Show
1. ใบขับขี่รถชนิดชั่วคราว (บัตรมีอายุ 2 ปี ค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่ 100 บาท) คือ ใบขับขี่สำหรับคนไปทำครั้งแรก ซึ่งจะแยกย่อยออกไป 3 ประเภท คือ ใบขับขี่รถยนต์ชั่วคราว ใบขับขี่รถยนต์สามล้อชั่วคราว และใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว ผู้ขอรับใบขับขี่จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ แต่ถ้าเป็นใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราวที่มีกระบอกสูบไม่เกิน 110 ลบ.ซม. ผู้ขอรับใบขับขี่จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ 2. ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล (บัตรมีอายุ 5 ปี ค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่ 500 บาท) ผู้ขอรับใบขับขี่จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ โดยจะได้มาหลังจากการใช้ใบขับขี่ชั่วคราวมาครบ 1 ปี 3. ใบขับขี่รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล (บัตรมีอายุ 5 ปี ค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่ 250 บาท) สำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนใบขับขี่รถยนต์สามล้อจากชนิดชั่วคราว ไปเป็นชนิด 5 ปี หรือต้องการต่ออายุใบขับขี่รถสามล้อส่วนบุคคล จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ 4. ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล (บัตรมีอายุ 5 ปี ค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่ 250 บาท) สำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนใบขับขี่รถจักรยานยนต์จากชนิดชั่วคราว ไปเป็นชนิด 5 ปี หรือต้องการต่ออายุใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ 5. ใบขับขี่รถยนต์สาธารณะ (บัตรมีอายุ 3 ปี ค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่ 300 บาท) ใบขับขี่ชนิดนี้ออกให้สำหรับผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพขับรถยนต์ขนส่งสาธารณะ หรือรถแท็กซี่ โดยต้องได้รับใบขับขี่ชั่วคราวมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือมีใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลอยู่แล้ว โดยต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปีบริบูรณ์ 6. ใบขับขี่รถยนต์สามล้อสาธารณะ (บัตรมีอายุ 3 ปี ค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่ 150 บาท) คือ ใบขับขี่ของผู้ที่ต้องการทำอาชีพขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ หรือรถตุ๊กตุ๊ก ที่หลายๆคนคุ้นเคย โดยจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบขับขี่รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปีหรือแบบตลอดชีพ และต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปีบริบูรณ์ 7. ใบขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ (บัตรมีอายุ 3 ปี ค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่ 150 บาท) ใบขับขี่สำหรับผู้ที่ต้องการทำอาชีพขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ หรือวินมอเตอร์ไซค์ โดยต้องได้รับใบขับขี่รถจักรยานยนต์ชั่วคราวมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือมีใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลอยู่แล้ว