive ก็ไม่แปลกค่ะ เพราะชื่อต่างแต่หน้าตาและหน้าที่เหมือนกันเด๊ะ

คำว่า Present ในที่นี้แปลว่า ปัจจุบัน continuous /progressive ในที่นี้แปลว่า ต่อเนื่อง

อธิบายแต่ชื่ออาจจะยังนึกไม่ออกลองไปดูหน้าตากันเลยดีกว่า

I am working for CBT Company right now. (ตอนนี้ฉันกำลังทำงานให้กับบริษัทซีบีทีอยู่) She is doing her homework. (เธอกำลังทำการบ้านของเธออยู่)

พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างแล้วหรือยัง (เดาว่าต้องมีบางคนตอบว่ายังแน่ๆ ) สังเกตดูความหมายของประโยคนะคะว่ามีอะไรที่เหมือนกัน

ทั้งสองประโยคนี้นำมาซึ่งกรณีอันเป็นเอกลักษณ์ของ Present Continuous Tense ดังนี้:

The younger daddy ฟ ค ค ณพ อไอดอล ม อ2

กรณีที่ 1: เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ณ ขณะนั้น และเหตุการณ์นั้นยังไม่จบไป

ตัวอย่างเพิ่มเติมอย่างเช่น Please be quiet! The teacher is teaching (กรุณาเงียบหน่อยได้ไหม ครูกำลังสอนอยู่นะ) I am trying to fix this car. (ฉันกำลังพยายามจะซ่อมรถคันนี้อยู่)

แต่ถ้ามาลงลึกๆ ไอ้คำว่า กำลังทำ ในที่นี้ก็ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการกระทำที่เกิดตอนที่เรากำลังพูดตอนนี้เท่านั้นนะคะ แต่รวมถึงการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ในช่วงเวลานั้นก็ได้ บางครั้งเราเลยมักเห็นคำจำพวก today, this week, this month, this year, this three month etc. พ่วงติดท้ายมาบ้าง

เช่น A: Betty is studying hard this week. (เบ็ตตี้ตั้งใจเรียนเรียนมากๆเลยนะสัปดาห์นี้) B: Yeah, of course. She is going to have the exam next week. (แหงล่ะ ก็อาทิตย์หน้าเธอมีสอบน่ะสิ)

อย่าเพิ่งสงสารโชคชะตาอันอาภัพของเบ็ตตี้ ลองมาสังเกตดูตัวอย่างข้างต้นนะคะ ที่ A บอกว่าสัปดาห์นี้เบ็ตตี้ตั้งใจเรียนมากๆ ไม่ได้หมายความว่าในขณะที่ A พูดเบ็ตตี้กำลังนั่งอ่านหนังสืองกๆอยู่ แต่ช่วงเวลาหลายวันอาจตั้งแต่จันทร์ถึงวันนี้ที่ผ่านมาเกือบอาทิตย์ A เห็นเบ็ตตี้ตั้งใจเรียนมากต่างหาก

มาดูอีกตัวอย่างหนึ่งค่ะเพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น Wipa wants to go to France, so she is learning French. (วิภาอยากไปฝรั่งเศส ดังนั้นเธอก็กำลังเรียนภาษาฝรั่งเศสอยู่) เรียนในที่นี้วิภาอาจไม่ได้กำลังเรียนในขณะที่ผู้พูดพูดก็ได้ เพียงแค่ช่วงนี้เธอกำลังเรียนอยู่เท่านั้น

กรณีที่ 2: การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

โดยเรามักจะเจอกริยาพวกนี้ที่จะแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้กำลังจะเกิดในไม่ช้า อย่างเช่น get = ได้รับ / เข้าใจ change = เปลี่ยน become = กลายเป็น increase = เพิ่มขึ้น rise = สูงขึ้น/ลุกขึ้น/ปรากฏ fall = หล่น / ร่วง/ตก grow = เติบโต improve= ทำให้ดีขึ้น begin = เริ่ม start = เริ่ม

เช่น It is starting to rain. (ฝนกำลังจะเริ่มตกแล้ว) Your English is getting better. (ภาษาอังกฤษของคุณดีขึ้นเรื่อยๆ) Everything is changing. (ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป)

กรณีที่ 3: การกระทำที่แสนซ้ำซากจนน่าเบื่อ

ไอ้การกระทำนี้จะทำบ่อยจนคล้ายกิจวัตร เลยมักสับสนกับ Present Simple แต่ที่ต่างคือสิ่งที่ทำมันมากเกินพอดี

เช่น Patrick is always coming to work late. (แพททริกมาทำงานสายตลอดเลย) My mother is constantly complaining. (แม่ฉันนี่บ่นได้แบบไม่หยุดไม่หย่อนเลย)

สองประโยคด้านบนแม้เป็นเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำ แต่ลักษณะกิจกรรมมันมากเกินพอดีไปเลยให้มาใช้ Present Continuous Tense แทน

สิ่งที่ควรสังเกตว่าเมื่อไหร่จะใช้ Present Simple หรือเมื่อไหร่จะใช้ Present Continuous Tense

1. เนื้อหาบริบทของประโยคที่ดูแล้วเป็นกิจวัตรที่เกินพอดี หรือมากเกินไป 2. มี Adverb บอกความต่อเนื่องสม่ำเสมอ เช่น always, constantly, continually, endlessly หรือ phrases ที่บอกถึงความบ่อยเกินไปของกิจวัตรนั้นๆ อย่าง all the time, every minutes etc.

อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่ากริยา (Verb) ทุกตัวจะสามารถนำมาใช้กับ Present Continuous ได้ มีกริยาบางประเภทที่เป็นข้อยกเว้น ได้แก่

  • กริยาเกี่ยวกับประสาทสัมผัส หรือความรู้สึก เช่น fear hate hope like love prefer want wish
  • กริยาเพื่อแสดงความเห็น เช่น assume believe consider
  • กริยาเกี่ยวกับสภาวะภายในจิตใจหรือในสมอง เช่น forget imagine know notice remember understand
  • กริยาเกี่ยวกับการวัดปริมาณ เช่น contain cost measure weigh

เพราะอะไรกริยาเหล่านี้ถึงเป็นข้อยกเว้น? ลองมาดูเล่นๆซักสองประโยคก็ได้ค่ะ เอากริยาที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง know ที่แปลว่า รู้/รู้จัก กับ like ที่แปลว่า ชอบ I know him. (ฉันรู้จักเขา ไม่ใช่ I am knowing him.) I like ice cream. (ฉันชอบกินไอศกรีม ไม่ใช่ I am liking ice cream.)

กริยาเหล่านี้เรียกอีกแบบว่า stative verb มีหน้าที่เพื่อบอกสภาพ สภาวะ ความรู้สึก สถานะ ไม่ได้แสดงออกมาในรูปของการกระทำ หรือการเคลื่อนไหวเหมือนกริยาอื่นๆ จึงไม่สามารถแสดงความต่อเนื่องได้เหมือนอย่างกริยา walk, run, study etc. นั่นเป็นสาเหตุให้ไม่สามารถนำมาใช้กับ Present Continuous ได้นั่นเอง

นี่เป็นเรื่องราวของ Present Continuous Tense / Present Progressive ที่เอามาเล่าให้กันฟัง ถ้ายังไม่เข้าใจลองกลับไปอ่านใหม่อีกครั้งนะคะ ดูตัวอย่างให้ดีๆ แต่ถ้าอ่านอีกรอบแล้วยังไม่เข้าใจหรืออยากรู้เรื่องอะไรเพิ่มเติมก็ comment หรือ inbox มาถามได้เสมอค่ะ ลองอ่านเกี่ยวกับไวยากรณ์อื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ

30 คำบอกรักภาษาอังกฤษสุดหวานซึ้ง

Aug 30, 2015

Love me like you do, la la love me like you do~ พอคุ้นๆเนื้อเพลงนี้กันบ้างหรือเปล่าคะ แหม ก็ช่วงหนึ่งเพลงนี้ฮิตฮอตติดตลาดไปที่ไหนก็ต้องมีคนเปิดฟังกันทั่ว อาจจะด้วยเนื้อเพลงโดนใจ เสียงของ Ellie Goulding หรืออาจจะเพราะได้ดูหนังหรืออ่านหนังสือแล้วอินกับ Mr. Grey ก็อาจจะชอบเพลงนี้ก็เป็นได้…

อารัมภบทมานานนี่แค่จะโยงเข้าเรื่องที่ว่า เอ…แล้วถ้าอยู่ๆเกิดไปแอบรักกับสาวหรือหนุ่มชาวต่างชาติ เราจะบอกรักเค้ายังไงดีนะ ครั้นจะบอกว่า I love you มันก็ตรงดีหรอกนะ แต่จะมีคำอื่นๆที่เราสามารถเอามาพูดแทนคำว่า I love you ได้มั้ยนะ? วันนี้ DailyEnglish เลยทำการรวบรวมคำบอกรักภาษาอังกฤษที่ทุกคนสามารถนำเอาไปใช้ได้

