ช่วงเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 กษัตริย์อานันทมหิดล ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 ของประเทศสยามที่มีพระชนมายุ 20 พรรษา ได้ถูกยิงที่ศีรษะและเสด็จสวรรคตอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ในพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ตอนเย็นของวันนั้น เจ้าฟ้าชายภูมิพลอดุลยเดชซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์พระชนมายุ 18 พรรษา ได้รับการสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 กษัตริย์ภูมิพลได้ครองราชสมบัติตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ขณะนี้พระองค์ทรงชราภาพและเจ็บป่วยบ่อยครั้ง ทรงเก็บพระองค์เองอยู่ในโรงพยาบาลศิริราชด้านฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งไหลผ่านใจกลางเมืองหลวง แต่พระองค์ก็ยังคงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย Show โดยทางการแล้ว คดีฆาตกรรมเรื่องนี้ได้ถูกพรรณาไว้ว่าเป็นเรื่องลึกลับ เป็นปริศนาทางอาชญากรรมที่ผิดวิสัยที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก ซึ่งไม่สามารถเฉลยข้อเท็จจริงออกมาได้ในศตวรรษที่ผ่านมา แต่ในความจริงแล้ว มันชัดเจนมาเป็นเวลานานแล้วว่าใครเป็นผู้ปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล ความจริงได้ถูกปกปิดโดยสถาบันของประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันแสนเข้มงวด นั่นคือ กฎหมายอาญามาตรา 112 ของประเทศไทย ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการบุคคลต่างๆให้กลายเป็นอาชญากร เมื่อมีการสนทนาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศไทยอย่างเปิดเผยและโดยสุจริตใจ หลังจากที่กษัตริย์อานันทมหิดลได้เสด็จสวรรคตไปเพียงไม่กี่นาที สถานที่เกิดอาชญากรรมได้ถูกดัดแปลงอย่างจงใจเพื่อปกปิดหลักฐานต่างๆว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วคืออะไร บุคลากรที่อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในตอนเช้าของวันนัั้น ไม่เคยเปิดเผยความจริงต่อหน้าสาธารณะได้ว่าอะไรเกิดขึ้น และบุคคลผู้เดียวในขณะนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คือ ตัวกษัตริย์ภูมิพลนั่นเอง ดูเหมือนว่าพระองค์ไม่เคยเปิดเผยเลยว่าอะไรได้เกิดขึ้น และจะนำความลับนี้ลงสู่หลุมฝังศพไปพร้อมๆ กับตัวพระองค์เอง การสืบสวนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล ได้ถูกพิจารณาถึงความเป็นไปได้ 3 ประการคือ: 1) พระองค์ลอบถูกปลงพระชนม์ 2) ทรงพระราชอัตวินิบาตกรรม หรือ 3) พระองค์ทรงยิงพระองค์เองโดยอุบัติเหตุ การสอบสวนนั้น ได้แยกความเป็นไปได้ในประการที่ 4 ออกไปอย่างจงใจ: นั่นคือ กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงโดยอุบัติเหตุจากบุคคลบางคน ความเป็นไปได้ในประการที่ 4 นี้คือความจริง กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงและเสด็จสวรรคตโดยพระอนุชาของพระองค์เองคือ กษัตริย์ภูมิพล ดูเหมือนเป็นสิ่งที่นึกไม่ถึงเลยว่า การปลงพระชนม์นั้นเป็นเรื่องที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าแล้ว มันเป็นอุบัติเหตุอันน่าเศร้าอย่างมหันต์หรือเป็นความวิปลาส และมันได้ตามหลอกหลอนกษัตริย์ภูมิพลอดุลยเดชตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กษัตริย์ภูมิพลกำลังใกล้ถึงวาระสุดท้าย เป็นชายชราที่หมดกำลังวังชาในขณะนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า พระองค์ได้รับความทุกข์ทรมานตลอดชีวิตด้วยความอัปยศและความเศร้าใจ เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าของปี พ.ศ. 2489 คนไทยจำนวนมากที่เชื่อว่า ความจริงควรถูกฝังอยู่ ณ ที่แห่งนั้น เพราะการเปิดเผยมันขึ้นมาในเวลานี้ จะสร้างความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น แต่ในโลกศตวรรษที่ 21 ประเทศไทยได้จมปลักอยู่กับวิกฤตการณ์อันแสนเจ็บปวดนี้ เพราะการปฎิเสธจากชนชั้นสูงฝ่ายอำมาตย์ที่ทรงอำนาจ ต่อการอนุญาตให้มีการถกเถียงกันอย่างเปิดเผยและสุจริตใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และรวมไปถึงอนาคตของประเทศด้วย กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้บ่อนทำลายประเทศไทย มันถึงเวลาแล้วที่ความจริงจะได้รับการเปิดเผยออกมา เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ถึงแม้ว่าจะมีการทำลายหลักฐานต่างๆ และข้อเท็จจริงตามที่บุคคลที่เกี่ยวข้องได้โกหกว่าอะไรเกิดขึ้น มันเป็นไปได้ที่จะประกอบเหตุการณ์ขึ้นมาใหม่ว่า กษัตริย์อานันทมหิดลทรงเสด็จสวรรคตได้อย่างไร จุดสำคัญประการแรกคือ ไม่มีความเป็นไปได้ต่อความน่าเชื่อถือที่ว่า มีผู้ลอบสังหารที่ไม่มีใครรู้จัก สามารถหลบหลีกเข้าไปในพระบรมมหาราชวังในตอนเช้าของวันนั้นได้ การนำเอาปืนสั้น โคลท์ .45 อัตโนมัติออกมาจากตู้ที่อยู่ข้างเตียงนอนของพระองค์ ยิงพระองค์ตรงกลางศีรษะด้วยปืนกระบอกนั้น แล้วหลบหนีไปได้โดยที่ไม่มีใครเห็นเลย คนที่เป็นฆาตกรได้มีเพียงบุคคลบางคนที่อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานเท่านััน ผลที่ตามมาทันทีหลังจากที่กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคตไปแล้ว มันเป็นการสันนิษฐานที่แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางว่า พระองค์ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์และนักการเมืองเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้มารวมตัวกันอยู่ที่ชั้นล่างของพระที่นั่งบรมพิมานหลังจากการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลนั้น ไม่ได้ใช้เวลามากมายเท่าไรนักต่อการถกเถียงกันว่า พระองค์ได้ถูกปลงพระชนม์โดยมีผู้บุกรุกเข้ามาหรือไม่ —- ตามที่พวกเขาควรกระทำด้วยความมั่นใจ ถ้ามีข้อสงสัยอย่างชัดเจนว่าทำให้เกิดคดีนี้ขึ้น — แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ต่างก็โต้เถียงกันอย่างฉุนเฉียวว่าจะอธิบายต่อสาธารณชนอย่างไรดีว่า กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคตจากอะไร นางสังวาลย์ ซึ่งเป็นพระราชมารดาของกษัตริย์อานันทมหิดลได้ขอร้องกับนายปรีดี พนมยงค์ (ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งถือว่าเป็นรัฐบุรุษทางจิตวิญญาณ) ให้ประกาศว่า การยิงนั้นเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากตัวกษัตริย์อานันทมหิดลเอง แทนที่จะเป็นการกระทำอัตวินิบาตกรรม จากเหตุผลส่วนหนึ่งคือเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้ นายปรีดีและรัฐบาลก็ยินยอมทำตามคำขอร้องนั้น แต่เรื่องที่กษัตริย์อานันทมหิดลยิงตนเองด้วยความผิดพลาดนั้น ไม่เคยมีความเป็นไปได้แม้แต่น้อย ปืนโค้ลเป็นปืนพกที่ค่อนข้างหนัก น้ำหนักของมันมากกว่า 1 กิโลกรัมเมื่อบรรจุลูกกระสุนเข้าไปอย่างเต็มพิกัด และในการยิงปืนจะต้องออกแรงเพื่อดันเข้าไปอย่างแรงมาก ไม่เพียงแค่ที่ไกปืนเท่านั้น พร้อมกันนั้นจะต้องควบคุมที่แผงความปลอดภัยที่อยู่ด้านหลังของปืน โอกาสที่กษัตริย์อานันทมหิดลจะทรงทำเรื่องนี้โดยอุบัติเหตุ ในขณะที่ปืนกระบอกนี้จี้อยู่ตรงหน้าผากของพระองค์นั้น แทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังพบว่าปืนกระบอกนี้ได้ถูกวางอยู่ด้านซ้ายมือข้างๆ ตัวของกษัตริย์อานันทมหิดล แต่พระองค์เป็นผู้ถนัดการใช้มือข้างขวา ดูเหมือนว่า หลักฐานได้ชี้นำว่า กษัตริย์อานันทมหิดลนอนหงายอยู่ในขณะที่ถูกยิง และพระองค์ก็ไม่ได้สวมแว่นตา ซึ่งเมื่อปราศจากแว่นตาแล้ว สายตาของพระองค์จะเห็นภาพอย่างพร่ามัว ซึ่งแทบจะไม่มีความน่าเชื่อถือเลยที่กษัตริย์อานันทมหิดลจะนำเอาปืนโคลท์ .45 ของพระองค์ออกมาเล่น ในขณะที่นอนหงายโดยไม่ได้สวมแว่นตาของพระองค์อีกด้วย การทำอัตวินิบาตกรรมเป็นทฤษฎีที่มีความน่าเชื่อเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับหลายๆคนแล้วด้วยเหตุผลแบบเดียวกันคือ ตัดเอาความเชื่อที่ว่ากษัตริย์อานันทมหิดลเป็นผู้ยิงพระองค์เองนั้นทิ้งไป เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ สำหรับการที่บุคคลจะสามารถยิงตัวเองได้ในขณะที่นอนหงาย และจากวิถีกระสุนที่วิ่งผ่านกระโหลกศีรษะของกษัตริย์อานันทมหิดลนั้น ยังเป็นสิ่งที่ผิดปกติเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำอัตวินิบาตกรรม ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่กษัตริย์อานันทมหิดลได้เสด็จสวรรคตแล้ว ฝ่ายรอยัลลิสต์หลายคนที่เป็นนักการเมือง – โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช –เป็นผู้เริ่มการเผยแพร่ข่าวลือให้กระจายออกไปว่า นายปรีดี พนมยงค์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล