เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

สมัยกลางของยุโรป ฝรั่งเรียกว่ายุคมืด เพราะศาสนาคริสต์ครอบงำ ทำให้แสงแห่งปัญญาดับหาย

แม้แต่ชื่อเรียกยุคสมัยต่างๆ แห่งประวัติศาสตร์ของตะวันตก ก็เป็นถ้อยคำที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา ตั้งขึ้นโดยปรารภความเป็นไปที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา หรือแม้แต่เป็นคำเรียกเหตุการณ์ในคริสต์ศาสนาโดยตรง กล่าวคือ

๑. Middle Ages หรือ สมัยกลาง (แห่งยุโรป) ค.ศ.476-1453 เป็นระยะเวลา ๑ พันปีที่คริสต์ศาสนามีกำลังและอิทธิพลเป็นเอกอันเดียวในยุโรป วัฒนธรรมมีแหล่งกำเนิดจากคริสต์ศาสนาแผ่ครอบคลุมชีวิตทุกด้านของสังคม รวมทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร

แต่ในสมัยกลางเองนั้น คำว่า “สมัยกลาง” หรือ “Middle Ages” ยังไม่เกิดขึ้น

ต่อมา เมื่อชาวยุโรปหลุดพ้นออกมาจากยุคสมัยนี้ พวกนักปราชญ์ตะวันตกผู้มองเห็นว่ายุโรปมีโอกาสหวนกลับคืนสู่ศิลปวิทยาการของกรีกและโรมันโบราณอีกครั้งหนึ่ง จึงเรียกชื่อยุคสมัยที่ผ่านมา นั้นว่า “Middle Ages” (“สมัยกลาง”) ในความหมายว่าเป็นช่วงเวลาท่ามกลางระหว่างการเสื่อมสลายของศิลปวิทยาของกรีกและโรมันโบราณ จนกระทั่งศิลปวิทยานั้นกลับฟื้นคืนขึ้นมาใหม่อีกในยุคของพวกตน ที่เรียกว่า Renaissance

อนึ่ง ในระยะที่หลุดพ้นออกมาใหม่ๆ นั้น (จนถึงยุค Enlightenment ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘) ความรู้สึกที่เป็นปฏิกิริยาต่อสภาพของสมัยกลางนั้นยังเด่นแรงอยู่ คนยุโรปจึงเรียกชื่อสมัยกลางนั้นอีกอย่างหนึ่งว่า Dark Ages แปลว่า ยุคมืด หมายถึงช่วงเวลาอันยาวนาน ที่อารยธรรมคลาสสิกอันอุดมด้วยศิลปวิทยาการของกรีกและโรมันโบราณได้เลือนลับไป ทำให้ยุโรปตกอยู่ในความมืดมนอับปัญญา

พวกนักมนุษยนิยม (humanists) ที่คิดศัพท์ Middle Ages ขึ้นมาใช้ มองช่วงเวลาที่ล่วงผ่านไปก่อนยุคของพวกเขาว่า เป็นพันปีแห่งความมืดมัวและโมหะ (a thousand-year period of darkness and ignorance; บางทีก็เรียกสั้นๆว่า the age of ignorance หรือ a period of intellectual darkness and barbarity คือ ยุคแห่งความโหดและโฉดเขลา หรือยุคเฉาโฉดโหดเหี้ยม) จึงเรียกว่าเป็น Dark Ages

(บางทีนักประวัติศาสตร์ก็จำกัดช่วงเวลาให้จำเพาะลงไปอีกว่า Dark Ages เป็นช่วงต้นๆ ของสมัยกลางนั้น คือ ราว ค.ศ. 500-1000 และบางทีก็จำกัดสั้นลงไปอีกเป็น ค.ศ.476-800)

ต่อมา คนสมัยหลังที่ห่างเหตุการณ์มานาน มีความรู้สึกที่เป็นปฏิกิริยาต่อสภาพของยุคสมัยนั้นเบาบางลง ก็เริ่มกลับไปเห็นคุณค่าบางอย่างของความเป็นไปในสมัยกลางนั้น เช่นว่า ถึงอย่างไรสมัยกลาง หรือยุคมืดนั้น ก็เป็นรากฐานที่ช่วยให้เกิด Renaissance

โดยเฉพาะที่สำคัญยิ่ง คือการที่ศาสนจักรคริสต์ได้เผชิญและผจญกับศาสนาอิสลาม ในสงครามครูเสดเป็นต้น ในหลายแห่งที่ฝ่ายคริสต์ชนะ ก็พลอยได้ตำรับตำราวิชาการต่างๆ ของกรีกและโรมันโบราณ ที่ชาวมุสลิมนำไปเก็บรักษา ถ่ายทอดและพัฒนาสืบมา

ตำรับตำราเหล่านี้ นักบวชคริสต์ได้คัดลอก เก็บรักษา หรือไม่ก็แปลกลับจากภาษาอาหรับเป็นภาษาละติน ซึ่งกลายมาเป็นแหล่งความรู้ให้แก่ยุค Renaissance (ยุคคืนชีพ)

ต่อมา ปราชญ์ชาวตะวันตกยุคหลังๆ จึงเห็นว่า ในสมัยกลางนั้น ประทีปแห่งวิทยาการยังส่องแสงอยู่บ้าง แม้จะริบหรี่ แต่ก็ไม่ถึงกับดับมืดเสียทีเดียว

ดังนั้น บัดนี้คำว่า Dark Ages จึงไม่เป็นที่นิยมใช้กันอีก (บางท่านแปลคำว่า ยุคมืด/Dark Ages นั้นให้หมายความว่าเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่เรารู้เรื่องกันน้อย)

ในสมัยกลางนี้ ผู้ที่จะเป็นจักรพรรดิก็ต้องให้องค์สันตะปาปา (Pope) สวมมงกุฏให้ จักรวรรดิโรมันที่เจ้าเยอรมันรื้อฟื้นตั้งขึ้นใหม่ ก็มาเรียกโดยเติมคำว่า “holy” เข้าข้างหน้า เป็น the Holy Roman Empire (ช่วง ค.ศ.962-1806)