ลองมาดูกันนะคะว่ามีอะไรบ้าง และอยากลองเลือกประโยคไหนไปใช้บ้าง

The younger daddy ฟ ค ค ณพ อไอดอล ม อ2

1. I adore you (ไอ อะดอรฺ ยู) อารมณ์ประมาณว่าฉันหลงรักคุณค่ะ

2. You fill my heart (ยู ฟิล มาย ฮารฺท) คุณมาเติมเต็มให้หัวใจของฉัน

3. You’re my missing piece (ยัวรฺ มาย มิสซิ่ง พีซ) คุณคือส่วนที่ขาดหายไปของฉัน

4. You’re the only one for me(ยัวรฺ เดอะ โอนลี่ วัน ฟอรฺ มี) คุณคือรักเดียวของฉัน

5. I’m totally devoted to you (แอม โททอลลี ดิโวทเท็ด ทู ยู) อารมณ์ประมาณว่าฉันอุทิศรักฉันให้คุณ

6. You’re all I see (ยัวรฺ ออล ไอ ซี) คุณคือคนเดียวที่ฉันมอง/ฉันสองและสนใจแค่คุณคนเดียว

7. You’re the light of my life (ยัวรฺ เดอะ ไลทฺ ออฟ มาย ไลฟ) คุณคือแสงสว่างในชีวิตของฉัน

8. You’re my everything (ยัวรฺ มาย เอฟวรี่ซิง) คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน

9. I admire you so much (ไอ แอดมายรฺ ยู โซ มัช) ฉันชอบคุณมาก

10. No one matters but you (โน วัน แมทเทอรฺ บัท ยู) ไม่มีใครสำคัญนอกจากคุณ

11. I’m falling for you (แอม ฟอลลิ่ง ฟอรฺ ยู) ฉันหลงรักคุณเข้าแล้ว

12. I fancy you (ไอ แฟนซี ยู) ฉันชอบคุณ

13. I only have eyes for you(ไอ โอนลี แฮฟ อายสฺ ฟอรฺ ยู) ฉันมองแค่คุณคนเดียว

14. You make me feel young (ยู เมค มี ฟีล ยัง) คุณทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอนสาวๆ/หนุ่มๆ

15. You’re on my mind (ยัวรฺ ออน มาย มายดฺ) ฉันมักจะนึกถึงคุณเสมอ

16. You’re wonderful to me (ยัวรฺ วันเดอฟูล ทู มี) คุณช่างแสนพิเศษสำหรับฉัน

17. You’re adorable to me (ยัวรฺ อะดอระเบิล ทู มี) คุณน่ารักสำหรับฉัน

18. You amaze me (ยู อะเมซ มี) คุณทำให้ฉันประทับใจ

19. My feelings are overwhelmed by you (มาย ฟีลลิง อา โอเวอเวลมฺ บาย ยู) ฉันรู้สึกมีความสุขที่มีคุณ

20. You make my life worth living (ยู เมค มาย ไลฟ เวิรธฺ ลีฟวิง) คุณทำให้ชีวิตฉันมีค่า

21. You’re my inspiration (ยัวรฺ มาย อินสไปเรชั่น) คุณคือแรงบันดาลใจของฉัน

22. You make me feel good about myself (ยู เมค มี ฟีล กู๊ด อะเบ้าท มายเซลฟฺ) คุณทำให้ฉันรู้สึกดีกับตัวเอง

23. You’re my treasure (ยัวรฺ มาย เทรเช่อ) คุณคือสมบัติล้ำค่าของฉัน

24. You’re my object of affection (ยัวรฺ มาย อ๊อบเจ็ค ออฟ แอฟเฟ็คชั่น) คุณคือจุดหมายของความรักของฉัน

25. You’re my one and only (ยัวรฺ มาย วัน แอน โอนลี่) คุณคือหนึ่งเดียวของฉัน

26. You complete me (ยู คอมพลีท มี) คุณเติมเต็มให้ฉัน

27. I need you more than anything (ไอ นี้ด ยู มอ แดน เอฟวรี่ซิง) ฉันต้องการคุณมากกว่าสิ่งใดๆ

28. You’re special to me (ยัวรฺ สเปเชียล ทู มี) คุณคือคนพิเศษสำหรับฉัน

29. You’re the air I breath (ยัวร์ ดิ แอ ไอ บรีท) คุณคืออากาศที่ฉันหายใจ ประมาณว่าสำคัญมาก ขาดเธอฉันอาจตาย

30. I’ve looked for you my entire life (ไอ ลุคทฺ ฟอรฺ ยู มาย เอนไทเออะ ไลฟฺ) ฉันตามหาคุณมาทั้งชีวิต

เป็นอย่างไรบ้างคะ พอจะได้ไอเดียไปบอกรักคนพิเศษกันบ้างแล้วหรือยัง นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อยที่เรานำมาเสนอเท่านั้นนะคะ การบอกรักภาษาอังกฤษก็คล้ายๆกับการบอกรักในภาษาไทย มีการเปรียบเปรยว่าเธอเหมือนอย่างนั้นอย่างนี้ ให้สาวหรือหนุ่มรู้สึกว่าเราไม่ใช่แค่รักเค้า แต่เค้ายังมีความหมายต่อเราในด้านอื่นๆอีกด้วย

รู้ทั้งความหมายและคำอ่านก็ลองเอาไปใช้กันดูนะคะ คนมีคู่ก็ไปบอกคนที่เรารักให้เค้าชื่นใจ ยืนยันความรู้สึกของเราให้เค้าอีกที เติมความหวานให้ชีวิตคู่บ้างนิดๆหน่อยๆ หรือคนที่กำลังจะสารภาพรักก็เอาไปใช้ได้ จะสมหวังหรือผิดหวังเราอาจกะเกณฑ์ไม่ได้หรอกค่ะ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ไม่เสียใจที่ได้บอกความรู้สึกของเราไป ทุกคนว่าจริงมั้ยคะ

ลองอ่านคำคมความรักภาษาอังกฤษได้ที่นี่

10 สำนวนภาษาอังกฤษสุดฮิตในชีวิตประจำวัน

Jul 27, 2015

การรู้คำศัพท์มากมาย หรือท่องจำแกรมม่าร์ได้ขึ้นใจ ก็ไม่สามารถการันตีว่าเราจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง เพราะภาษาอังกฤษมีวลีและสำนวนมากมายที่ไม่ได้มีความหมายตรงตัว ดังนั้นนอกจากคำศัพท์แล้วเราจำเป็นต้องเข้าใจวลีต่างๆด้วย จะได้คุยกับฝรั่งให้รู้เรื่องมากยิ่งขึ้นครับ

วันนี้ผมได้รวม 10 สำนวนภาษาอังกฤษ ที่มีประโยชน์สำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นคลังคำศัพท์ชั้นเลิศที่สามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง! มาดูกันเลยครับว่ามีคำอะไรบ้าง

The younger daddy ฟ ค ค ณพ อไอดอล ม อ2

1. big deal! – แล้วไง?

