สารใดต่อไปนี้จะถูกใช้บ่อย ๆ ในการให้ภูมิคุ้มกันแบบ passive immunity

ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

โดย :

อติโรจน์ ปพัฒน์เปรมสิริ

เมื่อ :

วันอาทิตย์, 21 พฤษภาคม 2560

การป้องกันและทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม 

ด่านป้องกันเชื้อโรคร่างกาย

สารใดต่อไปนี้จะถูกใช้บ่อย ๆ ในการให้ภูมิคุ้มกันแบบ passive immunity

ด่านป้องกันเชื้อโรคของร่างกายด่านแรก คือ ผิวหนัง ซึ่งสามารถขับกรดบางชนิดออกมากับเหงื่อช่วยในการยับยั้งแบคทีเรีย น้ำตาและน้ำลายก็มีฤทธิ์ทำลายเชื้อโรคได้ในระบบทางเดินอาหารก็มีกรดเเละเมือกคอยกำจัดเชื้อโรค รวมทั้งเมือกที่อยู่ในระบบหายใจด้วยเช่นกัน

สารใดต่อไปนี้จะถูกใช้บ่อย ๆ ในการให้ภูมิคุ้มกันแบบ passive immunity

แต่ถ้าหากเชื้อโรคสามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้จะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่กินเชื้อโรค และร่างกายยังสร้างภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี (antibody) ขึ้นมาต่อต้านสิ่งแปลกปลอมหรือแอนติเจน (antigen) โดยภูมิคุ้มกันจะมี 2 ประเภท คือ ภูมิคุ้มกันที่ร้างกายมีอยู่แล้วตั้งแต่เกิด และภูมิคุ้มกันที่ได้รับมาภายหลัง ซึ่งมีความจำเพาะเจาะจงกับโรค ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้พัฒนามากขึ้น ทำให้สามารถผลิตภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ให้แก่ร่างกายได้ เช่น การฉีดวัคซีน ท็อกซอยด์ เซรุ่ม เป็นต้น

สารใดต่อไปนี้จะถูกใช้บ่อย ๆ ในการให้ภูมิคุ้มกันแบบ passive immunity

สรุปแผนภาพเเสดงด่านป้องกันเชื้อโรคในระดับต่างๆของร่างกาย

ภุมิคุ้มกัน(immunity)หมายถึง กลไกของร่างกายที่ต้านทานต่อโรคใดโรคหนึ่ง โดยภูมิคุ้มกันอาจเกิดเพียงชั่วคราวหรือตลอดไปก็ได้ ภูมิคุ้มกันแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

สารใดต่อไปนี้จะถูกใช้บ่อย ๆ ในการให้ภูมิคุ้มกันแบบ passive immunity

1. ภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ตามธรรมชาติ (innate immunity/ natural immunity) ภูมิคุ้มกันเเบบนี้มีมาตั้งเเต่เกิด โดยทารกที่มีอายุครรภ์ 5 สัปดาห์ จะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันได้เอง เเต่ยังสร้างได้น้อยมาก เนื่องจากเริ่มมีการเจริญของอวัยวะน้ำเหลือง

2. ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นภายหลัง (acquired immunity) เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังคลอดโดยแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

2.1 ภูมิคุ้มกันก่อเอง (active immunity) เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดจากร่างกายได้รับแอนติเจน หรือเชื้อโรคที่อ่อนกำลังลงซึ่งไม่ทำอันตรายต่อสุขภาพ โดยนำมาฉีด กิน หรือทาที่ผิวหนัง กระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีหรือภูมิคุ้มกันขึ้น เช่น การฉีดวัคซีนไอกรน โปลิโอ วัณโรค ไทฟอยด์ เป็นต้น

2.2 ภูมิคุ้มกันรับมา (passive immunity) เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้มาจากการสกัดจากเลือดของสิ่งมีชีวิต แล้วนำมาฉีดให้ร่างกายต้านทานโรคได้ทันที เช่น เซรุ่มแก้พิษงู เซรุ่มโรคพิษสุนัขบ้า บาดทะยัก คอตีบ เป็นต้น หรือได้รับภูมิคุ้มกันจากเเท่ตังเเต่อยู่ในครรภ์ เเละเมื่อคลอดออกมาจะได้รับภูมิคุ้มกันจากน้ำนมเเม่ แต่ภูมิคุ้มกันในน้ำนมเเม่จะลดลงหลังจากคลอดได้ 6 เดือนจึงทำให้ทารกติดเชื้อได้ง่ายในระยะนี้