การที่ศาสนาคริสต์มีอำนาจยิ่งใหญ่ครอบคลุมอย่างนี้ ก็ทำให้เกิดมีความคิดที่ให้ถือยุโรป(ตะวันตก) เป็นศาสนรัฐที่กว้างใหญ่อันหนึ่งอันเดียว เรียกว่า “Christendom” (แปลได้ว่า “คริสต์จักร” หรือ “คริสต์อาณาจักร”)

Christendom นี้ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายศาสนาธิการ (sacerdotium) ซึ่งองค์สันตะปาปา (Pope) มีอำนาจสูงสุด กับฝ่ายรัฏฐาธิการ (imperium) ซึ่งมีจักรพรรดิ (Emperor) ทรงอำนาจสูงสุด โดยทั้งสองฝ่ายปฏิบัติงานเสริมซึ่งกันและกัน (นี้เป็นเพียงทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติสองฝ่ายได้ขัดแย้งแย่งชิงอำนาจกันมาตลอด)

ในสมัยกลางนี้เช่นกัน ที่คริสต์ศาสนจักรได้รวมพลังกษัตริย์ ขุนพล และพลเมืองของประเทศทั้งหลายทั่วยุโรป ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือสงครามเพื่อพระผู้เป็นเจ้า (holy war) เพื่อปลดปล่อยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (Holy Land คือ เมืองเยรูซาเลม) จากการยึดครองของพวกมุสลิมเตอร์กส์ อันมีชื่อเรียกเฉพาะว่า “ครูเสด” (Crusades) ซึ่งเป็นสงครามกับมุสลิมที่ยืดเยื้อยาวนานประมาณ ๒๐๐ ปี (ค.ศ.1096-1270) นับเป็นครูเสดครั้งใหญ่ทั้งหมด ๘ ครั้ง กับครูเสดเด็กอีก ๒ ครั้ง

สมัยกลาง หรือ ยุคกลาง คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยปกติแล้วเริ่มนับตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก จนถึงจุดเริ่มตั้นของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และยุคแห่งการสำรวจ ซึ่งเป็นยุคที่นำไปสู่สมัยใหม่ในเวลาต่อมา สมัยกลางคือช่วงเวลาตรงกลางของกระบวนการเปลี่ยนผ่านในประวัติศาสตร์ตะวันตกคือ สมัยคลาสสิก สมัยกลาง และสมัยใหม่ นอกจากนี้สมัยกลางยังถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงเวลาคือ ต้นสมัยกลาง, สมัยกลางยุครุ่งโรจน์ และปลายสมัยกลาง

แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม

วิกิพีเดีย

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

  1.  สังคมยุโรปสมัยกลาง สิ่งที่มีอิทธิพลต่อสังคมยุโรปในสมัยกลาง มี 2 ประการ
          1. ศาสนาคริสต์

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

          2. การปกครองระบบฟิวดัล
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

        ศาสนาคริสต์ มีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศอิตาลี เป็นศาสนาประจำชาติยุโรป มีอำนาจเหนืออาณาจักรทั้งปวง เป็นระยะเวลานานถึง 1,000ปี มีอิทธิพลต่อแนวคิดและวิถีการดำเนินชีวิตในทุกด้าน   มนุษย์จะต้องศรัทธาและเชื่อมั่นในพระเจ้า มีเป้าหมายของชีวิตที่จะได้อยู่ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า โดยมีพิธีกรรมที่ผ่านสันตะปาปาและนักบวช
        การปกครองระบบฟิวดัล เป็นหลักการของสังคมที่ทุกคนต้องเป็นข้ารับใช้ผู้ที่เป็นใหญ่เหนือตนเสมอ   เกิดจากสภาพบ้านเมืองที่ไม่มีความสงบ และเต็มไปด้วยอันตรายจากการสู้รบทำให้ประชาชนหันไปขอความคุ้มครองจากผู้นำที่มีความเข้มแข็งกว่า คนเหล่านั้นจะตอบแทนความคุ้มครองด้วยการใช้แรงงานในที่ดินของผู้นำที่ให้ความคุ้มครองแก่ตน สังคมจะมีพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของที่ดินทั้งประเทศทั้งหมด ลักษณะการปกครองพระมหากษัตริย์จะแบ่งการปกครองออกเป็นแว่นแคว้นต่างๆ และมอบที่ดินในแต่ละแคว้นในขุนนางดูแล ขุนนางในแคว้นนั้นจะดูแลคนที่อาศัยทำมาหากินในที่ดินของตนทั้งหมดเหมือนทาสติดดินที่ต้องรับใช้ตน

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

       การสร้างศิลปกรรมในยุคนี้ เป็นกิจกรรมของวัดและคริสต์ศาสนิกชนที่มั่งคั่ง ซึ่งได้แก่พระและขุนนางซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและทรัพย์สินต่างๆในที่ดินของตน โดยบางครั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นชนชั้นสูงสุดยังไม่ร่ำรวยเท่าขุนนางและบาทหลวง เพราะพระมหากษัตริย์ปกครองแต่เพียงในนามอำนาจอยู่ที่ขุนนางผู้ปกครองแคว้นต่างๆ ศิลปะกรีกและโรมันซึ่งเคยรุ่งเรืองมาก่อนจะตกอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของวัด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวทางศาสนา  และศิลปะที่เกี่ยวข้องกับวัด

