องค์กรระดับประเทศ มีอะไรบ้าง

 

องค์กรระดับประเทศ มีอะไรบ้าง

             

องค์การระหว่างประเทศเริ่มแรกเกิดจากความร่วมมือของประมุขของประเทศในยุโรปหลังสงครามนโปเลียน

สิ้นสุดลง เกิดการประชุมคองเกรสแห่งเวียนนา  (congress of vienna 1815)  องค์การระหว่างประเทศเกิดขึ้นครั้งแรก ต่อมา

เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่  1  ได้ก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติขึ้นจัดเป็นองค์การระหว่างประเทศท างานเฉพาะด้าน

เป็นส่วนใหญ่ องค์การระหว่างประเทศ ทางด้านสังคมมีบทบาทในการวางมาตรฐานการปฏิบัติของรัฐ วางระเบียบ

กฎเกณฑ์ในการติดต่อระหว่างประเทศและการให้บริการ ส่วนองค์การระหว่างประเทศทางเศรษฐกิจ ดูแลให้ความ

ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหา องค์การระหว่างประเทศทางการเมือง ท าหน้าที่รักษาสันติภาพและความ

มั่นคงระหว่างนานาชาติ

1.       ความหมายขององค์การระหว่างประเทศ

        องค์การระหว่างประเทศ หมายถึง องค์การที่ประเทศหรือรัฐ ตั้งแต่สองรัฐขึ้นไปรวมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็น

กลไกอย่างหนึ่งในการด าเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือและพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ 

เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐสมาชิกและมวลมนุษยชาติ

องค์กรระดับประเทศ มีอะไรบ้าง

2.       ความสำคัญขององค์การระหว่างประเทศ

        การเข้าเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศเป็นไปด้วยความสมัครใจของรัฐที่จะอยู่รวมกลุ่มกันโดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน องค์การระหว่างประเทศจึงมีความสำคัญดังนี้

2.1 เป็นหน่วยงานที่มีตัวแทนของรัฐมาประชุมพบปะกัน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแสวงหาสันติภาพและความมั่นคงร่วมกัน

2.2  ดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเวทีส าหรับรัฐต่าง ๆ มาร่วมตกลงประสานผลประโยชน์ระหว่างกัน

2.3  รัฐได้รู้ถึงความจ าเป็นที่จะต้องสร้างเครื่องมือที่เป็นสถาบันและวิธีการที่เป็นระบบ การจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศ จึงเป็นทางออกของรัฐในการจัดระเบียบความสัมพันธ์และวางหลักเกณฑ์ส าหรับใช้ในการ

3.     บทบาทขององค์การระหว่างประเทศ บทบาทส าคัญมีทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

3.1     บทบาทขององค์การระหว่างประเทศทางด้านสังคม

องค์การระหว่างประเทศทางสังคม มีหน้าที่และบทบาทส าคัญในการแก้ปัญหาทางสังคม 

วัฒนธรรมและมนุษยธรรม อันเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เพื่อก่อให้เกิดความ

เจริญก้าวหน้าและด ารงชีวิตอย่างมีความสุขของมวลมนุษยชาติ บทบาทที่ส าคัญ มีดังนี้

3.1.1        วางมาตรฐานการปฏิบัติของรัฐในเรื่องเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐ เช่น สิทธิมนุษยชน แรงงาน

3.1.2 วางระเบียบกฎเกณฑ์ในการติดต่อระหว่างประเทศขึ้น เพื่อให้สามารถติดต่อกันสะดวก ราบรื่น 

และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น สหภาพไปรษณีย์สากล

3.1.3      การให้บริการด้านต่าง ๆ เช่น การให้ข่าวสาร การบรรเทาทุกข์ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ 

การให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัย และพิทักษ์สิ่งแวดล้อม

3.2     บทบาทขององค์การระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจ

มีบทบาทมุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสังคมโลก ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและให้ปฏิบัติตาม

กติกา โดยมีบทบาทที่ส าคัญดังนี้

3.2.1 เป็นตัวกลางทางการเงิน ตลอดจนอ านวยความสะดวกด้านการเงิน

องค์กรระดับประเทศ มีอะไรบ้าง

3.2.2 ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศที่ก าลังพัฒนาน าไปลงทุนพัฒนาประเทศ มีกองทุน

