�Ԫ������� �дѺ����Ѹ���֡�һշ�� 1 ����ͧ ����͡���§�����¡�ͧ �ӹǹ 5 ��� �¹ҧ�ѹ������ ͺ�ͧ �ç���¹�ѹ������� �����������͡�ͺ��ͷ��١��ͧ�ҡ����ش��§������� ��ͷ�� 1 1. ��㹢�������������� �. �ҷ-�Ҵ �. ���-�Դ �. �ǧ-��� �. ��ͧ-��� ��ͷ�� 2 2. ��ͤ��������ä������ҹ�ç������Ҿ��١��ͧ �. �������/�����/���/�Թ��Ѿ�� �. �������/�����/�Թ��Ѿ�� �. ��������/�������Թ/��Ѿ�� �. �������/��������/�Թ��Ѿ�� ��ͷ�� 3 3. 㹡����ҹ�ӹͧ�ʹ�е����黯ԺѵԵ������ �. ���稺��� �. �����ᷡ���§�ѧ� �. ���ʹ���§��� � �. ����ź���§���-ŧ���� ��ͷ�� 4 4. ��������ä������ҹ�����Ҿ��١��ͧ �. �������繴��/������/��Ҵ������� �. ��������/�������/����Ҵ/������� �. �������繴������/����Ҵ������� �. ��������/���������/��Ҵ������� ��ͷ�� 5 5. �ŧ������Ҿ 1 �� �ա��ҷ �. 1 �ҷ �. 2 �ҷ �. 3 �ҷ �. 4 �ҷ ๑. ความหมายของ “การอ่านทำนองเสนาะ” การอ่านทำนองเสนาะคือวิธีการอ่านออกเสียงอย่างไพเราะตามลีลาของบทร้อยกรองประเภท โคลงฉันท์ กาพย์ กลอน ( พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ หน้า ๓๙๘ ) บางคนให้ความหมายว่า การอ่านทำนองเสนาะคือ การอ่านตามทำนอง ( ทำนอง = ระบบเสียงสูงต่ำ ซึ่งมีจังหวะสั้นยาว ) เพื่อให้เกิดความเสนาะ ( เสนาะ , น่าฟัง , เพราะ , วังเวงใจ ) ๒. วัตถุประสงค์ในการอ่านทำนองเสนาะ การอ่านทำนองเสนาะเป็นการอ่านให้คนอื่นฟัง ฉะนั้นทำนองเสนาะต้องอ่านออกเสียง เสียงทำให้เกิดความรู้สึก – ทำให้เห็นความงาม – เห็นความไพเราะ – เห็นภาพพจน์ ผู้ฟังสัมผัสด้วยเสียงจึงจะเข้าถึงรสและความงามของบทร้อยกรอง ที่เรียกว่าอ่านแล้วฟังพริ้ง – เพราะเสนาะโสด การอ่านทำนองเสนาะจึงมุ่งให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรอง ๓. ที่มาของการอ่านทำนองเสนาะ เข้าใจว่า การอ่านทำนองเสนาะมีมานานแล้วแต่ครั้งกรุงสุโขทัย เท่าที่ปรากฎหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง พุทธศักราช ๑๘๓๕ หลักที่หนึ่ง บรรทัดที่ ๑๘ – ๒๐ ดังความว่า “ ด้วยเสียงพาเสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่นเล่น ใครจักมักหัว – หัว ใครมักจักเลื้อน เลื้อน ” จากข้อความดังกล่าว ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ กล่าวว่า เสียงเลื้อนเสียงขับ คือ การร้องเพลงทำนองเสนาะ ส่วน ทองสืบ ศุภะมารค ชี้แจงว่า “ เลื้อน ” ตรงกับภาษาไทยถิ่นว่า “ เลิ่น ” หมายถึง การอ่านหนังสือเอื้อนเป็นทำนอง ซึ่งคล้ายกับที่ประเสริฐ ณ นคร อธิบายว่า เลื้อน เป็นภาษาถิ่น แปลว่า อ่านทำนองเสนาะ โดยอ้างอิง บรรจบ พันธุเมธา กล่าวว่า คำนี้เป็นภาษาถิ่นของไทย ในพม่า คือไทยในรัฐฉานหรือไทยใหญ๋นั่นเอง จากความคิดเห็นของผู้รู้ ประกอบกับหลักฐาน พ่อขุนหลามคำแหงดังกล่าว ทำให้เชื่อว่า