2. สงครามครูเสด

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

           สงครามครูเสดเกิดในปีค.ศ. 1096-1297นับระยะเวลา 200 ปี เป็นสงครามระหว่างศาสนา ที่ชาวคริสต์กับชาวมุสลิม เพื่อขับไล่ชาวมุสลิมที่เข้ายึดครองการยูรูซาเล็มอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ และอีกประการหนึ่งเพื่อแย่งชิงเส้นทางการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่ชาวมุสลิมแย่งไปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5
          การเปลี่ยนแปลงหลังสงครามครูเสด
           1. การขยายตัวทางการค้า สงครามทำให้เกิดการติดต่อระหว่างชาติตะวันออกกับทวีปยุโรปมีมากขึ้น สินค้าจากตะวันออกเป็นที่ต้องการของชาติตะวันตกคือเครื่องเทศ ผ้าไหม เมืองเวนิสและเมืองท่าหลายเมืองในอิตาลี กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่มีกำไรมหาศาล
           2. เกิดเมืองศูนย์กลางการค้า เนื่องจากการค้าขายขยายตัวทั่วยุโรป ทำให้เกิดเมืองที่เป็นศูนย์กลางการค้ามากมายที่มีความเหมาะสมต่อการทำธุรกิจการค้า เช่นเมือโลญน์ และเมืองออกซ์เบอร์กในเยอรมันภาคเหนือ เมืองบรูจและเมืองแอนทเวิร์พแห่งฟลานเดอร์ เมืองเวนิส ฟลอเรนซ์
มิลาน เจนัว ปิซาและโบโลนย่า ในอิตาลี เมืองเหล่านี้เป็นศูนย์กลางการประดิษฐ์ การค้า และวัฒนธรรมในสมัยนั้น
           3. เกิดชนชั้นกลาง ความเจริญทางการค้า และการเกิดเมืองศูนย์กลางพ่อค้าและช่างฝีมือ เริ่มมีบทบาทและอำนาจในสังคมมากขึ้น ในขณะที่ขุนนางและอัศวินนักรบเริ่มลดความสำคัญลงไป และชนชั้นกลางเหล่านี้ได้สนับสนุนด้านการเงินแก่พระมหากษัตริย์เพื่อให้ความคุ้มครองธุรกิจการค้าและการขนส่งของตน
           4. ความเจริญก้าวหน้าทางศิลปะวิทยาการ ชาวยุโรปได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากชาติตะวันออกเป็นจำนวนมาก เช่นวิธีการเกษตรและการทำดินปืนจากจีน วิชาดาราศาสตร์และการนับเลขแบบอินเดีย และความรู้ด้านปรัชญาสาขาต่างๆจากกรีกโบราณ
           5. การเปลี่ยนแปลงภายในศาสนจักร คนเริ่มสนใจโลกภายนอกมากขึ้น เกิดแนวคิดในการสั่งสอนศาสนาจากเดิมที่มุ่งเน้นการเตรียมตัวเพื่อชีวิตในโลกหน้า กลับมาเน้นหลักมนุษยธรรมและความรักธรรมชาติรอบๆตัว โดยนำเอาหลักเหตุผลมาใช้ประกอบมากขึ้น อันเนื่องมาจากอิทธิพลแนวคิดของกรีกโบราณ
        การสิ้นสุดสมัยกลาง เนื่องมาจากความเสื่อมของระบบการปกครองแบบฟิวดัลแต่สถาบันพระมหากษัตริย์มีความเข้มแข็งขึ้น กลายเป็นศูนย์กลางของการบริหาร การรักษาความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย กลุ่มคนที่มีอำนาจแทนขุนนางและพระ คือกลุ่มอาชีพต่างๆมีบทบาทในการปกครองตนเอง ในเมืองที่เป็นศูนย์กลางการค้า ประชาชนให้ความสนใจในการศึกษาและสร้างสรรค์งานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันยิ่งขึ้น คัมภีร์ไบเบิลถูกแปลจากภาษาละตินเป็นภาษาท้องถิ่น ทำให้เกิดความเข้าใจในหลักคำสอนในแง่มุมต่างๆมากขึ้น
      สาเหตุที่ทำให้ระบบขุนนางเสื่อม เนื่องจากการนำปืนไฟมาใช้ในการทำสงคราม พระมหากษัตริย์โดยการสนับสนุนของชนชั้นกลางสามารถจัดตั้งกองทัพประจำการของตนขึ้นเองได้โดยไม่ต้องอาศัยกำลังไพร่พลจากขุนนา การสิ้นสุดยุคสมัยกลางของยุโรปพร้อมกับการเกิดยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในลำดับต่อมา

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

       อารยธรรมตะวันตก

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
คืออารยธรรมของโลกในยุคปัจจุบัน ถือกำเนิดโดยชาวผิวขาวในทวีปยุโรป แต่ในขณะนี้อารยธรรมยุโรปได้แพร่หลายกระจายไปทั่วโลก
        เหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของการแพร่กระจายไปทั่วโลกของอารยธรรมตะวันตก
        1. การเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิปัญญาอันเป็นผลมาจากยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยากร   การปฏิรูปศาสนา การสำรวจและการค้นพบดินแดนใหม่ และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์
        2. การปฏิวัติทางการเมือง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางการเมือง การปฏิวัติในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส
        3. การปฏิวัติทางอุตสาหกรรม   เกิดจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการก่อตัวของระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มเกิดที่ประเทศอังกฤษต่อมาไก้แพร่หลายไปทั่วทวีปยุโรปและอเมริกา
      จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ นับว่ามีผลต่อการกระจายอารยธรรมตะวันตก สู่โลกอื่นๆซึ่งรายละเอียดมีดังนี้

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

        1. ยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ(Age of Renaissance) 

