อริสโตเติลกล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์จะอยู่คนเดียวไม่ได้ มนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกัน และกัน มนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สังคม ในที่นี้ สังคมหมายถึง กลุ่มคนมากกว่าสองคนขึ้นไป มาอยู่รวมกันเป็นระยะเวลายาวนานในขอบเขต หรือพื้นที่ที่กำหนด สมาชิกประกอบด้วยคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งมีการติดต่อซึ่งกัน และกัน โดยมีวัฒนธรรม หรือระเบียบแบบแผนในการดำเนินชีวิตเป็นของตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถเลี้ยงตัวเองได้ Show การที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันมนุษย์ก็ต้องพูดคุยกันมีปฏิสัมพันธ์กัน มีความชอบพอกันมนุษย์จึงจะอยู่ร่วมกันได้ แต่การอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข มนุษย์จึงออก กฎเกณฑ์เพื่อให้ทุกคนในสังคมปฏิบัติอย่างปกติสุข กฎเกณฑ์ที่กล่าวได้แก่ การจัดระเบียบทางสังคม การจัดระเบียบทางสังคม ( social organization ) หมายถึง กฎเกณฑ์ หรือระเบียบแบบแผนทั้งหลายอันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และกลุ่ม เช่น การจัดระเบียบสังคมในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามี ภรรยา และบุตร การจัดระเบียบสังคม และกลุ่ม กรรมการ การจัดระเบียบสังคมหมู่บ้าน ตลอดจนการจัดระเบียบ ของสังคมไทย หรือสังคมอเมริกันเป็นต้น ทุกสังคมจำเป็นต้องมีการจัดระเบียบมากน้อยแตกต่างกันสามารถกล่าวได้ว่าการจัดระเบียบสังคมเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่อการดำรงอยู่ของสังคมทุกสังคม พวงเพชร สุรัตนกวีกุล ( 2541 : 60 ) องค์ประกอบของการจัดระเบียบสังคม อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่ามีเรื่องบรรทัดฐานกับสถานภาพ บรรทัดฐาน ( norms ) ซึ่งหมายถึง แนวทางในการปฏิบัติตนให้ถูกต้องเหมาะสม เป็นมาตรฐานกำหนดว่าการกระทำใดถูกต้อง การกระทำใดผิด การกระทำใดยอมรับได้ หรือไม่ได้ การกระทำควร หรือไม่ควรกระทำบรรทัดฐาน จะดำรงอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของบุคคลตลอดเวลา ดังจะเห็นได้จากการที่เรารู้สึกไม่สบายใจวิตกกังวล หรือกลัวการถูกลงโทษ เมื่อทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรบรรทัดฐาน ได้แก่ วิถีประชา (folkways ) จารีต ( mores ) และกฎหมาย ( laws ) เรื่องวิถีประชา ได้แก่ แนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันได้แก่ การเดิน การกิน การพูด การแต่งกาย มารยาท เป็นต้น เรื่องจารีต ซึ่งเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญในความรู้สึก ของคนทั่วไป จารีตเป็นกฎของสังคมที่กำหนดว่า การกระทำใดถูกต้อง การกระทำใดผิด การกระทำใดเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่ว เป็นกฎเกณฑ์ และข้อห้ามที่มีความสำคัญต่อสวัสดิภาพของสังคม ถ้าบุคคลฝ่าฝืนจารีตจะมีผลกระทบต่ดสังคมโดยส่วนรวม