Return to contents



สารใดต่อไปนี้จะถูกใช้บ่อย ๆ ในการให้ภูมิคุ้มกันแบบ passive immunity

สารใดต่อไปนี้จะถูกใช้บ่อย ๆ ในการให้ภูมิคุ้มกันแบบ passive immunity

สารใดต่อไปนี้จะถูกใช้บ่อย ๆ ในการให้ภูมิคุ้มกันแบบ passive immunity

1.การเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่เป็นการให้ภูมิคุ้มกันแก่ทารกเปรียบเทียบได้กับข้อใด (A-net’ 49)

1. การฉีดวัคซีน 2. การฉีดซีรัม

3. การฉีดทอกซอยด์ 4. การเล่นกับเพื่อนที่เป็นโรคติดต่อ


ตอบ 2 ใช่มั้ยคับ


2.การรณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ในระยะหลังคลอด เนื่องด้วยเหตุผลสำคัญในข้อใด
(A-net’ 49)

1. น้ำนมแม่มีโปรตีนสูง 2. น้ำนมแม่ไม่มีเชื้อโรค

3. น้ำนมแม่มีแอนติบอดี 4. น้ำนมแม่มีแอนติเจน


ตอบ 3

Return to contents


ระบบน้ำเหลือง(lymphatic system) เป็นระบบลำเลียงของเหลวในร่างกาย โดยเป็นท่อปลายปิด มีบทบาทหน้าที่สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และนำของเหลวกลับสู่หัวใจห้องบนขวา

ระบบน้ำเหลืองประกอบด้วย น้ำเหลือง (lymph) ท่อน้ำเหลือง (lymph vessel) อวัยวะน้ำเหลือง (lymphatic organ) และเนื้อเยื่อน้ำเหลือง (lymphatic tissue)

น้ำเหลืองเป็นของเหลวที่เป็นส่วนประกอบของน้ำเลือดที่ซึมผ่านเส้นเลือดฝอยมาอาบอยู่รอบๆ เซลล์ ดังนั้น น้ำเหลืองจึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสารต่างๆ ระหว่างเซลล์กับหลอดเลือดฝอย

ท่อน้ำเหลืองมีลักษณะเหมือนเส้นเลือดเวน (vein) มีลิ้นกันเป็นระยะเพื่อไม่ให้น้ำเหลืองไหลย้อนกลับ ท่อน้ำเหลืองจะนำน้ำเหลืองกลับเข้าสู่หัวใจ

อวัยวะน้ำเหลืองมีบทบาทในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ประกอบด้วยต่อมน้ำเหลือง ต่อมทอนซิล ม้าม ต่อมไทมัสที่อยู่ใกล้ขั้วหัวใจ และเนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่ผนังลำไส้เล็ก

ต่อมน้ำเหลืองพบบริเวณคอ รักแร้ โคนขา โดยต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ยริเวณคอจะเรียกว่าต่อมทอนซิล ภายในต่อมน้ำเหลืองจะมีเม็ดเลือดขาวอยู่จำนวนมาก ในภาวะที่ต่อมทอนซินได้รับเชื้อโรคจะเกิดอาการบวม เจ็บคอ บางครั้งมีอาการไข้ตัวร้อน ซึ่งมีสาเหตุมาจากต่อมทอนซิลอักเสบ

ม้ามเป็นอวัยวะน้ำเหลืองที่ใหญ่ที่สุด อยู่ใต้กระบังลมด้านซ้าย ทำหน้าที่ผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว และทำลายเม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดที่หมดอายุ สำหรับในช่วงที่อยู่ในระยะตัวอ่อน (embryo) ม้ามจะสามารถสร้างเม็ดเลือดแดงได้

ต่อมไทมัสอยู่บริเวณทรวงอกรอบเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจ เป็นเนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่จัดเป็นต่อมไร้ท่อ โดยมีลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์ทีอยู่มาก

อยากบอก

Ÿ ต่อมทอนซิลมี 3 คู่ คู่ที่มีบทบาทสำคัญในการทำลายเชื้อโรคคือ คู่ที่อยู่รอบหลอดอาหาร ซึ่งเป็นบริเวณติดต่อระหว่างช่องปากและโพรงจมูก

Ÿ ไข่ดันบวม เป็นอาการของต่อมน้ำเหลืองบริเวณโคนขาหนีบอักเสบ

Ÿ เนื่องจากน้ำเหลืองมีทิศทางการไหลเข้าสู่หัวใจ ซึ่งสวนทางกับแรงโน้มถ่วงของโลก ดังนั้นในท่อน้ำเหลืองจึงมีลิ้นกั้นเป็นระยะๆ และอาศัยการหดตัวของกล้ามเนื้อลายและอวัยวะต่างๆ ช่วยให้น้ำเหลืองไหลกับสู่หัวใจได้

