สมัยกลางของยุโรป ฝรั่งเรียกว่ายุคมืด เพราะศาสนาคริสต์ครอบงำ ทำให้แสงแห่งปัญญาดับหายแม้แต่ชื่อเรียกยุคสมัยต่างๆ แห่งประวัติศาสตร์ของตะวันตก ก็เป็นถ้อยคำที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา ตั้งขึ้นโดยปรารภความเป็นไปที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา หรือแม้แต่เป็นคำเรียกเหตุการณ์ในคริสต์ศาสนาโดยตรง กล่าวคือ Show
๑. Middle Ages หรือ สมัยกลาง (แห่งยุโรป) ค.ศ.476-1453 เป็นระยะเวลา ๑ พันปีที่คริสต์ศาสนามีกำลังและอิทธิพลเป็นเอกอันเดียวในยุโรป วัฒนธรรมมีแหล่งกำเนิดจากคริสต์ศาสนาแผ่ครอบคลุมชีวิตทุกด้านของสังคม รวมทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร แต่ในสมัยกลางเองนั้น คำว่า “สมัยกลาง” หรือ “Middle Ages” ยังไม่เกิดขึ้น ต่อมา เมื่อชาวยุโรปหลุดพ้นออกมาจากยุคสมัยนี้ พวกนักปราชญ์ตะวันตกผู้มองเห็นว่ายุโรปมีโอกาสหวนกลับคืนสู่ศิลปวิทยาการของกรีกและโรมันโบราณอีกครั้งหนึ่ง จึงเรียกชื่อยุคสมัยที่ผ่านมา นั้นว่า “Middle Ages” (“สมัยกลาง”) ในความหมายว่าเป็นช่วงเวลาท่ามกลางระหว่างการเสื่อมสลายของศิลปวิทยาของกรีกและโรมันโบราณ จนกระทั่งศิลปวิทยานั้นกลับฟื้นคืนขึ้นมาใหม่อีกในยุคของพวกตน ที่เรียกว่า Renaissance อนึ่ง ในระยะที่หลุดพ้นออกมาใหม่ๆ นั้น (จนถึงยุค Enlightenment ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘) ความรู้สึกที่เป็นปฏิกิริยาต่อสภาพของสมัยกลางนั้นยังเด่นแรงอยู่ คนยุโรปจึงเรียกชื่อสมัยกลางนั้นอีกอย่างหนึ่งว่า Dark Ages แปลว่า ยุคมืด หมายถึงช่วงเวลาอันยาวนาน ที่อารยธรรมคลาสสิกอันอุดมด้วยศิลปวิทยาการของกรีกและโรมันโบราณได้เลือนลับไป ทำให้ยุโรปตกอยู่ในความมืดมนอับปัญญา พวกนักมนุษยนิยม (humanists) ที่คิดศัพท์ Middle Ages ขึ้นมาใช้ มองช่วงเวลาที่ล่วงผ่านไปก่อนยุคของพวกเขาว่า เป็นพันปีแห่งความมืดมัวและโมหะ (a thousand-year period of darkness and ignorance; บางทีก็เรียกสั้นๆว่า the age of ignorance หรือ a period of intellectual darkness and barbarity คือ ยุคแห่งความโหดและโฉดเขลา หรือยุคเฉาโฉดโหดเหี้ยม) จึงเรียกว่าเป็น Dark Ages (บางทีนักประวัติศาสตร์ก็จำกัดช่วงเวลาให้จำเพาะลงไปอีกว่า Dark Ages เป็นช่วงต้นๆ ของสมัยกลางนั้น คือ ราว ค.ศ. 500-1000 และบางทีก็จำกัดสั้นลงไปอีกเป็น ค.ศ.476-800) ต่อมา คนสมัยหลังที่ห่างเหตุการณ์มานาน มีความรู้สึกที่เป็นปฏิกิริยาต่อสภาพของยุคสมัยนั้นเบาบางลง ก็เริ่มกลับไปเห็นคุณค่าบางอย่างของความเป็นไปในสมัยกลางนั้น เช่นว่า ถึงอย่างไรสมัยกลาง หรือยุคมืดนั้น ก็เป็นรากฐานที่ช่วยให้เกิด Renaissance โดยเฉพาะที่สำคัญยิ่ง คือการที่ศาสนจักรคริสต์ได้เผชิญและผจญกับศาสนาอิสลาม ในสงครามครูเสดเป็นต้น ในหลายแห่งที่ฝ่ายคริสต์ชนะ ก็พลอยได้ตำรับตำราวิชาการต่างๆ ของกรีกและโรมันโบราณ ที่ชาวมุสลิมนำไปเก็บรักษา ถ่ายทอดและพัฒนาสืบมา ตำรับตำราเหล่านี้ นักบวชคริสต์ได้คัดลอก เก็บรักษา หรือไม่ก็แปลกลับจากภาษาอาหรับเป็นภาษาละติน ซึ่งกลายมาเป็นแหล่งความรู้ให้แก่ยุค Renaissance (ยุคคืนชีพ) ต่อมา ปราชญ์ชาวตะวันตกยุคหลังๆ จึงเห็นว่า ในสมัยกลางนั้น ประทีปแห่งวิทยาการยังส่องแสงอยู่บ้าง แม้จะริบหรี่ แต่ก็ไม่ถึงกับดับมืดเสียทีเดียว ดังนั้น บัดนี้คำว่า Dark Ages จึงไม่เป็นที่นิยมใช้กันอีก (บางท่านแปลคำว่า ยุคมืด/Dark Ages นั้นให้หมายความว่าเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่เรารู้เรื่องกันน้อย) ในสมัยกลางนี้ ผู้ที่จะเป็นจักรพรรดิก็ต้องให้องค์สันตะปาปา (Pope) สวมมงกุฏให้ จักรวรรดิโรมันที่เจ้าเยอรมันรื้อฟื้นตั้งขึ้นใหม่ ก็มาเรียกโดยเติมคำว่า “holy” เข้าข้างหน้า เป็น the Holy Roman Empire (ช่วง ค.