๑. โลกัตถจริยา : การบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลก การที่พระพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์แก่ชาวโลกนั้น แสดงออกในพุทธกิจประจำวันนั่นเอง ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วันเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นแทบทั้งสิ้น พระองค์แทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลย แม้กระทั่งจะประชวรหนักอย่างไรก็ทรงอุตส่าห์ข่มทุกขเวทนา พยายามสั่งสอนผู้อื่น ดังเช่นทรงโปรดสุภัททปริพาชก เมื่อครั้งพระองค์จวนจะปรินิพพาน เป็นต้นพุทธกิจประจำวันแบ่งเป็น ๕ ประการ คือ
๒. ญาตัตถจริยา : การบำเพ็ญประโยชน์แก่พระประยูรญาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า การสงเคราะห์ญาติเป็นมงคลยิ่งอย่างหนึ่งในจำนวนมงคล ๓๘ ประการ พระพุทธเจ้าเองมิได้ทรงละเลยหน้าที่นี้ การสงเคราะห์พระญาติของพระองค์พอประมวลได้ ดังนี้
๓. พุทธัตถจริยา : การบำเพ็ญประโยชน์ในฐานะพระพุทธเจ้า หลังจากตรัสรู้แล้่ว พระพุทธเจ้าทรงอุทิศพระองค์เพื่อสร้างประโยชน์สุขให้แก่ชาวโลก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยชี้แนะหนทางที่จะทำให้สัตว์โลกทั้งหลายหลุดพ้นจากสังสารวัฎ หรือหาทางป้องกันมิให้สัตว์โลกทั้งปวงก้าวเข้าไปสู่ความเสื่อม ความจริงการประโยชน์แก่ชาวโลกก็นับรวมอยู่ในข้อโลกัตถจริยานั่นเอง แต่การแยกนำมาพูดก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงพุทธจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าให้เห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ภารกิจที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำในฐานะที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้ามีอยู่มากมาย เช่น ๓.๑ ช่วยสัตว์โลกให้หลุดพ้นห้วงความทุกข์คือ ให้หลุดพ้นจากสังสารวัฎหรือ การเวียนว่ายตายเกิดตามพระประณิธานที่ทรงตั้งไว้ตลอดเวลาอันยาวนาน ที่ทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ เมื่อทรงข้ามพ้นทุกข์ด้วยพระองค์แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาช่วยสัตว์อื่นให้หลุดพ้นทุกข์ด้วย โดยการชี้แนะคนที่ชี้แนะได้ฝึกฝนอบรมคนที่ฝึกอบรมได้ ๓.๒ ช่วยวางรากฐานการสร้างความดี หรือสร้างอุปนิสัยที่ดีในภายหน้า ในกรณีคนที่แนะหรือฝึกไม่ได้ หยาบช้าหนาแน่นด้วยกิเลสตัณหาเกินกว่าจะเข้าถึงธรรมได้ในปัจจุบัน พระองค์ก็ไม่ทรงทอดทิ้ง ดังกรณีพระเทวทัต ทรงทราบด้วยพระญาณก่อนแล้วว่า พระเทวทัตจะมุ่งทำลายพระองค์และกระทำสังฆเภท (สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์) แต่พระองค์ก็ทรงบวชให้ ด้วยทรงเห็นว่าการบวชประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาย่อมจักมีความดีงามพอที่จะเป็นอุปนิสัยปัจจัยแก่พระเทวทัตได้บ้างในภายภาคหน้า ๓.๓ ช่วยสัตว์โลกมิให้ก้าวเข้าสู่ความเสื่อม พระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าอีกประการหนึ่ง ก็คือนอกเหนือจากชี้ทางสวรรค์นิพพานให้แก่คนที่พร้อมที่จะดำเนินสู่ทางนั้นแล้ว ยังช่วยปิดอบายหรือปิดกั้นมิให้คนบางประเภทถลำลึกลงสู่ทางเสื่อมฉิบหายมากขึ้น เช่น เสด็จไปโปรดโจรองคุลิมาลก่อนที่จะพบมารดาระหว่างทางและก่อนที่จะกระทำมาตุฆาต (ฆ่ามารดาอันเป็นกรรมหนัก) ๓.๔ ทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อความดำรงมั่นแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อเริ่มประกาศพระพุทธศาสนาในระยะแรก ๆ ยังไม่มีพระวินัยหรือศีลสำหรับให้พระภิกษุได้รักษามากมายดังในเวลาต่อมา ผู้เข้ามาบวชส่วนมากเป็นผู้ที่เบื่อหน่ายในโลกียวิสัยแล้ว พร้อมที่จะปฏิบัติตนเพื่อบรรลุธรรมชั้นสูงสุด วินัยหรือศีลสำหรับควบคุมความประพฤติจึงยังมีไม่มาก มีเพียงหลักการกว้าง ๆ ว่า พระภิกษุไม่พึงกระทำกิจ ๔ ประการคือ เสพเมถุน (เสพกาม),ลักทรัพย์,ฆ่ามนุษย์ และอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ต่อมาเมื่อมีผู้ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่การดำรงเพศสมณะขึ้น มีผู้ตำหนิติเตียน พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติพระวินัยห้ามมิให้มีการกระทำที่ไม่สมควรเช่นนั้นอีกต่อไป และได้บัญญัติเพิ่มเติมแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ที่เรียกว่า “ศีล” มีทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ (ไม่นับรวมข้อบัญญัติเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกมาก) พระวินัยที่ทรงบัญญัติขึ้นนี้เป็นเครื่องควบคุมให้สถาบันสงฆ์มีความสงบเงียบร้อยเป็นที่เลื่อมใสของประชาชนทั่วไป และเป็นเครื่องจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ดำรงมั่นคงยืนนาน ๓.๕ ทรงสถาปนาสถาบันสืบทอดพระพุทธศาสนา เมื่อมีผู้เข้ามาบวชมากขึ้น ทั้งบุรุษและสตรี พระองค์ได้ทรงตั้งสถาบันพุทธบริษัทขึ้น เรียกว่า “บริษัทสี่” คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พร้อมทั้งทรงวางหน้าที่ที่แต่ละบริษัทจะพึงปฏิบัติ และหน้าที่ที่พุทธบริษัทจะพึงร่วมกันทำเพื่อความวัฒนาสถาพรแห่งพระพุทธศาสนาดังนี้ ๑) หน้าที่ของแต่ละบริษัท ก. ภิกษุ ภิกษุณี มีหน้าที่ดังนี้
ข. อุบาสก อุบาสิกา มีหน้าที่ดังนี้
๒) หน้าที่ของบริษัททั้ง ๔ หน้าที่ของบริษัททั้ง ๔ จะพึงทำร่วมกันมีดังนี้
|