ปกติแล้ว big deal เนี่ยแปลว่า “เรื่องใหญ่” เช่น นาย A มาพูดกับ B ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “Sorry mate, I can’t come to the group meeting after school.” ขอโทษทีเพื่อน เรามาประชุมงานกลุ่มหลังเลิกเรียนไม่ได้ว่ะ…ส่วน B ก็ตอบกลับไปว่า “Hey don’t worry. It’s no big deal” เฮ้ยไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายซักหน่อย

แต่! big deal ยังมีอีกความหมายหนึ่งว่า “แล้วไง, ไม่เห็นมีอะไรเลย, ก็แค่นั้น” พูดง่ายๆก็คือ เราสามารถใช้คำนี้ตอนที่เราไม่แคร์สื่อ ไม่อื้อหือกับเรื่องที่ได้ยินมานั่นเองครับ

เช่น ถ้ามีคนมาบอกเราว่า “I’m very happy with my life. I have a well-paid job and a beautiful girlfriend. Oh and I just bought a new car.” ให้เบ้ปากแล้วพูดใส่หน้ามันไปเลยว่า “Big deal!” แล้วไงฟะ! พูดแบบนี้กะมาอวดว่างั้น


2. ring a bell – คุ้นๆนะ แต่จำไม่ได้อะ

เป็นอีกวลีที่ได้ยินบ่อยๆ อะไรก็ตามที่ ring a bell หมายความว่าเราอาจเคยเห็น เคยอ่าน เคยพบเจอ เคยมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับสิ่งของ หรือคนใดคนหนึ่งมาก่อน แต่พอได้เจออีกทีกลับจำไม่ค่อยได้

เช่น Your face rings a bell. Have we met before? หน้าเธอคุ้นๆนะ เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า This book rings a bell. I seem to remember reading it. หนังสือเล่มนี้คุ้นๆแฮะ รู้สึกว่าเราเคยอ่านมันแล้วนะ You’re Frank? No, I’m afraid your name doesn’t ring a bell. ขอโทษนะแฟรงค์ แต่ว่าเราจำนายไม่ได้จริงๆว่ะ


3. don’t push your luck – ได้ใจเกินไปแล้วนะ

เคยมั้ยครับเวลาหมั่นไส้ใครแล้วอยากบอกคนนั้นเหลือเกินว่า “ได้คืบจะเอาศอก” แต่ไม่รู้จะพูดว่ายังไง…คำว่า don’t push your luck นี่แหละเหมาะสุดๆ!

เช่น เราขอแฟนเล่มเกมส์ชั่วโมงนึง พอครบชั่วโมงยังไม่พอ ขอเล่นต่ออีก คุณแฟนก็ตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบๆว่า “Don’t push your luck Babe…” อย่าให้มันมากไปนะที่รัก ถ้าไม่ปิดไฟแล้วมานอนอย่าหาว่าไม่เตือน!

ปล. จะพูดว่า don’t push it ก็มีความหมายเดียวกันนะครับ ใช้แทนกันได้


4. piece of cake – ของกล้วยๆ

สำนวนนี้จะว่าแปลกก็แปลก เพราะให้แปลตรงๆมันคือเค้กดีๆนี่เอง แต่พอมาเทียบกับสำนวนไทยกลับหมายถึงเรื่องกล้วยๆ หรือให้พูดง่ายๆก็คือ อะไรก็ตามที่เป็น piece of cake เนี่ย จะเป็นเรื่องที่เราสามารถได้มาง่ายๆ ทำให้สำเร็จได้แบบชิวๆนั่นเอง

เช่น I’ve studied for months before taking my TOEIC test. It was a piece of cake. สอบโทอิคน่ะเรอะ จิ๊บๆ ชั้นเตรียมตัวมาเป็นเดือนๆ เรื่องแค่นี้สบายมาก (อย่าเพิ่งโม้ รอดูคะแนนก่อนนะจ๊ะ)

บางคนอาจสงสัยว่าทำไม “เรื่องง่ายๆ” ต้องไปเปรียบเทียบกับเค้กด้วย นั่นเป็นเพราะฝรั่งเค้ามองว่าการทำเค้กน่ะเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่การกินเค้กนั้นง่ายแสนง่ายนั่นเอง!


5. all ears – ฟังอย่างตั้งใจ

แค่ฟังแบบธรรมดาให้ใช้ listen กับ hear แต่ถ้าเป็น all ears จะหมายถึงการตั้งใจฟังแบบสุดๆ เวลาใช้ให้เติมประธานข้างหน้าด้วยครับ

เช่น Do you want to hear what happened after the party last night? เธออยากรู้มั้ยว่าเมื่อคืนหลังงานปาร์ตี้เกิดอะไรขึ้น Oh yes! I’m all ears! เล่ามาให้หมดเปลือกเลยนะแก


6. call it a day – วันนี้พอแค่นี้ละกัน

เป็นสำนวนสุดเบสิคที่หลายๆคนกลับไม่รู้ความหมาย เพราะถ้าให้แปลตรงตัวมันไม่ make sense เอาซะเลย

สำนวนนี้มักจะถูกนำมาใช้ในที่ทำงาน เมื่อเราทำงานอย่างหนักมาทั้งวันแล้วมีคนพูดขึ้นมาว่า let’s call it a day เค้าหมายความว่าไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่นะ/ มาทำต่อพรุ่งนี้ละกัน


7. make do – ใช้เท่าที่มี

คำว่า make แปลว่า ทำ ส่วนคำว่า do ก็แปลว่า ทำ แต่เมื่อเอามาผสมกันเป็น “make do” จะหมายถึงการเอาตัวรอดด้วยสิ่งที่มีอยู่ ณ เวลานั้น

เช่น ถ้าเราอยากจะทำการ์ดวันวาเลนไทน์สีชมพูให้แฟน แต่ดันมีแค่กระดาษสีแดง เราก็จะพูดว่า I want to make a pink valentine for my boyfriend. But I’ll have to make do with a red one.