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
หรือยุคการเกิดใหม่ของยุโรป เกิดขึ้นประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14 ที่อิตาลี ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการขึ้นมา ได้แก่ การเน้นการศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมนุษย์ ตามแบบอย่างของกรีกและโรมันโบราณ หรือที่เรียกกันว่า สมัยคลาสสิก 
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
วิทยาการสาขาต่างๆของกรีกโบราณ เช่นปรัชญา วิทยาศาสตร์ เทววิทยา
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
บทกวี แฟชั่น และได้นำเอาตำรามาศึกษาอย่างแพร่หลายความรู้ของกรีกโบราณนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาธรรมชาติรอบตัวอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดที่สำคัญ คือ การนำหลักเหตุผลมาใช้ในการแสวงหาความรู้ และแนวคิดค่านิยม ที่เห็นความสำคัญของมนุษย์ที่สามารถประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์ผลงานให้กับตนเอง ส่วนในด้านความเชื่อศรัทธาในศาสนจักรได้เปลี่ยนไป มนุษย์เริ่มสนใจกับชีวิตในปัจจุบันมากขี้น แทนที่จะสนใจชีวิตในโลกหน้า ลักษณะงานทางศิลปะจึงเน้นความคิดที่เป็นมนุษย์นิยม เน้นความงามของร่างกาย    ที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์จริง ศิลปินที่สำคัญคือ ไมเคิล  แองเจลโล
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
ซึ่งเป็นกวี นักปรัชญา นักสถาปนิก ผลงานคือ รูปปั้นเดวิด การออกแบบวิหารเซนปิเตอร์
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
และภาพวาดที่ผนังโบสถ์ซิสไทน์ แซมเพิล
        ยุโรปในยุดนี้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
ซึ่งได้พัฒนามาแทนระบบฟิวดัล มีการแบ่งอาณาจักรเป็นประเทศ โดยใช้เชื้อชาติและภาษาเป็นเกณฑ์ เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางของความเจริญทางการค้า   กลายเป็นศูนย์กลางของความเจริญทางศิลปะวิทยาการด้วย เช่น เมืองมิลาน เจนัว และฟลอเรนซ์ เป็นต้น

        2. การสำรวจและการค้นพบดินแดนใหม่(Age of Disscovery)

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

            ในคริสต์ศตวรรษที่15 ชาวยุโรปส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่า โลกแบน โดยมีนครรัฐเยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลางของโลก แต่เมื่อพ่อค้าชาวอาหรับนำเรื่องของประเทศอินเดียมาเผยแพร่ และมาร์โค โปโล นำเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักจีนมาบอกกล่าว ทำให้ยุโรปตื่นตัวในการสำรวจดินแดนที่ยังไม่รู้จัก
         สาเหตุที่ทำให้เกิดการสำรวจเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญมีดังนี้
         1. ความต้องการสินค้าจากตะวันออก ได้แก่เครื่องเทศ ผ้าไหม แต่เส้นทางถูกขัดขวางโดยพวกเตอร์ก ในตะวันออกกลาง
         2. ความต้องการแร่เงินและทองคำ เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เนื่องจากการค้าขายขยายตัวมากขึ้น
         3. ความต้องการในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในทวีปเอเชียและแอฟริกา ชาวสเปนและโปรตุเกส เริ่มสำรวจทางทะเล ตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก โดยการสนับสนุนของพระมหากษัตริย์
         ชาติผู้นำในการแสวงหาเส้นทางเดินเรือมายังทวีปเอเชียคือสเปนและโปรตุเกส ในปลายคริสต์ศตวรรษที่15 เจ้าชานแฮรี นาวิกบุรุษราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกสทรงเป็นผู้บุกเบิกการเดินเรือสำรวจชายฝั่งทวีปแอฟริกาเป็นคนแรก บาร์โธโลมิว ไดแอช เดินทางมาถึงตอนใต้สุดของทวีปแอฟริกา โดยไปถึงแหลมกูดโฮป ในค.ศ.1488 นับเป็นนักเดินเรือคนแรกที่สามารถอ้อมปลายแหลมของแอฟริกาใต้ได้สำเร็จ ส่วนวาสโก ดา กามา เดินทางจากกรุงลิสบอนประเทศโปรตุเกสมาถึงเมืองกาลิกัดประเทศอินเดีย โดยอ้อมแหลมกู้ดโฮปนับเป็นบุคคลแรกที่สามารถเดินทางจากทวีปยุโรปถึงทวีปเอเชีย
          ผลจากการค้นพบทวีปใหม่ ทำให้สเปนกลายเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุด เพราะสามารถเข้ายึดครองอาณาจักรของชาวพื้นเมืองเผ่าเอสแตค ซึ่งตั้งอยู่ในเม็กซิโก และอาณาจักรอินคาที่เปรู ทำให้สเปนได้ทองคำและเงินมหาศาล ส่วนโปรตุเกสร่ำรวยจากการค้นพบเส้นทางไป อินเดียและนำสินค้ามาขายที่เวนิส

        3. ยุคแห่งการปฏิรูปศาสนา(Age of Reformation)

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

             ขบวนการมนุษยนิยม ไม่เพียงแต่เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการและการเปลี่ยนแปลงในสมัยกลาง ไปสู่สมัยใหม่ หากยังมีผลสะท้อนทางแนวความคิดที่ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนา ขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 อีกด้วย
            ทฤษฎีระบบการโคจรของโลกว่าโลกหมุนรอบแกนของตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ของนิโคลัส โคเปอร์นิคัส ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นโดยกล้องโทรทรรศน์ของกาลิเลโอ ที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล เป็นการลบล้างคำสอนของบาทหลวง ในเรื่องโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล ทำให้ชาวยุโรปเกิดความสงสัยในอำนาจและคำสอนอื่นๆของศาสนจักร อิทธิพลของศาสนจักรจึงเสื่อม การที่ศาสนจักรมุ่งจะหาผลประโยชน์ในด้านเงินทองมากกว่า   จะทำหน้าที่สร้างศรัทธาและจิตวิญญาณ คนทั่วไปเริ่มมองเห็นความแตกต่างระหว่างความยากจนของตนและความมั่งคั่งของวัดและพระ
        มาร์ติน  ลูเธอร์
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
นักบวชชาวเยอรมัน ได้ติดประกาศคำประท้วงการกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องของศาสนจักร  โดยกล่าวว่า ความเชื่อของมนุษย์เกิดจากศรัทธาของตัวมนุษย์ผู้นั้นที่มีต่อพระเจ้ามิใช่ผ่านพิธีกรรมหรือความช่วยเหลือใดๆจากพระ เขาประณามการซื้อใบไถ่บาปจากพระ การกระทำครั้งนั้นทำให้เกิดนิกายใหม่ของศาสนาคริสต์คือนิกายโปรเตสแตนต์ และมีนิกายย่อเกิดขึ้นอีกมากมาย และทำลายเอกภาพของศาสนจักรสากล ที่เคยมีมาก่อนได้สำเร็จ

