จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี Show
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เป็นกฎหมายไทย ประเภทพระราชบัญญัติ ร่างขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีไทยในสมัยพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร และตราขึ้นโดยรัฐสภาไทยในสมัย อุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานรัฐสภา โดยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์ ทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2546 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2546 และมีผลใช้บังคับในอีกหนึ่งร้อยแปดสิบวันถัดมา คือ วันที่ 30 มีนาคม 2547 แทนที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 294 การยกร่าง[แก้]ชั้นสภาผู้แทนราษฎร[แก้]การเสนอร่างพระราชบัญญัติ ในปลาย พ.ศ. 2545 มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กถึงแปดฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 21 คือ[3]
วาระที่หนึ่ง ขั้นรับหลักการ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันที่ 30 ตุลาคม 2545 ที่ประชุมมีมติให้รับหลักการของร่างพระราชบัญญัติทั้งแปด หลักการ คือ ให้มีกฎหมายคุ้มครองเด็ก[3] นอกจากนี้ ที่ประชุมยังให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั้งแปดรวมกัน ประกอบกรรมาธิการทั้งสิ้นสามสิบห้าคน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 190 และให้แปรญัตติร่างพระราชบัญญัติทั้งแปดภายในเจ็ดวัน[6] วาระที่สอง ขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา แม้ว่าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้แปรญัตติร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวภายในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2545 แต่มีการปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติก่อนในช่วงขึ้นปีใหม่ ต่อมา เมื่อคณะกรรมาธิการรวมร่างพระราชบัญญัติทั้งแปดฉบับเข้าเป็นร่างฉบับเดียวกัน ให้ชื่อว่า "ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ..." แล้ว สภาผู้แทนราษฎรจึงให้นำขึ้นพิจารณาใหม่ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปีที่ 3 ครั้งที่ 15 วันที่ 26 มีนาคม 2546 โดยที่ประชุมพิจารณาชื่อร่าง คำปรารภ แล้วเรียงมาตราตามลำดับจนจบร่าง วาระที่สาม ขั้นสุดท้าย ในการประชุมครั้งเดียวกันกับวาระที่สอง ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อวุฒิสภาได้ เป็นอันสิ้นสุดกระบวนการในชั้นสภาผู้แทนราษฎร[4] ชั้นวุฒิสภา[แก้]วาระที่หนึ่ง ขั้นรับหลักการ ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 16 (สมัยสามัญทั่วไป) วันที่ 4 เมษายน 2546 ที่ประชุมวุฒิสภาอภิปราย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แถลงตอบ เสร็จแล้ว ที่ประชุมมีมติให้รับหลักการ คือ ให้มีกฎหมายคุ้มครองเด็ก[7] ในการนี้ ให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ประกอบกรรมาธิการยี่สิบเจ็ดคน แล้วกำหนดให้แปรญัตติภายในสิบห้าวัน[5] อย่างไรก็ดี ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 19 (สมัยสามัญทั่วไป) วันที่ 25 เมษายน 2546 คณะกรรมาธิการขอขยายเวลาพิจารณาออกไปอีกสามสิบวัน จากเดิมให้พิจารณาถึงวันที่ 27 เมษายน 2546 และที่ประชุมอนุมัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศ้กราช 2540 มาตรา 174[8] วาระที่สอง ขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา วาระที่สาม ขั้นสุดท้าย โครงสร้าง[แก้]พระราชบัญญัตินี้ ประกอบด้วยมาตราทั้งหมดแปดสิบแปดมาตรา แบ่งเป็นสิบเอ็ดหมวด ดังต่อไปนี้
ภาพรวม[แก้]เหตุผล[แก้]เหตุผล ของพระราชบัญญัตินี้ คือ