ข้อกล่าวหานี้เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด และไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือใดๆที่สามารถสนับสนุนข้อกล่าวหานี้ได้ แต่การเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกนำมาแสวงหาผลประโยชน์โดยกลุ่มรอยัลลิสต์ ด้วยการใส่ร้ายต่อนายปรีดี พร้อมกับผลกระทบร้ายแรงต่อประเทศไทย ในวันที่ 13 มิถุนายน อุปทูตชาร์ล ดับเบิ้ลยู โยสท์ (Charge d’affaires Charles W. Yost) ส่งโทรเลขลับไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกรุงวอชิงตัน โดยใช้หัวข้อว่า “การเสด็จสวรรคตของกษัตริย์แห่งกรุงสยาม” (Death of King of Siam) อุปทูตโยสท์ คาดการณ์ว่า:
อุปทูตโยสท์ได้ทบทวนการสนทนาระหว่างเขากับนายปรีดี ซึ่งมีความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งจากข่าวลือและการใส่ร้ายด้วยความเท็จในเรื่องที่เขามีส่วนเข้าไปพัวพันกับการปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์:
อุปทูตโยสท์ได้เขียนบทสรุปไว้ว่า นายปรีดี “ยังคงมีความตั้งใจในการพยายามทำงานร่วมกับพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่และพระราชมารดาของพระองค์” ในวันรุ่งขึ้น ก็มีโทรเลขอีกฉบับหนึ่งซึ่งเขียนโดยอุปทูตโยสท์ ด้วยท้ายเรื่องว่า “เชิงอรรถเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของพระมหากษัตริย์” (Footnotes on the King’s Death) ซึ่งให้ข้อคิดเห็น หลายทฤษฎีเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล และได้เล่าย้อนถึงการสนทนากับนายดิเรก ชัยนาม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เพิ่งจะได้รับการเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ภูมิพล โทรเลขฉบับนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ในหมวด “ลับ” (Secret):
อุปทูตโยสท์ได้รายงานต่อไปว่า หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชมีความพยายามอย่างเด่นชัดที่จะป้ายมลทินให้กับนายปรีดี โดยการส่งตัวแทนไปที่สถานทูตของประเทศสหรัฐอเมริกาและของประเทศอังกฤษ ด้วยการอ้างว่า นายกรัฐมนตรีเป็นผู้วางแผนทำการปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล:
โทรเลขได้บันทึกว่า เอกอัครราชทูตอังกฤษ คือ เซอร์ เจฟฟรี่ ทอมพ์สัน (Sir Geoffrey Thompson) ได้กล่าวกับอุปทูตโยสท์ว่า มีนักการเมืองหลายๆ คนได้เข้าพบเขาและเล่าเรื่องราวแบบเดียวกันให้ฟัง เอกอัครราชทูตทอมพ์สันบอกกับพวกเขาว่า เขายอมรับรายละเอียดอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลและปฎิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป การเผชิญหน้ากับข่าวลือที่สร้างความเกลียดชังเหล่านี้ ทำให้สถานภาพของนายปรีดีมีความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น ในวันที่ 18 มิถุนายน รัฐบาลของเขาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ค้นหาความจริงเกี่ยวกับประเด็นการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล หัวหน้าคณะกรรมการนี้คือ ประธานศาลฎีกา รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ระดับสูงสามพระองค์, ผู้บัญชาการทหารบก, ทหารเรือ และ ทหารอากาศ; ประธานศาลอาญาและประธานศาลอุทธรณ์ และประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาของรัฐสภาไทย คณะกรรมการชุดนี้ได้แต่งตั้งอนุกรรมการทางการแพทย์ ซึ่งประกอบด้วยแพทย์จำนวน 20 คน: เป็นชาวไทย 16 คน, ชาวอังกฤษ 2 คน, ชาวอเมริกัน 1 คน และชาวอินเดียหนึ่งคน คณะแพทย์ทั้งหมดได้ตรวจสอบด้วยวิธีการชันสูตรพระศพของกษัตริย์อานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าก็ตาม ในวันที่ 21 มิถุนายน พระศพของกษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกย้ายออกไปจากพระโกศ และพระเศียรได้รับการเอ๊กซ์เรย์ แต่ตามที่บันทึกไว้ข้างต้นว่า ขอบเขตจำกัดของงานที่กลุ่มแพทย์คณะนี้ได้รับมอบหมายมานั้น ได้ถูกเบี่ยงเบนออกไปอย่างจงใจ คณะแพทย์เหล่านี้ได้ถูกสั่งให้เลือกความเป็นไปได้สามประการ: 1) กษัตริย์อานันทมหิดลถูกปลงพระชนม์ใช่หรือไม่? 