ถ้าอยากไปงานปาร์ตี้ชุดแฟนซี แต่ไม่มีเงินซื้อชุดใหม่ ต้องใช้ชุดเดิม ก็จะพูดว่า I want to buy a new dress for the party, but can’t afford one. I’ll have to make do with my old dress.


8. give it a shot – ลองดูซักตั้ง

เวลาที่เราต้องทำเรื่องยากลำบากที่เราไม่ถนัด หรือไม่มีความมั่นใจ เราก็มักจะท้อแท้ สำนวนนี้เอาไว้ใช้ปลุกใจทั้งตัวเองหรือคนรอบข้างให้ลองไฟท์ดูนั่นเอง

เช่น เพื่อนคนหนึ่งกำลังจะสัมภาษณ์สอบชิงทุนไปเรียนต่อ ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนรักก็ต้องให้กำลังใจว่า I know you’re nervous, but you have to give it a shot. กังวลใจอยู่ละสิ แต่ต้องสู้ๆนะเธอ ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก!


9. take for granted – เห็นเป็นของตาย

ถ้าเรา take something หรือ take someone for granted หมายความเราเราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น/คนนั้น คิดว่ายังไงก็ไม่มีทางเสียมันไป หรือพูดง่ายๆคือเห็นเป็นของตายนั่นเอง

เช่น Just because I’m here for you all the time doesn’t mean you can take me for granted! (เห็นชั้นอยู่ข้างๆเธอตอนมีปัญหา ไม่ได้หมายความว่าชั้นจะเป็นของตายนะ!)

แต่ take for granted ยังมีอีกความหมายหนึ่ง ว่า “ทึกทักไปเอง” คือการเชื่อ หรือสันนิษฐานอะไรซักอย่างโดยไม่รู้ว่าจะเป็นจริงรึเปล่า

เช่น I took for granted that John would arrive on time. But it turns out that he was an hour late! (ชั้นทึกทักไปเองว่าจอห์นจะมาตรงเวลาตามนัด แต่เค้าดันมาสายไปเป็นชั่วโมงซะงั้นอะ)


10. guess what? – รู้รึเปล่า?

เรามักจะใช้ guess what เกริ่นนำประโยคหรือข้อมูลน่าเหลือเชื่อบางอย่าง ที่พอเราบอกไปแล้วคนฟังจะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน ไม่ใช่การบอกให้คนฟังลองทายดูว่าเราจะพูดว่าอะไรนะครับ

เช่น Hey guess what? Today’s my birthday! (เฮ้ยรู้ป่าว วันนี้วันเกิดชั้นนะ)

เวลาตอบคนส่วนมากจะใช้คำว่า: really? (จริงดิ) wow! (ว้าว ไม่น่าเชื่อ) I have no idea! (เฮ้ย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ)

จบไปแล้วสำหรับ สำนวนภาษาอังกฤษ ที่เราเห็นได้บ่อยในชีวิตประจำวัน สำหรับคนที่ฝึกพูดภาษาอังกฤษต้องเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างอย่างแน่นอน ยังมีสำนวนอีกมากที่เราควรรู้ ไว้วันหลังจะเอามาฝากอีกนะครับ

คำศัพท์สับสน: Lose vs. Loose

Jul 12, 2015

วันนี้ DailyEnglish นำคำศัพท์สับสนที่เรามักจะเคยเห็นกันบ่อยๆมาให้ทุกคนได้เรียนกันครับ หลายคนคงเคยเห็นสองคำนี้กันมาบางแล้ว Lose และ Loose ทั้งคู่ต่างกันแค่ตัว o หนึงตัวที่เพิ่มขึ้นมาครับ เวลาออกเสียงก็คล้ายกันมากๆเลย แต่ความหมายต่างกันคนล่ะเรื่องเลยล่ะ

The younger daddy ฟ ค ค ณพ อไอดอล ม อ2

Lose อ่านว่า ลูส แปลว่า หาย, สูญหาย, พ่ายแพ้

คำนี้เป็นคำกริยานะครับ เวลาใช้ ก็เช่น Don’t wear your earrings outside. You may lose it. อย่าใส่ต่างหูออกไปข้างนอกนะ เดี๋ยวเธอก็ทำมันหายหรอก

I feel like Man United might lose Liverpool in this match. ฉันว่านะแมนยูอาจจะแพ้ลิเวอร์พูลในแมตชนี้

Loose อ่านว่า ลูส เหมือนคำข้างบนเลย แต่ ! คำนี้แปลว่า หลวม หรือ แก้มัด นะครับ

ถ้าอยู่ในรูปคำกริยา Loose จะแปลว่า แก้ แก้มัด ทำให้หลวม เช่น Mom! Could you loose my shoelaces for me? แม่ครับ แก้เชือกผูกร้องเท้าให้ผมหน่อย

ถ้าอยู่ในรูปคำคุณศัพท์ Adjective จะแปลว่า หลวม เช่น Daddy! I think this shirt is loose. I don’t like it. พ่อ… ผมว่าเสื้อตัวนี้มันหลวมๆอ่ะ ไม่ชอบเลย

เห็นความแตกต่างระหว่าง Lose และ Loose รึยังครับ ? บทความนี้คงจะช่วยให้เพื่อนๆเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองคำนี้นะครับ อย่าลืมใช้กันให้ถูกต้องด้วยนะครับ !