เงินตราต่างประเทศให้สมาชิกกู้ยืมเพื่อแก้ไขปัญหา

3.2.3  วิจัยและวางแผน เพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสังคมไทย และให้มีการปรับเปลี่ยน

กระบวนการให้เหมาะสม

3.2.4  แนะน าการแก้ไขปัญหาเงินตรา วางระเบียบเกี่ยวกับการก าหนดมูลค่าของเงินตรา

3.2.5  ให้ความช่วยเหลือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ ๆ 

3.3 บทบาทขององค์การระหว่างประเทศทางด้านการเมือง

เป็นบทบาทที่มุ่งเพื่อรักษา สันติภาพและประสานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้เกิดความมั่นคง โดยมี

บทบาทที่ส าคัญดังนี้

3.3.1 ส่งเสริมให้เกิดสันติภาพและรักษาความมั่นคงร่วมกัน โดยให้ความส าคัญกับกองก าลังรักษา

สันติภาพ ท าหน้าที่รักษาสันติภาพในบริเวณพื้นที่ที่มีข้อพิพาท

3.3.2 ยุติกรณีพิพาทด้วยสันติวิธี โดยวิธีการทางการทูต การไกล่เกลี่ย การเจรจาและการประนีประนอม

3.3.3 สนับสนุนให้ดินแดนอาณานิคมได้รับเอกราชปกครองตนเอง ด้วยหลักการก าหนดโดยตนเอง

3.3.4  สนับสนุนการลดก าลังอาวุธและการควบคุมอาวุธ การห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์เพื่อเสริมสร้าง

ความมั่นคงร่วมกัน

องค์กรระดับประเทศ มีอะไรบ้าง

4. ลักษณะขององค์การระหว่างประเทศ

องค์การระหว่างประเทศจัดแบ่งออกได้เป็น  2 ลักษณะ

4.1  ยึดถือตามบทบาทหน้าที่ในการปฏิบัติงาน เป็นการแบ่งตามภารกิจที่ปฏิบัติในการให้ความร่วมมือ จึงแบ่งออกเป็นองค์การระหว่างประเทศทางสังคม ทางด้านเศรษฐกิจ และทางด้านการเมือง แต่บางองค์การมีเปูาหมายในการด าเนินงานครอบคลุมทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เช่น องค์การสหประชาชาติ เป็นองค์การที่มีสมาชิกจากทุกภูมิภาคของโลก และมีบทบาทสูงมากในสังคมโลกปัจจุบัน

4.2      ยึดถือตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เป็นการแบ่งตามลักษณะของการรวมกลุ่มโดยยึดเขตพื้นที่ของสมาชิกเป็นเกณฑ์ จึงแบ่งออกเป็น  2  ระดับ คือ ระดับโลก หรือระดับสากล เป็นองค์การที่มีสมาชิกมาจากเขตพื้นที่โลก เช่น องค์การสหประชาชาติ และองค์การระดับภูมิภาค ยึดหลักเข้ามารวมกันตามข้อผูกพันทางภูมิศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม ซี่งสมาชิกจะรวมกลุ่มอยู่ในภูมิภาคนั้น ๆ เช่น องค์การอาเซียน เป็นการรวมกลุ่มในเขตพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

5.     องค์การระหว่างประเทศด้านสังคม

 

องค์กรระดับประเทศ มีอะไรบ้าง

             

องค์การระหว่างประเทศด้านสังคม หมายถึง หน่วยงาน ที่มีบทบาทและหน้าที่ในการแก้ปัญหาระหว่างประเทศด้านสังคม วัฒนธรรม และมนุษยธรรม ก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในทางสังคมของประชาชาติทั้งปวง องค์การระหว่างประเทศด้านสังคมที่ส าคัญมีดังนี้

5.1      ส านักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ  (United Nations High Commissioner for Refugees : UNIHCR)   ผู้ลี้ภัย หมายถึง ผู้ลี้ภัยจากสงคราม การปฏิวัติภัยธรรมชาติ รวมตลอดถึงบุคคลบางกลุ่มที่หวาดกลัวว่าจะถูกข่มเหง รังแก หรือถูก ด้วยเหตุผลของความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนาหรือความคิดเห็นทางการเมือง ไม่อาจยอมรับสภาพความเป็นอยู่บางอย่างได้ จึงเกิดการอพยพออกจากประเทศของตนไปยังดินแดนของประเทศอื่น กลุ่มบุคคลเหล่านี้เรียกว่า ผู้ลี้ภัย

