กรมพระคลัง (๗ มกราคม ๒๕๕๔) กรมพระคลัง สารานุกรมประวัติศาสตร์ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๑ อธิบายว่า กรมพระคลัง เป็นกรมใหญ่มีกรมย่อยในสังกัดมาก ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าตั้งขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา มีหน้าที่ควบคุมดูแลการเงินของแผ่นดิน การเก็บภาษีอากร การค้ากับต่างประเทศ และการตัดสินคดีเกี่ยวกับพระราชทรัพย์หลวง มี “พระยาโกษาธิบดี” หรือ “พระยาพระคลัง” เป็นเจ้ากรม ในระยะแรกกรมพระคลังมีหน้าที่หลักในการจัดเก็บภาษี ดูแลการใช้จ่ายของแผ่นดิน และดูแลการตัดสินคดีเกี่ยวกับพระราชทรัพย์หลวงเท่านั้น เมื่อมีการเดินทางไปค้าขายกับต่างประเทศ กรมพระคลังก็มีหน้าที่แต่งสำเภาหลวงออกไปค้าขาย และยังมีหน้าที่รับรองชาวต่างชาติที่มาติดต่อค้าขายด้วย ดังนั้น กรมพระคลังจึงรับผิดชอบดูแลทั้งการคลังและการต่างประเทศ ต่อมา เมื่อแบ่งการปกครองหัวเมือง กรมพระคลังได้ดูแลหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก และในปลายสมัยอยุธยา มีการยกหัวเมืองปักษ์ใต้ซึ่งเคยอยู่ในความดูแลของกรมพระกลาโหม มาอยู่ในความดูแลของกรมพระคลัง จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้คืนหัวเมืองปักษ์ใต้กลับไปให้กรมพระกลาโหมดูแลดังเดิม ต่อมาในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระคลังมีกรมย่อยในสังกัด ๘ กรม คือ กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระคลังสินค้า กรมพระคลังใน กรมท่า กรมคลังราชการ กรมคลังวิเศษ กรมคลังศุภรัต และกรมคลังสวน และเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิรูปการปกครอง กรมพระคลังก็ได้ยกฐานะเป็นกระทรวงพระคลังมหาสมบัติใน พ.ศ. ๒๔๓๓ มีหน่วยงานในสังกัด ๑๓ กรม และอีก ๒ ปีต่อมาก็มีการปรับปรุงหน่วยงานภายในใหม่เหลือเพียง ๑๐ กรม ซึ่งกระทรวงนี้กลายเป็นรากฐานของกระทรวงการคลังในปัจจุบัน. ปิยรัตน์ อินทร์อ่อน
ภาษีในสุโขทัยเท่าที่พบหลักฐานมีอยู่ ๒ ประเภท คือ จังกอบและภาษีข้าว การเก็บภาษีของผู้ปกครองยึดหลักคุณธรรมโดยไม่ต้องการให้ราษฎรเดือดร้อน กล่าวคือ ไม่ให้เก็บมากเกินไป ให้เก็บเพียง ๑ ส่วนจากรายได้ ๑๐ ส่วน ที่ราษฎรหาได้ ถ้าราษฎรผู้ใดหาไม่ได้เลย ก็ไม่ให้เก็บ สภาพการปกครองของไทยในสมัยอยุธยาเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยสุโขทัย กล่าวคือเป็นแบบเอกาธิปไตย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพต่างจากประชาชนสามัญ พระมหากษัตริย์เป็นทั้งเจ้าชีวิตของประชาชนและเจ้าแผ่นดิน มีพระราชอำนาจเป็นล้นพ้น แต่ การที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำให้พระองค์มีพระทัยเมตตา ทรงทำทาน รักษาศีล และยึดมั่นในธรรมะ จึงมีพระราชจริยวัตรที่เหมาะสมและยุติธรรม การที่สภาพการปกครองเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ทำให้พระองค์ต้องแยกออกมาจากกลุ่มชน