บทความต่อไป เราจะมาดูความแตกต่างระหว่างคำว่า Lose, Loss, Lost โอ้ ! สามคำนี้ พูดเลยว่าเป็นคำที่คนไทยใช้ผิดกันมากๆ

Jun 28, 2015

สวัสดีชาว DailyEnglish ทุกคนครับ วันนี้แอดมินมีคำศัพท์เกี่ยวกับเกมส์กระดานสุดฮิต (popular) หลายแบบมาฝากกัน เชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยเล่นกันมาบ้างแล้ว เรามาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง

The younger daddy ฟ ค ค ณพ อไอดอล ม อ2

  1. chess – เช็ส หมากรุก ผู้เล่นแบ่งเป็น 2 ฝ่ายโดยทั่วไปจะเป็นสีขาวและดำ เกมส์ดำเนินด้วยตัวหมาก (chess piece) 6 ชนิด คือ king, queen, knight, bishop, rook, pawn แต่ละตัวก็จะมีความสามารถในการเดินกระดานต่างกันครับ โดยเกมส์จะจบลงเมื่อตัว king ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกกิน หรือรุกฆาต (checkmate) หมายถึงไม่มีตาเดินต่อไปแล้ว Note: สำหรับหมากรุกไทยเกมส์จะจบลงเมื่อตัว queen ถูกกินนะ

2. checkers – เช็ค-เค่อส์ หมากฮอส คนอเมริกันใช้ checkers แต่ชาวอังกฤษเรียกว่า draughts (แดรฟส์) กติกาก็ง่ายๆ เกมส์จะแบ่งเป็นสองฝ่ายมีตัวหมากคนละ 8 หรือ 12 ตัว ผลัดกันเดินตามตารางแนวทแยง (diagonal) เพื่อกินตัวหมากของฝ่ายตรงข้าม เกมส์จะจบลงเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่เหลือตัวหมาก หรือไม่สามารถกินหมากกันได้อีก

3. go – โกะ หมากล้อม เกมส์กระดานสุดฮิตที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น แต่ตอนนี้ก็เป็นที่นิยมทั้งในจีน เกาหลี และประเทศอื่นๆมากมาย วัตถุประสงค์ของเกมส์คือการแย่งชิงอาณาเขต (territory) ของฝั่งตรงข้ามด้วยตัวหมาก เป็นเกมส์ที่ต้องใช้พลังสมองมากเนื่องจากกระดานมีขนาดกว้าง และรูปแบบการวางหมากเพื่อกินฝั่งตรงข้ามมีหลากหลาย

4. monopoly – มะ-นอ-พะ-ลิ เกมส์เศรษฐี เกมส์เศรษฐีถูกคิดค้นโดยชาวอเมริกัน เกมส์นี้คนไทยอย่างเราก็ชอบเล่นกันด้วย สามารถรองรับผู้เล่นได้ 8 คน เป้าหมายคือการกว้านซื้อที่ดิน บ้านและโรงแรมให้ได้มากที่สุด เพื่อเก็บค่าเช่าจากฝั่งตรงข้ามและทำให้ทุกคนอยู่ในสถานะล้มละลาย (bankrupt)

5. scrabble – สแครบ-เบิล เกมส์ต่อคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยชอบเรียกว่าครอสเวิร์ด แต่ฝรั่งเค้าเรียกว่า scrabble นะครับ เล่นได้ตั้งแต่ 2-4 คน โดยแต่ละคนจะทำการจับ (draw) ตัวอักษรภาษาอังกฤษขึ้นมาจากถุงมาต่อเป็นคำศัพท์ แต่ละตัวมีคะแนนให้ไม่เท่ากัน และเราสามารถเลือกวางในช่องพิเศษเพื่อเพิ่มคะแนนได้ เกมส์จะจบลงเมื่อไม่สามารถวางคำศัพท์ได้อีก ผู้ที่มีคะแนนสูงสุดจะเป็นฝ่ายชนะ

6. crossword – ครอส-เวิร์ด ครอสเวิร์ดเป็นเกมส์ลับสมอง มีตารางแนวตั้งแนวนอนมาให้ พร้อมกับคำใบ้ โดยเราต้องเติม (fill in) ตารางให้เต็มจากคำใบ้เหล่านั้น ระดับความยากมีตั้งแต่คำศัพท์พื้นฐานไปจนถึงคำศัพท์ที่ไม่ค่อยพบเห็นในชีวิตประจำวัน แอดมินเคยลองทำ crossword ในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษแล้ว บอกได้เลยว่ายากมาก -.-

7. sudoku – ซูโดกุ sudoku เป็นเกมส์ที่มีตารางใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วย 9 สี่เหลี่ยมจตุรัส หลักการคล้ายกับ crossword แต่จะเติมตัวเลข 1-9 ในช่องว่างแทน แต่ละแถวแนวตั้งนอน จะต้องไม่มีเลขใดที่ซ้ำกัน รวมไปถึงในสี่เหลี่ยมจตุรัสด้วย ความยาก-ง่ายถูกกำหนดด้วยจำนวนตัวเลขที่มีให้ตอนเริ่มเกมส์ ใช้ฝึกการคิดอย่างเป็นระบบ (logical thinking) ได้ดีมากครับ