5.1.1      บทบาทและการด าเนินงานของส านักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ

บทบาทส าคัญ คือการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัย บุคคลที่อยู่ในฐานะที่จะได้รับความคุ้มครองใน

ฐานะผู้ลี้ภัย ได้แก่ บุคคลที่ได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นผู้ลี้ภัย และมีความวิตกว่าอาจจะได้รับอันตรายด้วยสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ และยุติการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้คุ้มครองดังกรณีต่อไปนี้

1)      ได้ใช้สิทธิสืบเนื่องจากความคุ้มครองจากรัฐแห่งสัญชาติของตน

2)        ได้รับสัญชาติเดิมคืนมาด้วยความสมัครใจ หลังจากได้สูญเสียสัญชาตินั้นไป

3)        ได้มาซึ่งสัญชาติใหม่ และได้รับความคุ้มครองจากรัฐแห่งสัญชาติใหม่ของตน

4)        ได้กลับเข้าไปตั้งถิ่นฐานด้วยความสมัครใจในรัฐที่ตนได้จากมา หรือรัฐที่ตนอยู่ภายนอกอาณา

เขตเนื่องจากความหวาดกลัวจากการประหาร

5)        ไม่อาจปฏิเสธที่จะได้ใช้สิทธิ สืบเนื่องจากความคุ้มครองจากรัฐแห่งสัญชาติของตน เนื่องจาก

สถานการณ์ที่ท าให้ถือได้ว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ลี้ภัยได้สิ้นสุดลงแล้ว

6)        เป็นบุคคลไร้สัญชาติ ซึ่งสามารถกลับสู่รัฐที่เดิมตนมีถิ่นฐานพ านักประจ าได้ เนื่องจาก

สถานการณ์ที่ท าให้ถือได้ว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ลี้ภัยได้สิ้นสุดลงแล้ว

5.1.2      วัตถุประสงค์ในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัยมีดังนี้

1)        ด าเนินการให้ผู้ลี้ภัยได้มีที่อยู่อาศัยอย่างถาวร

2)        ด าเนินการให้ผู้ลี้ภัยได้รับสิทธิอยู่อาศัยในฐานะคนต่างด้าว เพราะเหตุที่พวกเขาไม่ได้รับความ

คุ้มครองจากตัวแทนรัฐบาลของประเทศตน

3)        ด าเนินการให้ผู้ลี้ภัยได้รับในฐานะและสิทธิใกล้เคียงกับพลเมืองของประเทศที่ตนเข้าไปพัก

อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในฐานะพลเมือง สิทธิด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

5.1.3      หลักการให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัยการปฏิบัติการให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัย แบ่งออกได้เป็น  2 

ลักษณะคือ

ให้ความคุ้มครองโดยทางตรง คือ ให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มบุคคลในกรณีขอลี้ภัยไม่ได้ถูกขับไล่ 

หรือจากการถูกผลักดันด้วยความไม่สมัครใจ และรวมถึงการออกเอกสารหนังสือเดินทางให้แก่ผู้ลี้ภัย และให้ความ

คุ้มครองโดยทางอ้อม โดยการสนับสนุนส่งเสริมให้มีการปรับปรุงข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยให้ได้

มาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับข้อตกลงตามกฎหมายระหว่างประเทศ

5.2      องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO)

การจัดตั้งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ เริ่มตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ท าให้เกิดสภาพการท างานที่

ไม่เหมาะสมในโรงงาน และนักวิชาการได้ตระหนักถึงความส าคัญด้านมนุษยธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความ

ปลอดภัยในการท างาน ค่าแรง และสภาพการท างาน ในปี ค .ศ. 1870  สภาแรงงานช่างฝีมือในยุโรปได้ก่อตั้งองค์การ