การอ่านทำนองเสนาะของไทยมีมานานหลายร้อยปีแล้ว โดยเรียกเป็นภาษาถิ่นว่า “ เลื้อน ” ที่มาของต้นเค้าของการอ่านทำนองเสนาะพอจะสันนิษฐานได้ว่า น่าจะมีบ่อเกิดจากการดำเนินวิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อนที่มีความเกี่ยวพันกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ ตลอดมา ทั้งนี้จากเหตุผลที่ว่า คนไทยมีนิสัยชอบพูดคำคล้องจองให้มีจังหวะด้วยลักษณะสัมผัสเสมอ ประกอบกับคำภาษาไทยที่มีวรรณยุกต์กำกับจึงทำให้คำมีระดับเสียงสูงต่ำเหมือนเสียงดนตรี เมื่อประดิษฐ์ทำนองง่าย ๆ ใส่เข้าไปก็ทำให้สามารถสร้างบทเพลงร้องขึ้นมาได้แล้ว ดังนั้นคนไทยจึงมีโอกาสได้ฟังและชื่นชมกับการร้องเพลงทำนองต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนตายทีเดียว ศิลปะการอ่านทำนองเสนาะจึงขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้อ่าน และความไพเราะของบทประพันธ์แต่ละประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อ่านทำนองเสนาะจึงต้องศึกษาวิธีการอ่านให้ไพเราะและต้องหมั่นฝึกฝนการอ่านจนเกิดความชำนาญ อนึ่งศิลปะการอ่านทำนองเสนาะอยู่ที่ตัวผู้อ่านต้องรู้จัก วิธีการอ่านทอดเสียง โดยผ่อนจังหวะให้ช้าลง การเอื้อนเสียง โดยการลากเสียงช้า ๆ เพื่อให้เข้าจังหวะและให้หางเสียงให้ไพเราะ การครั่นเสียง โดยทำเสียงสะดุดสะเทือนเพื่อความไพเราะเหมาะสมกับบทกวีบางตอน การหลบเสียง โดยการหักเหให้พลิกกลับจากเสียงสูงลงมาเป็นต่ำ หรือจากเสียงต่ำขึ้นไปเป็นเสียงสูง เนื่องจากผู้อ่านไม่สามารถที่จะดำเนินตามทำนองต่อไปได้เป็นการหลบหนีจากเสียงที่เกินความสามารถ จึงต้องหักเหทำนองพลิกกลับเข้ามาดำเนินทำนองในเขตเสียงของตน และ การกระแทกเสียง โดยการอ่านกระชากเสียงให้ดังผิดปกติในโอกาสที่แสดงความโกรธหรือความไม่พอใจหรือเมื่อต้องการเน้นเสียง ( มนตรี ตราโมท ๒๕๒๗ : ๕๐ ) ๔. รสที่ใช้ในการอ่านทำนองเสนาะ ๔.๑ รสถ้อย ( คำพูด ) แต่ละคำมีรสในคำของตนเอง ผู้อ่านจะต้องอ่านให้เกิดรสถ้อย ตัวอย่าง สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ดังดูดดื่มบอระเพ็ดต้องเข็ดขม ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย ( พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ ) ๔.๒ รสความ (เรื่องราวที่อ่าน) ข้อความที่อ่านมีเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น โศกเศร้า สนุกสนาน ตื่น เต้น โกรธ รัก เวลาอ่านต้องอ่านให้มีลีลาไปตามลักษณะของเนื้อเรื่องนั้น ๆ ตัวอย่าง : บทโศกตอนที่นางวันทองไปส่งพลายงามให้ไปหาย่าทองประศรีที่สุพรรณบุรี ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์ โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง ( เสภาขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม : สุนทรภู่ ) ตัวอย่าง : บทสนุกสนาน ในนิราศพระบาท ขณะมีมวยปล้ำ ละครหยุดอุตลุดด้วยมวยปล้ำ ยืนประจำหมายสู้เป็นคู่ขัน มงคลใส่สวมหัวไม่กลัวกัน ตั้งประจันจดจับขยับมือ ตีเข้าปับรับโปกสองมือปิด ประจบติดเตะผางหม้อขว้างหวือ กระหวัดหวิดหวิวผวาเสียงฮาฮือ คนดูอ้อเออกันสนั่นอึง ๔.