2) กษัตริย์อานันทมหิดลกระทำอัตวินิบาตกรรมหรือไม่? หรือ 3) กษัตริย์อานันทมหิดลทรงยิงพระองค์เองโดยอุบัติเหตุใช่หรือไม่? ความเป็นไปได้ประการที่ 4 คือ กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงจากบุคคลอื่นโดยอุบัติเหตุใช่หรือไม่นั้น ไม่เคยถูกกล่าวถึงเลย เมื่อคณะแพทย์กำลังทำหน้าที่ในการสอบสวนของพวกเขาอยู่ ฝ่ายรอยัลลิสต์ได้เผยแพร่ข่าวลือว่า ชีวิตของกษัตริย์ภูมิพลกำลังตกอยู่ในอันตรายด้วย เป็นความพยายามของพวกเขาที่จะรวบอำนาจทั้งหมดมาครอบครองอย่างบ้าระห่ำที่สุด พวกเขาพยายามใช้ยุทธวิธีการกระพือความกลัวของพวกเขา เข้าสู่ชัยชนะจากการสนับสนุนของเอกอัครราชทูตอังกฤษ เพื่อการทำรัฐประหาร นายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์และรัฐบาลของเขา อุปทูตโยสท์แจ้งกับกระทรวงการต่างประเทศที่กรุงวอชิงตันในโทรเลขลงวันที่ 26 มิถุนายน ได้ถูกจัดให้อยู่ในหมวด “ลับที่สุด” (Top Secret):
รายงานจากคณะแพทย์ได้เสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน และสามารถดูฉบับเต็มได้ที่นี่ แพทย์เกือบทั้งหมดลงความเห็นว่า ตัดเรื่องบาดแผลจากการทำร้ายพระองค์เองโดยอุบัติเหตุออกไป และข้อพิจารณาเรื่อง การทำอัตวินิบาตกรรมนั้นก็เป็นไปไม่ได้อย่างสูงเช่นกัน คณะแพทย์เชื่อว่า หลักฐานต่างๆแสดงให้เห็นว่า บุคคลบางคนได้ยิงกษัตริย์อานันทมหิดล ในวันที่ 27 มิถุนายนซึ่งเป็นวันเดียวกันนั้นเอง โทรเลขลับจากเอกอัครราชทูตเจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สัน ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตของประเทศอังกฤษได้บันทึกถึง การสนทนากับนายดิเรก ซึ่งบอกว่ามีการปิดบังอย่างจงใจจากภายในวังเอง หลังจากที่กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกปลงพระชนม์ ดูที่ย่อหน้าที่ 4:
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า กษัตริย์ภูมิพลรู้สึกหดหู่ใจจากการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐาของพระองค์ พระองค์และนางสังวาลย์ได้วางแผนที่จะเดินทางกลับไปยังเมืองโลว์ซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ถึงแม้ว่าระยะเวลาของการไว้ทุกข์ 100 วันยังไม่สิ้นสุดลงก็ตาม โทรเลขลับ จากเอกอัครราชทูตเจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สัน ลงวันที่ 17 สิงหาคม รายงานต่อไปว่า กษัตริย์ภูมิพลนั้นดูเหมือนจะป่วยและยากที่จะพูดจาอะไรออกมาได้:
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่กำหนดไว้โดยโหรหลวง นางสังวาลย์และกษัตริย์ภูมิพลได้ออกเดินทางไปยังเมืองโลว์ซานน์ ด้วยเครื่องบินที่ประเทศอังกฤษเป็นผู้บริการ อย่างเป็นทางการแล้ว พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ของประเทศไทย ได้เดินทางกลับไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์เพื่อสำเร็จการศึกษาของพระองค์ที่มหาวิทยาลัยโลว์ซานน์ แต่พระองค์ยังคงซึมเศร้าอยู่อย่างลึกซึ้ง นานๆครั้งจึงจะเข้าไปเรียนในห้องเรียน และไม่เคยเรียนจบปริญญาใดๆเลย ในปลายปี พ.ศ. 2489 พระองค์ส่งข้อความว่า พระองค์จะไม่เดินทางกลับสู่กรุงเทพในเร็ววันนี้ เพื่อร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพของกษัตริย์อานันทมหิดลอันเจ็บปวดได้ ตามที่โทรเลขของสถานทูตอังกฤษได้รายงานไว้เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2489 ว่า มีข่าวลือแพร่สะพัดในเรื่องที่ พระองค์จะทรงสละราชสมบัติอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน การสืบสวนถึงสาเหตุการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลได้เริ่มเข้มข้นขึ้นถึงจุดที่มีความเป็นไปได้อย่างท่วมท้นว่า ตัวกษัตริย์ภูมิพลต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ รัฐบาลกลัวว่าจะมีผลกระทบที่สั่นคลอนต่อเสถียรภาพในการเปิดเผยเรื่องราวนี้ออกมา และความไม่เต็มใจที่จะการกระตุ้นให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติ จากนั้นให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แทนนั้น รัฐบาลได้ตัดสินใจเก็บข้อมูลในส่วนที่กษัตริย์ภูมิพลมีส่วนเกี่ยวข้องและทำการเซ็นเซอร์ข่าวสาร เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 กลุ่มรอยัลลิสต์ของประเทศไทย ได้ร่วมมือกับกลุ่มคณะทหารของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ทำการโค่นล้มรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์ พวกเขาใช้ความเชื่อที่มีกันอยู่แพร่หลายในขณะนั้นว่า นายปรีดี ทำการซุกซ่อนหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล เพื่อสร้างความชอบธรรมต่อการยึดอำนาจของพวกเขา นายปรีดี พนมยงค์ได้หลบหนีออกไปจากประเทศไทยด้วยความกลัวว่าจะเป็นภัยกับชีวิตของตนเอง เรื่องราวเกี่ยวกับการหลบหนีของเขาอ่านได้ที่นี่ เพียงเวลาไม่กี่วันหลังจากนั้น มหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนีได้ถูกจับกุมพร้อมกันกับนายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งเป็นอดีตราชเลขาธิการ รัฐบาลชุดใหม่ได้กล่าวหาว่า พวกเขาร่วมกันวางแผนเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีนายปรีดีเป็นต้นคิดในการปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล เรื่องนี้เป็นความเท็จทั้งหมด ตามที่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ซึ่งเป็นรัชทายาทของการสืบราชสมบัติ ได้แจ้งกับเอกอัครราชทูตอังกฤษ เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สันเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เอกอัครราชทูตได้แบ่งปันความคิดเห็นของพระเจ้า วรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ในโทรเลขลับฉบับหนึ่งในวันรุ่งขึ้นดังนี้:
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 เอกอัครราชทูตทอมพ์สันได้สนทนาถึงการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลกับพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 จนถึงวันที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งจากการรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2490 หลวงธำรงค์ได้กล่าวอย่างหนักแน่นว่า กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงจนเสด็จสวรรคตโดยกษัตริย์ภูมิพล โดยที่รัฐบาลมีความรู้สึกว่า ไม่สามารถเปิดเผยข่าวนี้ออกมาได้:
ในเดือนถัดมา หลวงธำรงค์ฯ ได้กล่าวคำสนทนาอย่างชัดเจนยิ่งกว่าทุกๆ ครั้ง กับนายเอ๊ดวิน สแตนตั้น (Ambassador Edwin Stanton) ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในการดื่มน้ำชาร่วมกันเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2491 ดังต่อไปนี้:
ในเวลานั้น ความตื่นตกใจได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการปฎิเสธของกษัตริย์ภูมิพลที่จะเสด็จพระราชดำเนินกลับมาจากเมืองโลว์ซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และความกังวลใจถึงการมีส่วนรู้เห็นของพระองค์ในการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลจะสร้างความอ่อนแออย่างใหญ่หลวงให้กับพระองค์ในฐานะกษัตริย์ ผู้นำของกลุ่มรอยัลลิสต์รวมไปถึงนายควง อภัยวงศ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพี่น้องตระกูลปราโมชทั้งสองคน คือ หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ และ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ได้ร่วมกันวางแผนเพื่อประกาศว่า กษัตริย์ภูมิพลได้ทำการปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล พวกเขาหวังว่าจะเป็นการบังคับให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติเพื่อเปิดทางให้กับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรแทน ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ยากลำบากใจนี้ เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันปฎิเสธที่จะยอมรับมัน ข้อมูลข่าวเหล่านี้ได้ถูกส่งออกเป็นโทรเลขถึงกรุงวอชิงตัน โดยนายเคนเนท แลนดอน (Kenneth Landon) ซึ่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานฝ่ายเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 ดังนี้:
แผนการนี้ได้ถูกทำลายลงโดยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นนายทหารผู้มีอิทธิพลมากของกองทัพ จอมพลแปลกเป็นผู้โค่นล้มรัฐบาลของนายควง ด้วยการรัฐประหารในเดือนเมษายน พ.