        4. ยุคแห่งเหตุผลและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์(Age of Reason)
        ทฤษฎีของปโตเลมี ที่กล่าวว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล   เป็นที่เชื่อถือของชาวยุโรปมาตลอดกว่า1,000ปี จนกระทั่งค.ศ. 1553 นักวิทยาศาสตร์ชาวโปแลนด์ ชื่อ นิโคลัส โคเปอร์นิคัส เสนอทฤษฎีว่าด้วยระบบสุริยจักรวาล

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
ที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางโลกและดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์
     ในปี ค.ศ. 1609 ได้เกิดเหตุการณ์ 2 อย่างเกิดขึ้น อันถือเป็นจุดกำเนิดของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่แท้จริง คือ   นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อโจฮันเนส เคปเลอร์ ได้เสนอทฤษฎีว่าด้วยการโคจรของดาวพระเคราะห์ โดยกล่าวว่าดาวเคราะห์โคจรเป็นวงรีรอบดวงอาทิตย์และใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ต่างกัน ในปีเดียวกัน กาลิเลโอ กาลิเลอี ชาวอิตาลี ได้ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์เป็นผลสำเร็จ ทำให้สามารถมองเห็นการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า อันเป็นการยีนยันความถูกต้องตามทฤษฎีของเคปเลอร์และโคเปอร์นิคัส
        ฟรานซิส  เบคอน ได้เสนอวิธีการทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นการนำไปสู่การแสวงหาความรู้ เขากล่าวว่าทฤษฎีจะต้องเกิดจากการสังเกต และทฤษฎีจะเป็นจริงได้ด้วยวิธีการทดลอง แนวคิดของเขาเป็นต้นกำเนิดของปรัชญาที่ว่าด้วยการแสวงหาความจริงจะต้องได้มาโดยการสังเกตและทดลองเท่านั้น
        เรอเน เดส์การ์ต เป็นนักปรัชญา นักฟิสิกส์ และนักคณิตศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส   มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้ใช้หลักของเหตุผล เป็นรากฐานของศาสนาและคณิตศาสตร์ เพื่อให้สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้ละทิ้งแนวคิดดั้งเดิมของศาสนา และให้ใช้การตั้งข้อสงสัยในทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นสงสัยในความมีอยู่ของตัวเอง และเสนอว่า การอธิบายระบบจักรวาล ทำได้ด้วยวิธีการทางคณิตศสาสตร์เท่านั้น
        ยุคของวิทยาศาสตร์ได้บรรลุจุดสุดยอด ในค.ศ. 1687 เมื่อ ไอแซค นิวตัน  ชาวอังกฤษได้เสนอกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของจักรวาล อธิบายได้ว่า ทำไม วัตถุต่างๆจึงต้องตกลงสู่พื้นโลกเสมอ
        การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์สามารถขยายขอบเขตความรู้ต่างๆออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ ทั้งสร้างองค์ความรู้ที่มีลักษณะเป็นความรู้บริสุทธิ์ที่สามารถทดสอบหรือทำซ้ำได้ สังคมและวิถีชีวิตมนุษย์จึงพัฒนาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง

        5. การปฏิวัติอุตสาหกรรม(Industrial Revolution)

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

        การปฏิวัติอุตสาหกรรมหมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงในวิธีการและกระบวนการผลิตจากการใช้แรงงานคน
และสัตว์และรวมทั้งพลังงานธรรมชาติ มาเป็นการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรกลแบบง่ายๆ จนถึงสลับซับซ้อนที่มีประสิทธิภาพรวดเร็ว และมีกำลังการผลิตสูงจนถึงเป็นระบบโรงงานแทนระบบการผลิตในครัวเรือน หรือระบบการผลิตแบบจ่ายงานให้ไปทำตามบ้าน
        การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นผลสืบเนืองมาจาการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่16 เป็นต้นมา
มีการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแขนงต่างๆ ลักษณะของการปฏิวัติอุตสาหกรรม มิได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแต่ที่เรียกว่าปฏิวัติเพราะเป็นเหตุการณ์ที่นำ
ไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงทางสังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของคนเป็นจำนวนมาก

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

           ตั้งแต่ยุคกลางเป็นต้นมา ชาวยุโรปส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชนบท ผลิตอาหารและเครื่องนุ่งห่มใช้เองในครัวเรือน การคมนาคมไม่ดีมีถนนไม่มากนัก ตลาดสินค้าส่วนใหญ่เป็นเพียงตลาดประจำท้องถิ่น ช่างฝีมือประจำท้องถิ่นยังคงมีบทบาทสำคัญในการผลิตของใช้ที่จำเป็น พลังงานใช้แรงงานคน    สัตว์และพลังงานน้ำ ปัจจัยการผลิตที่สำคัญ คือ ที่ดิน และแรงงาน อัตราการเพิ่มประชากรอยู่ในเกณฑ์สูงมาก

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

      1. กาขยายตัวทางการค้า นับตั้งแต่การค้นพบเส้นทางการเดินเรือและดินแดนอาณานิคมใหม่ๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา เป็นผลให้เกิดแหล่งวัตถุดิบและตลาดระบายสินค้า กระตุ้นให้เกิดการประดิษฐ์เครื่องจักรเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าจำนวนมากสนองความต้องการของตลาด
       2. ความพร้อมด้านการเงินทุน    พวกพ่อค้าประสบความสำเร็จในการค้ากับดินแดนโพ้นทะเลได้เงินมาลงทุนในกิจกรรมอุตสาหกรรมจำนวนมาก
       3.การเพิ่มขึ้นของประชากร   จำนวนประชากรของยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอันเป็นผลจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ทำให้สินค้าอุปโภคมีปริมาณความต้องการสูง

