ส่วนเจมส์ วัตสัน นั้นสามารถใช้ข้อมูลของชาร์กาฟฟ์ (Chargaff) (จำนวนเบสเพียวรีนเท่ากับจำนวนเบสพิริมิดีนใน DNA ส่วนใหญ่ คือมีอะดินีนเท่ากับไธมีน และกัวนีนเท่ากับไซโตซีน) มาคิดและพบว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเกิดพันธะไฮโดรเจนระหว่างเบสคู่หูดังกล่าวทั้ง 2 คู่ จนได้รูปร่างของคู่เบสที่แทบจะเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้น วัตสันยังสามารถสอดคู่เบสเข้าไปอยู่ในโพรงของ DNA ระหว่างสันหลัง 2 สายที่สวนทางกันที่อยู่ด้านนอกของ DNA พอดี นี่เป็นเหตุที่เราเรียกคู่เบสโดยใช้ชื่อ วัตสันก่อนชื่อของคริก โครงสร้าง DNA เกลียวคู่เวียนขวาที่มีประมาณ 10 คู่เบสต่อหนึ่งรอบของเกลียวและมีคู่เบสจำเพาะดังนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงกระบวนการสร้าง DNA สายใหม่ การสร้าง RNA สายใหม่ และยังทำให้เห็นได้ว่ารหัสของยีนน่าจะเป็นอย่างไรได้บ้าง จึงจะสร้างโปรตีนได้ ซึ่งวัตสันและคริกได้เขียนบทความแบบจำลอง DNA นี้ลงวารสารเนเจอร์เมื่อเมษายน 2496 (50 ปีที่แล้ว)
ในการศึกษาสารพันธุกรรมนั้น มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านศึกษาเป็นขั้นตอนดังนี้ ที่มา:http://elibray.eduzones.com พ.ศ. 2487 โอ.ที. แอเวอรี( O.T. Avery ) ซี. แมคลอยด์ ( C. Macleod )และเอ็ม แมคคาร์ที ( M. Mc Carty) ได้ทำการทดลองคล้ายกับ Griffth เพียงแต่ใช้วิธีสกัด DNAจาก แบคทีเรีย ชนิด Sแล้วนำสารเหล่านี้ใส่รวมกับแบคทีเรียชนิด R ในหลอดทดลอง จากการทดลองของ Averyและคณะทำให้มีการยอมรับว่า DNAคือสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต แต่มีสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่มี RNA เป็นสารพันธุกรรม เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ โรคมะเร็งบางชนิด โรคใบด่างในใบยาสูบ ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น สารพันธุกรรมมีสมบัติเป็นกรดนิวคลีอิก มีอยู่ 2 ชนิด คือ |