ระหว่างประเทศเรียกว่า ส านักเลขาธิการสหภาพแรงงานช่างฝีมือ ในปี ค .ศ. 1900  ได้มีการก่อตั้งองค์การระหว่าง

ประเทศเพื่อตรากฎหมายแรงงาน รณรงค์ให้มีมาตรการด้านแรงงานระหว่างประเทศ และแก้ไขสภาพการท างานที่

ไม่เหมาะสม ต่อมาได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกฎหมายแรงงานระหว่างประเทศขึ้นเมื่อตั้งองค์การสหประชาชาติองค์การแรงงานระหว่างประเทศจึงเป็นทบวงการช านัญพิเศษองค์แรกขององค์การสหประชาชาติในปัจจุบันมี

สมาชิกมากกว่า 145 ประเทศ

5.2.1       บทบาทและการด าเนินงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ

1)        การวางรากฐานทางด้านแรงงานระหว่างประเทศ เป็นกิจกรรมหลักขององค์การแรงงาน

ระหว่างประเทศ ทางด้านสิทธิมนุษยชน เช่น ความปลอดภัยในการท างาน ค่าแรงที่ยุติธรรมและสภาพการท างานที่

เหมาะสม

2)        การให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิควิทยาการ คือการช่วยเหลือในการยกร่างกฎหมาย

แรงงานภายในประเทศสมาชิก ให้ค าแนะน าในการบริหารด้านแรงงานและให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิควิทยาการ 

ในการปรับปรุงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิก

3)        การให้ความช่วยเหลือทางด้านการศึกษาและฝึกอบรม ในด้านการประเมินแหล่งก าลังคน 

และความต้องการด้านก าลังคน ให้ความช่วยเหลือในการวิเคราะห์ตลาด ให้ค าแนะน าด้านแรงงานจัดให้มีการ

ทดสอบความรู้ด้านวิชาชีพ การวิเคราะห์แรงงาน โดยเฉพาะการฝึกอบรมทางวิชาชีพ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองตูริน 

ประเทศอิตาลี

4)        ด้านการวิจัยและข้อมูลข่าวสาร มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านแรงงาน มีการวิจัยเก็บ

รวบรวมข้อมูลของกลุ่มแรงงาน และเผยแพร่ข่าวสารให้กับประเทศสมาชิกในรูปแบบเอกสารและสื่อต่าง ๆ รวมทั้ง

กฎหมายเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพในการท างาน

5.3      องค์การอนามัยโลก (World Health Organization :WHO)

ในศตวรรษที่  19 องค์การอนามัยโลก ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อเกิดอหิวาตกโรคระบาดจากการเดินทางของชาว

มุสลิมจากแอฟริกาเหนือ เดินทางผ่านยุโรปเพื่อไปแสวงบุญ ณ กรุงเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ท าให้เกิดโรค

ระบาดอย่างรุนแรง ในยุโรปมีผู้คนล้มตายเป็นจ านวนมาก ประเทศต่าง ๆ ได้หาวิธีการปูองกันฝรั่งเศสได้จัดตั้งสถานี

อนามัยในดินแดนตะวันออกกลางและได้ร่วมกันตั้งคณะมนตรีทางอนามัยระหว่างประเทศมีการประชุมกันที่ตุรกี ในปี 

ค.ศ. 1907 จัดตั้งองค์การสาธารณสุขระหว่างประเทศได้ผลส าเร็จ เพื่อด าเนินการด้านอนามัย ประกอบด้วย  12 ประเทศ 

มีส านักงานใหญ่ที่อยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโรค และเกิดปัญหาสุขภาพอนามัยในปี ค .ศ. 1948 

คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมขององค์การสหประชาชาติได้มีมติจัดตั้ง องค์การอนามัยโลกขึ้น ประกอบด้วย

สมาชิก จ านวนกว่า 150 ประเทศ มีส านักงานใหญ่ที่อยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

5.3.1       บทบาทและการด าเนินงานขององค์การอนามัยโลก

1)        ต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บ ท าหน้าที่ควบคุมการแพร่ขยายของเชื้อโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรค

ระบาด โดยการก าจัด ควบคุมการแพร่ขยายของเชื้อโรค ปรับปรุงสภาวะความเป็นอยู่ที่ไม่เหมาะสมอันเป็นเหตุ