คณะกรรมการคุ้มครองเด็ก[แก้]การคุ้มครองเด็ก[แก้]พระราชบัญญัติดังกล่าวคุ้มครองเด็ก คือ บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่สมรส โดยมีการจดทะเบียนสมรสชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว แต่ไม่นับรวมการสมรสโดยพฤตินัย เด็กในกระบวนการสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพหรือส่งเสริมความประพฤติตามพระราชบัญญัตินี้ จะต้องมีอายุไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ แต่หากเข้าสู่กระบวนการนี้แล้ว แม้จะอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว ก็ถือว่าบุคคลนั้นยังมีสิทธิได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพหรือส่งเสริมความประพฤติต่อไป[9] หัวใจของบทบาทของผู้ปกครองอยู่ที่มาตรา 23 ซึ่งบัญญัติว่า[10]
กองทุนคุ้มครองเด็ก[แก้]ความผิดอาญา[แก้]กรณีการห้ามเด็กออกจากบ้านหลัง 22.00 นาฬิกา พ.ศ. 2554[แก้]โฆษกสำนักงานตำรวจนครบาลเปิดเผยว่า แนวคิดการห้ามเด็กออกจากบ้านเริ่มขึ้นในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554 โดยเป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองโนยบายลดอาชญากรรมในกรุงเทพมหานคร 20% ภายใน 6 เดือนของรัฐบาล[11] พลตำรวจตรีอำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเสนอให้ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัตินี้ ห้ามเด็กออกจากบ้านหลัง 22.00 นาฬิกา [12] เพื่อลดอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเด็ก โดยมีพื้นที่เฝ้าจับตา คือ สถานบันเทิง และร้านให้บริการคอมพิวเตอร์ โดยใช้มาตรการคือ หากพบเด็กอยู่ในสถานที่ไม่เหมาะสม โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จะนำตัวไปยังโรงพัก เพื่อทำประวัติและเรียกผู้ปกครองมารับกลับบ้าน[12] รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลระบุว่ามาตรการดังกล่าวช่วยปกป้องเด็ก ซึ่งอาศัยความตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก หากพบเด็กคนใดฝ่าฝืน เจ้าหน้าที่จะนำตัวมาทำประวัติและเชิญผู้ปกครองมาพบ ผู้ปกครองที่ปล่อยปละละเลยให้เด็กกระทำความผิดมากกว่า 1 ครั้ง มีโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 2 หมื่นบาท[13] มาตรการดังกล่าวได้รับการตอบรับทั้งสนับสนุนและคัดค้าน โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเรียกมาตรการนี้ว่า "เคอร์ฟิวเด็ก" และเห็นว่าอาจเป็นอันตรายต่อเด็ก เช่น อาจถูกตำรวจรีดไถ หรือมีคนอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ทำอันตรายต่อเด็ก ส่วนนักวิชาการและองค์การสิทธิมนุษยชนเห็นว่าอาจละเมิดสิทธิและเสรีภาพของเด็ก บางคนยืนยันว่าตำรวจไม่มีอำนาจออกคำสั่งเช่นนี้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติ ซึ่งอาจทำให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ต้องหาฐานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเสียเอง[14] สำหรับฝ่ายที่เชื่อว่าตำรวจนครบาลสามารถใช้อำนาจตามพระราชบัญญัตินี้บังคับใช้นโยบาลดังกล่าว อ้างอำนาจตามกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๘ และกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอำนาจคำสั่งคณะปฏิวัติที่ 249 [15] ตัวแทนตำรวจนครบาล กล่าวว่า ตำรวจมีแนวคิดควบคุมโต๊ะสนุกเกอร์ ร้านอินเทอร์เน็ต ร้านเกม และสถานบันเทิง ซึ่งจะดำเนินการในกรณีที่พบเด็กในสถานที่ดังกล่าวโดยไม่มีผู้ปกครองมาด้วยเท่านั้น[16] จากสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยสวนดุสิตโพล ร้อยละ 62.87 เห็นว่าสามารถแก้ปัญหาอาชญากรรมที่เกิดจากเด็กและเยาวชนได้ ร้อยละ 67.41 คิดว่ารัฐบาลมีสิทธิควบคุมความประพฤติของเยาวชนของประเทศ ร้อยละ 68.15 เห็นว่ามาตรการดังกล่าวเป็นการคุ้มครองเด็ก และร้อยละ 65.91 เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว ส่วนร้อยละ 52.27 เห็นว่ากระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก[17] เชิงอรรถ[แก้]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
|