ศ.962-1806) การที่ศาสนาคริสต์มีอำนาจยิ่งใหญ่ครอบคลุมอย่างนี้ ก็ทำให้เกิดมีความคิดที่ให้ถือยุโรป(ตะวันตก) เป็นศาสนรัฐที่กว้างใหญ่อันหนึ่งอันเดียว เรียกว่า “Christendom” (แปลได้ว่า “คริสต์จักร” หรือ “คริสต์อาณาจักร”) Christendom นี้ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายศาสนาธิการ (sacerdotium) ซึ่งองค์สันตะปาปา (Pope) มีอำนาจสูงสุด กับฝ่ายรัฏฐาธิการ (imperium) ซึ่งมีจักรพรรดิ (Emperor) ทรงอำนาจสูงสุด โดยทั้งสองฝ่ายปฏิบัติงานเสริมซึ่งกันและกัน (นี้เป็นเพียงทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติสองฝ่ายได้ขัดแย้งแย่งชิงอำนาจกันมาตลอด) ในสมัยกลางนี้เช่นกัน ที่คริสต์ศาสนจักรได้รวมพลังกษัตริย์ ขุนพล และพลเมืองของประเทศทั้งหลายทั่วยุโรป ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือสงครามเพื่อพระผู้เป็นเจ้า (holy war) เพื่อปลดปล่อยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (Holy Land คือ เมืองเยรูซาเลม) จากการยึดครองของพวกมุสลิมเตอร์กส์ อันมีชื่อเรียกเฉพาะว่า “ครูเสด” (Crusades) ซึ่งเป็นสงครามกับมุสลิมที่ยืดเยื้อยาวนานประมาณ ๒๐๐ ปี (ค.ศ.1096-1270) นับเป็นครูเสดครั้งใหญ่ทั้งหมด ๘ ครั้ง กับครูเสดเด็กอีก ๒ ครั้ง สมัยกลาง หรือ ยุคกลาง คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยปกติแล้วเริ่มนับตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก จนถึงจุดเริ่มตั้นของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และยุคแห่งการสำรวจ ซึ่งเป็นยุคที่นำไปสู่สมัยใหม่ในเวลาต่อมา สมัยกลางคือช่วงเวลาตรงกลางของกระบวนการเปลี่ยนผ่านในประวัติศาสตร์ตะวันตกคือ สมัยคลาสสิก สมัยกลาง และสมัยใหม่ นอกจากนี้สมัยกลางยังถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงเวลาคือ ต้นสมัยกลาง, สมัยกลางยุครุ่งโรจน์ และปลายสมัยกลาง แสดงน้อยลงอ่านเพิ่มเติม วิกิพีเดีย 1. สังคมยุโรปสมัยกลาง สิ่งที่มีอิทธิพลต่อสังคมยุโรปในสมัยกลาง มี 2 ประการ การสร้างศิลปกรรมในยุคนี้ เป็นกิจกรรมของวัดและคริสต์ศาสนิกชนที่มั่งคั่ง ซึ่งได้แก่พระและขุนนางซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและทรัพย์สินต่างๆในที่ดินของตน โดยบางครั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นชนชั้นสูงสุดยังไม่ร่ำรวยเท่าขุนนางและบาทหลวง เพราะพระมหากษัตริย์ปกครองแต่เพียงในนามอำนาจอยู่ที่ขุนนางผู้ปกครองแคว้นต่างๆ ศิลปะกรีกและโรมันซึ่งเคยรุ่งเรืองมาก่อนจะตกอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของวัด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวทางศาสนา และศิลปะที่เกี่ยวข้องกับวัด 2. สงครามครูเสด สงครามครูเสดเกิดในปีค.