น ามาซึ่งการเกิดโรคระบาด

2)        ด้านการสาธารณสุข องค์การอนามัยโลก ได้มีบทบาทอย่างมากในการช่วยเหลือด้านการ

สาธารณสุข คือ พัฒนากิจการของโรงพยาบาลในประเทศต่าง ๆ โครงการพื้นฟูสมรรถภาพให้แก่ผู้ปุวย โดยเฉพาะ

ผู้ปุวยที่เป็นคนพิการ รณรงค์เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพอนามัยในการประกอบอาชีพและก าหนดมาตรฐานยาและ

เคมีภัณฑ์

3)        ด้านการให้การศึกษาและอบรม ในด้านการเผยแพร่ความรู้ด้านสุขภาพอนามัย โดยให้

การศึกษาและฝึกอบรมแก่บุคลากรด้านสาธารณสุขให้แก่ประเทศสมาชิก รวมทั้งส่งเสริมให้ความรู้ด้านสุขภาพ

อนามัยแก่ประชาชนทั่วไป

4)        ด้านการวิจัยและข้อมูลข่าวสาร ได้มีการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาด้านสุขภาพอนามัย 

เป็นการวิจัยเกี่ยวกับเชื้อโรคต่าง ๆ วิธีการก าจัดและรักษาโรคและเป็นศูนย์กลางด้านข้อมูลข่าวสารและเผยแพร่

ความรู้ด้านการอนามัยโลก5.4      องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ  (Food and Agriculture Organization : FAO)

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ เกิดขึ้นจากการด าเนินการด้านเกษตรอันเป็นผลมาจาก

ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและมีการประชุมระหว่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางการเกษตร ในปี ค .ศ. 

1905  ได้จัดตั้งสถาบันการเกษตรระหว่างประเทศที่กรุงโรมประเทศอิตาลีมีบทบาทในการส่งเสริมเพิ่มผลผลิตทาง

การเกษตรด้านอาหาร และเป็นศูนย์กลางรวบรวมแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเกษตร

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่  2  ได้เกิดปัญหาขาดแคลนอาหารอันเนื่องมาจากภาวะสังคมถึงขั้นต้องมีการ

แบ่งปันอาหารกัน สหรัฐอเมริกาจึงได้จัดให้มีการประชุมทางด้านโภชนาการเพื่อขจัดความหิวโหยและการบริโภคไม่

ถูกหลักวิชาการ ในปี ค .ศ. 1941  และใน ค .ศ. 1946  สมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติได้มีมติรับรองให้องค์การ

อาหารและเกษตรเข้าร่วมในองค์การสหประชาชาติ มีประเทศสมาชิกรวม  156 ประเทศ

5.4.1      บทบาทและการด าเนินงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ

1)        ด้านอาหาร มีบทบาทส าคัญในการแก้ปัญหาทางด้านอาหารตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่  2 

แก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารอันเกิดจากการเพิ่มประชากรของประเทศก าลังพัฒนา จัดท าโครงการอาหารโลก

ร่วมกับองค์การสหประชาชาติ เพื่อระงับการขาดแคลนอาหารอย่างฉับพลัน และช่วยเหลือชุมชนในการเพิ่มผลผลิต

ด้านอาหารและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรรวมถึงการส ารวจภาวการณ์อาหารและการเกษตรของโลก

2)        ด้านการเกษตร มีการน าเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเพิ่มผลผลิตทางด้านการเกษตร ทั้งด้านพืช 

ผัก ผลไม้ พันธุ์ไม้ และการปศุสัตว์

3)        ด้านการประมง ได้มีการรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลด้านการประมง ปรับปรุงวิธีการและ

เครื่องมือการประมงให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ศึกษาค้นคว้าสัตว์น้ าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ และวิจัย

แสวงหาพันธุ์สัตว์น้ ามาเป็นอาหารให้กับประชากรโลก

4)        ด้านปุาไม้ ได้มีการส่งเสริมสงวนรักษาปุาไม้ พัฒนาพื้นที่ปุาส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากปุาและ

น าเทคโนโลยีด้านการเกษตรมาใช้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปุาไม้ และได้จัดตั้งคณะกรรมการภูมิภาคเพื่อด าเนินการ