ส่วนเรื่องกฎหมาย เป็นแนวประพฤติปฏิบัติ ที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่าบุคคลมีหน้าที่อะไร ได้รับสิทธิในการเป็นพลเมืองมากน้อยเพียงใด กฎหมายจึงเป็นเรื่องของการควบคุมความประพฤติเอให้เกิดกระบวนการยุติธรรม กฎหมายอาจมาจากวิถีประชา จารีต หรือมาจากอำนาจรัฐ กฎหมายที่ดีต้องสอดคล้องกับวิถีประชา และจารีตที่สังคมนั้นๆ ยึดถือ ต้องทันเหตุการณ์ ทันสมัย อาจกล่าวได้ว่า บรรทัดฐานเป็นตัวควบคุมสังคม ส่วนสถานภาพ ( status) หมายถึงบานะ หรือตำแหน่งที่ได้รับจากการเป็นสมาชิกของสังคม เราทุกคนมีตำแหน่ง มีหน้าที่บางครั้งเราอาจมีหน้าที่หลายอย่าง เพราะเรามีตำแหน่งหลายอย่างเช่นกันเช่นมีฐานะเป็นนักศึกษา ก็ต้องทำหน้าที่ตั้งใจศึกษาค้นคว้าหาความรู้ มีตำแหน่งเป็นลูกก็ต้องเชื่อฟังบิดามารดา มีตำแหน่งเป็นน้องก็ต้องเชื่อฟังพี่ๆ ไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ เราก็ต้องทำตัวเป็นที่รักของเพื่อนๆ ในหนึ่งวันๆ เราหลายคนอาจเล่นบทบาทหลายตำแหน่ง เราจงเล่นบทบาทที่เป็นในสถานการณ์นั้นให้ดีที่สุด และอยู่กับปัจจุบันรู้คิด รู้ทำ รู้พูด ก็จะเป็นที่รักของคนอื่น บทบาทของบุคคลพิจารณาได้ 3 ลักษณะคือ 1. บทบาทในอุดมคติ ได้แก่ บทบาทที่กำหนดไว้ตามความคาดหวังของบุคคลทั่วไปในสังคมเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เป็นแบบฉบับที่สมบูรณ์ ซึ่งผู้ที่มีสถานภาพนั้นควรจะเป็นผู้กระทำแต่อาจไม่มีใครทำตามนั้น หรือมีเช่น กลุ่มคนที่มุ่งหวังจะทำงานจนได้รับรางวัลเม็กไซไซ 2. บทบาทที่บุคคลเข้าใจ หรือรับรู้ คือบทบาทที่บุลคลคิดว่าตัวเองควรเป็นอย่างไร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจตคติ ค่านิยม ความสนใจ ความถนัด บุคลิกภาพ การเรียนรู้ และประสบการณ์ของแต่ละบุคคลเป็นต้น 3. บทบาทที่แสดงออกจริง เป็นเรื่องที่บุคคลสามารถปฏิบัติได้จริง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุกาณ์เฉพาะหน้าของแต่ละบุคคลด้วย สังคมอุดมคติในทรรศนะจิตวิทยา ชัยพร วิชชาวุธ ( 2525: 458-465 ) อธิบายเรื่องสังคมอุดมคติพอสรุปได้ว่า มนุษย์ได้ใฝ่ฝันที่จะมีชีวิตอยู่ในสังคมที่มีแต่ความสุข และความสมหวังตลอดประวัติอันยาวนานของมนุษย์ได้จิตนาการสังคมในฝันนี้ในรูปของสวรรค์ที่ชีวิตมีแต่ความสุขไม่รู้จบ ศาสนาต่างๆ จึงได้ใช้ความปรารถนาอันสูงสุดของมนุษย์นี้ให้เป็นประโยชน์ โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ศรัทธาได้ประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็นมรรคสู่สวรรค์ที่มนุษย์ใฝ่ฝัน นักปราชญ์ที่เสนอสังคมอุดมคติได้แก่ พลาโต ( Plato,428-348 B.C.) เขียนไว้ในหนังสือสาธารณรัฐ ( Republic ) ว่า สังคมอุดมคติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีนักปราชญ์ที่ได้รับการศึกษามาอย่างดีเข้ามาปกครอง เพราะนักปราชญ์เหล่านั้นสามารถกำหนดได้ว่าสิ่งใดที่ดี สิ่งใดที่ถูกต้อง