Ÿ น้ำเหลือง มีบทบาทช่วยในการลำเลียงสารอาหารพวกกรดไขมัน นอกจากนี้ในน้ำเหลืองยังมีโปรตีน เช่น แอลบูมิน น้ำตาลกลูโคส น้ำ ฮอร์โมน เอนไซม์ และเซลล์เม็ดเลือดขาว

สารใดต่อไปนี้จะถูกใช้บ่อย ๆ ในการให้ภูมิคุ้มกันแบบ passive immunity

อยากบอก

Ÿต่อมทอนซิลมี3คู่ คู่ที่มีบทบาทสำคัญในการทำลายเชื้อโรคคือ คู่ที่อยู่รอบหลอดอาหาร ซึ่งเป็นบริเวณติดต่อระหว่างช่องปากและโพรงจมูก

Ÿไข่ดันบวม เป็นอาการของต่อมน้ำเหลืองบริเวณโคนขาหนีบอักเสบ

Ÿเนื่องจากน้ำเหลืองมีทิศทางการไหลเข้าสู่หัวใจ ซึ่งสวนทางกับแรงโน้มถ่วงของโลก ดังนั้นในท่อน้ำเหลืองจึงมีลิ้นกั้นเป็นระยะๆ และอาศัยการหดตัวของกล้ามเนื้อลายและอวัยวะต่างๆ ช่วยให้น้ำเหลืองไหลกับสู่หัวใจได้

Ÿน้ำเหลือง มีบทบาทช่วยในการลำเลียงสารอาหารพวกกรดไขมัน นอกจากนี้ในน้ำเหลืองยังมีโปรตีน เช่น แอลบูมิน น้ำตาลกลูโคส น้ำ ฮอร์โมน เอนไซม์ และเซลล์เม็ดเลือดขาว

Return to contents


ภูมิคุ้มกันในร่างกายเกิดความผิดปกติเนื่องจากมีมากหรือมีน้อยเกินไป จะทำให้เกิดโรคต่อไปนี้

- โรคภูมิแพ้(allergy) เกิดจากร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน หรือแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านแอนติเจนที่ไม่เป็นอันตรายในคนทั่วไป เช่น ฝุ่นละออง อาหารทะเล ละอองเกสร เป็นต้น

- โรคที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อต้านเนื้อเยื่อของตนเอง(autoimmune disease) เช่น โรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Eythematous)

- โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง(AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ HIV (Human Immunodificiency Virus) โดยไวรัสจะไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว (T cell) ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ซึ่งทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคเริม โรคท้องเสีย โรคมะเร็ง เป็นต้น

HIVเมื่อเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวแล้ว จะเพิ่มจำนวนโดยใช้โปรตีนและกรดนิวคลีอิกของเซลล์เม็ดเลือดขาว และแพร่กระจายไปยังเซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆ และทำลายได้ยาก เนื่องจาก HIV เป็นไวรัสที่กลายพันธุ์ได้ง่าย ดังนั้น ภูมิต้านทานที่ร่างกายสร้างขึ้นจึงไม่สามารถทำลายได้

เชื้อไวรัส HIV เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะแพร่กระจายไปตามไขกระดูก สมอง ปอด ไต ลูกตา นอกจากนี้ยังพบในน้ำคัดหลั่งของร่างกาย เช่น เลือด น้ำนม น้ำตา น้ำลาย น้ำอสุจิ น้ำเมือกในช่องคลอด เป็นต้น

การติดต่อของโรคเอดส์

1. ทางเพศสัมพันธ์

2. ทางการให้เลือด

3. ทางการใช้เข็มฉีดยาและกระบอกฉีดยาร่วมกันในพวกที่ติดยาเสพติดที่ฉีดเข้าเส้นเลือด

4. ทางแม่ที่มีเชื้อโรคเอดส์สู่ลูกในครรภ์

อยากบอก

คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ เนื่องมาจากแอนติเจนที่เข้าสู่ร่างกายไปกระตุ้นให้มีการหลั่งสารเคมี พวกฮิสตามีน (histamine) ซึ่งจะไปทำให้เกิดอาการบวมแดง หรือเป็นผื่นคัน

Return to contents

หัวเรื่อง และคำสำคัญ

ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

ลิขสิทธิ์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)

สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา

ชีววิทยา

ดูเพิ่มเติม