โดยต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ 8. ใบขับขี่รถบดถนน (บัตรมีอายุ 5 ปี ค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่ 250 บาท) สำหรับผู้ขอรับใบขับขี่รถบดถนน ต้องผ่านการอบรมตามหลักสูตร และต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ 9. ใบขับขี่รถแทรกเตอร์ (บัตรมีอายุ 5 ปี ค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่ 250 บาท) สำหรับผู้ขอรับใบขับขี่รถแทรกเตอร์เพื่อใช้งานในเกษตรกรรม ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ 10. ใบขับขี่รถชนิดอื่น (บัตรมีอายุ 5 ปี ค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่ 100 บาท) ใบขับขี่ชนิดนี้ก็คือใบอนุญาตสำหรับผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถชนิดอื่น ๆ นอกเหนือจากในข้อ 1-9 ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ 11. ใบขับขี่สากล หรือ ใบขับขี่รถตามความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี (บัตรมีอายุ 1 ปี ค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่ 500 บาท) ผู้ที่สามารถทำใบขับขี่สากลได้ จะต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล ชนิด 5 ปี หรือตลอดชีพแล้ว จึงจะสามารถยื่นขอทำใบขับขี่สากลได้ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กรมการขนส่งทางบก Call Center 1584 ข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทย ใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทย เป็นเอกสารซึ่งออกโดยกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม หรือกรมการขนส่งทหารบก ให้แก่บุคคลซึ่งมีความสามารถในการควบคุมยานพาหนะได้อย่างปลอดภัย ใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทยควบคุมโดยกฎหมายสามฉบับ คือ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522[1] พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522[2] และพระราชบัญญัติรถยนต์ทหาร พ.ศ. 2476[3] โดยมีกฎจราจรตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522[4] ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก เอกสารซึ่งอนุญาตให้บุคคลทำการควบคุมยานพาหนะให้เคลื่อนไปในถนนเรียกว่า ใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งกฎหมายอีกสามฉบับเรียกแตกต่างกัน กล่าวคือ พระราชบัญญัติรถยนต์ เรียกใบอนุญาตขับขี่ว่า ใบอนุญาตขับรถ พระราชบัญญัติการขนส่งทางบกเรียกว่า ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ ส่วนพระราชบัญญัติรถยนต์ทหาร ใช้ว่า ใบอนุญาตพิเศษสำหรับขับรถยนต์ทหาร ในบทความนี้ จะใช้คำ ใบอนุญาตขับขี่ เป็นหลัก ใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทยต่างจากใบอนุญาตขับขี่ในประเทศตะวันตกบางประเทศ กล่าวคือ การฝึกหัดขับรถยนต์ไม่จำต้องมีใบอนุญาตฝึกขับรถยนต์ แต่เมื่อขับขี่จนชำนาญและสามารถผ่านท่าทดสอบจำนวน 3 ท่า ซึ่งกรรมการทดสอบเป็นผู้เลือกแล้ว จะได้รับในอนุญาตขับขี่ชั่วคราวหรือใบอนุญาตขับขี่จำกัดสิทธิ์ก่อนเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แล้วจึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นใบอนุญาตขับรถเต็มรูปแบบซึ่งต้องต่ออายุทุก ๆ 5 ปี หากปรากฏว่าต่อมาผู้ถือใบอนุญาตขับขี่ถูกลงโทษเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ต้องให้พ้นระยะเวลาสามปีนับแต่วันถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ จึงจะสามารถขอมีใบอนุญาตขับขี่อีกครั้งได้ โดยต้องเริ่มจากการขอใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวใหม่[5] นอกจากยานพาหนะทางถนนแล้ว ประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดให้มีใบอนุญาตขับขี่สำหรับยานพาหนะทางรางด้วย ในเบื้องต้นจะแบ่งออกเป็น 6 ชนิด คือ รถจักรไอน้ำ รถจักรดีเซล รถจักรไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง รถราง และยานพาหนะทางรางประเภทอื่น[6] ชนิดของใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทย[แก้]ใบอนุญาตขับขี่สำหรับยานยนต์ขนาดเล็ก[แก้]ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ใบอนุญาตขับขี่มีหลายชนิด[1] ผู้เริ่มขอมีใบอนุญาตขับขี่จะต้องรับการฝึกศึกษาในโรงเรียนการขนส่ง หรือโรงเรียนสอนขับรถที่กรมการขนส่งทางบกรับรอง ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติไม่น้อยกว่า 15 ชั่วโมง แล้วจึงเข้ารับการทดสอบที่โรงเรียนฯ เมื่อผ่านการทดสอบแล้วจะได้รับหนังสือรับรองเพื่อนำไปขอรับใบอนุญาตขับขี่ที่สำนักงานขนส่งอีกต่อหนึ่ง อีกวิธีหนึ่งคือ ผู้ขอมีใบอนุญาตขับขี่ฝึกขับรถกับผู้ที่มีใบอนุญาตขับขี่มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี (ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์) หรือครูสอนขับรถ โดยห้ามมิให้มีบุคคลอื่นอยู่ในรถนอกจากผู้ขับและผู้ควบคุม เมื่อชำนาญดีแล้วจึงเข้ารับการอบรมภาคทฤษฎี และสอบภาคทฤษฎีและปฏิบัติที่สำนักงานขนส่ง วิธีการนี้จะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีแรก แต่มีข้อเสียคือ หากสอบตกภาคปฏิบัติท่าหนึ่งจะต้องนัดสอบในสามวันทำการถัดไปเป็นอย่างน้อยเฉพาะท่าที่ตก ทำให้เสียเวลามาก ในชั้นนี้ผู้ขอใบอนุญาตขับขี่จะได้ใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราว ซึ่งแบ่งออกเป็น
ใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวมีอายุสองปี และเป็นใบอนุญาตขับขี่ประเภทจำกัดสิทธิ์ คือ ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดจากที่ต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรของเลือด จะลดลงเหลือ 20 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรของเลือด[7] อีกทั้งไม่สามารถขอมีใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศได้ ผู้ขอใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 18 ปีบริบูรณ์ เว้นแต่รถจักรยานยนต์ขนาดไม่เกิน 105 ซีซี ก็ให้ลดเหลือ 15 ปีบริบูรณ์ได้ ใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวสามารถต่ออายุได้ล่วงหน้า 60 วัน หากผู้ถือใบอนุญาตขับขี่จักรยานยนต์ชั่วคราวยังมีอายุน้อยกว่า 18 ปีบริบูรณ์ก็ยังคงได้รับใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวต่อไป เมื่อผู้ถือใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และได้ถือใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี (สำนักงานขนส่งบางแห่งอาจให้ถือจนครบสองปี) ก็สามารถขอมีใบอนุญาตขับขี่ส่วนบุคคลเต็มรูปได้ ซึ่งแบ่งออกเป็น[8]