และจะทำสิ่งใดที่ดีที่ถูกได้อย่างไร ทฤษฎีของสังคมอุดมคติที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของมนุษย์ มี 2 ทฤษฎีคือ ทฤษฎีมนุษยนิยม และทฤษฎีการเสริมแรง ทฤษฎีมนุษยนิยมในทรรศนะของ นักจิตวิทยาเช่น มาสโลว์ เชื่อว่ามนุษย์มีความต้องการหลายอย่าง ความต้องการเหล่านี้สามารถเรียงลำดับความต้องการได้เป็นที่ละขั้นคือ ความต้องการเริ่มจากขั้นต่ำไปหาขั้นสูงเริ่มจากความต้องการทางสรีระ ความต้องการสวัสดิภาพ หรือความปลอดภัย ไปสู้ความต้องการความรัก และความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง ไปจนถึงความต้องการเข้าใจตนเองที่แท้จริงเพื่อพัฒนาตนให้เต็มศักยภาพ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การพัฒนาศักยภาพถือเป้นการพัมนาความเป็นมนุษย์ ส่วนทฤษฎีการเสริมแรงเป้นทฤษฎีที่มุ่งหวังกระตุ้นให้คนทำงาน และไปสู้ก้าวแห่งความสำเร็จ และเป็นสุขที่ทำงาน มุ่งให้มนุษย์ทำงานตามที่ตนรัก ตามที่ตนถนัดอย่างเต็มความสามารถ และจุดหมายปลายทางคือรางวัล สังคมอุดมคติในทรรศนะของนักมนุษยนิยม ส่วนสังคมอุดมคติในทรรศนะของนักมนุษยนิยม เป็นสังคมที่มนุษย์ไม่ต้องวิตกกังวลในเรื่องปากท้อง ในเรื่องความปลอดภัย ในเรื่องความรัก ในเรื่องศักดิ์ศรี อีกต่อไปเป็นสังคมที่มุ่งให้มนุษย์ทุกคนทำงานตามที่ตนถนัดอย่างเต็มความสามารถ ได้แก่ สังคมยูโทเปีย และสังคมคอมมิวนิสต์ของมาร์กซ สังคมยูโทเปียของ เซอร์โธมัส มอร์ ( 1477-1535) นักศาสนา นักกฎหมาย และนักปกครองชาวอังกฤษ ซึ่งถูกประหารชีวิต เนื่องจากคัดค้านการหย่าร้าง เพื่อสมรสใหม่ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ของอังกฤษ ได้เสนอทัศนะในหนังสือยูโทเปีย( Utopia )ในปีค.ศ. 1516 ว่าสังคมอุดมคติจะเกิดขึ้นเมื่อ ในสังคมไม่มีทรัพย์สินส่วนบุคคล มีแต่ทรัพย์สินส่วนรวม ( Commonwealth ) สมาชิกทุกคนทำงานพื่อสังคม และรับการเลี้ยงดู บริการจากสังคม สังคมมีระเบียบแบบแผนกำหนดโดยกฎหมายที่เป็นธรรม ทุกคนรู้ และปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างกระตือรือร้น ทุกคนมีความสุข หนังสือยูโทเปียของมอร์เป็นที่อ่านกันแพร่หลาย และได้มีผู้แปลเป็นภาษาไทย ( สมบัติ จันทรวงศ์,2517 ) เมื่อพูดถึงสังคมอุดมคติคนมักนึกถึงยูโทเปีย จนยูโทเปียกลายเป็นคำที่มีความหมายว่า “สังคมอุดมคติ” ทั้งๆ ที่ตามรากศัพท์ยูโทเปียแปลว่า “ไม่มีที่ใด” ( Nowhere ) มอร์มีความเชื่อพื้นฐานว่า มนุษย์เห็นแก่ตัวหากให้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ความเห็นแก่ตัวนี้ทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมามากมายสุดที่จะประมาณ หากจะขจัดปัญหาเหล่านี้ก็ต้องจัดการให้ทรัพย์สินต่างๆ เป็นของส่วนรวม มนุษย์จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องปากท้อง ไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องสวัสดิภาพ ไม่มีการเอาเปรียบ หรือการกดขี่ ตราบเท่าที่สังคมยังคงอยู่ และกฎหมายที่เป็นธรรมยังคงอยู่ ในลักษณะเช่นนี้ยูโทเปียของมอร์จึงเป็นสังคมมนุษยนิยม สังคมอุดมคติเป็นสังคมในความใฝ่ฝันของมนุษย์ เป็นสังคมที่มนุษย์อยากไปอยู่แต่นับแต่ปีค.