มักจะประทับอยู่แต่ในพระราชวังราษฎรจะมองพระมหากษัตริย์ไม่ได้ ส่วนราษฎรก็ต้องให้แรงงานถวายต่อกษัตริย์ตามกำหนดเวลา ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนจึงห่างเหินมากในสังคมมีชนหลายชั้น ชั้นสูงสุดคือพระมหากษัตริย์ รองลงมาคือ เจ้านาย ขุนนาง ไพร่และทาส รัฐบาลมีรายได้จากส่วยสาอากรหรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่าภาษีอากร๔ชนิด ได้แก่จังกอบ อากร ส่วยและ ฤชาในสมัยอยุธยาตอนต้นได้มีการจัดระเบียบการปกครองฝ่ายพลเรือนเป็น ๔แผนก เรียกว่าจตุสดมภ์ซึ่งประกอบด้วยกรมเมือง กรมวัง กรมพระคลัง และกรมนาโดยกรมพระคลังทำหน้าที่รักษาราชทรัพย์ผลประโยชน์ของบ้านเมืองมีขุนคลังเป็นหัวหน้าบังคับบัญชาและมีพระคลังสินค้าเป็นที่เก็บและรักษาส่วยสาอากร ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๐๓๑)ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ปรับปรุงแก้ไขระบบราชการวางระเบียบการคลังการส่วยสาอากรและเศรษฐกิจให้รัดกุมทันสมัยให้ตราพระราชบัญญัติทำเนียบราชการ โดยแบ่งราชการออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือนซึ่งใช้มาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ฝ่ายทหารมีสมุหพระกลาโหม เป็นหัวหน้าดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือนมีสมุหนายกเป็นหัวหน้าดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเช่นเดียวกันและมีตำแหน่งเสนาบดีอีก ๔ตำแหน่ง คือ ๑. เสนาบดีกรมเมือง บังคับบัญชาการรักษาพระนครและความนครบาล ๒. เสนาบดีกรมวัง บังคับบัญชาการที่เกี่ยวกับพระราชสำนักและพิจารณาคดีความของราษฎร ๓. เสนาบดีกรมพระคลังบังคับบัญชาเกี่ยวกับการจัดการรักษาพระราชทรัพย์ที่ได้จากส่วยสาอากรและ บังคับบัญชากรมท่าซึ่งเกี่ยวกับการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศและยังมีหน้าที่เกี่ยวกับกรมพระคลัง สินค้าการค้าสำเภาของหลวงด้วย ๔. เสนาบดีกรมนา บังคับบัญชาการเกี่ยวกับเรื่องนาและสวนการเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารสำหรับด้านการติดต่อค้าขายกับต่างชาติมีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สมัยนั้นมิได้เรียก “กรมเจ้าท่า” แต่เรียก เจ้าภาษีบ้าง นายด่านบ้างและนายขนอมตลาดบ้าง ซึ่งทั้งหมดทำหน้าที่บังคับการจอดสมอเรือค้าขายเก็บค่าธรรมเนียมเรือค้าขายที่เข้าและออกราชอาณาจักร โดยอยู่ในความปกครองบังคับบัญชาของกรมพระคลัง ส่วนคำว่า “กรมท่า” แต่เดิมคงหมายถึง เจ้าท่าตามระบบเก่า หากแต่มีความหมายกว้างขวางออกไปอีก กรมท่าเป็นส่วนราชการที่มีแต่สมัยอยุธยา คลังหลวง กรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี (พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๑๐)ประเทศไทยมีการติดต่อค้าขายทางเรือกับต่างชาติ ทางชาติตะวันออกก่อนเช่น จีน และแขก ชาติตะวันตกมีโปรตุเกสเป็นชาติแรก ต่อมามีสเปน ฮอลันดา ญี่ปุ่นอังกฤษ เดนมาร์กและฝรั่งเศสเข้ามาติดต่อค้าขายตามลำดับการค้าขายกับต่างชาติอยู่ในความควบคุมดูแลของกรมพระคลังสินค้าซึ่งเป็นหน่วยงานหลวงเพื่อผูกขาดสินค้าบางอย่างเป็นสินค้าต้องห้ามไม่ให้พ่อค้าประชาชนซื้อขายกันโดยตรง นอกจากนี้พระคลังสินค้ายังมีหน้าที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเรือสินค้าต่างชาติ ค่าภาษีสินค้าและค่าธรรมเนียมเข้าออก แม้ว่าอาณาจักรอยุธยาจะสามารถหารายได้มาเจือจุนบ้านเมืองจากหลายทาง แต่กลับได้รับผลประโยชน์รายได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก เพราะมีการรั่วไหลกันมาก อันเนื่องมาจากการทุจริตของหลายฝ่าย เช่น การทุจริตของเจ้าพนักงานในสมัยนั้น ซึ่งมีวิธีฉ้อโกงหลวงหลายรูปแบบ การไม่ยอมเสียอากรของฝ่ายราษฎรตลอดจนความบกพร่องของกฎหมาย เป็นต้น ซึ่งอันที่จริงกฎหมายอยุธยามีบทลงโทษผู้กระทำผิดเหล่านี้ไว้ตั้งแต่ขั้นภาคทัณฑ์ ขั้นปรับ ขั้นประจาน ขั้นจองจำและขั้นประหารชีวิตตัดคอ ริบราชบาตร[1] แต่ก็มิได้ทำให้การทุจริตเบาบางลง ในขณะเดียวกันมีการให้ขวัญและกำลังใจแก่ผู้กระทำความดี ซื่อสัตย์ในหน้าที่ด้วยการให้รางวัลจากหลวงด้วยชาวต่างชาติได้บันทึกถึงความมั่งคั่งของพระคลังในสมัยอยุธยาไว้ว่า ...น้อยนักที่จะมีพระมหากษัตริย์ทางภาคบุรพทิศพระองค์ใด ซึ่งครองราชย์อยู่ในปัจจุบันนี้ที่จะทรงสมบูรณ์ด้วยพระราชทรัพย์เทียบเท่าพระเจ้ากรุงสยาม ไม่เพียงแต่พระองค์จะทรงครอบครองทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ตกทอดมาทุกชั้นพระราชวงศ์เท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งว่า ที่ได้สะสมมาเป็นเวลาร่วม ๒๐๐ ปี โดยที่ไม่มีข้าศึกมาปล้นพระบรมมหาราชวัง แล้วยังได้พระราชทรัพย์ที่ได้ทรงสะสมไว้ นับแต่ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นต้นมาอีกด้วย... และอีกตอนหนึ่งว่า ท้องพระคลังอีกแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยดาบญี่ปุ่น ตีด้วยเหล็กเนื้อดี อาจฟันแท่งเหล็กให้ขาดสะบั้นได้โดยง่ายดาย แล้วก็ไม้กฤษณา กะลำพัก ชะมดเชียง และเครื่องกระเบื้องชุดลายครามจากเมืองจีนเป็นอันมาก กับผ้าแพรพรรณอย่างดีทำในชมพูทวีป และในยุโรปและเครื่องกระเบื้องเคลือบชนิดบางลางชนิด ซึ่งเมื่อใส่ยาพิษลงไปแล้วก็จะแตกทันที สรุปแล้ว เราไม่อาจที่จะบอกได้ถูกต้องว่า มีสิ่งอันล้ำค่าหาได้ยากและน่าเห็นน่าชมเชยมากมายสักเท่าไรในท้องพระคลังอื่นๆ อีก... ความเสียหาย..หลังเสียกรุง ในสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี (พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕) ภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาจากการรุกรานของพม่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ พระเจ้าตากสินทรงมีพระวิริยะอุตสาหะและความอดทนเป็นอย่างยิ่งกว่าจะกอบกู้บ้านเมืองและตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่ที่มั่นคงได้ เนื่องจากระยะนั้นบ้านเมืองได้รับความเสียหายทุกด้านไม่ว่าจะเป็นไร่นาสาโท แรงงาน หรือทรัพย์สินต่างๆ ทั้งที่เป็นของฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร ก็ถูกทำลายเสียสิ้น หลักฐานของบาทหลวงชาวฝรั่งเศสบันทึกว่า ...