๓ รสทำนอง ( ระบบสูงต่ำซึ่งมีจังหวะสั้นยาว ) ในบทร้อยกรองไทยจะประกอบด้วยทำนองต่าง ๆ เช่น ทำนองโคลง ทำนองฉันท์ ทำนองกาพย์ ทำนองกลอน และทำนองร่าย เป็นต้น ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ถูก ต้องตามทำนองของร้อยกรองนั้น เช่น โคลงสี่สุภาพ สัตว์ พวกหนึ่งนี้ชื่อ พหุบา ทาแฮ มี อเนกสมญา ยอกย้อน เท้า เกิดยิ่งจัตวา ควรนับ เขานอ มาก จวบหมื่นแสนซ้อน สุดพ้นประมาณ ฯ ๔.๔ รสคล้องจอง ในบทร้องกรองต้องมีคำคล้องจองในคำคล้องจองนั้นต้องให้ออกเสียงต่อเนื่องกัน โดยเน้นเสียงสัมผัสนอกเป็นสำคัญ เช่น ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ พระสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย ถึงสุราพารอดไม่วอดตาม ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป ไม่เมาหล้าแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่มาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน ( นิราศภูเขาทอง : สุนทรภู่ ) ๔.๕ รสภาพ เสียงทำให้เกิดภาพ ในแต่ละคำจะแฝงไปด้วยภาพ ในการอ่านให้เห็นภาพต้องใช้เสียง สูง – ต่ำ ดัง – ค่อย แล้วแต่จะให้เกิดภาพอย่างไร เช่น “ มดเอ๋ยมดแดง เล็กเล็กเรี่ยวแรงแข็งขยัน ” “ สุพรรณหงส์ทรงพู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ ” “ อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา ” ๕. หลักการอ่านทำนองเสนาะ มีดังนี้ ๕.๑ ก่อนอ่านทำนองเสนาะให้แบ่งคำแบ่งวรรคให้ถูกต้องตามหลักคำประพันธ์เสียก่อน โดยต้องระวังในเรื่องความหมายของคำด้วย เพราะคำบางคำอ่านแยกคำกันไม่ได้ เช่น “ สร้อยคอขนมยุระ ยูงงาม ” ( ขน – มยุระ , ขนม – ยุระ ) “ หวนห่วงม่วงหมอนทอง อีกอกร่องรสโอชา ” ( อีก – อก – ร่อง , อี – กอ – กร่อง ) “ ดุเหว่าจับเต่าร้างร้อง เหมือนจากห้องมาหยารัศมี ” ( เหมือน – มด , เหมือน – มด – อด ) ๕.๒ อ่านออกเสียงธรรมดาให้คล่องก่อน ๕.๓ อ่านให้ชัดเจน โดยเฉพาะออกเสียง ร ล และคำควบกล้ำให้ถูกต้อง เช่น “ เกิดเป็นชายชาตรีอย่าขี้ขลาด บรรยากาศปลอดโปร่งโล่งสมอง หยิบน้ำปลาตราสับปะรดให้ทดลอง ไหนเล่าน้องครีมนวดหน้าทาให้ที เนื้อนั้นมีโปรตีนกินเข้าไว้ คนเคราะห์ร้ายคลุ้มคลั่งเรื่องหนังผี ใช้น้ำคลองกรองเสียก่อนจึงจะดี เห็นมาลีคลี่บานหน้าบ้านเอย ” ๕.