ศ. 1096-1297นับระยะเวลา 200 ปี เป็นสงครามระหว่างศาสนา ที่ชาวคริสต์กับชาวมุสลิม เพื่อขับไล่ชาวมุสลิมที่เข้ายึดครองการยูรูซาเล็มอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ และอีกประการหนึ่งเพื่อแย่งชิงเส้นทางการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่ชาวมุสลิมแย่งไปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 การเปลี่ยนแปลงหลังสงครามครูเสด 1. การขยายตัวทางการค้า สงครามทำให้เกิดการติดต่อระหว่างชาติตะวันออกกับทวีปยุโรปมีมากขึ้น สินค้าจากตะวันออกเป็นที่ต้องการของชาติตะวันตกคือเครื่องเทศ ผ้าไหม เมืองเวนิสและเมืองท่าหลายเมืองในอิตาลี กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่มีกำไรมหาศาล 2. เกิดเมืองศูนย์กลางการค้า เนื่องจากการค้าขายขยายตัวทั่วยุโรป ทำให้เกิดเมืองที่เป็นศูนย์กลางการค้ามากมายที่มีความเหมาะสมต่อการทำธุรกิจการค้า เช่นเมือโลญน์ และเมืองออกซ์เบอร์กในเยอรมันภาคเหนือ เมืองบรูจและเมืองแอนทเวิร์พแห่งฟลานเดอร์ เมืองเวนิส ฟลอเรนซ์ มิลาน เจนัว ปิซาและโบโลนย่า ในอิตาลี เมืองเหล่านี้เป็นศูนย์กลางการประดิษฐ์ การค้า และวัฒนธรรมในสมัยนั้น 3. เกิดชนชั้นกลาง ความเจริญทางการค้า และการเกิดเมืองศูนย์กลางพ่อค้าและช่างฝีมือ เริ่มมีบทบาทและอำนาจในสังคมมากขึ้น ในขณะที่ขุนนางและอัศวินนักรบเริ่มลดความสำคัญลงไป และชนชั้นกลางเหล่านี้ได้สนับสนุนด้านการเงินแก่พระมหากษัตริย์เพื่อให้ความคุ้มครองธุรกิจการค้าและการขนส่งของตน 4. ความเจริญก้าวหน้าทางศิลปะวิทยาการ ชาวยุโรปได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากชาติตะวันออกเป็นจำนวนมาก เช่นวิธีการเกษตรและการทำดินปืนจากจีน วิชาดาราศาสตร์และการนับเลขแบบอินเดีย และความรู้ด้านปรัชญาสาขาต่างๆจากกรีกโบราณ 5. การเปลี่ยนแปลงภายในศาสนจักร คนเริ่มสนใจโลกภายนอกมากขึ้น เกิดแนวคิดในการสั่งสอนศาสนาจากเดิมที่มุ่งเน้นการเตรียมตัวเพื่อชีวิตในโลกหน้า กลับมาเน้นหลักมนุษยธรรมและความรักธรรมชาติรอบๆตัว โดยนำเอาหลักเหตุผลมาใช้ประกอบมากขึ้น อันเนื่องมาจากอิทธิพลแนวคิดของกรีกโบราณ การสิ้นสุดสมัยกลาง เนื่องมาจากความเสื่อมของระบบการปกครองแบบฟิวดัลแต่สถาบันพระมหากษัตริย์มีความเข้มแข็งขึ้น กลายเป็นศูนย์กลางของการบริหาร การรักษาความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย กลุ่มคนที่มีอำนาจแทนขุนนางและพระ คือกลุ่มอาชีพต่างๆมีบทบาทในการปกครองตนเอง ในเมืองที่เป็นศูนย์กลางการค้า ประชาชนให้ความสนใจในการศึกษาและสร้างสรรค์งานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันยิ่งขึ้น คัมภีร์ไบเบิลถูกแปลจากภาษาละตินเป็นภาษาท้องถิ่น ทำให้เกิดความเข้าใจในหลักคำสอนในแง่มุมต่างๆมากขึ้น สาเหตุที่ทำให้ระบบขุนนางเสื่อม เนื่องจากการนำปืนไฟมาใช้ในการทำสงคราม พระมหากษัตริย์โดยการสนับสนุนของชนชั้นกลางสามารถจัดตั้งกองทัพประจำการของตนขึ้นเองได้โดยไม่ต้องอาศัยกำลังไพร่พลจากขุนนา การสิ้นสุดยุคสมัยกลางของยุโรปพร้อมกับการเกิดยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในลำดับต่อมา
อารยธรรมตะวันตก 1. ยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ(Age of Renaissance) ยุโรปในยุดนี้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย 2. การสำรวจและการค้นพบดินแดนใหม่(Age of Disscovery) ในคริสต์ศตวรรษที่15 ชาวยุโรปส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่า โลกแบน โดยมีนครรัฐเยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลางของโลก แต่เมื่อพ่อค้าชาวอาหรับนำเรื่องของประเทศอินเดียมาเผยแพร่ และมาร์โค โปโล นำเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักจีนมาบอกกล่าว ทำให้ยุโรปตื่นตัวในการสำรวจดินแดนที่ยังไม่รู้จัก สาเหตุที่ทำให้เกิดการสำรวจเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญมีดังนี้ 1. ความต้องการสินค้าจากตะวันออก ได้แก่เครื่องเทศ ผ้าไหม แต่เส้นทางถูกขัดขวางโดยพวกเตอร์ก ในตะวันออกกลาง 2. ความต้องการแร่เงินและทองคำ เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เนื่องจากการค้าขายขยายตัวมากขึ้น 3. ความต้องการในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในทวีปเอเชียและแอฟริกา ชาวสเปนและโปรตุเกส เริ่มสำรวจทางทะเล ตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก โดยการสนับสนุนของพระมหากษัตริย์ ชาติผู้นำในการแสวงหาเส้นทางเดินเรือมายังทวีปเอเชียคือสเปนและโปรตุเกส ในปลายคริสต์ศตวรรษที่15 เจ้าชานแฮรี นาวิกบุรุษราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกสทรงเป็นผู้บุกเบิกการเดินเรือสำรวจชายฝั่งทวีปแอฟริกาเป็นคนแรก บาร์โธโลมิว ไดแอช เดินทางมาถึงตอนใต้สุดของทวีปแอฟริกา โดยไปถึงแหลมกูดโฮป ในค.ศ.1488 นับเป็นนักเดินเรือคนแรกที่สามารถอ้อมปลายแหลมของแอฟริกาใต้ได้สำเร็จ ส่วนวาสโก ดา กามา เดินทางจากกรุงลิสบอนประเทศโปรตุเกสมาถึงเมืองกาลิกัดประเทศอินเดีย โดยอ้อมแหลมกู้ดโฮปนับเป็นบุคคลแรกที่สามารถเดินทางจากทวีปยุโรปถึงทวีปเอเชีย ผลจากการค้นพบทวีปใหม่ ทำให้สเปนกลายเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุด เพราะสามารถเข้ายึดครองอาณาจักรของชาวพื้นเมืองเผ่าเอสแตค ซึ่งตั้งอยู่ในเม็กซิโก และอาณาจักรอินคาที่เปรู ทำให้สเปนได้ทองคำและเงินมหาศาล ส่วนโปรตุเกสร่ำรวยจากการค้นพบเส้นทางไป อินเดียและนำสินค้ามาขายที่เวนิส 3. ยุคแห่งการปฏิรูปศาสนา(Age of Reformation) ขบวนการมนุษยนิยม ไม่เพียงแต่เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการและการเปลี่ยนแปลงในสมัยกลาง ไปสู่สมัยใหม่ หากยังมีผลสะท้อนทางแนวความคิดที่ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนา ขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 อีกด้วย ทฤษฎีระบบการโคจรของโลกว่าโลกหมุนรอบแกนของตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ของนิโคลัส โคเปอร์นิคัส ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นโดยกล้องโทรทรรศน์ของกาลิเลโอ ที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล เป็นการลบล้างคำสอนของบาทหลวง ในเรื่องโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล ทำให้ชาวยุโรปเกิดความสงสัยในอำนาจและคำสอนอื่นๆของศาสนจักร อิทธิพลของศาสนจักรจึงเสื่อม การที่ศาสนจักรมุ่งจะหาผลประโยชน์ในด้านเงินทองมากกว่า จะทำหน้าที่สร้างศรัทธาและจิตวิญญาณ คนทั่วไปเริ่มมองเห็นความแตกต่างระหว่างความยากจนของตนและความมั่งคั่งของวัดและพระ มาร์ติน ลูเธอร์ 4. ยุคแห่งเหตุผลและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์(Age of Reason) ในปี ค.