พวกพม่าข้าศึกได้เอาไฟเผาสถานที่บางกอก และทำลายป้อม ทั้งเผาสวนและปล้นบ้านเรือนไม่เว้นเลย ตลอดตั้งแต่ท่าเรือจอดจนถึงชานพระนคร...มิหนำซ้ำพวกพม่ายังคอยรังควานไม่ให้ราษฎรไทยทำมาหากิน และออกคำสั่งห้ามราษฎรทำการเพาะปลูกอีกด้วย...เมื่อพม่าเข้ากรุงได้แล้วนั้น พม่าได้เอาไฟเผาบ้านเรือน ทำลายข้าวของต่างๆ อยู่ ๑๕ วัน และได้ฆ่าผู้ฟันคนไม่เลือกว่า คนมีเงินหรือไม่มีเงิน ก็ฆ่าฟันเสียสิ้น แต่พวกพม่าพยายามฆ่าพวกพระสงฆ์มากกว่า และได้ฆ่าเสียนับจำนวนไม่ถ้วน ข้าพเจ้า (ผู้บันทึก) เองได้เห็นพม่าฆ่าพระสงฆ์ในตอนเช้าเวลาเดียวเท่านั้นกว่า ๒๐ องค์เมื่อพม่าได้เผาบ้านเรือนในพระนคร ตลอดจนพระราชวังและวัดวาอารามหมดสิ้นแล้ว พวกพม่าจึงเตรียมการที่จะยกทัพกลับไป... นอกจากนี้การสูญเสียแรงงานชาวไทยก็ยังมีเหตุมาจากการกวาดต้อนคนไทยไปเป็นเชลย กล่าวคือ พม่าพยายามที่จะจับเอาคนดีมีฝีมือทางการช่างทุกแขนงไปเป็นเชลย ทำให้เกิดความขาดแคลนช่างหลายสาขาเมื่อถึงรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีซ้ำร้ายกว่านั้น พม่ายังปล้นเอาของในท้องพระคลัง ซึ่งในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาได้บรรยายไว้ว่า ...เนเมียวกับนายกองทั้งปวงก็ให้ขนเอาปืนใหญ่น้อยในพระนคร ได้ปืนใหญ่น้อยพันสองร้อยเศษ ปืนกลับเป็นหลายหมื่น เอาลงบรรทุกเรือกับทั้งขุนนางแลครอบครัวราษฎรชายหญิงประมาณสามหมื่นเศษ ที่หนีไปซุ่มซ่อนอยู่ในป่าดง และไป ณ หัวเมืองต่างๆ ก็เป็นอันมาก และได้พระราชทรัพย์ในท้องพระคลังและสิ่งของทองเงินต่างๆ ก็มาก ที่ยักย้ายทรัพย์ สิ่งสินลงเร้นซ่อนฝังไว้ พม่าก็เฆี่ยนตีและย่างเร่งเอาทรัพย์ ให้นำขุดเอาสิ่งของทองเงินได้บ้างไม่ได้บ้าง และฆ่าฟันตายเสียก็มากกว่า แล้วพม่าเอาเพลิงสุมหลอมเอาทองคำซึ่งแผ่หุ้มพระองค์พระพุทธรูปยืนใหญ่ ในพระวิหารหลวง วัดพระศรีสรรเพชญดารามนั้น ขนเอาเนื้อทองคำไปทั้งสิ้น... จะเห็นว่า การกระทำของพม่าครั้งนั้น ได้สร้างความพินาศทางเศรษฐกิจให้กับเมืองไทยอย่างใหญ่หลวง เป็นเหตุให้ผู้คนเกิดความอดอยากยากแค้นและล้มตายลงจากการอดอาหาร ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า ...(พระเจ้าตากสินได้)ประทานเงินตราแก่สัปเหร่อ ให้ขนทรากศพอันอดอาหารตาย ทิ้งเรี่ยราดอยู่นั้น เผาเสียให้สิ้น แล้วประทานบังสุกุลทาน... กล่าวได้ว่า
