ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีพันธกรณีกับปฏิญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน จำนวน 6 ฉบับได้แก่อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลมือง อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ และอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการทารุณกรรม ตลอดจนการปฏิบัติหรือการลงโทษที่ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ Show
การสู้รบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองได้พรากชีวิตมนุษย์ไปไม่น้อยกว่าหกสิบล้านคน และยังส่งผลกระทบในด้านอื่น ๆ ต่อความเป็นอยู่และศักดิ์ศรีของมนุษย์ ทั้งในรูปแบบของความอดอยาก การทรมานนักโทษ การใช้แรงงานเยี่ยงทาส และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ดังนั้น หลังจากที่ได้มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้นภายหลังการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศสมาชิกสหประชาติจึงได้ให้คำมั่นว่าจะร่วมกันป้องกันมิให้เกิดโศกนาฎกรรมดังกล่าวขึ้นอีก ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนจึงได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อประกันสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของปัจเจกชนทั่วทุกแห่ง โดยได้รับการยกร่างขึ้นในปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) โดยคณะกรรมการภายใต้คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกจำนวน 8 คน โดยมีนาง Eleanor Roosevelt ภรรยาอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นประธาน และเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศต่างๆ ให้การสนับสนุนและรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2491 (ค.ศ. 1948) ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติได้รับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โดยการลงคะแนนเสียง ซึ่งมีประเทศลงคะแนนเสียงสนับสนุน 48 ประเทศ รวมทั้งไทย งดออกเสียง 8 ประเทศ และไม่มีประเทศใดลงคะแนนเสียงคัดค้าน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนฉบับนี้ถือเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ในการวางรากฐานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศฉบับแรกของโลก กฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับในปัจจุบันล้วนมีพื้นฐาน และได้รับการพัฒนาและมาจากปฏิญญาสากลฉบับนี้ทั้งสิ้น และกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนากฎหมายภายในประเทศของประเทศต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนในประเทศของตน ทั้งนี้ โดยที่ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของปฏิญญาสากลฯ ในฐานะแม่บทของสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนจึงได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ มากที่สุดในโลก ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) คือ เอกสารที่ทั่วโลกตกลงใช้ร่วมกันเป็นแนวทางไปสู่เสรีภาพและความเท่าเทียม โดยการปกป้องสิทธิมนุษยชนของทุกคนในทุกแห่งหน นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่นานาประเทศเห็นพ้องกันว่าสิทธิและเสรีภาพเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการปกป้องเพื่อให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างเสรี เท่าเทียม และมีศักดิ์ศรีปฏิญญาได้ถูกตอบรับในวันที่ 10 ธันวาคม 1948 โดยสหประชาชาติที่เพิ่งจะก่อตั้งได้ไม่นาน หลังจากชาวโลกต้องเผชิญกับ “การกระทำอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน...ที่สร้างความเกรี้ยวกราดต่อจิตสำนึกของมวลมนุษยชาติ” ที่ได้เกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่สอง การรับรองปฏิญญาในครั้งนั้นได้กลายเป็นรากฐานไปสู่อิสรภาพ ความยุติธรรม และความสงบสุข