ด้านปุาไม้

5.5      องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ  (United Nations Educational Scientific and 

Cultural Organization-UNESCO)

หลังจากสงครามโลกครั้งที่  1  สิ้นสุดลงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง

ประเทศในปี ค.ศ. 1926 มีส านักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่  2  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของกลุ่มประเทศพันธมิตรได้จัดประชุม

เพื่อปรับปรุงโครงสร้างระบบการศึกษาของประเทศที่ถูกยึดครองโดยนาซี และค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ประยุกต์ใช้

สังคมศาสตร์ให้เกิดประโยชน์ ในปี ค .ศ. 1945  ได้ประชุมจัดตั้งองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง

สหประชาชาติ ส านักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปารีสมีสมาชิกมากกว่า  160  ประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ

เสริมสร้างสันติสุข ความมั่นคงของโลก โดยอาศัยการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม การติดต่อสื่อสาร รวมถึง

กฎหมายสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ ที่บัญญัติไว้ในกฎบัตรแห่งสหประชาชาติ

5.5.1          บทบาทและหน้าที่ขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติมี

บทบาทดังนี้

1)        ด้านการศึกษา มีจุดมุ่งหมายที่จะลดจ านวนอัตราผู้ไม่รู้หนังสือ โดยจัดท าโครงการต่าง ๆ 

เพื่อพัฒนาด้านการศึกษาในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศที่ก าลังพัฒนา ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก

องค์การสหประชาชาติ นอกจากนี้ยังส่งเสริมการฝึกอบรมด้านอาชีพ รวบรวมเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา

2)        ด้านวิทยาศาสตร์ โดยพยายามที่จะขยายความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้าน

วิทยาศาสตร์ ส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ สมุทรศาสตร์ อุตุนิยมวิทยา ธรณีวิทยา คอมพิวเตอร์ และไมโครอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแพร่เทคโนโลยีใหม่ ๆ 

ฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญทางด้านต่าง ๆ และพัฒนาหลักสูตร การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์

3)        ด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การอนุรักษ์มรดกธรรมชาติ โดยการสร้างความตระหนักถึง

ความส าคัญของวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ทั้งงานศิลปะ สถาปัตยกรรม วรรณคดี หัตถกรรม นิทานพื้นบ้าน ความเชื่อ 

พิธีกรรม เป็นต้น กิจกรรมในการพัฒนาด้านวัฒนธรรมงานด้านอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรม ต้องอาศัยความร่วมมือ

ของประชากรทั้งในและระหว่างประเทศ บนพื้นฐานความเท่าเทียมกัน โดยยอมรับว่าวัฒนธรรมของแต่ละสังคมมี

ความเท่าเทียมกัน

4)        ด้านสังคมศาสตร์ ได้จัดท าโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาปัญหา รวมทั้งการ

แก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

5)        ด้านการสื่อสาร ได้ด าเนินการในการกระตุ้นและส่งเสริมสนับสนุนการใช้สื่อเพื่อพัฒนาด้าน

การศึกษาวิทยาศาสตร์ โดยได้จัดท าโครงการต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือ

6.องค์การระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจในทศวรรษที่ผ่านมาได้ก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ เกิดความเจริญอย่างรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยี

และการสื่อสาร ส่งผลให้การแข่งขันในด้านการค้าระหว่างประเทศมีความรุนแรงมากขึ้นองค์การระหว่างประเทศ

ทางด้านเศรษฐกิจ จึงมีบทบาทและอิทธิพลในการก าหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจของสังคมโลก ดูแลให้ประเทศ

สมาชิกปฏิบัติตามกติกาของสังคมโลก ผลักดันให้ใช้นโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยม ส่งเสริมเอกชนให้มีบทบาททาง

เศรษฐกิจ องค์การระหว่างประเทศทางเศรษฐกิจที่ส าคัญมีดังนี้

6.1     องค์การการค้าโลก ( World Trade Organization : WTO)

เป็นองค์การที่ถือก าเนิดในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1995 อันเป็นผลมาจากการเจรจาการค้าพหุภาคีรอบอุรุกวัย 

ภายใต้การประชุมของความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้าหรือแกตต์  (General Agreement on Tariffs and Trade : 