ศ. 2491 จอมพลแปลกต้องการเก็บกษัตริย์ภูมิพลไว้บนบัลลังก์ ด้วยความเชื่อที่ว่า ความลับในการปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดลโดยอุบัติเหตุนั้น สามารถถูกนำมาใช้เพื่อต่อรองผลประโยชน์กับตัวกษัตริย์ภูมิพลได้ในภายหลัง ตอนบ่ายของวันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2491 การพิจารณาคดีการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลได้เริ่มขึ้น มหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี รวมทั้งนายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งเป็นอดีตราชเลขาธิการ ได้ถูกกล่าวหาว่า สมคบกันทำการปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ด้วยแผนการที่สร้างขึ้นมาจากผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศคือนายปรีดี พนมยงค์ การพิจารณาคดีและการอุทธรณ์ได้ถูกดึงให้ยืดเยื้อเป็นเวลามากกว่า 6 ปี ท้ายที่สุด กษัตริย์ภูมิพลได้เสด็จพระราชดำเนินกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างรวบรัด เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2493 เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพฯพระเชษฐาของพระองค์ และเข้าพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ รวมทั้งพิธีราชาภิเษกสมรสกับ หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ กิติยากร พระองค์เสด็จพระราชดำเนินออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ซึ่งเป็นเวลาเพียงสองสามวัน ก่อนที่จะครบรอบการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐาของพระองค์ ท้ายที่สุด เมื่อปลายปี พ.ศ. 2494 พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับสู่ประเทศไทยเพื่อดำรงตำแหน่งในฐานะของพระมหากษัตริย์ กษัตริย์ภูมิพลทรงทราบว่า นายบุศย์ ปัทมศริน, นายชิต สิงหเสนี และนายเฉลียว ปทุมรส ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เกี่ยวกับการปลงพระชนม์ของพระเชษฐาของพระองค์ แม้กระนั้นก็ตาม พระองค์ก็ไม่กระทำการใดๆ เพื่อช่วยชีวิตของพวกเขา บุคคลทั้งสามได้ถูกประหารชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ด้วยข้อหาอาชญากรรมที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำแต่อย่างใด กษัตริย์ภูมิพลได้เปลี่ยนคำให้การของพระองค์เองหลายครั้งว่า กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคตได้อย่างไร เพียงเวลาไม่กี่วันหลังจากที่พระเชษฐาของพระองค์เสด็จสวรรคต กษัตริย์ภูมิพลได้ยืนยันอย่างแข็งขันว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ในคำให้การของพระองค์ในการพิจารณาคดีเกี่ยวกับการฆาตกรรม พระองค์ได้ยกเลิกคำให้การเหล่านี้เสีย และเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลายเรื่อง ที่เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของนายเฉลียว ปทุมรส ในทศวรรตที่ 1970 (พ.ศ. 2513-2523) สำนักพระราชวังได้ยกเลิกข้อกล่าวหาที่ว่า นายชิต, นายบุศย์ และ นายเฉลียว – และนายปรีดี- มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ จากการสัมภาษณ์ของสถานีโทรทัศน์ บีบีซี ในสารคดีชื่อ Soul of a Nation (จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ) ซึ่งออกอากาศเมื่อปี พ.ศ. 2523 นั้น กษัตริย์ภูมิพลได้ให้คำตอบซึ่งเป็นข้อแก้ตัวที่ประหลาด ด้วยการอธิบายว่า การฆาตกรรมเป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อน โดยการอำพรางคดีจากบุคคลหลายคนที่มีอำนาจมากทั้งในและต่างประเทศที่ไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง: ระหว่างปีทศวรรษ 1990 (ประมาณปี พ.ศ. 2533-2543) กษัตริย์ภูมิพลได้ให้ความร่วมมือกับนายวิลเลียม สตีเวนสัน (William Stevenson) ซึ่งเป็นนักเขียนจากประเทศแคนาดา ในการเขียนชีวประวัติแบบกึ่งทางการซึ่งเดินหน้าไปยังเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งว่า กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคตได้อย่างไร ในขณะนั้นแพะรับบาปที่ถูกกล่าวหา ได้กลายเป็นนายมาซาโนบุ ซูจิ (Masanobu Tsuji) นายทหารที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งของประเทศญี่ปุ่น กษัตริย์ภูมิพลกล่าวว่า นายมาซาโนบุผู้นี้ ได้ลักลอบเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง โดยการปลอมตัวเป็นพระภิกษุ เรื่องเล่านี้ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีหลักฐานที่ไม่สามารถโต้แย้งได้เลยว่า นายมาซาโนบุ ซุจิ ผู้นี้ไม่ได้อยู่ใกล้กับกรุงเทพเลย ในขณะที่กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกปลงพระชนม์ การเปลี่ยนเรื่องราวครั้งแล้วครั้งเล่าของกษัตริย์ภูมิพลเอง แสดงให้เห็นเงื่อนงำบางอย่างว่า อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 