ใบอนุญาตขับขี่เต็มรูปมีอายุห้าปี และสามารถต่ออายุได้ล่วงหน้า 6 เดือน[9] ผู้ถือใบอนุญาตขับขี่ส่วนบุคคลอาจขอมีใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศเพื่อใช้เป็นการชั่วคราวในต่างประเทศได้ หากผู้ถือใบอนุญาตขับขี่ประสงค์จะขับขี่เพื่อสินจ้าง จำเป็นต้องขอใบอนุญาตขับขี่สาธารณะนอกเหนือจากการใช้ยานพาหนะประเภทรับจ้าง (ป้ายเหลือง) ซึ่งจะมีขั้นตอนการตรวจประวัติอาชญากรเพิ่มเติมนอกเหนือจากการทดสอบปกติ เป็นเหตุให้ใช้เวลามากขึ้น ใบอนุญาตขับขี่สาธารณะแบ่งออกเป็น
ใบอนุญาตขับขี่สาธารณะมีอายุสามปี และสามารถต่ออายุได้ล่วงหน้า 6 เดือน สามารถใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ส่วนบุคคลเพื่อขับรถในประเภทเดียวกันได้ และมีสิทธิ์ขอรับใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศได้ นอกจากรถยนต์ รถยนต์สามล้อ และรถจักรยานยนต์ ยังมีใบอนุญาตขับขี่ประเภทอื่น ๆ คือ
ใบอนุญาตในหมวดนี้ (ยกเว้นใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศ) ไม่ต้องมีใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวมาก่อน แต่โดยมากนายทะเบียนมักกำหนดให้ต้องมีก่อนอย่างน้อยหนึ่งปีเพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ขับขี่จะควบคุมยานพาหนะได้อย่างปลอดภัย ใบอนุญาตขับขี่สำหรับยานยนต์ขนาดใหญ่[แก้]ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก ใบอนุญาตขับขี่มี 8 ชนิด คือ[2][ม 1]
ใบอนุญาตขับขี่สำหรับยานยนต์ขนาดใหญ่ไม่จำเป็นต้องขอมีใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวก่อน แต่ในทางปฏิบัติแล้วมักกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตขับขี่ชั่วคราวหรือใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลมาก่อน ใบอนุญาตขับยขี่สำหรับยานยนต์ขนาดใหญ่ประเภท ท. จะต้องมีการสอบประวัติอาชญากร ในขณะที่ประเภท บ. ไม่ต้องมีการสอบประวัติอาชญากร[10] ใบอนุญาตขับขี่ฝ่ายทหาร[แก้]ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ทหาร พ.ศ. 2479 ใบอนุญาตขับขี่ หรือใบอนุญาตพิเศษสำหรับขับรถยนต์ทหารแบ่งออกเป็น 7 ชนิด ดังนี้[11]
การขอรับใบอนุญาตขับขี่ในประเทศไทย[แก้]ผู้ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตขับขี่ฝ่ายพลเรือน ต้องเตรียมเอกสารแสดงตน คือ บัตรประจำตัวประชาชน สำหรับคนไทย หรือ หนังสือเดินทางพร้อมหนังสือแสดงถิ่นที่อยู่สำหรับคนต่างด้าว (หนังสือแสดงถิ่นที่อยู่ ในที่นี้อาจเป็นใบอนุญาตทำงานหรือหนังสือรับรองจากตรวจคนเข้าเมืองท้องที่ก็ได้) นอกจากนี้จะต้องเตรียมใบรับรองจากแพทย์แผนปัจจุบันตามแบบของแพทยสภาว่าไม่มีโรคที่อาจเป็นอันตรายขณะขับรถ[12] เมื่อเตรียมเอกสารพร้อมแล้ว ผู้ขอจะต้องติดต่อกับสำนักงานขนส่งในเขตพื้นที่ ๆ ตนมีถิ่นที่อยู่หรือสำนักงานอื่นที่สะดวกในการเดินทาง แล้วทำการทดสอบสายตาและปฏิกิริยาดังนี้[13][14][15][16][12][17]
เมื่อทดสอบสายตาและปฏิกิริยาผ่านแล้ว จึงเป็นขั้นตอนการอบรมภาคทฤษฎี ตามด้วยการสอบภาคทฤษฎี (ต้องได้คะแนน 45 คะแนนจากเต็ม 50 คะแนน) และสอบภาคปฏิบัติตามลำดับ โดยสำนักงานขนส่งแต่ละแห่งอาจสลับลำดับการดำเนินการเหล่านี้ได้ตามความเหมาะสม เช่น อาจให้สอบภาคปฏิบัติก่อนแล้วจึงสอบภาคทฤษฎี หรือสอบภาคทฤษฎีแล้วสอบภาคปฏิบัติก็ย่อมได้ ในการสอบภาคปฏิบัติ ประเทศไทยใช้ระบบการทดสอบในสนามขับเป็นสถานี เพราะสภาพของบางท้องที่อาจไม่เหมาะสม ท่าทดสอบที่นิยมใช้มีดังนี้[14][15]