ปฏิญญานี้ได้เริ่มการร่างกันมาตั้งแต่ปี 1946 โดยในตอนแรกอาศัยคณะกรรมการที่มาจากประเทศมากมาย รวมถึงสหรัฐอเมริกา เลบานอน และจีน ต่อมาคณะร่างปฏิญญาก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นโดยรวมผู้แทนจากออสเตรเลีย ชิลี ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และสหราชอาณาจักร เพื่อให้เอกสารนี้ได้รับส่วนร่วมจากผู้คนในทุกมุมโลก รวมไปถึงความหลากหลายของวัฒนธรรม ศาสนา และการเมือง ปฏิญญานี้ได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนและสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในที่สุดในปี 1948
ปฏิญญานี้ได้อธิบายสิทธิและเสรีภาพ 30 อย่างที่มนุษย์ทุกคนต้องมีและไม่มีใครพรากมันไปได้ ซึ่งสิทธิเหล่านี้ได้เป็นรากฐานสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน แม้แต่ในปัจจุบัน เอกสารนี้ก็ยังคงบังคับใช้อยู่ และเป็นเอกสารที่ได้รับการแปลภาษามากที่สุดในโลก ดูทั้งหมด ซ่อน UDHR ออกแบบไว้เพื่ออะไร?UDHR เป็นเสมือนเสาหลักบอกทาง เพราะเป็นครั้งแรกของโลกที่มนุษยชาติได้ตกลงร่วมกันว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีเสรีและความเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ เพศ สีผิว ศาสนา หรือเอกลักษณ์ใดๆ สิทธิและเสรีภาพ 30 ข้อที่ระบุไว้ในปฏิญญารวมไปถึงสิทธิที่จะไม่ถูกทรมาน เสรีภาพการแสดงออก การเข้าถึงการศึกษา สิทธิในการขอลี้ภัย อีกทั้งยังรวมไปถึงสิทธิทางการเมืองและประชาสังคม เช่นสิทธิในการมีชีวิต อิสระเสรี และความเป็นส่วนตัว และยังมีสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เช่น สิทธิประกันสังคม สุขภาพ และการมีที่อยู่อาศัย ดูทั้งหมด ซ่อน 70 ปีแห่งสิทธิมนุษยชนUDHR ถูกเขียนขึ้นเพื่อมนุษย์ทุกหมู่เหล่าในทุกๆชาติ แม้มันจะไม่ใช่กฎหมายบังคับ แต่การปกป้องสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์ล้วนเป็นหัวใจสำคัญของการเขียนกฎหมายและกลไกทางการปกครองของหลายๆ ประเทศ ตัวปฏิญญานี้ก็เป็นรากฐานสำคัญของการเขียนสนธิสัญญาทางสิทธิมนุษยชนที่มีการบังคับใช้อีกมากมาย และกลายเป็นบรรทัดฐานของการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกชนชาติในโลก ทุกวันนี้ UDHR ยังคงเป็นรากฐานในการร่างกฎหมายทั้งภายในและระหว่างประเทศ และสำหรับองค์กรที่ถูกก่อตั้งมาเพื่อปกป้องและสร้างความตระหนักถึงสิทธิในสังคมอย่างเช่นแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ปฎิญญานี้ก็คือภารกิจและวิสัยทัศน์ขององค์กร ดูทั้งหมด ซ่อน จากอดีตถึงปัจจุบัน 1946นางเอเลนอร์ รูสเวลท์ (1884 - 1964) นักเขียนชาวอเมริกัน ผู้บรรยาย ทูต นักกิจกรรมเพื่อสังคม และภรรยาของประธานาธิบดีคนที่ 32 ของอเมริกา นายแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ กำลังฟังเนื้อหาการประชุมผ่านหูฟังในฐานะตัวแทนต่อสหประชาชาติ ณ สำนักงานใหญ่ชั่วคราวแห่งสหประชาชาติที่ทะเลสาบซักเซส รัฐนิวยอร์ค 1948นางเอเลนอร์ รูสเวลท์ กรรมการคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน และ ดร. ชาร์ลส มาลิค กรรมการจากคณะกรรมาธิการที่สามในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (คนที่สองจากด้านขวา) ระหว่างการแถลงข่าวเสร็จสิ้นการร่างปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 1950กลุ่มสตรีชาวญี่ปุ่นกำลังอ่านปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในระหว่างการเยือนสำนักงานใหญ่ชั่วคราวแห่งสหประชาชาติที่ทะเลสาบซักเซส รัฐนิวยอร์ค 1997เด็กๆ กำลังลงชื่อในคำปฏิญาณตนต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่รัฐสภานอร์เวย์ โดยคำปฏิญาณดังกล่าวจัดทำโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 1998องค์ดาไลลามะที่สิบสี่ได้ลงนามในคำปฏิญาณตนต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ร่วมกับนางอนิต้า รอดดิกค์ และนายบิลล์ ชูลทส์ ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐอเมริกา โดยคำปฏิญาณดังกล่าวจัดทำโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เนื่องในโอกาศครบรอบ 50 ปีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 1998นายมูฮัมหมัด อาลี นักมวยชื่อดัง ได้ลงนามในคำปฏิญาณตนต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ณ เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาโดยคำปฏิญาณดังกล่าวจัดทำโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 