GATT) องค์การการค้าโลก มีสมาชิกผู้ก่อตั้ง 81 ประเทศ ปัจจุบันมีสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง 148 ประเทศ โดยกัมพูชาเป็น

สมาชิกใหม่ล่าสุด องค์การการค้าโลกมีส านักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดร .ศุภชัย 

พานิชภักดิ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีของไทยด ารงต าแหน่งผู้อ านวยการตั้งแต่  1 กันยายน ค.ศ. 2002 ถึง ค.ศ. 2005 นับว่า

เป็นผู้อ านวยการ WTO คนแรกของเอเชียและของประเทศก าลังพัฒนาที่ก้าวไปมีบทบาท ในสถาบันเศรษฐกิจระดับ

โลก

6.1.1     วัตถุประสงค์ขององค์การการค้าโลก องค์การการค้าโลกท าหน้าที่ดูแลการค้าโลกให้เป็นไป

ในทางเสรีและมีความเป็นธรรม มีบทบาทหน้าที่ดังนี้

1)        เป็นเวทีเพื่อเจรจาลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกในรูปของมาตรการภาษี

ศุลกากร และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร

2)        เป็นเวทีที่ให้สมาชิกหันหน้าเข้าหารือ เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้าและหากตกลงกัน

ไม่ได้ก็จะตั้งคณะลูกขุน (Panel) ท าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ข้อเสนอแนะ

3)        เป็นผู้เฝูาดูแลสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ และจัดให้มีการทบทวนนโยบายการค้าของ

สมาชิกอย่างสม่ าเสมอ

4)        ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศก าลังพัฒนาให้ด้านข้อมูล ข้อแนะน าเพื่อให้สมาชิกปฏิบัติตาม

พันธกรณีได้อย่างเพียงพอ ตลอดจนท าการศึกษาประเด็นการค้าที่ส าคัญ

5)        ประสานงานกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลกเพื่อให้นโยบายเศรษฐกิจ

โลกสอดคล้องกันยิ่งขึ้น6.1.2     หลักการส าคัญขององค์การการค้าโลก หลักการในการด าเนินงานขององค์การการค้าโลก 

ท าหน้าที่ดูแลการค้าสินค้าครอบคลุมถึงการค้า การบริการ สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา และมาตรการการลงทุนที่

เกี่ยวกับการค้า โดยพยายามลดอุปสรรคและมาตรการในการกีดกันทางการค้า หลักการปฏิบัติที่ส าคัญมีดังนี้

1)        การไม่เลือกปฏิบัติ(Non – Discrimination) ในการใช้มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ โดยการ

ปฏิบัติต่อสินค้าจากทุกประเทศเท่าเทียมกัน  (Most favoured Nation Treatment : MFN) การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและภาษี

ศุลกากรหรือมาตรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่น าเข้า ต้องเรียกเก็บเท่าเทียมกันทุกประเทศ และต้องปฏิบัติต่อ

สินค้าน าเข้าเท่าเทียมกับสินค้าภายในประเทศ

2)        ต้องมีความโปร่งใส เกี่ยวกับข้อก าหนดและมาตรการทางการค้าที่น ามาบังคับใช้กับสินค้า 

ประเทศสมาชิกจะต้องพิมพ์กฎระเบียบเกี่ยวกับมาตรการทางการค้า เผยแพร่ให้สาธารณชนทราบและต้องแจ้งเมื่อ

เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ

3)        ใช้ภาษีศุลกากรเท่านั้น (Tariff-only Protection) ในการคุ้มครองผู้ผลิตภายในห้ามใช้มาตรการจ ากัด

การน าเข้าทุกชนิด ยกเว้นกรณีที่สอดคล้องกับบทบัญญัติขององค์การการค้าโลก

4)        ให้มีการรวมกลุ่มทางการค้าเพื่อลดภาษีระหว่างกัน ทั้งนี้ต้องมีเงื่อนไขในการรวมกลุ่มต้องไม่

มีวัตถุประสงค์เพื่อกีดกันการน าเข้าจากประเทศนอกกลุ่ม ต้องไม่กระทบกระเทือนผลประโยชน์เดิมของประเทศนอก