๔ อ่านให้เอื้อสัมผัส เรียกว่า คำแปรเสียง เพื่อให้เกิดเสียงที่ไพเราะ เช่น พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา ( อ่านว่า พระ – สะ – หมุด – สุด – ลึก – ล้น คน – นะ – นา ) ข้าขอเคารพอภิวาท ในพระบาทบพิตรอดิสร ( ข้า – ขอ – เคา – รบ – อบ – พิ – วาด ใน – พระ – บาด – บอ – พิด – อะ – ดิด – สอน ) ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ ( อ่านว่า ขอ – สม – หวัง – ตั้ง – ประ – โหยด – โพด – พิ – ยาน ) ๕.๕ ระวัง ๓ ต อย่าให้ ตกหล่น อย่าต่อเติม และอย่าตู่ตัว ๕.๖ อ่านให้ถูกจังหวะ คำประพันธ์แต่ละประเภทจะมีจังหวะแตกต่างกัน ต้องอ่านให้ถูกวรรคตอนตามแบบแผนของคำประพันธ์นั้น ๆ เช่น มุทิงคนาฉันท์ ( ๒ – ๒ – ๓ ) “ ป๊ะโท่น / ป๊ะโทน / ป๊ะโท่นโทน บุรุษ / สิโอน / สะเอวไหว อนงค์ / นำเคลื่อน / เขยื้อนไป สะบัด / สไป / วิไลตา ” ๕.๗ อ่านให้ถูกทำนองของคำประพันธ์นั้น ๆ ( รสทำนอง ) ๕.๘ ผู้อ่านต้องใส่อารมณ์ตามรสความของบทประพันธ์นั้น ๆ รสรัก โศก ตื่นเต้น ขบขัน โกรธ แล้วใส่น้ำเสียงให้สอดคล้องกับรสหรืออารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น ๕.๙ อ่านให้เสียงดัง ( พอที่จะได้ยินกันทั่วถึง ) ไม่ใช่ตะโกน ๕.๑๐ ถ้าเป็นฉันท์ ต้องอ่านให้ถูกต้องตามบังคับของครุ – ลหุ ของฉันท์นั้น ๆ ลหุ คือ ที่ผสมด้วยสระเสียงสั้น และไม่มีตัวสะกด เช่น เตะ บุ และ เถอะ ผัวะ ยกเว้น ก็ บ่อ นอกจาก นี้ถือเป็นคำครุ ( คะ – รุ ) ทั้งหมด ลหุ ให้เครื่องหมาย ( ุ ) แทนในการเขียน ครุ ใช้เครื่องหมาย ( ั ) แทนในการเขียน ตัวอย่าง : วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ มีครุ – ลหุ ดังนี้ ัััััั ั ั ุ ั ุ ุ ุ ั ุ ุ ั ุ ั ั ั ั ุ ั ุ ุ ุ ั ุ ุ ั ุ ั ั อ้าเพศก็เพศนุชอนงค์ อรองค์กับอบบาง ( อ่านว่า อ้า – เพด – ก็ – เพด – นุ – ชะ – อะ – นง อะ – ระ – อง – ก้อ – บอบ – บาง ) ควรแต่ผดุงสิริสะอาง ศุภลักษณ์ประโลมใจ ( อ่านว่า ควน – แต่ – ผะ – ดุง – สิ – หริ – สะ – อาง สุ – พะ – ลัก – ประ – โลม – ใจ ) ๕.๑๑ เวลาอ่านอ่านอย่าให้เสียงขาดเป็นช่วง ๆ ต้องให้เสียงติดต่อกันตลอด เช่น “ วันนั้นจันทร มีดารากร เป็นบริวาร เห็นสิ้นดินฟ้า ในป่าท่าธาร มาลีคลี่บาน ใบก้านอรชร ” ๕.๑๒ เวลาจบให้ทอดเสียงช้า ๆ ๖. ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านทำนองเสนาะ ๖.๑ ช่วยให้ผู้ฟังเข้าถึงถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรองที่อ่าน ๖.๒ ช่วยให้ผู้ฟังได้รับความไพเราะและเกิดความซาบซึ้ง ( อาการรู้สึกจับใจ อย่างลึกซึ้ง ) ๖.๓ ช่วยให้เกิดความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน ๖.๔ ช่วยให้จำบทร้อยกรองได้รวดเร็วและแม่นยำ ๖.๕ ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นคนอ่อนโยนและเยือนเย็น ๖.๖ ช่วยสืบทอดวัฒนธรรม ในการอ่านทำนองเสนาะไว้เป็นมรดกต่อไป |