8. tic-tac-toe – ทิค-แท็ค-โท สุดท้ายนี้จะว่าเป็นเกมส์กระดานก็ไม่ใช่ เพราะเราสามารถเล่นได้ทุกที่ แค่มีกระดาษกับปากกา ในบ้านเราก็เรียกเกมส์นี้ว่า “โอ-เอ็กซ์” กันนั่นเอง เป็นเกมส์ที่เล่นกันสองคน โดยผลัดกันเติมเครื่องหมาย O กับ X ให้เรียงได้ 3 ตัวติดกันในตาราง 9×9 เนื่องจากเกมส์มักจบลงด้วยการเสมอ (draw) เพราะผู้เล่นที่เชี่ยวชาญจะรู้เคล็ดลับการวางตำแหน่ง ทำให้เกมส์ OX เหมาะสำหรับเด็กอายุน้อย สมัยเด็กหลายๆคนต้องเคยเล่นกันบ้างล่ะ

แล้วเพื่อนๆเคยเล่นเกมส์กระดานสุดฮิตทั้ง 8 นี้ครบกันหมดแล้วหรือยัง? ถ้าสนใจกระดานไหนลองเข้าไปเล่นกันได้ที่ www.thaibg.com นะครับ บางเกมส์ก็สนุกและใช้ฆ่าเวลาได้ แต่บางเกมส์ถ้าเล่นอย่างต่อเนื่องก็จะเป็นเครื่องมือเพื่อการพัฒนาสมองที่ดีทีเดียว แล้วพบกันใหม่กับเกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษดีๆได้ที่ DailyEnglish นะครับ

ตัวเขียนภาษาอังกฤษ พร้อมวิธีการเขียน

Jun 20, 2015

ทุกคนคงทราบกันดีว่าในภาษาอังกฤษ นอกจากจะมีตัวอักษรปกติที่เราใช้เขียนหรือพิมกันในคอมพิวเตอร์ ยังมีตัวอักษรอีกรูปแบบนึงที่เราเรียกกันว่า ตัวเขียนภาษาอังกฤษ (English Alphabet Handwriting)

The younger daddy ฟ ค ค ณพ อไอดอล ม อ2

ทำไมต้องมีตัวเขียนภาษาอังกฤษ (English Alphabet Handwriting)?

ตามที่ฝรั่งเค้าเล่ากันมาว่าตัวเขียนภาษาอังกฤษช่วยให้เราเขียนได้รวดเร็ว ไม่ต้องยกปากกาบ่อยๆ เพราะตัวอักษรต่างๆในหนึ่งคำนั้นอยู่ติดกัน

ในอดีตผู้คนส่วนใหญ่ใช้ปากกาขนนก (quill) ในการเขียนจดหมายหรือเอกสารต่างๆ ซึ่งปากกาขนนกนั้นค่อนข้างที่จะเปราะบาง หักได้ง่าย ดังนั้นการที่ต้องยกปากกาขึ้นแล้วกดลงใหม่บ่อยๆก็จะทำให้ปากกาหักง่ายขึ้น นอกจากนี้ตัวเขียนภาษาอังกฤษ ยังเป็นตัวเอน ไม่ตั้งตรงเหมือนตัวอักษรปกติทั่วไป ทำให้แรงกดบนปากกาจึงน้อยกว่าการเขียนแบบปกติ คนสมัยก่อนจึงนิยมใช้ตัวเขียนกันอย่างแพร่หลาย

บทความนี้จะช่วยให้คุณได้ทำความรู้จักกับตัวเขียน และได้ทำการลองเขียนจริงผ่านแบบฝึกหัดต่างๆ คลิ๊กดาวโหลดแบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ (English Alphabet Handwriting) ด้านล่างกันได้เลย

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ A

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ B

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ C

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ D

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ E

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ F

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ G

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ H

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ I

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ J

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ K

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ L

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ M

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ N

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ O

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ P

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ Q

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ R

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ S

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ T

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ U

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ V

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ W

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ X

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ Y

แบบฝึกหัดตัวเขียนภาษาอังกฤษ Z

หลังจากที่ทุกคนปริ้นแบบฝึกหัดด้านบนออกมาแล้ว ก็ถึงเวลามาเขียนกันจริงๆสักที ลองทำตามวิดีโอด้านล่าง แล้วคุณจะรู้ว่า ตัวเขียนภาษาอังกฤษไม่ยากสักนิดเลย

พอเขียนได้กันแล้วใช่มั้ยล่ะครับ นอกจากตัวเขียนภาษาอังกฤษแล้วอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือตัวเลขในภาษาอังกฤษนั้นเอง ใครอยากรู้ว่าตัวเลขแต่ล่ะตัวในภาษาอังกฤษอ่านว่าอย่างไร มาดูกันที่

ตัวเลข 1-100 ภาษาอังกฤษ พร้อมเสียงอ่าน

“Wake Up” กับ “Get Up” ต่างกันยังไง?