ศ. 1516 จนถึงปัจจุบันไม่มีสังคมยูโทเปียเกิดขึ้นในโลกใบนี้ สังคมคอมมิวนิสต์ของมาร์กซ มาร์กซได้เสนอสังคมอุดมคติของเขาในปีค.ศ. 1848 เมื่อยูโทเปียของมอร์มีอายุ 332 ปี สังคมอุดมคติของมาร์กซเป็นที่รู้จักกัน ในชื่อสังคมคอมมิวนิสต์มีลักษณะเหมือนยูโทเปียของมอร์เป็นสังคมไม่มีชนชั้น ไม่มีทรัพย์สินส่วนบุคคลเพราะคนทุกคนเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน สมาชิกในสังคมร่วมกันทำงานผลผลิตที่เกิดขึ้นเป็นของทุกคน ผลผลิตนี้ส่วนหนึ่งใช้เป็นปัจจัยในการสร้างผลผลิตต่อไป และอีกส่วนหนึ่งนำมาแบ่งปันให้กับสมาชิกเพื่ออุปโภค และบริโภคเป็นการตอบสนองขั้นพื้นฐานของสมาชิก ตราบใดที่ยังมีสังคมมนุษย์ก็ไม่ต้องวิตกกังวล เรื่องปากเรื่องท้องไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องสวัสดิภาพ และเมื่อในสังคมไม่มีชนชั้น ทุกคนเป็นเจ้าของทุกสิ่งร่วมกัน ทำงานร่วมกัน ความรู้สึกห่างเหิน ความเป็นเจ้าของก็ไม่เกิด มนุษย์จึงไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อตอบสนองความต้องการความรัก และศักดิ์ศรี ในสังคมคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาระดับสูง จะมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์เหมือนแผ่นดินยุคพระศรีอารย์ สมาชิกแต่ละคนอุทิศตนแก่สังคมตามความสามารถ และในขณะเดียวกันก็รับจากสังคมตามความต้องการ สังคมอุดมคติของมาร์กซจึงเป็นสังคมมนุษยนิยมเช่นกัน อย่างไรก็ดีแม้ปัจจุบันจะมีหลายประเทศที่อ้างว่าเป็นสังคมคอมมิวนิสต์แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีประเทสใดที่พัฒนาสังคมให้มีสภาพตามที่มาร์กซได้ฝันไว้ ความหมายของพฤติกรรมทางสังคม พฤติกรรมทางสังคม หมายถึง พฤติกรรมของบุคคลที่แสดงต่อกันในสังคม โดยพฤติกรรมของบุคคลหนึ่งสามารถส่งผลต่อความคิด ความรู้สึก รวมถึงพฤติกรรมของอีกบุคคลหนึ่งได้ เมื่อบุคคลนั้น ๆ เกิดการปฏิสัมพันธ์กันทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เราแยกพฤติกรรมของคนออกไปได้สองอย่างคือ พฤติกรรมอันเป็นส่วนของตนเองและพฤติกรรมอันเกี่ยวกับสังคม พฤติกรรมทางสังคม เป็นการแสดงปฏิกิริยาต่อกันระหว่างสิ่งแวดล้อมทางสังคม (ซึ่งประกอบด้วยความเกี่ยวข้องกันระหว่างบุคคลต่อบุคคล หรือกลุ่มคนต่อกลุ่มคน) ที่มีต่อขนบธรรมเนียมประเพณี อุดมการณ์ สถาบัน ภาษา ศิลปะ วรรณคดี วิทยาการ และเทคโนโลยีต่างๆ บรรดาสิ่งเหล่านี้ย่อมมีอิทธิพลต่อการกระทำ หรือปฏิกิริยาของบุคคลนั้นๆ นั่นคือ บุคคลจะทำอะไรตามใจชอบไม่ได้ จะต้องปรับปรุงบุคลิกภาพของตน หรือทำอะไรให้คล้อยไปตามแนวทางที่สังคมนั้นๆ ยอมรับนับถือ การกระทำทางสังคม (Social action) หมายถึง การกระทำทั้งหลายทั้งปวงของมนุษย์ ที่มีความหมายเป็นที่เข้าใจของบุคคลอื่น โดยใช้สัญลักษณ์ที่สื่อสารกันได้ ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการกระทำทางสังคม มี 4 อย่าง คือ 1. ตัวผู้กระทำ (actor) ตัวผู้กระทำ ขึ้นอยู่กับจิตใจและร่างกายควบคู่กัน กระบวนการทางสังคม (Social Process)ความหมาย ลักษณะของกระบวนการทางสังคม กระบวนการทางสังคมเป็นกระบวนการที่มีลักษณะดังนี้ ประเภทของกระบวนการทางสังคม กระบวนการทางสังคมดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้น เป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อนสลับ ซับซ้อนและแปรเปลี่ยนเคลื่อนไหวได้ แม้ว่าทางสังคมวิทยาจะพยายามแยกออกเป็นแบบต่างๆ นั้น ก็เพื่อประโยชน์ในการศึกษาเท่านั้น แต่ในสภาพการที่แท้จริงแล้ว กระบวนการดังกล่าวมักจะปรากฏอยู่หลายแบบ ในโอกาสหนึ่งๆ จะเป็นแบบรู้ตัว (Conscious) หรือไม่รู้ตัว (Unconscious) ซึ่งสามารถจะพบได้ในทุกกลุ่มบุคคลหรือสังคม ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้คือ พฤติกรรมทางสังคม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. พฤติกรรมทางสังคมที่สร้างสรรค์ ได้แก่ การเป็นผู้มีมารยาท การเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบ การเป็นได้ทั้งผู้นำ และผู้ตาม การรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อ บุคคลอื่น การเคารพกฎหมาย การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดีในสังคม 2. พฤติกรรมทางสังคมที่ไม่สร้างสรรค์ ได้แก่ พฤติกรรมก้าวร้าว การเป็นนักเลงอัธพาล การติดยาเสพติด เป็นเอสด์ การมัวสุมการพนัน หนีเรียน ขาดความรับผิดชอบไม่มีวินัยไม่รู้จักหน้าที่ และกติกาของสังคม ซึ่งบุคคลเหล่านี้มักชอบสร้างปัญหาให้ผู้อื่นเดือดร้อน พฤติกรรมทางสังคมที่เป็นปัญหา 1. พฤติกรรมร่วม ( Collective Behavior ) หมายถึง พฤติกรรมที่ก่อขึ้นด้วยความร่วมมือกันของคนสองคน หรือมากกว่านั้น โดยมีความมุ่งหมายเพื่อผลทางสังคมบางอย่างตัวอย่างของพฤติกรรมร่วมคือ พฤติกรรมของม๊อบ ทั้งนี้การเดินขบวนด้วยความสงบก็เป็นพฤติกรรมร่วม การร่วมแก๊งโทรมหญิงก็เป็นพฤติกรรมร่วม อาจจะเป็นที่สงสัยว่าแล้วเราจะเริ่มต้นอธิบายพฤติกรรมได้อย่างไร คำตอบคือเราจะพูดถึงพฤติกรรมร่วม หรือcollective behavior โดยการพูดถึงฝูงชน ( crowds ) ความเป็นนิรนาม ( anonymity ) และพฤติกรรมติดต่อ ( contagion ) ฝูงชน ( crowds ) หมายถึง การรวมตัวชั่วคราวของคนเพื่อกิจกรรมร่วมบางอย่าง เช่น ฟังดนตรี ฟังคำปราศรัย หรือช่วยคนอยู่ใต้ตึกถล่ม การรวมตัวของคนอาจมีความรู้สึกร่วมเช่นเวลาดูกีฬาเมื่อฝ่ายของตนชนะก็มีความดีใจร่วมกัน การรวมตัวกันเป็นฝูงชนนั้นอาจจะอยู่เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็สลายตัว หรืออยู่จนสมปรารถนา ความเป็นนิรนาม ( anonymity or deindviduation ) อิทธิพลอย่างหนึ่งของการเข้ากลุ่มก็คือการทำให้เกิดความเป็นนิรนาม ซึ่งก็คือการไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทำให้เกิดความรู้สึกว่าถ้าทำอะไรแล้วจะต้องไม่รูสึกรับผิดชอบส่วนตัว