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

           อังกฤษเป็นชาติแรกที่มีการปฏิวัติ ปัจจัยที่ทำให้อังกฤษเป็นผู้นำในการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีดังนี้
        1. มีการปฏิวัติทางการเกษตรมาก่อน โดยนำความรู้ทางเทคนิค วิทยาการ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆมาใช้ในการเพาะปลูกเพิ่มผลผลิต ทำให้มีวัตถุดิบจาการเกษตรจำนวนมาก
        2. มีความมั่นคงทางด้านเงินทุนและมีกิจการธนาคารที่ทันสมัย เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ
       3. มีทรัพยากรและวัตถุดิบอย่างอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะแร่เหล็กและถ่านหินซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม
        4. มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษมีประชากรเกือบ 30 ล้านคน เป็นผลให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีแรงงานภาคอุตสาหกรรมอย่างมากมาย
         5. มีกองทัพเรือที่เข้มแข็งและมีอำนาจทางทะเลทำให้มีอาณานิคมเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบและตลาดการค้าที่สำคัญของอังกฤษ
        6. มีความมั่นคงทางการเมือง การปกครองในระบบรัฐสภาของอังกฤษมีเสถียรภาพ กลุ่มชนชั้นกลางทั้งพ่อค้าและนักอุตสาหกรรมมีบทบาทคุมสภาจึงเป็นผลดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจการค้าของประเทศ
       7. มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์  มีการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือ เครื่องจักรทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมของอังกฤษมีความเจริญก้าวหน้ากว่าชาติใดๆในยุคเดียวกัน

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

        1. การเจริญเติบโตของเมือง จากการที่ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมือง สภาพความเป็นอยู่ในระยะแรกเริ่มของการปฏิวัติอุตสาหกรรมจึงอยู่กันอย่างแออัดและไม่ถูกสุขลักษณะ การบริการสาธารณสุขไม่เพียงพอ ในเมืองเต็มไปด้วยความสกปรกและมลพิษจากโรงงาน ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมเป็นพิษ เด็กๆในเมืออายุสั้น
        2. สภาพการทำงานของกรรมกร การทำงานในระบบโรงงานทำให้เกิดชนชั้นใหม่ในสังคม คือ ชนชั้นนายทุนและกรรมกร พวกกรรมกรจะอาศัยแออัดในโรงงานมีความเป็นอยู่แร้นแค้นได้รับค่าแรงเพียงพอต่อการยังชีพเท่านั้น และต้องทำงานเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ และใช้เวลายาวนานในการทำงานแต่ละวัน โดยไม่ได้รับการดูแลด้านสวัสดิการจากนายจ้างเลย มีการใช้แรงงานเด็กและผู้หญิงในโรงงานทอผ้า ความยากจนของสามัญชนได้สะท้อนออกมาในรูปวรรณกรรมร่วมสมัยหลายเรื่อง ที่มีชื่อเสียงคือผลงานของ  ชาร์ลส์ ดิคเกนส์ จากเรื่องHard Time และOliver Twist

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

               ในระยะแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ชนชั้นกรรมาชีพมีสภาพไม่ผิดกับทาสของเครื่องจักรและทาสของเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้ลูกหลานกรรมกรไม่มีโอกาสเล่าเรียน ไม่มีโอกาสสร้างฐานะให้สูงขึ้น ไม่มีสิทธิทางการเมือง จึงเกิดสำนึกในเรื่องชนชั้นขึ้น กรรมกรเหล่านี้รวมพลังกันเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม และสิทธิที่ตนจะพึงได้ ดังนี้ในประเทศอังกฤษจึงเกิดสภาพแรงงาน มีการนัดหยุดงาน เพื่อต่อรองกับนายจ้าง ซึ่งในที่สุดได้มีการตรากฎหมายช่วยเหลือและคุ้มครองแรงงาน ทำให้กรรมกรมีสิทธิและมีบทบาททางการเมืองเพิ่มขึ้น ดังนั้นในการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษเมื่อปี พ.ศ.2449 พรรคการเมืองที่หาเสียงจากพวกกรรมกรโดยสัญญาว่าจะให้การคุ้มครองและสนับสนุนจึงได้รับการเลือกตั้งท่วมท้น

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

               การปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้เศรษฐกิจเปลี่ยนไปขึ้นอยู่การอุตสาหกรรม ประเทศที่มีวัตถุดิบในการผลิตสินค้าและมีกำลังคน จึงได้รับประโยชน์จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่ ประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรจึงกลายเป็นประเทศที่ล้าหลังทางเศรษฐกิจ เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างมาก นอกจากนี้ประเทศอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องพึ่งพากันทางเศรษฐกิจเพราะเมื่อเป็นประเทศอุตสาหกรรม การผลิตทางการเกษตรลดน้อยลง จึงต้องแลกเปลี่ยนสินค้ากับประเทศอื่น ขณะเดียวกันการแสวงหาตลาดเพื่อการค้าขาย หรือขยายตลาดระบายสินค้าก็เป็นเหตุให้เกิดการแข่งขันกันเพื่อขยายอิทธิพลออกไปในภูมิภาคที่กำลังพัฒนา

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

               ในระยะแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ชนชั้นกลางได้รับผลทางด้านเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ทฤษฎีทางเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น สนับสนุนให้ชนชั้นกลางรักษาฐานะและผลประโยชน์ของตนไว้ ต่อมาระหว่างพ.ศ. 2414-2457 ชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของบรรดาประเทศอุตสาหกรรมเริ่มตื่นตัว แนวคิดเรื่องสังคมนิยมแบบใหม่ จึงเริ่มบทบาทขึ้นและขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวางในหมู่ชั้นกรรมาชีพ    สังคมนิยมแบบใหม่ที่ปรากฏเป็นครั้งแรกในงานเขียนของ คาร์ลมากช์ (Karl marx)และเฟรดเดอริก เองเกลส์(Friedrich Engels)โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคำประกาศลัทธิคอมมิวนิสต์(Communist Manifesto)  และทุน(Das Kapital) ซึ่งอธิบายของหลักสำคัญๆของลัทธิมากช์(Marxism) ทำให้สังคมนิยมแบบใหม่ ถูกเรียกว่าสังคมนิยมแบบมากช์(Marxist Socialism)

