ชั้น Network Interface จะทำหน้าที่แปลง IP Address เป็นหมายเลขประจำตัวทางฮาร์ดแวร์ของอุปกรณ์เครือข่าย เพื่อใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลในระดับกายภาพ รวมทั้งการสร้างสัญญาณไฟฟ้าสำหรับการรับ-ส่งข้อมูลตามมาตรฐานทางฮาร์ดแวร์ที่ใช้ เช่น ระบบ อีเธอร์เน็ต หรือ โทเค็นริง ซึ่งจะคล้ายกับการรวม ชั้น Data Link และ ชั้น Physical ของ OSI Model เข้าด้วยกัน Show จุดมุ่งหมายของการกำหนดมาตราฐาน รูปแบบ ขึ้นมานั้นก็เพื่อเป็ฯการกำหนดการแบ่งโครงสร้างของสถาปัตยกรรมเครือข่ายออกเป็นระดับชั้น และกำหนดหน้าที่การทำงานในแต่ละระดับชั้น รวมถึงกำหนดรูปแบบการเชือ่มต่อระหว่างระดับชั้นด้วย ดดยมีหลักเกณฑ์ในการกำหนดดังต่อไปนี้ 1.ไม่แบ่งโครงสร้างออกเป็นหลายระดับชั้นมากจนเกินไป 2.แต่ละระดับชั้นจะต้องมีปน้าที่การทำงานแตกต่างกัน ทั้งขบวนการและเทคโนโลยี 3.จัดกลุ่มหน้าที่การทำงานที่คล้ายกันให้อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน 4.แต่ละชั้นสื่อสารจะต้องทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย 5.เลือกเฉพาะการทำงานที่เคยใช้ได้ผลประสบความสำเร็จมาแล้ว 6.กำหนดหน้าที่การทำงานง่ายๆแก่แต่ละระดับชั้น เผื่อว่าต่อไปถ้ามีการออกแบบระดับชั้นใหม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลใหม่เพื่อที่จะทำให้สถาปัตยกรรมมีประสิทธภาพดียิ่งขึ้น จะไม่มีผลทำให้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เคยใช้ได้ผลอยู่เิดิมจะต้องเปลี่ยนแปลงตาม 7.กำหนดอินเตอร์เฟซมาตราฐาน 8.ให้มีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลในแต่ละระดับชั้น ระบบย่อยการสื่อสารข้อมูลภายในเครื่องคอมพิวเตอร์จุถูกแบ่งออกเป็นลำดับชั้นเหล่านี้จะทำหน้าที่โดยทั่วๆ ไป 2 ประการ คือ 1. การติดต่อในระดับของเครือข่าย 2.การติดต่อในระดับโปรแกรมด้วยกัน ISO Reference Model ถูกออกแบบมาให้ประกอบด้วย 7 ลำดับชั้น แต่ละชั้นของแบบการสื่อสารข้อมูลเรียกว่า Layer ประกอบด้วย Layer ย่อยๆทั้งหมด7 Layerแต่ละชั้นทำหน้าที่รับส่งข้อมูลกับชั้นที่อยู่ติดกับตัวเองเท่านั้นจะไม่ติดต่อกระโดดข้ามไปยังชั้นอื่นๆเช่น Layer 6จะติดต่อกับ Layer5 และ Layer7 เท่านั้นและการส่งข้อมูลจะทำไล่จาก Layer7 ลงมาจนถึง Layer1 ซึ่งเป็นชั้นที่มีการเชื่อมต่อทางกายภาพ จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งไปยังเครื่องผู้รับปลายทางโดยเริ่มจาก Layer1 ข้อมูลก็จะถูกถอดรหัส และส่งขึ้นไปตาม Layer จนถึง Layer7 ก็จะประกอบกลับมาเป็นข้อมูล นำไปส่งให้ application นำไปใช้แสดงผลต่อไป 7 Layer ของ OSI Model สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ upper layers และ lower layers รายละเอียดของแต่ละลำดับชั้น 1.Physical Layer สรุปหน้าที่และบริการของระดับชั้น Physical Layer 1.เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติพื้นฐานของการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ 2.ทำหน้าที่แปลงสัญญาน เช่น (0011001110) 3.การวิ่งของสัญญาน(Transmission Mode) (Full-Duplex, Half-Duplex) 4.