ศ. 1609 ได้เกิดเหตุการณ์ 2 อย่างเกิดขึ้น อันถือเป็นจุดกำเนิดของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่แท้จริง คือ นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อโจฮันเนส เคปเลอร์ ได้เสนอทฤษฎีว่าด้วยการโคจรของดาวพระเคราะห์ โดยกล่าวว่าดาวเคราะห์โคจรเป็นวงรีรอบดวงอาทิตย์และใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ต่างกัน ในปีเดียวกัน กาลิเลโอ กาลิเลอี ชาวอิตาลี ได้ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์เป็นผลสำเร็จ ทำให้สามารถมองเห็นการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า อันเป็นการยีนยันความถูกต้องตามทฤษฎีของเคปเลอร์และโคเปอร์นิคัส ฟรานซิส เบคอน ได้เสนอวิธีการทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นการนำไปสู่การแสวงหาความรู้ เขากล่าวว่าทฤษฎีจะต้องเกิดจากการสังเกต และทฤษฎีจะเป็นจริงได้ด้วยวิธีการทดลอง แนวคิดของเขาเป็นต้นกำเนิดของปรัชญาที่ว่าด้วยการแสวงหาความจริงจะต้องได้มาโดยการสังเกตและทดลองเท่านั้น เรอเน เดส์การ์ต เป็นนักปรัชญา นักฟิสิกส์ และนักคณิตศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้ใช้หลักของเหตุผล เป็นรากฐานของศาสนาและคณิตศาสตร์ เพื่อให้สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้ละทิ้งแนวคิดดั้งเดิมของศาสนา และให้ใช้การตั้งข้อสงสัยในทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นสงสัยในความมีอยู่ของตัวเอง และเสนอว่า การอธิบายระบบจักรวาล ทำได้ด้วยวิธีการทางคณิตศสาสตร์เท่านั้น ยุคของวิทยาศาสตร์ได้บรรลุจุดสุดยอด ในค.ศ. 1687 เมื่อ ไอแซค นิวตัน ชาวอังกฤษได้เสนอกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของจักรวาล อธิบายได้ว่า ทำไม วัตถุต่างๆจึงต้องตกลงสู่พื้นโลกเสมอ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์สามารถขยายขอบเขตความรู้ต่างๆออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ ทั้งสร้างองค์ความรู้ที่มีลักษณะเป็นความรู้บริสุทธิ์ที่สามารถทดสอบหรือทำซ้ำได้ สังคมและวิถีชีวิตมนุษย์จึงพัฒนาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง 5. การปฏิวัติอุตสาหกรรม(Industrial Revolution) การปฏิวัติอุตสาหกรรมหมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงในวิธีการและกระบวนการผลิตจากการใช้แรงงานคน และสัตว์และรวมทั้งพลังงานธรรมชาติ มาเป็นการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรกลแบบง่ายๆ จนถึงสลับซับซ้อนที่มีประสิทธิภาพรวดเร็ว และมีกำลังการผลิตสูงจนถึงเป็นระบบโรงงานแทนระบบการผลิตในครัวเรือน หรือระบบการผลิตแบบจ่ายงานให้ไปทำตามบ้าน การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นผลสืบเนืองมาจาการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่16 เป็นต้นมา มีการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแขนงต่างๆ ลักษณะของการปฏิวัติอุตสาหกรรม มิได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแต่ที่เรียกว่าปฏิวัติเพราะเป็นเหตุการณ์ที่นำ ไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงทางสังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของคนเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ยุคกลางเป็นต้นมา ชาวยุโรปส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชนบท ผลิตอาหารและเครื่องนุ่งห่มใช้เองในครัวเรือน การคมนาคมไม่ดีมีถนนไม่มากนัก ตลาดสินค้าส่วนใหญ่เป็นเพียงตลาดประจำท้องถิ่น ช่างฝีมือประจำท้องถิ่นยังคงมีบทบาทสำคัญในการผลิตของใช้ที่จำเป็น พลังงานใช้แรงงานคน สัตว์และพลังงานน้ำ ปัจจัยการผลิตที่สำคัญ คือ ที่ดิน และแรงงาน อัตราการเพิ่มประชากรอยู่ในเกณฑ์สูงมาก 1. กาขยายตัวทางการค้า นับตั้งแต่การค้นพบเส้นทางการเดินเรือและดินแดนอาณานิคมใหม่ๆ ในคริสต์ศตวรรษที่
