อะไรคือ การใช้ Fintech ในการซื้อประกันภัย

หลายคนอาจจะรู้สึกว่าการซื้อประกันเป็นเรื่องยากและวุ่นวาย แต่ต้องซื้อๆ ไปเพราะเขาบังคับ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์ ที่ต้องต่อประกันทุกๆ ปี ปัจจุบันมีหลายบริษัทที่เห็นช่องว่างความวุ่นวายนี้จึงใช้เทคโนโลยีล้ำๆ มาช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ซื้อประกัน

อะไรคือ การใช้ Fintech ในการซื้อประกันภัย

“Insurtech” มาจากคำว่า Insurance กับ Technology มีนัยยะซ่อนว่า การใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาธุรกิจประกัน หลายคนบอกว่า Insurtech จะมาเปลี่ยนวงการประกัน ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เรื่องวุ่นวายให้เป็นเรื่องสะดวก ซึ่งถือวว่าเป็นหนึ่งใน Fintech เหมือนกัน

วงการประกันภัยในไทย เรายังมีช่องว่างในการใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาอยู่ ธุรกรรมด้านประกันภัยก็เช่นกัน หลายๆ ครั้งที่เราต้องโดนเจ้าหน้าที่ขายประกันโทรมาเซ้าซี้ กว่าจะคุยกับพนักงานขายเข้าใจ ไหนจะโดนทวงเอกสาร นัดเวลาถ่ายรูปรถยนต์ ตรวจสุขภาพ เดินเอกสาร จ่ายเงิน กว่าจะคุ้มครอง หรือบางครั้งก็มีข้อมูลมากมายก่ายกองจนเลือกซื้อไม่ถูก ซื้อมาก็ไม่เหมาะกับสิ่งที่เราอยากได้ Insurtech Startup เห็นช่องว่างในความเชื่องช้าเช่นนี้ที่สามารถนำเทคโนโลยีมาช่วงให้ทุกอย่างเร็วขึ้น ง่ายขึ้นได้ และเหมาะกับสิ่งที่คุณอยากได้มากขึ้น

อธิบายอย่างเดียวหลายคนอาจจะไม่เห็นภาพ เรามายกตัวอย่างกันดีกว่า Insurtech Startup มาแรงจากฝั่งอเมริกา ชื่อว่า Lemonade ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ผ่าน Chatbot ชื่อว่า “Jim” ในการให้บริการลูกค้า ลูกค้าไม่จำเป็นต้องติดต่อผ่านพนักงานแล้ว ผลงานล่าสุดของ Jim คือ Jim ช่วยลูกค้าเคลมค่าเสียหาย ตั้งแต่การแจ้งเคลมจนถึงการโอนเงินเงินชดเชยเข้าบัญชี โดย Jim ใช้เวลาทั้งหมด 3 วินาที!

ส่วนในประเทศไทย ถึงแม้เราจะยังไม่มี AI เจ๋งๆ อย่าง Jim แต่บ้านเราก็มีน้อง “ใจดี” ที่จะมาช่วยทำให้การซื้อประกันรถยนต์ของคุณง่ายขึ้น เหมาะกับสิ่งที่ต้องการ เข้าใจง่ายมาก แล้วคุณจะสามารถซื้อประกันได้ภายใน 60 วินาทีเท่านั้น!


 

Insurtech หรือกิจกรรมเกี่ยวกับการซื้อขายประกันออนไลน์ตอนนี้อาจจะดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่ หรืออาจจะดูไม่น่าเชื่อถือ แต่คุณลองนึกถึงสมัยที่คุณยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะโอนเงินผ่าน Mobile Banking หรือกลัวที่จะใส่เลขบัตรเครดิตเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบิน สมัยก่อนก็ยังเป็นเรื่องไม่น่าวางใจ แต่เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นเรื่องปกติ ลองดูการเติบโตของ Insurtech ไว้นะครับว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยีมาเปลี่ยนแปลงวงการประกัน เหมือนที่ Fintech กำลังเปลี่ยนแปลงให้วงการการเงินบ้านเราเป็นเรื่องง่ายหรือไม่

 ข้อมูลจาก

ประกันภัยรถยนต์ที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ

อะไรคือ การใช้ Fintech ในการซื้อประกันภัย

อะไรคือ การใช้ Fintech ในการซื้อประกันภัย

หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดว่า โลกเข้าสู่ยุคแห่ง Disruptive Innovation อย่างเต็มตัว คือ การมาของ “FinTech” ที่สร้างความฮือฮาระดับพลิกวงการ “การเงินการธนาคาร” เช่น บริการ Internet Banking ที่สร้างความสะดวกสบายในระดับที่ลูกค้ากำหนดได้เอง และเมื่อภาพรวมตลาดของ FinTech เริ่มอยู่ในช่วงอิ่มตัว ล่าสุดทั่วโลกก็กำลังหันมาให้ความสนใจ กับอีกหนึ่งนวัตกรรมที่เรียกว่า “InsurTech” นั่นคือ เทคโนโลยีสำหรับ “วงการประกัน” โดยเฉพาะนั่นเอง