นอกจากนี้ยังมีท่าทดสอบอื่นที่สนามสอบอาจพิจารณานำมาทดสอบแทนท่าที่กล่าวไว้นี้ได้ โดยท่าที่ 1 และ 2 บังคับสำหรับรถยนต์ และท่าที่ 3 บังคับสำหรับรถขนส่ง ส่วนรถจักรยานยนต์ นิยมใช้ท่าทดสอบคือ
ทั้งนี้อาจทดสอบด้วยท่าทดสอบอื่นที่แตกต่างจากนี้ก็ได้ แต่ต้องมีท่าที่ 1 เป็นท่าบังคับ รถยนต์ทหาร[11][แก้]ในกรณีของรถยนต์ทหาร[18] จะต้องให้หน่วยระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไปทำเรื่องส่งตัวผู้ที่ประสงค์จะมีใบอนุญาตขับขี่ไปทำการทดสอบ ณ กรมการขนส่งทหารบก หรือกรมการขนส่งเหล่าทัพอื่น ๆ ผู้ประสงค์จะใบอนุญาตขับขี่จะไปติดต่อเองไม่ได้โดยตรง ในทางปฏิบัติผู้ที่เป็นพลขับมักจะคัดเลือกและบรรจุจากผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขับขี่ฝ่ายพลเรือนมาก่อนแล้ว การทดสอบขับรถยนต์ทหาร จะเริ่มที่การสอบภาคปฏิบัติก่อน โดยมีท่าสอบ 4 ท่า บังคับทั้งหมด ดังนี้
เมื่อผู้สอบสอบผ่านแล้ว จึงจะไปสอบภาคทฤษฎีต่อไป เมื่อผ่านจึงจะได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ทหารต่อไป ใบอนุญาตขับขี่ในอดีต[แก้]ตามพระราชบัญญัติล้อเลื่อน พ.ศ. 2478[19] ซึ่งถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับซึ่งไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. 2546 [20] ผู้ขับขี่และลากเข็นล้อเลื่อน อาทิ รถจักรยานเท้าถีบ รถลาก รถเข็น ยกเว้นเกวียน จะต้องได้รับใบอนุญาตขับขี่ก่อน หากจะฝึกหัดขับขี่ก็ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ในปัจจุบันได้มีความพยายามรื้อฟื้นให้มีใบอนุญาตขับขี่จักรยานเท้าถีบ เนื่องจากเห็นว่าจะเป็นการกำหนดเกณฑ์อายุและความสามารถของผู้ขับขี่ตลอดจนเป็นการเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน แต่แนวคิดดังกล่าวก็ยังไม่เป็นที่ยุติและเห็นว่าจะเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ผู้ขับขี่[21][22] หมายเหตุ[แก้]
อ้างอิง[แก้]
ดูเพิ่ม[แก้]
ใบอนุญาตชั่วคราวมีอายุกี่ปีเดิมทีแล้วใบอนุญาตขับรถยนต์ชนิดชั่วคราวกำหนดอายุไว้ที่ 1 ปี ค่ะ แต่จากปัญหาที่กล่าวไปแล้ว ทำให้มีการพิจารณาอายุบัตรกันใหม่เพื่อให้มีระยะเวลาเหมาะสม ไม่สั้นจนเกินไป ซึ่งก็ลงตัวที่ 2 ปี ดังในปัจจุบันนี่เองคะ
ใบขับขี่ชั่วคราวทำยังไงเพียงนำใบอนุญาตขับรถชนิดชั่วคราว สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ใบรับรองแพทย์ และรูปถ่าย ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป ไปติดต่อดำเนินการ ณ กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ โดยจะได้รับใบอนุญาตขับรถชนิดส่วนบุคคล 5 ปี ซึ่งมีวันอนุญาตถัดจากวันสิ้นอายุของใบอนุญาตชนิดชั่วคราว (ยกเว้นผู้มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ชนิดชั่วคราว ...
ใบอนุญาตขับรถชนิดชั่วคราวมีอายุกี่ปี 2564ใบขับขี่ มีอายุกี่ปี ใบขับขี่มีอายุกี่ปี 2565
ใบขับขี่ มีอายุ 2 ปีแบบชั่วคราว เมื่อต่ออายุแล้ว จะได้เป็นแบบ 5 ปี
ใบขับขี่มีกี่ประเภท 3ใบขับขี่ประเภท 3 คือ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสำหรับลากจูงรถอื่นหรือล้อเลื่อนที่บรรทุก ได้แก่ ใบขับขี่ บ.3 และใบขับขี่ ท.3 ใช้ขับรถพ่วง, รถ 10 ล้อ หรือรถ 6 ล้อ มีอายุการใช้งาน 3 ปี โดยผู้ยื่นขอต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี ต้องเข้ารับการอมรมหลักสูตรความปลอดภัยตามที่กำหนด และต้องสอบขับรถลากจูง พร้อมรถพ่วง หรือรถกึ่งพ่วง
|