16 เป็นต้นมา เป็นผลให้เกิดแหล่งวัตถุดิบและตลาดระบายสินค้า กระตุ้นให้เกิดการประดิษฐ์เครื่องจักรเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าจำนวนมากสนองความต้องการของตลาด อังกฤษเป็นชาติแรกที่มีการปฏิวัติ ปัจจัยที่ทำให้อังกฤษเป็นผู้นำในการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีดังนี้ 1. การเจริญเติบโตของเมือง จากการที่ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมือง สภาพความเป็นอยู่ในระยะแรกเริ่มของการปฏิวัติอุตสาหกรรมจึงอยู่กันอย่างแออัดและไม่ถูกสุขลักษณะ การบริการสาธารณสุขไม่เพียงพอ ในเมืองเต็มไปด้วยความสกปรกและมลพิษจากโรงงาน ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมเป็นพิษ เด็กๆในเมืออายุสั้น ในระยะแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ชนชั้นกรรมาชีพมีสภาพไม่ผิดกับทาสของเครื่องจักรและทาสของเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้ลูกหลานกรรมกรไม่มีโอกาสเล่าเรียน ไม่มีโอกาสสร้างฐานะให้สูงขึ้น ไม่มีสิทธิทางการเมือง จึงเกิดสำนึกในเรื่องชนชั้นขึ้น กรรมกรเหล่านี้รวมพลังกันเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม และสิทธิที่ตนจะพึงได้ ดังนี้ในประเทศอังกฤษจึงเกิดสภาพแรงงาน มีการนัดหยุดงาน เพื่อต่อรองกับนายจ้าง ซึ่งในที่สุดได้มีการตรากฎหมายช่วยเหลือและคุ้มครองแรงงาน ทำให้กรรมกรมีสิทธิและมีบทบาททางการเมืองเพิ่มขึ้น ดังนั้นในการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษเมื่อปี พ.ศ.2449 พรรคการเมืองที่หาเสียงจากพวกกรรมกรโดยสัญญาว่าจะให้การคุ้มครองและสนับสนุนจึงได้รับการเลือกตั้งท่วมท้น การปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้เศรษฐกิจเปลี่ยนไปขึ้นอยู่การอุตสาหกรรม ประเทศที่มีวัตถุดิบในการผลิตสินค้าและมีกำลังคน จึงได้รับประโยชน์จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่ ประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรจึงกลายเป็นประเทศที่ล้าหลังทางเศรษฐกิจ เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างมาก นอกจากนี้ประเทศอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องพึ่งพากันทางเศรษฐกิจเพราะเมื่อเป็นประเทศอุตสาหกรรม การผลิตทางการเกษตรลดน้อยลง จึงต้องแลกเปลี่ยนสินค้ากับประเทศอื่น ขณะเดียวกันการแสวงหาตลาดเพื่อการค้าขาย หรือขยายตลาดระบายสินค้าก็เป็นเหตุให้เกิดการแข่งขันกันเพื่อขยายอิทธิพลออกไปในภูมิภาคที่กำลังพัฒนา
ในระยะแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ชนชั้นกลางได้รับผลทางด้านเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ทฤษฎีทางเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น สนับสนุนให้ชนชั้นกลางรักษาฐานะและผลประโยชน์ของตนไว้ ต่อมาระหว่างพ.ศ. 2414-2457 ชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของบรรดาประเทศอุตสาหกรรมเริ่มตื่นตัว แนวคิดเรื่องสังคมนิยมแบบใหม่ จึงเริ่มบทบาทขึ้นและขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวางในหมู่ชั้นกรรมาชีพ สังคมนิยมแบบใหม่ที่ปรากฏเป็นครั้งแรกในงานเขียนของ คาร์ลมากช์ (Karl marx)และเฟรดเดอริก เองเกลส์(Friedrich