กษัตริย์ภูมิพลไม่เคยให้คำอธิบายที่น่าเชื่้อถือเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐาของพระองค์เลยสักครั้งเดียว เรื่องหนึ่งที่น่าแปลกเกี่ยวกับความลับที่ว่า กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคตได้อย่างไรนั้น ภายในวงการระดับสูงของประเทศไทย กลับไม่เคยเป็นเรื่องที่ลึกลับอะไรเลย เมื่ออยู่ในที่ส่วนบุคคล สมาชิกของครอบครัวเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ต่างก็รับรู้กันอย่างจำเจจากเพื่อนสนิทที่ตนเองไว้วางใจกันว่า กษัตริย์ภูมิพลเองที่เป็นผู้ปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ ซึ่งอาจจะเป็นอุบัติเหตุ ในรายละเอียดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลจากแหล่งข่าวที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ได้ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือเป็นการส่วนตัวจากบันทึกของนางมากาเร็ต แลนดอน (Margaret Landon) ซึ่งเป็นภรรยาของนายเคนเนท แลนดอน (Kenneth Landon) นักการทูตประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2514 และบันทึกชุดนี้สามารถพบได้จากหอสมุดที่เก็บเอกสารของคู่สมรสคู่นี้ ที่วิทยาลัยวีตั้น (Wheaton College) ประเทศสหรัฐอเมริกา ครอบครัวแลนดอนเป็นคู่รักกันตั้งแต่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ทั้งคู่ทำการสมรสกันเมื่อปี พ.ศ. 2469 และได้เดินทางเข้าสู่ประเทศสยามเมื่อปี พ.ศ. 2470 ในฐานะของมิชชั่นนารีศาสนาคริสต์ นิกายเพรสไบทีเรียน (Presbyterian) หลังจากที่ประจำการอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อเรียนรู้ภาษาไทย ทั้งคู่ได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ทางภาคใต้ คือ จังหวัดตรัง ซึ่งทั้งคู่ได้เปิดโรงเรียนสอนคริสต์ศาสนาเป็นเวลาสิบปี ก่อนที่จะกลับมายังประเทศสหรัฐอเมริกา นายเคนเนท แลนดอน ศึกษาในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยชิคาโก้ และใน ปี พ.ศ. 2484 เมื่อลางร้ายของสงครามกับประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มปรากฎให้เห็นมากขึ้น นายแลนดอนได้ถูกว่าจ้างโดยพันเอก ดอนาวัน หรือ “บิลล์ผู้บ้าคลั่ง” (Colonel “Wild Bill” Donovan) ให้มารับตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในสำนักงานข่าวกรองใหม่เอี่ยมของประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านข้อมูล (the Office of Co-ordinator of Information) ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานบริการยุทธศาสตร์ (Office of Strategic Services (OSS)) จากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ หรือ ซีไอเอ นั่นเอง (Central Intelligence Agency (CIA)) ในปี พ.ศ. 2486 นายแลนดอนได้ทำงานให้กับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะนายทหารประจำการทางการเมือง (Political Desk Officer) สำหรับประเทศไทย ซึ่งต่อมานายแลนดอนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายกิจการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Assistant Chief of the Southeast Asia Division) ในช่วงที่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสยาม นางมากาเร็ต แลนดอนได้เริ่มหลงเสน่ห์กับชีวิตของนางแอนนา เลียวโนเวนส์ (Anna Leonowens) ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเชื้อสายอังกฤษและอินเดียผสม นางเลียวโนเวนส์เป็นครูสอนพิเศษให้กับพระสนมทั้งหลาย พระโอรสและพระธิดาอีกหลายพระองค์ของสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 เมื่อสมัยปี พ.ศ. 2403-2413 นางเลียวโนเวนส์ได้ตีพิมพ์หนังสือนวนิยายกึ่งจริงที่เล่าประวัติของเธอ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ชื่อเรื่อง แอนนากับพระเจ้ากรุงสยาม (Anna and the King of Siam) เมื่อปี พ.ศ. 2487 นวนิยายเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องโด่งดัง เพราะสามารถขายได้มากกว่า 1 ล้านเล่มจากทั่วโลก และได้ถูกนำมาดัดแปลงให้เป็นละครเพลงที่มีชื่อเสียงมากทีสุดเรื่องหนึ่งชื่อเรื่อง The King and I โดย ริชาร์ด ร๊อดเจอรส์ (Richard Rodgers) และ ออสก้าร์ แฮมเมอร์สไตน์ ที่สอง (Oscar Hammerstein II – และภาพยนต์ที่ฉายในปี พ.