ตรวจสอบลักษณะการเดินสายสัญญาน(Topology),(Tree, Bus, Star) 2.Datalink Layer ตัวอย่าง เช่น คำสั่งในการตรวจสอบข้อผิดพลาดหรือถ้ามีข้อผิดพลาดแล้วต้องส่งข้อมูลใหม่ก็จะมีคำสั่งข้อมูลซ้ำ โดยปกติจะมีบริการ 2 รูปแบบ ได้แก่ 2.1 ถ้าหากการตรวจสอบและพบข้อผิดพลาดก็จะแจ้งให้ผู้ส่งทราบ เพื่อทำการส่งใหม่ต่อไป 2.2ถ้าหากมีการตรวจสอบและพบว่าข้อมูลถูกต้องก็จะแจ้งให้ผู้ส่งทราบว่าได้รับข้อมูลถูกต้อง สรุปหน้าที่และบริการของระดับชั้น Data Link Layer 1.ตรวจสอบที่อยู่ของเครื่องต่างๆตามหลักกายภาพ (Physical Addressing) 2.ควบคุมการเข้าถึงสื่อกลาง(Access Control) 3.ควบคุมข้อผิดพลาดของ Frame ข้อมูล (Error Control) 3.Network Layer ในระดับนี้มีหน้าที่ในการควบคุมวิธีการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครือข่ายให้ถูกต้องและเป็นไปตามเส้นทางที่กำหนดโดยจะจัดเตรียมคำสั่งการทำงานเกี่ยวกับการหาที่หมายปลายทาง (Addressing)และควบคุมการไหลของข้อมูลในการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพืวเตอร์กับเครือข่าย ในปัจจุบันเมื่อมีการใช้เครือข่ายมากขึ้น ขนาดใหญ่ขึ้น ซับซ้อนมากขึ้นและแน่นอนว่าในการสื่อสารจะต้องการเส้นทางการรับส่งขอ้มูลมากกว่า 1 เส้นทาง ดังนั้นในระดับชั้นนี้จึงมีหน้าที่เลือเส้นทางที่ใช้เวลาในการสืื่อสารน้อยที่สุดระยะทางที่สั้นที่สุดด้วย และกั้นหรือกรอง Packet ข้อมูลที่ส่งไปยังที่หมายภายในเครือข่ายย่อยเดียวกันไม่ให้ข้ามไปยังเครือข่ายย่อยอื่นซึ่งจะช่วยละปริมาณข้อมูลที่จะวิ่งบนเครือข่ายได้ส่วนหนึ่ง โปรโตคอลIP,TCP/IPและIPX เป็นโปรโตคอลที่ทำงานอยู่ในระดับชั้นนี้ ข้อมูลที่รับมาจากระดับชั้นที่ 4 จะถูกแบ่งออกเป็นแพ็กเก็ตๆในระดับชั้นที่ 3 นี้ ( Packetคือ ข้อมุลที่ถูกจัดให้อยู่ในรูปที่กำหนดไว้แล้วนั่นเอง) ข้อมูลระดับ segments อยู่ในชั้นใดของ OSI ModelLayer 4: Transport Layer เป็น Layer ที่จะควบคุมการขนส่งข้อมูลจาก Sender ไปยัง Receiver หรือจาก Receiver ไปยัง Sender เมื่อเกิดการรับส่งข้อมูล ตัว Transport layer จะทำการแบ่งชิ้นส่วนข้อความดังกล่าวเป็นชิ้นเล็กๆหลายๆชิ้นเรียกว่า “Segment” และทำการ Add L4 Header (ประกอบด้วย Protocol ที่ใช้, Source Port และ Destination ...
Data Link Layer ของ OSI Model อยู่ในเลเยอร์ใดData Link Layer (ดาต้า ลิงค์ เลเยอร์) เป็น Layer ชั้นที่ 2 เป็นชั้นที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนผู้ตรวจสอบ หรือควบคุมความผิดพลาดในข้อมูล โดยจะแบ่งการส่งข้อมูลที่ออกเป็นแพ็กเกจหรือเฟรม ถ้าผู้ได้รับข้อมูลถูกต้องก็จะส่งสัญญาณยืนยันกลับมาว่า ได้รับข้อมูลแล้ว เรียกว่า สัญญาณ ACK ให้กับผู้ส่ง แต่ถ้าผู้ส่งไม่ได้รับสัญญาณ ACK หรือ ...
OSI Model ประกอบไปด้วยกี่ชั้น อะไรบ้างระบบเครื่อข่าย จะอนุญาตให้สื่อสารข้ามทุกรูปแบบของระบบคอมพิวเตอร์แยกเป็น 7 ชั้นแต่เกี่ยวเนื่องกันและเป็นรูปแบบมาตรฐาน ISO. OSI Model ประกอบด้วย 7 Layer. 1.Physical Layer. 2.Data link Layer.. Physical Layer. ... . Data link layer. ... . Network layer. ... . Transport layer. ... . Session layer. ... . Presentation layer. ... . Application layer.. MAC Address ทำงานที่ Layerใดของ OSI Model2. Data Link Layer เป็นชั้นที่ทำหน้ากำหนดรูปแบบของการส่งข้อมูลข้าม Physical Network โดยใช้ Physical Address อ้างอิงที่อยู่ต้นทางและปลายทาง ซึ่งก็คือ MAC Address นั่นเอง รวมถึงทำการตรวจสอบและจัดการกับ error ในการรับส่งข้อมูล ข้อมูลที่ถูกส่งบน Layer 2 เราจะเรียกว่า Frame.
|