Engels)โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคำประกาศลัทธิคอมมิวนิสต์(Communist Manifesto) และทุน(Das Kapital) ซึ่งอธิบายของหลักสำคัญๆของลัทธิมากช์(Marxism) ทำให้สังคมนิยมแบบใหม่ ถูกเรียกว่าสังคมนิยมแบบมากช์(Marxist
Socialism) ศูนย์กลางการเคลื่อนไหวของแนวคิดประชาธิปไตยเกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-18 โดยปรากฏในงานเขียนของนักปรัชญาทางการเมืองคนสำคัญหลายคน ซึ่งไม่พอใจระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมืองดังเช่น อังกฤษได้ชื่อว่าเป็นแม่แบบของประชาธิปไตย ลักษณะการปกครองของอังกฤษถือว่าเป็นแบบฉบับของสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
การพัฒนาทางการเมืองของอังกฤษ เปลี่ยนจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปลายสมัยกลางเป็นต้นมา
แนวคิดประชาธิปไตยของยุโรปได้ข้ามไปมีอิทธิพลยังดินแดนอาณานิคม 13 แห่งของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ อังกฤษจัดการปกครองอาณานิคมโดย ให้สิทธิปกครองตนเอง แต่การที่อังกฤษตักตวงผลประโยชน์ และควบคุมการค้าของอาณานิคม ทำให้เกิดสงครามประกาศอิสรภาพในปี ค.ศ. 1776 โดยมุ่งหมายมาเฉพาะประกาศเป็นประเทศอิสรภาพเท่านั้นแต่ยังแสดงถึงความต้องการมีรัฐบาลปกครองตามแบบชาวอเมริกัน
ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เหตุการณ์ใดเป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดประวัติศาสตร์สมัยกลางของยุโรปสมัยกลาง หรือ ยุคกลาง (อังกฤษ: Middle Ages) คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยปกติแล้วเริ่มนับตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (การสิ้นสุดของสมัยคลาสสิก) จนถึงจุดเริ่มตั้นของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และยุคแห่งการสำรวจ ซึ่งเป็นยุคที่นำไปสู่สมัยใหม่ในเวลาต่อมา สมัย ...
เหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ยุโรปยุคโบราณคือเหตุการณ์ใดสมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก สิ้นสุดใน ค.ศ. 476 เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลง เหลือแต่จักรวรรดิโรมันตะวันออก ที่เปิดเมืองรับเอาศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาทสูงในสังคมโรมัน และอิทธิพลของโรมันก็แผ่ขยายไปทั่วยุโรป และไปทั่วโลก ทำให้โลกโดยรวมออกจากสมัยโบราณ เข้าสู่สมัยกลาง (Middle Ages)
ข้อใดเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ยุคกลางของยุโรปสมัยกลาง หรือ ยุคกลาง คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยปกติแล้วเริ่มนับตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก จนถึงจุดเริ่มตั้นของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และยุคแห่งการสำรวจ ซึ่งเป็นยุคที่นำไปสู่สมัยใหม่ในเวลาต่อมา สมัยกลางคือช่วงเวลาตรงกลางของกระบวนการเปลี่ยนผ่านใน ...
เหตุการณ์ใดที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยกลางและสมัยใหม่ส การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (RENAISSANCE) เกิดในช่วงเวลาระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 คือ ปลายสมัยกลางถึงต้นสมัยใหม่ ถือว่าเป็นจุดเชื่อมต่อ (TRANSITIONAL PERIOD)
|