ศ. 2499 ภาพยนต์เพลงได้รับความนิยมทั่วโลกในปีนั้นด้วย เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง นายเคนเนท แลนดอนได้ถูกส่งตัวไปที่ฝ่ายตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อร่วมการเจรจาต่อรองอย่างตึงเครียด กับฝ่ายประเทศไทยและฝ่ายประเทศอังกฤษเกี่ยวกับสภาวะของประเทศสยามหลังจากสงคราม นายแลนดอนใช้เวลาอยู่เป็นเดือนๆในภูมิภาคนั้น จากปลายปี พ.ศ. 2488 ไปจนถึงกลางปี พ.ศ. 2489 และได้พบกับผู้นำทางการเมืองคนสำคัญๆ หลายคนของประเทศไทยในสมัยนั้น รวมทั้งกษัตริย์อานันทมหิดล ซึ่งเพิ่งเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ด้วย เนื่องจากนายแลนดอนเป็นผู้ประสานงานได้อย่างยอดเยี่ยม รวมไปถึงสามรถใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว นายแลนดอนได้ถูกประจำการให้เป็นผู้ติดต่อหลักของกระทรวงการต่างประเทศในเรื่องของประเทศไทยอีกเป็นเวลาหลายปี นายแลนดอนทำงานในห้องทำงานที่กรุงวอชิงตันและเดินทางไปยังภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อีกหลายครั้ง ตามที่นายแดเนี่ยล ไฟน์แมน (Daniel Fineman) ได้กล่าวไว้ในหนังสือที่เขาเขียนชื่อ A Special Relationship: The United States and Military Government in Thailand, (ความสัมพันธ์พิเศษ: ประเทศสหรัฐอเมริกากับรัฐบาลทหารในประเทศไทย) นายแลนดอน “ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นเลิศของกระทรวงการต่างประเทศในเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศไทยในต้นทศวรรษปี 1950 (ราวๆ พ.ศ. 2493-2498)” ศาสตราจารย์ คล้าค เนเออร์ (Clark Neher) ได้กล่าวถึงนายแลนดอนว่า “เป็นตัวหลัก (fulcrum figure) ซึ่งอยู่ใจกลางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกาในปลายทศวรรศ 1940 (ราวๆ ปี พ.ศ. 2490-2493) ” ในบทความเก่าที่เคยเขียนอยู่ที่นี่ และ ที่นี่ ข้าพเจ้าขอแชร์ความคิดเห็นส่วนตัวของนายเคนเนท แลนดอนเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลดังต่อไปนี้ บันทึกลายมือที่เขียนขึ้นโดยนางมากาเร๊ต ซึ่งเป็นภรรยาของเขา มีพื้นฐานมาจากการสนทนากับเพื่อนของเธอคือ นางลิเดีย ณ ระนอง (Lydia Na Ranong) ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลชั้นผู้ดีของประเทศจีน นางลิเดียได้สมรสกับคนไทย และกลายเป็นคนสนิทของกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ระดับสูงในกรุงเทพฯ เรื่องเล่าของนางลิเดีย ณ ระนอง ได้ยินจาก แวดวงของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ว่า เป็นเรื่องที่ผิดธรรมดา เนื่องจากเหตุผลหลายประการ มันเป็นการเขียนเรื่องราวอย่างเป็นทางการขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับชีวประวัติของนางสังวาลย์ ตะละภัฏ ซึ่งเป็นพระราชมารดาของกษัตริย์ภูมิพล และ กษัตริย์อานันทมหิดล ในบันทึกกล่าวว่า การถูกปลงพระชนม์ของกษัตริย์อานันทมหิดลนั้น มหาดเล็กทั้งสองคน คือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี ได้รู้เห็นต่อการกระทำนั้น และมีการเสริมขึ้นมาด้วยว่า อดีตราชเลขาธิการ คือ นายเฉลียว ปทุมรส มีความสัมพันธ์เป็นชู้สาวกับนางสังวาลย์ และอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ในขณะที่ลูกปืนที่คร่าชีวิตนั้น ได้ถูกยิงออกมาจากกระบอกปืน เรื่องของคำเล่าลือ และรายละเอียดบางอย่างยังเคลือบแคลงอยู่ — เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นางมากาเร๊ต แลนดอนได้จดบันทึกลงด้วยความเร่งรีบ ลายละเอียดถูกเสริมขึ้นเพื่อสบประมาทนางสังวาลย์ ซึ่งเป็นพระราชมารดาของกษัตริย์อานันทมหิดลและกษัตริย์ภูมิพล นางสังวาลย์เกิดมาจากตระกูลสามัญชนและไม่เคยได้รับความชื่นชอบ จากกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ส่วนใหญ่ เรื่องนี้ไม่สามารถรับการพิจารณาได้ว่าเป็นรายละเอียดที่น่าเชื่อถือหรือไม่ ไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ก็ตาม แต่มันอาจแสดงให้เห็นถึงความคิดเพียงแวบเดียวว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันวิปโยคนั้น ที่ได้เปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปอย่างชั่วนิรันดร์ บทความข้างล่างนี้ คือ บันทึกลายละเอียดของนางมากาเร๊ต แลนดอน เกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล เอกสารต้นฉบับสามารถดูได้ที่นี่
|