เมืองไทยในครั้งนั้นต้องสูญเสียคนประมาณสองแสนเศษ ทั้งตายด้วยอาวุธและป่วยไข้อดโซตาย นอกจากหลักฐานของบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เห็นเหตุการณ์ในขณะนั้น เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๓๑๒ ได้บันทึกถึงความยากจนอดอยากของคนไทยในขณะนั้นไว้ตรงกันว่า คลังหลวง กรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงดำเนินวิธีการต่างๆ เพื่อหารายได้มาค้ำจุนประเทศ พอจะสรุปได้ดังนี้ ¨ ทรงใช้จ่ายอย่างประหยัด ตามปกติพระมหากษัตริย์จะทรงสร้างพระมหาปราสาทให้สมพระเกียรติยศ พระเจ้าแผ่นดินเมื่อขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ทรงตัดพระทัยไม่สร้าง และ การสร้างวัดใหม่ตาม ธรรมเนียมของกษัตริย์ไทยสมัยก่อน ก็ทรงไม่ทำตาม กล่าวได้ว่า ทรงพยายามใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุด และเป็นเหตุหนึ่งที่ช่วยฟื้นฟูการเงินการคลังของไทยให้กลับมั่นคงภายในเวลาไม่ช้า ¨ ทรงกำชับการเก็บเงินเข้าพระคลังหลวงอย่างเข้มงวด โดยทรงแต่งตั้งขุนนางผู้ใหญ่ออกไปควบคุมและ เร่งรัดการเก็บส่วยสาอากรตามหัวเมืองให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และไม่ให้ติดค้างหลายๆ ปีเหมือนอย่าง แต่ก่อน ¨ ทรงเก็บอากรชนิดใหม่คือเก็บค่าธรรมเนียมขุดทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ ซึ่งเกิดขึ้นจากราษฎรสมัยกรุง แตกจำต้องหลบหนีข้าศึกเพื่อเอาตัวรอด ครั้นจะหอบเงินทองติดตัวไปด้วยก็กลัวจะหนีไม่รอด ทั้งกลัว โจรผู้ร้ายจะแย่งชิง จึงใช้วิธีเอาทรัพย์สินเงินทองข้าวของมีค่าฝังดิน เมื่อข้าศึกยกกลับไปแล้วจะได้กลับ มาขุดเอาคืน แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่จำที่ซ่อนไม่ได้เพราะพม่าเผาบ้านเรือนเสียเหี้ยนเตียน จนไม่รู้ว่าบ้าน ของตนอยู่ตรงไหน บางคนก็ถูกจับเป็นเชลย และบางคนก็ล้มตายในระหว่างที่หนีข้าศึก จึงมีทรัพย์สินตก ค้างอยู่ใต้ดินเป็นอันมาก พวกนายทุนบางคนจึงประมูลเงินให้แก่รัฐบาลเป็นเงินก้อน เพื่อขอสิทธิผูกขาด ตามโบราณราชประเพณีเท่าที่ปรากฏ พระราชทรัพย์ในพระคลังมหาสมบัติซึ่งหมายถึงเงินผลประโยชน์รายได้แผ่นดินทั้งหมด เป็นพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์ด้วย หลักฐานยืนยันถึงความจริงข้อนี้คือคำกราบบังคมทูลของเสนาบดีจตุสดมภ์ทั้ง ๔
เป็นธรรมเนียมเมื่อแรกขึ้นราชาภิเษกของพระเจ้าแผ่นดิน โดยกราบบังคมทูลถวายสรรพราชสมบัติทั้งปวงของแผ่นดินที่อยู่ในหน้าที่ดูแลรักษาของตน ดังความตอนหนึ่งว่า [1]รวบเอาทรัพย์สินของคนที่ต้องพระราชอาญาเข้าเป็นของหลวง โบราณถือว่า
เงินพระคลังมหาสมบัติเป็นพระราชทรัพย์ของพระเจ้าแผ่นดินแล้วแต่จะใช้จ่ายในการพระองค์หรือในการแผ่นดินได้ตามพระราชอัธยาศัย มิได้แบ่งว่าเป็นเงินในพระองค์หรือเงินแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการสั่งเบิกจ่ายเพื่อใช้สอยในกิจการต่างๆ ทั้งปวงได้โดยลำพังพระองค์เอง การแบ่งสรรรายได้แผ่นดินเพื่อนำไปใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการแผ่นดินหรือส่วนพระองค์ เป็นพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ เพราะสมบัติแผ่นดินในเวลานั้นคือ
“ราชสมบัติ” ซึ่งหมายถึง พระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นเจ้าของพระราชทรัพย์ทั้งปวงในแผ่นดิน
|