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
หรือระบบสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ ที่ยกเลิกการครอบครองทรัพย์สินส่วนตัว ทุกคนจะได้รับผลตอบแทนตามค่าของงานที่ทำเป็นการสร้างสังคมใหม่ที่ปราศจากชนชั้นและความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ แนวคิดของมากช์มีอิทธิพลอย่างมากต่อนักการเมืองที่ไม่พอใจระบบแบบเสรีนิยม ทำให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซียในปีพ.ศ.2460
               การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้แพร่หลายออกไปในยุโรปและอเมริกา เมืองหลวงหลายเมืองเช่น แฮมเบิร์ก รูห์ ปรัสเซีย ได้เปลี่ยนสภาพเป็นโรงงานทอผ้า โรงงานผลิตเหล็กกล้า โดยอาศัยแหล่งเงินทุนจากลอนดอน ปารีส และอัมสเตอร์ดัมอุดหนุนอยู่เบื้องหลัง การเปลี่ยนแปลงในเยอรมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เอกชนเป็นเจ้าของโรงงานขนาดใหญ่ ผลิตเหล็กกล้าและอาวุธ เพิ่มขีดความสมารถในการผลิตจากเดิมถึง 26 เท่า ในขณะที่อังกฤษเพิ่มเพียง 3 เท่า   จึงทำให้เยอรมันเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ในระยะต่อมา

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

        ศูนย์กลางการเคลื่อนไหวของแนวคิดประชาธิปไตยเกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-18 โดยปรากฏในงานเขียนของนักปรัชญาทางการเมืองคนสำคัญหลายคน ซึ่งไม่พอใจระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมืองดังเช่น
        จอห์นลอค แนวคิดมีอิทธิพลต่อระบอบการปกครองของอังกฤษ การประกาศอิสรภาพของอเมริกา  และการปฏิวัติในฝรั่งเศส ซึ่งสรุปได้ดังนี้
     1. อิสรภาพและเสรีภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนมีฐานะเท่าเทียมกันและเป็นอิสระแก่กัน
     2. ประชาชนร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมา รัฐบาลมาจากข้อตกลงระหว่างผู้ปกครองกับประชาชน รัฐบาลจึงเป็นเพียงผู้ปกครองรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และต้องมีอำนาจจำกัด
    3. อำนาจการปกครองของรัฐบาล ได้มาจากข้อตกลงสัญญากับประชาชน ดังนั้นถ้าผู้ปกครองกระทำผิดสัญญา   ไร้ความสามารถและขาดคุณธรรม ประชาชนก็มีสิทธิ์ค้านหรือล้มล้างรัฐบาลได้
        มองเตสกิเออ  แนวคิดของเขาได้รับความนิยมมากในหมู่นักกฎหมายและนักปกครอง โดยเฉพาะหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็นสามส่วน คือ อำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการ  ได้มาเป็นหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาและเกือบทุกประเทศในปัจจุบัน    จนเขาได้สมญานามว่า เจ้าแห่งทฤษฎีแบ่งแยกอำนาจ
     วอลแตร์  เสนอแนวคิดเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง เสรีภาพในการนับถือศาสนา และโจมตีความเสื่อมของศาสนาจักร เห็นว่าผู้ปกครองต้องเป็นผู้มีความรู้และมีเหตุผล
  รุสโซ  มีอิทธิพลมากต้องการปฏิวัติในฝรั่งเศส โดยเฉพาะคำขวัญของการปฏิวัติที่ว่า เสรีภาพ เสมอ ภราดรภาพ ได้นำมาจากผลงานการเขียนของรุสโซ  ได้รับยกย่อว่า เป็นเจ้าแห่งทฤษฎีอำนาจอธิปไตยของประชาชน งานเขียนที่สำคัญคือ สัญญาประชาคม กล่าวว่ารัฐบาลเกิดจากเจตจำนงร่วมกันของประชาชน รัฐบาลมีพันธสัญญาทางสังคมที่จะต้องปกครองประชาชนด้วยความยุติธรรมให้เกิดความร่มเย็นสงบสุข เมื่อใดที่รัฐผิดสัญญาประชาชนสิทธิ์ล้มล้างละเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ได้

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

               อังกฤษได้ชื่อว่าเป็นแม่แบบของประชาธิปไตย ลักษณะการปกครองของอังกฤษถือว่าเป็นแบบฉบับของสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตยแบบรัฐสภา การพัฒนาทางการเมืองของอังกฤษ เปลี่ยนจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปลายสมัยกลางเป็นต้นมา
               ในปีค.ศ.1215 พระเจ้าจอหน์ที่ 5 ถูกบังคับจากขุนนาง ให้ยอมรับในกฎบัตรแมกนา คาร์ตาซึ่งจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้อำนาจของสภาขุนนาง เช่นอำนาจในการเก็บภาษี ต่อมามีกษัตริย์หลายพระองค์ ที่พยายามจะละเมิดกฎบัตรนี้ จึงทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในระหว่างปี ค.ศ. 1640-1649 พระเจ้าชาร์ลที่1ถูกสำเร็จโทษหลังจากนั้นอังกฤษได้ปกครองระบอบ
สาธารณรัฐเป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยมีโอลิเวอร์ ครอมเวล เป็นประธานาธิบดี ต่อมามีการฟื้นฟูระบบกษัตริย์ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งท้ายที่สุดได้มีการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ในสมัยพระเจ้าเจมส์ที่2 เป็นผลให้การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของอังกฤษสิ้นสุดลง การปฏิวัติครั้งนี้ได้ประกาศพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพที่อังกฤษควรมี และอำนาจของรัฐสภาไว้ 3 ประการ คือ

  1. การมีรัฐบาลโดยได้รับความยินยอมพร้อมใจ
  2. การมีตัวแทนของประชาชน
  3. การมีกฎเกณฑ์ของกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