โดยกระแสความนิยม InsurTech ในระดับโลก ยืนยันได้ด้วยการลงทุนแบบก้าวกระโดดในทวีปยุโรป จากปีก่อนหน้าที่มีมูลค่าเพียง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาเป็น 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2017 จนแม้แต่มหานครระดับโลกอย่างนิวยอร์กก็กำลังผันตัวเป็นศูนย์กลางสำคัญของ InsurTech เช่นกัน จุดจบปัญหาเดิมๆ ของระบบประกัน InsurTech คือ แพลตฟอร์มที่นำเทคโนโลยีเข้ามาปรับปรุงธุรกิจประกันให้รองรับความต้องการที่แตกต่าง และแก้ไขแต่ละ Pain Point ที่ผู้ซื้อประกันต้องทนมานาน ทำให้ระบบประกันซึ่งเคยดูยุ่งยาก เปลี่ยนเป็นเรื่องที่จัดการเองได้ง่ายๆ รวดเร็ว และยืดหยุ่นได้มากขึ้น จุดเด่นที่ทำให้ INSURTECH แตกต่างจากประกันทั่วไป คือ ระบบบริการที่รวดเร็ว ตั้งแต่การเลือกซื้อ ไปถึงบริการเคลม ในราคาที่สมเหตุสมผล เพราะวิเคราะห์ความเสี่ยงจากข้อมูลรายบุคคลอย่างแม่นยำ เพื่อปรับให้คุณได้ความคุ้มครองที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ อย่าง AI Chat Bot และแอพพลิเคชั่น ที่รองรับการใช้งานของลูกค้าให้จัดการเรื่องประกันได้ง่ายๆ ผ่านมือถือทุกที่ ทุกเวลา

InsurTech Startup บนเวทีโลก

มี Insurtech Startup ระดับโลกมากมายที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เราขอยกตัวอย่างแค่ไม่กี่บริษัทที่สะดุดตา ด้วยแนวคิดที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เช่น

MetroMile InsurTech

ประกันรถยนต์ ที่คิดค่าเบี้ยประกันตามจำนวนไมล์หรือระยะทางที่ขับจริง ด้วยสถิติที่ว่า ผู้ขับขี่ประมาณ 65% มีระยะทางในการใช้งานไม่เกิน 16,000 กม./ปี ซึ่งอ้างว่าทำให้ประหยัดไปได้ถึงประมาณ 500 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ต่อปีเลยทีเดียว

Sherpa

บริษัท Startup ในประเทศอังกฤษที่สร้างระบบ AI ที่สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยง คำนวณค่าเบี้ยประกัน และจะแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อมีระดับความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป

Lemonade

สตาร์ตอัพประกันภัยที่หักเบี้ยฯประกันทันที 20% สำหรับเป็นกำไรของบริษัทฯ ส่วนที่เหลือจะกันไว้สำหรับการเคลมประกันให้แก่ลูกค้า ซึ่งจะทำให้การจ่ายเคลมเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ด้วยแนวคิดว่า ค่าเบี้ยประกันนี้ไม่ใช่เงินของบริษัท แต่มันคือเงินของลูกค้า

RightIndem

ประกันแนวคิดใหม่ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถจัดการเคลมได้ด้วยตัวเอง ทำให้กระบวนการทั้งหมดโปร่งใสทุกขั้นตอน  เคลมเสร็จได้เร็วตามต้องการ กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วกว่า

นอกจากนี้ยังมี InsurTech อีกมากมายที่น่าจับตากันต่อไป เช่น CoverWallet, BoughtByMany, Oscar, Sunday ฯลฯ

รู้จัก InsurTech แบบครบวงจรรายแรกของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างซันเดย์ และทำความรู้จักว่าเทคโนโลยีของเราทำให้คุณได้ประโยชน์อย่างไรได้ที่ easysunday.com/about

ฟินเทคมีประโยชน์อย่างไร

ประโยชน์หลักของ FinTech หรือ ฟินเทค คือ การทำให้ธุรกรรมหรือกิจกรรมเกี่ยวกับการเงินแบบเดิมเดิมสะดวกและรวดเร็วขึ้นมาก และในฝั่งของธุรกิจเองยังได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง อย่างที่ใครหลายคนเคยเห็นข่าวที่หลายธนาคารต่างลดจำนวนพนักงานลง

อินชัวร์เทคคืออะไร

Insurtech มาจากคำว่า Insurance (ประกันภัย) และ Technology (เทคโนโลยี) ซึ่ง Insurtech มักจะเป็นคำที่ใช้เรียกธุรกิจประกันภัยที่ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในระบบการดำเนินงาน

ตัวอย่างฟินเทค (FinTech) มีอะไรบ้าง

ธุรกิจให้บริการชำระเงิน (Payment) ... .
ธนาคารดิจิตอล (Digital Banks) ... .
ธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภค (Consumer Finance) ... .
ธุรกิจด้านการลงทุน (Investment and Exchanges) ... .
ธุรกิจประกัน (Insurance) ... .
ธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ และให้คำปรึกษาด้านธุรกิจ (Software and Outsourcing Solutions).

Insurtech ตรงกับข้อใด

อินชัวร์เทค (InsurTech) เป็นคำที่ใช้เรียกธุรกิจประกันภัยที่นำเทคโนโลยีมาใช้ ไม่ว่าจะเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันไฮเทคใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้น อินชัวร์เทคบางรายถึงขั้นนำเทคโนโลยีและข้อมูลเชิงลึกมาคำนวณและปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาแบบใหม่ให้ ...