Jun 3, 2015

เคยสงสัยกันมั้ยว่า “Wake Up” กับ “Get Up” ต่างกันยังไง? หลายครั้งเวลาดูหนังฝรั่งมักจะใช้ 2 คำนี้บ่อยๆเวลาตื่นนอน ทุกคนเคยสงสัยมั้ยว่า 2 คำนี้แปลว่าอย่างไร? วันนี้ DailyEnglish จะมาไขข้อข้องใจของหลายๆคนเองค่ะ

The younger daddy ฟ ค ค ณพ อไอดอล ม อ2

มาดูกันที่คำแรก “Wake Up”

  • “Wake Up” คำนึ้แปลว่า “ตื่นนอน” เวลาที่เราลืมตาขึ้นมาจากการนอนหลับ เช่น

Kate wakes up every morning when she hears her alarm. เคทตื่นนอนทุกเช้าเวลาได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ( เคทเป็นเด็กดี๊ดีเนอะ555 )

  • ” to wake (someone) up” แปลว่า “การปลุก” ให้ _____ ตื่น เช่น

Mom always wakes Jack up for school. แม่ปลุกแจ็คให้ไปโรงเรียนตลอด

แล้ว “Get Up” ล่ะ ??

“Get Up” แปลว่า “ลุก” หรือเวลาที่เราลุกจากเตียงนั่นเอง เช่น

Peter gets up from his bed and goes straight to the bathroom. ปีเตอร์ลุกจากเตียงแล้วตรงดิ่งไปยังห้องน้ำเลย (สงสัยปวดชิ้งฉ่อง-_-)

นอกจากจะใช้ตอนตื่นนอน “Get Up” ยังใช้เวลาที่เราลุกขึ้นจากการที่ต่างๆ เช่น ลุกจากเตียง ลุกจากพื้น ลุกจากเสื่อ เช่น

Hey Ken, you are sitting on my chair. Get up dude! เฮ้ย ไอ่เคน! แกนั่งเก้าอี้ชั้นอยู่นะ ลุกเลยย !

โดยสรุปแล้ว “Wake Up” นั้นมักจะใช้กับการตื่นนอน ส่วน “Get Up” ใช้กับการลุกขึ้นจากที่ต่างๆนั่นเองเป็นไงมั่งคะกับบทเรียนวันนี้ ถ้าคิดว่ามีประโยชน์อย่าลืมกดแชร์ กดไลค์ไปให้เพื่อนๆดูด้วยนะคะ

ลองอ่านบนความดีๆอื่นๆ

Live, Life,Living ต่างกันยังไง ?

คำศัพท์ (สับ)สนในภาษาอังกฤษ มีคำอะไรบ้าง มาดูกันเลย

ขอบคุณที่มาจากเว็บไซต์ : languagelearningbase

สระภาษาอังกฤษ และวิธีการอ่านออกเสียงที่ถูกต้อง

Jun 1, 2015

รู้หรือไม่ว่า สระภาษาอังกฤษมีตัวอะไรบ้าง?

สระภาษาอังกฤษ เราเรียกว่า Vowels ซึ่งประกอบไปด้วย 6 ตัว ได้แก่ a, e, i, o, u และ y นั่นเอง มาดูกันว่าแต่ละตัวออกเสียงอย่างไรบ้าง

The younger daddy ฟ ค ค ณพ อไอดอล ม อ2

สระภาษาอังกฤษ A

1. a = แอ เช่น bat, fan, pan hand, land, map, tax, pack

2. a = เอ (มักจะลงท้ายด้วย -ay) เช่น play, may, pay, day, say, way

3. a = อา (มักจะลงท้ายด้วย -ar) เช่น car, dark, sharp, farm, park, card

สระภาษาอังกฤษ E

1. e = อี (มักจะมี -ea ตรงกลาง) เช่น tea, meat, bean, leaf, weak, beach

2. e = เอ เช่น pet, red, desk, lend, tell, send, rent

สระภาษาอังกฤษ I

1. i = อิ เช่น rid, fish, big, ring, pin, fix

2. i = ไอ เช่น shine, nine, knife, wife, ride, line

สระภาษาอังกฤษ O

1. o = โอ เช่น rose, nose, note, rope, home

2. o = ออ เช่น lock, box, long, bomb, clock, top

3. oo = อุ, อู เช่น good, book, look, food, room, noon

สระภาษาอังกฤษ U

1. u= อะ เช่น cut, bus, gun, us, run, dust

นอกจาก a e i o u แล้วรู้หรือไม่ว่า y สามารถเป็นได้ทั้งพยัญชนะและสระภาษาอังกฤษ ได้ด้วยนะ

สระภาษาอังกฤษ Y

1. y = อาย เช่น fly, cry, eye, dry, spy, why, deny

2. y= อี เช่น daily, rainy, baby, sunny

รู้เรื่องสระแล้ว อย่าลืมอ่านหัวข้ออื่นๆเกี่ยวกับไวยากรณ์ภาษาอังกฤษด้วยนะครับ

ตาราง กริยา 3 ช่อง ที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน

May 31, 2015

กริยา 3 ช่อง คืออะไร?

คำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่อง และบ่งบอกถึงเหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาได้อีกด้วย

กริยา 3 ช่อง เป็นคำที่ใช้แสดงถึงอาการ เหตุการณ์ และช่วงเวลา คือ คำพูดที่แสดงการกระทำของประธานในประโยค หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยคำกริยา หากประโยคขาดคำกริยา ความหมายอาจจะผิดเพี้ยน และไม่สามารถทราบเหตุการณ์ อดีต หรือปัจจุบัน หรืออนาคต ได้เลย เพราะเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์