               แนวคิดประชาธิปไตยของยุโรปได้ข้ามไปมีอิทธิพลยังดินแดนอาณานิคม 13 แห่งของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ อังกฤษจัดการปกครองอาณานิคมโดย ให้สิทธิปกครองตนเอง แต่การที่อังกฤษตักตวงผลประโยชน์ และควบคุมการค้าของอาณานิคม ทำให้เกิดสงครามประกาศอิสรภาพในปี ค.ศ. 1776 โดยมุ่งหมายมาเฉพาะประกาศเป็นประเทศอิสรภาพเท่านั้นแต่ยังแสดงถึงความต้องการมีรัฐบาลปกครองตามแบบชาวอเมริกัน
    ภายหลังการปฏิวัติได้มีการร่างรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศ โดยได้รับแนวคิดทางการเมืองจาก จอห์นลอค ที่ชื่อว่าสัญญาประชาคม และทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออร์มาเป็นพื้นฐาน   ระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาเป็นลำดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นได้เลิกทาส ไห้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนโดยไม่จำกัดผิว ประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกามีการแบ่งแยกอำนาจระหว่างอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการอย่างชัดเจน ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนอยู่ในวาระ 4 ปี รัฐสภามาจากการเลือกตั้งเช่นกัน ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร และมีศาลสูงประกอบด้วยผู้พิพากษา 9 นาย ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี โดยความเห็นชอบของวุฒิสมาชิกเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

               ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
รุ่งเรืองมากในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หลังจากนั้นเกิดความเสื่อมลงในทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนสูญเสียอาณานิคมโพ้นทะเล เป็นผลให้อำนาจของพระมหากษัตริย์และขุนนางถูกท้าทายและโค่นไปในที่สุด ปฏิวัติในฝรั่งเศสเกิดจากความต้องการความเสมอภาค เสรีภาพและภารดรภาพ สงครามประกาศอิสรภาพในอเมริกา นับเป็นแรงบันดาลใจอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฝรั่งเศสทำการเรียกร้องจนนำไปสู่การปฏิวัติ
               อุดมการณ์ของการปฏิวัติในฝรั่งเศส ได้แก่ความความเสมอภาค อันนำไปสู่การทำลายระบบชนชั้นดั้งเดิม  เสรีภาพ คือการปกครองโดยมีกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการทำลายระบบผูกขาดทางการค้า ระบบการปะกอบอาชีพ ภรดรภาพ คือ ความรักกันฉันท์พี่น้อง  ไม่มีการแบ่งชนชั้นมีแต่ความจงรักภักดีไปที่รัฐชาติอันเป็นถิ่นกำเนิดของตน
      ปัจจุบัน ฝรั่งเศสปกครองแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขสูงสุด มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง มีอำนาจในการบริหาร อำนาจอธิปไตยแบ่งออกเป็น สามฝ่าย คืออำนาจบริหาร   อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการ  แต่มีลักษณะเฉพาะที่สำคัญ คือ ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการปกครองสูงกว่าและมีบทบาทเหมือฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือประธานาธิบดีมาอำนาจยุบสภา เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ อำนาจบริหารจะต่างจากอเมริกาคือ มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ช่วยบริหาร โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี แต่มิได้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารเหมือนนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ รัฐสภามี 2 สภา คือ    สภาแห่งชาติ  ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง และวุฒิสภาได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนทางอ้อม

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ใดที่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุโรปสมัยกลางและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่

เหตุการณ์ใดเป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดประวัติศาสตร์สมัยกลางของยุโรป

สมัยกลาง หรือ ยุคกลาง (อังกฤษ: Middle Ages) คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยปกติแล้วเริ่มนับตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (การสิ้นสุดของสมัยคลาสสิก) จนถึงจุดเริ่มตั้นของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และยุคแห่งการสำรวจ ซึ่งเป็นยุคที่นำไปสู่สมัยใหม่ในเวลาต่อมา สมัย ...

เหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ยุโรปยุคโบราณคือเหตุการณ์ใด

สมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก สิ้นสุดใน ค.ศ. 476 เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลง เหลือแต่จักรวรรดิโรมันตะวันออก ที่เปิดเมืองรับเอาศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาทสูงในสังคมโรมัน และอิทธิพลของโรมันก็แผ่ขยายไปทั่วยุโรป และไปทั่วโลก ทำให้โลกโดยรวมออกจากสมัยโบราณ เข้าสู่สมัยกลาง (Middle Ages)

ข้อใดเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ยุคกลางของยุโรป

สมัยกลาง หรือ ยุคกลาง คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยปกติแล้วเริ่มนับตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก จนถึงจุดเริ่มตั้นของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และยุคแห่งการสำรวจ ซึ่งเป็นยุคที่นำไปสู่สมัยใหม่ในเวลาต่อมา สมัยกลางคือช่วงเวลาตรงกลางของกระบวนการเปลี่ยนผ่านใน ...

เหตุการณ์ใดที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยกลางและสมัยใหม่

ส การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (RENAISSANCE) เกิดในช่วงเวลาระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 คือ ปลายสมัยกลางถึงต้นสมัยใหม่ ถือว่าเป็นจุดเชื่อมต่อ (TRANSITIONAL PERIOD)

เหตุการณ์ใดเป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดประวัติศาสตร์สมัยกลางของยุโรป เหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ยุโรปยุคโบราณคือเหตุการณ์ใด ข้อใดเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ยุคกลางของยุโรป เหตุการณ์ใดที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยกลางและสมัยใหม่ เหตุการณ์ใด เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของโลกตะวันตก ยุโรปสมัยกลางเริ่มต้นเมื่อใด งานศิลปะในยุโรปสมัยกลาง สะท้อนให้เห็นอะไรมากที่สุด สิ่งใดมีอิทธิพลมากที่สุดในยุคกลาง เหตุการณ์ในข้อใดที่สามารถเปลี่ยนแนวคิดของคนสมัยกลาง สู่แนวคิดแบบสมัยใหม่ได้ เมื่อทวีปยุโรปเข้าสู่ยุคกลาง มีการจัดระบอบการปกครองแบบฟิวดัลในลักษณะใด