ทำให้คนกล้าทำอะไรต่อมิอะไรที่ไม่กล้าทำเวลาอยู่โดดๆ หรืออยู่คนเดียว ด้วยเหตุนี้การอยู่ในฝูงชนจึงทำให้บางครั้งกล้าทำในสิ่งที่สร้างความเสียหายมากกว่าปกติเพราะความรู้สึกที่ไม่กลัว หรือกลัวน้อยลงเมื่อคิดว่าไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นใคร พฤติกรรมติดต่อ ( contagion ) พฤติกรรมในฝูงชนยังเกี่ยวข้องกับตัวแปรหนึ่งคือ การแพร่กระจายของอิทธิพลในลักษณะที่เหมือนโรคติดต่อ การแสดงความรุนแรง การทำลายข้าวของโดยที่ผู้อยู่ในกระบวนการเป็นตัวอย่าง อาการติดต่อทางอารมณ์ และพฤติกรรมจะเกิดขึ้นเมื่อ มีความเครียด และตัวอย่างที่เห็นเข้ากับสถานการณ์ที่เป็นอยุ่ ดังนั้นฝูงชนสามารถสื่ออารมณ์กันจนช่วยกันทำลายของร่วมกันได้ การรวมตัวกัน ( gatherings ) หมายถึง การมาอยู่ร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลา และสถานที่เดียวกัน การมารวมกันบางประเภทอาจ เพื่อฟักผ่อนหย่อนใจเช่น ไปดูหนัง ฟังคอนเสริร์ตในสวนสาธารณะ ไปดูตำรวจจับผู้ร้าย หรือดูไฟไหม้เป็นต้น การเดินขบวนก็เป็นการรวมตัวกัน การทำพิธีทางการเมือง และพิธีทางศาสนาก็เป็นการรวมตัวกัน การรวมตัวกันมี 3 ขั้นตอนคือ 1. การมาอยู่ด้วยกัน( assembling ) หมายถึง การที่คนกลุ่มหนึ่งมาอยู่ร่วมสถานที่ในเวลาเดียวกัน เช่น การไปรวมตัวกันของพวกคนที่มาดูดาวตก หรือการมารวมตัวกันของคนที่มาดูฟุตบอล หรืออาจมีการรวมตัวกันเพราะผลประโยชน์ร่วมกันเช่น จัดคนมาขอให้รัฐบาลขึ้นราคาอ้อย เป็นต้น หรือบางทีอาจมีอุดมการณ์ร่วมกันเช่น ต่อต้านการทำแท้งเพื่อชีวิตเด็กในครรภ์ เป็นต้น 2. การมีกิจกรรม( activities ) การรวมตัวกันมักจะมีเป้าหมายของกิจกรรมที่แน่นอนหมายถึงการมีพฤติกรรมร่วมขั้นพื้นฐานกิจกรรมที่ทำก็มีเช่น ดูหนัง เข้าแถวดื่มน้ำ หรือการเข้ากลุ่มเรียกร้องให้รัฐบาลทำอะไรให้ 3. การสลายตัว ( dispersal ) การสลายตัวมีหลายรูปแบบเช่น สลายตัวตามปกติคือไม่มีอะไร พอเสร็จธุระก็สลายตัวไปการสลายตัวอีกรูปแบบหนึ่งคือการถูกบังคับ จะโดยการออกคำสั่ง หรือการถูกทำร้ายก็ตามการสลายตัวแบบนี้คือการเกิดเหตุฉุกเฉิน( emergency ) และการสลายตัวสุดท้ายได้แก่การสลายตัวโดยการต่อรอง สาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรมร่วม มีตัวแปรสามตัวที่เกี่ยวข้องกับการเกิดพฤติกรรมร่วมคือ ความตึงเครียด ( strain ) การตั้งความหวังเกินความจริง ( relative deprivation ) และความทุกข์ร้อน ( grievances ) ความตึงเครียด ( strain ) พฤติกรรมร่วมไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดจากความเครียดเสมอไป พฤติกรรมร่วมชนิดที่เกิดจากความเครียด มักจะเกิดจาก ความเคลื่อนไหวทางสังคม ( social movement ) ซึ่งทำให้มีการจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อคลายความทุกข์ร้อนที่ทำให้เครียด