2008ผู้คนเขียนบนกำแพงที่จัดแสดงปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ระหว่างแรลลี่ที่จัดโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ในโอกาสครบรอบ 60 ปี ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน "สิทธิมนุษยชนนั้นเป็นสากล ไม่อาจแบ่งแยก และต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันเสมอ" สิทธิมนุษยชนทุกข้อล้วนมีความสำคัญอย่างเท่าเทียมกัน และทุกรัฐบาลต้องให้ความสำคัญต่อสิทธิมนุษยชนทุกข้ออย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม รัฐทุกรัฐมีหน้าที่ในการปกป้องและทำให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงสิทธิมนุษยชนได้โดยไม่คำนึงถึงอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของชาติ ทั้งของรัฐและของประชาชน ดังนั้นไม่ว่ามนุษย์จะมีความแตกต่างอย่างไร หนึ่งบรรทัดฐานสำคัญที่เป็นหัวใจของสิทธิมนุษยชนทุกข้อที่ระบุไว้ในปฏิญญา ก็คือมนุษย์ทุกคนมีสิทธิโดยที่ใครก็พรากไปไม่ได้ นั่นหมายถึงไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ยากดีมีจนอย่างไรล้วนได้รับสิทธิมนุษยชนเหมือนกันทุกๆคน ทุกๆชาติ ศาสนา อุดมการณ์ เพศสภาพ ภาษา ฝ่ายทางการเมือง เพราะในปฏิญญานี้ คำว่าสากลแปลว่าทุกๆคนในทุกๆที่
นอกจากนี้สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ไม่อาจแบ่งแยกได้และต้องพึ่งพากันเสมอ หากเสียไปแม้เพียงหนึ่งข้อ สิทธิที่เหลือก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน และไม่มีใครที่สามารถจะมาตัดสินให้สิทธิใดสำคัญกว่าสิทธิอื่นได้ ดูทั้งหมด ซ่อน ปฏิญญา 30 ข้อมีอะไรบ้าง? แล้วแอมเนสตี้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนอย่างไร?UDHR คือรากฐานของเป้าหมายที่แอมเนสตี้และผู้สนับสนุนของเราอีกเจ็ดล้านคนรอบโลกต่อสู้เพื่อให้บรรลุในทุกๆ วันมามากกว่า 50 ปีนับตั้งแต่วันที่ก่อตั้ง พวกเรายังคงลงมือทำกิจกรรมและโครงการต่างๆเพื่อนำมาซึ่งความยุติธรรม เสรีภาพ ความจริงและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในทุกๆที่ ที่ประชาชนถูกพรากสิ่งเหล่านี้ไป เราทำสิ่งนี้ได้ด้วยการตรวจสอบและเปิดโปงการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ว่าจะเกิดขึ้นในที่ใดก็ตาม ด้วยการรวมพลังการเคลื่อนไหวจากรอบโลก เราส่องไฟให้โลกได้เห็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลให้คนรุ่นต่อไปสามารถทำให้สิทธิมนุษยชนได้กลายเป็นความจริง องค์กรใดเป็นผู้ประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2491 (ค.ศ. 1948) ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติได้รับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โดยการลงคะแนนเสียง ซึ่งมีประเทศลงคะแนนเสียงสนับสนุน 48 ประเทศ รวมทั้งไทย งดออกเสียง 8 ประเทศ และไม่มีประเทศใดลงคะแนนเสียงคัดค้าน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนฉบับนี้ถือเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ในการวางรากฐานด้าน ...
หน่วยงานใดเป็นผู้ก่อตั้งและดำเนินการจัดทำปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขึ้นปฏิญญาได้ถูกตอบรับในวันที่ 10 ธันวาคม 1948 โดยสหประชาชาติที่เพิ่งจะก่อตั้งได้ไม่นาน หลังจากชาวโลกต้องเผชิญกับ “การกระทำอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน... ที่สร้างความเกรี้ยวกราดต่อจิตสำนึกของมวลมนุษยชาติ” ที่ได้เกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่สอง การรับรองปฏิญญาในครั้งนั้นได้กลายเป็นรากฐานไปสู่อิสรภาพ ความยุติธรรม และความสงบสุข
หน่วยงานใดที่ดูแลเกี่ยวกับวันสิทธิมนุษยชนโลกมากที่สุดเอชอาร์ดี จัดขึ้นโดย สหประชาชาติ
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ” มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไรปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษชนแห่งสหประชาชาติเป็นข้อตกลงของสหประชาชาติได้กำหนดขึ้น เพื่อให้ประเทศสมาชิกได้ใช้เป็นแนวทางในการคุ้มครองดูแลสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองประเทศของตน
|