Windows 7 มีหลายรุ่นให้เลือกใช้งาน ตามวัตถุประสงค์ของแต่ละคน การเลือกใช้รุ่นที่ตรงกับความต้องการใช้งานจริง ก็จะช่วยประหยัดเงินค่าลิขสิทธิ์โปรแกรม ทำไม Windows 7 ต้องมีหลายรุ่น แต่ละรุ่นจะมีความสามารถต่างกันไป เช่น รุ่นนี้มีโปรแกรมสำหรับจัดการระบบเน็ตเวิร์ค รุ่นนี้เพิ่มความสามารถด้านความบันเทิงเข้ามา หรือรองรับการใช้งานกับหน้าจอแบบ สัมผัสหรือทัชสกรีน ใช้นิ้วจิ้มหน้าจอเลือกคำสั่งได้ เป็นต้น การเลือกรุ่นที่ไม่มีความสามารถอะไรมากนัก ไม่ใช่ปัญหา เพราะเราสามารถหาโปรแกรมมาลงเพิ่มได้ ต้องดูที่งานของ เราเป็นหลัก เช่น รุ่น Home Basic ซึ่งเป็นรุ่นต่ำสุด ถูกตัดทอนความสามารถออกไปเยอะ เหลือแต่ความสามารถพื้นฐาน ถ้าเราใช้คอมพิวเตอร์เพื่องานเฉพาะทางเช่น เปิดร้านรับพิมพ์งาน รับทำสิ่งพิมพ์ หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต จะเห็นว่า เราต้องการใช้ความสามารถของ Windows 7 แค่ให้ เครื่องสามารถทำงานได้เท่านั้นเอง การเลือกใช้ Windows 7 รุ่น Home Basic ก็เพียงพอแล้ว เอาเงินไปซื้อโปรแกรมที่เราต้องใช้อย่าง Word หรือโปรแกรมทำสิ่งพิมพ์จะดีกว่า เพราะนั่นคือสิ่งที่เราต้องใช้จริงๆ แต่การซื้อรุ่น Professional ที่มีความสามารถทั้งในเรื่องการใช้งานจอสัมผัส ใช้งานพวก Aero Glass ความบันเทิง แสดงภาพ ฟังเพลง จัดการ รายการทีวีด้วย Windows Media Center หรือ การสร้างระบบเน็ตเวิร์ค ความสามารถพวกนี้เราไม่ได้ใช้ ซื้อมาแล้ว ก็เสียเงินเปล่าๆ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Windows 7 แต่ละรุ่นสามารถเข้าไปค้นหาได้ที่ www.windows7thailand.com ส่วนการเลือกซื้อมาใช้งานนั้น ก็ต้องดูที่การใช้งานของคุณ กรณีทำ ธุรกิจขนาดเล็ก มีคอมพิวเตอร์ไม่กี่เครื่อง แบบ Home Premium (FPP) ก็เพียงพอแล้ว เพราะสามารถสร้างเครื่องข่ายเน็ตเวิร์คแบบง่ายๆ เพื่อแบ่งปันข้อมูลการใช้งานร่วมกันได้ ใช้งานเครื่องพิมพ์ ใช้งานไฟล์ร่วมกัน รุ่นนี้ราคาประมาณ 3990 บาท แต่ละรุ่น มีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง แนะนำให้ลองหาโอกาสไปศูนย์ไอทีใกล้บ้าน แล้วลองคลิกๆ ดูหน้าจอ Windows แต่ละรุ่น ดูโปรแกรมที่มีให้ และตรวจสอบส่วนต่างๆ เพื่อ ดูว่า สิ่งที่เราต้องใช้งานนั้น Windows 7 รุ่นใด เหมาะสมกับการทำงานของเราบ้าง Details Category: สอนใช้ Windows 7Windows 7 นอกจากจะมีหลายรุ่นให้เลือกแล้ว ยังมีข้อจำกัดเรื่อง License แต่ละแบบอีก ซึ่งตอนสั่งซื้อแรก ๆ ก็งงงงงงง กับข้อจำกัดเล็กน้อย เพราะนึกว่าจะมีแค่รุ่นที่ให้เลือกเพียงอย่างเดียว แต่ดันมาเจอข้อจำกัดโน่นนี่เรื่อง License อีก ซึ่งแบ่ง License ออกเป็น 3 แบบด้วยกัน ทำให้เราต้องทำความเข้าใจเล็กน้อย มาดูพร้อม ๆ กับข้อเปรียบเทียบแต่ละรุ่นกันครับ คิดเสียว่าเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้กับตัวเองละกันนะครับ ก่อนเลือกซื้อวินโดว์มาใช้
เรามาลองทำความเข้าใจเกี่ยวกับ License และเปรียบเทียบคุณสมบัติแต่ละรุ่นกันดูนะครับ ซึ่ง License ของวินโดว์นั้นแบ่งเป็น 3 แบบด้วยกัน คือ Full Package License , OEM License และ Volume License มาดูว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อประกอบการพิจารณาเลือกซื้อให้เหมาะกับการใช้งานและงบประมาณของเรา Full Package License : รูปแบบเป็นกล่อง ห่อด้วยพลาสติคใส เป็นไลเซนส์ที่แพงที่สุด OEM License : รูปแบบด้านในเป็นกล่อง dvd มีกล่องกระดาษขาวหุ้มอยู่ Volume License : สำหรับองค์กรที่ต้องการใช้ซอฟต์แวร์เป็นจำนวนมาก ตารางเปรียบเทียบ Windows 7 แต่ละรุ่น
ประเภทของลิขสิทธิ์ ตามบ้าน Open License : เป็น โปรแกรมการจัดซื้อสิทธิการใช้ซอฟต์แวร์ สำหรับบริษัทธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลางที่ต้องการซื้อซอฟต์แวร์ตั้งแต่ 5 สิทธิการใช้งานขึ้นไปในการสั่งซื้อครั้งแรก Select Plus : สำหรับองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ต้องการสั่งซื้อซอฟต์แวร์และบริการได้ใน ทุกระดับหน่วยธุรกิจ พร้อมสิทธิในระดับราคารวมในฐานะเป็นองค์กรเดียว ขณะเดียวกันก็ให้ความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมกับลดความซับซ้อนในการจัดซื้อและง่ายต่อการบริหารจัดการซอฟต์แวร์ Enterprise Agreement : ช่วยสร้างมาตรฐานสิทธิการใช้ซอฟต์แวร์ในองค์กร และพร้อมเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆตลอดเวลา ด้วยราคาที่คุ้มค่า และ
สิทธิประโยชน์ของ Software Assurance ขนาดองค์กร องค์กรขนาดกลาง ความคล่องตัวในการจัดซื้อซอฟต์แวร์ยังจำเป็นสำหรับองค์กรที่มีเครื่องตั้งแต่ 25 – 249 เครื่อง องค์กรขนาดใหญ่ การบริหารจักการซอฟท์แวร์อย่างมีประสิทธิภาพเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องตั้งแต่ 250 เครื่องขึ้นไป |