เวลาเกิดปัญหาทางสังคมเช่นเกิดไข้หวัดนกผู้เลี้ยงไก่จะมีความเครียดเพราะไก่ถูกทำลายก็เลยอาจรวมตัวกันเพื่อขอให้รัฐบาลช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ การตั้งความหวังเกินความจริง ( relative deprivation ) เป็นตัวแปรอีกตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดการชุมนุมเรียกร้อง การตั้งความคาดหมายที่เกินจริง หมายถึง การที่คิดว่าตนเองควรได้มากว่านี้เพราะเห็นคนอื่นเขาได้กัน หรือมีความคาดหวังสูงกว่าที่เป็นจริงจึงเกิดภาวะขาดแคลนที่คิดขึ้นเอง ตัวเองมีอยู่แล้วแต่พอเทียบกับคนอื่นที่มีมากกว่าก็เลยรู้สึกว่าตนเองขาดแคลน จิตวิทยาดังกล่าวสามารถทำให้เกิดการชุมนุมเรียกร้องได้ ความทุกข์ร้อน ( grievances ) ความทุกข์ร้อนเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดการชุมนุมกันได้ ถ้ามีผู้นำบุคคลทั่วไปที่ทุกข์ร้อนจะไม่มีการเรียกร้องแต่ถ้ามีคนที่มีปัญหาร่วมมาก และเกิดมีผู้นำขึ้นมาก็ทำให้รวมกลุ่มเรียกร้องได้ การที่ข้าวราคาตก กุ้งราคาตก ทำให้ชาวนา และผู้เลี้ยงกุ้งรวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ การจลาจล ( social riots ) ถ้าประชาชนมีความอัดอั้นตันใจมากๆ ประกอบกับมีข่าวลือที่สร้างความขัดแย้งก็อาจทำให้เกิดจารจาจลขึ้นได้ การจลาจลนั้นไม่ได้เกิดจากการนัดหมายแต่เป็นปรากฏการณ์ที่มีข่าวลือเป็นเหตุปะทุให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวเกิดการแบ่งพวกตีกัน เกิดการปล้นร้านค้าชิงทรัพย์ เป็นจำนวนมากห้ามไม่อยู่ คำว่าสังคมมีความหมายอย่างไรสังคม (Social) หมายถึง กลุ่มคนที่อยู่รวมกัน มีความสัมพันธ์กัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีระเบียบกฎเกณฑ์และความเชื่อถือที่สาคัญร่วมกัน ตลอดจนมีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกันเอง และระหว่างบุคคลกับกลุ่มสังคม
สังคมคืออะไร มีความสําคัญอย่างไรสังคม หรือ สังคมมนุษย์ คือการอยู่รวมกันของมนุษย์โดยมีลักษณะความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันหลายรูปแบบ เช่น อาชีพ อายุ เพศ ศาสนา ฐานะ ที่อยู่อาศัย ฯลฯ สำหรับระบบสังคมที่รวมถึงสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นนอกเหนือจากมนุษย์อาจใช้คำว่าระบบนิเวศ ซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ กับสภาพแวดล้อม สังคมของมนุษย์เกิดจาก ...
สังคมมีเรื่องอะไรบ้างสังคมศึกษา ประกอบด้วย 5 สาระ. 1. ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม. 2. หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิต. 3.เศรษฐศาสตร์. 4. ประวัติศาสตร์. 5.ภูมิศาสตร์. ศาสนาสากล. คริสต์. สังคมไทยมีอะไรบ้างลักษณะทั่วไปของสังคมไทย
1. ยึดถือพระมหากษัตริย์และนับถือพระพุทธศาสนา 2. มีโครงสร้างแบบหลวม ๆ ไม่ค่อยมีการรักษากฎเกณฑ์ระเบียบอย่างเคร่งครัด มีการผ่อนปรนใน เรื่องต่าง ๆ 3. เป็นสังคมเกษตรกรรม ประชากรมีชีวิตอยู่อย่างง่าย ๆ 4. ส่วนใหญ่ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นหลัก
|