กลุ่ม

5)        ส่งเสริมการแข่งขันการค้าที่เป็นธรรม แต่ประเทศสมาชิกสามารถเก็บภาษีและตอบโต้การทุ่ม

ตลาดและการอุดหนุนสินค้าเข้าได้ หากมีการไต่สวนตามกฎระเบียบขององค์การการค้าโลก แล้วพบว่าประเทศผู้

ส่งออกกระท าการทุ่มตลาดและให้การอุดหนุนจริง ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งสินค้าอุตสาหกรรมภายในประเทศ

6)        มีกระบวนการยุติข้อพิพาททางการค้า เมื่อเกิดกรณีมีข้อขัดแย้งทางการค้าให้เจรจาหารือ

เพื่อยุติข้อพิพาท หากท าไม่ส าเร็จให้น าข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการขององค์การการค้าโลก เป็นการสร้างความ

เข้มแข็งให้แก่กระบวนการยุติข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศ

6.1.3     ประเทศไทยกับองค์การการค้าโลก

ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกอันดับที่  59 ใน ค.ศ.1995 ไทยได้รับสิทธิประโยชน์

หลายประการในการเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก เช่น ได้รับการลดหย่อนภาษีจากประเทศภาคีอื่น ได้รับ

ความช่วยเหลือด้านข้อมูลวิชาการต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็มีข้อผูกพันที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและยอมรับค าตัดสิน 

ในกรณีเกิดข้อพิพาท ทางการค้า การเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลกท าให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ในด้าน

ต่าง ๆ พอสรุปดังนี้

1)        มีกฎระเบียบที่รัดกุม โปร่งใส และเป็นธรรม การมีกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศของ

องค์การการค้าโลก ช่วยส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ค้าและผู้ลงทุน

2)        ผู้ผลิตและผู้ส่งอออกสามารถคาดการณ์และวางแผนการค้าระหว่างประเทศ ล่วงหน้าได้

เนื่องจากมีความโปร่งใสโดยเฉพาะในเรื่องภาคี

3)        การส่งออกขยายตัวและตลาดเปิดกว้างมากขึ้น จากการที่ประเทศสมาชิก ต้องเปิดตลาด

ตามพันธกรณี ส่งผลให้การส่งออกของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรของไทย เดิมต้องประสบ

ปัญหาความผันผวนของราคาในตลาดโลกมาตลอด เพราะไม่มีกฎเกณฑ์การค้าสินค้าเกษตรมาก ากับดูแล หลังจาก

การเปิดเสรีสินค้าเกษตรได้ส าเร็จเป็นครั้งแรก ในการเจรจาของ GATT รอบอุรุกวัย ท าให้ไทยเปิดตลาดสินค้าเกษตร

ได้มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดญี่ปุุน และเกาหลี จ าเป็นต้องเปิดตลาดข้าว สหภาพยุโรปต้องเปิดตลาดน้ าตาล ท าให้มี

โอกาสส่งออกไปยังตลาดเหล่านี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเป็นสินค้าที่จะปิดเสรีมากขึ้น

โดยมีการขยายโควตาน าเข้าในแต่ละปีและจะยกเลิกทั้งหมด ในปี ค .ศ. 2005 ซึ่งเป็นโอกาสของไทยที่จะไปแข่งขัน

ได้4)        มีเวทีร้องเรียนข้อพิพาททางการค้า และมีแนวร่วมต่อสู้กับประเทศใหญ่เพื่อให้เกิดความเป็น

ธรรม เช่น สหรัฐอเมริกาเคยกีดกันการน าเข้ากุ้งจากไทย โดยอ้างว่าการจับกุ้งของไทยเป็นอันตรายต่อเต่าทะเล ซึ่ง

ไม่เป็นความจริง ไทยจึงร่วมมือกับอินเดีย บราซิลฟูองสหรัฐอเมริกา ผลการตัดสิน ฝุายไทยเป็นฝุายชนะ

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคทางการค้าที่พบในปัจจุบัน ที่ยังคงต้องแก้ปัญหาต่อไปนี้คือ ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ

ประเทศพัฒนาแล้ว มักจะน ามาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรมาเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า ดังเช่น สหรัฐอเมริกา

เรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดสินค้าไทยหลายรายการ น าเอาเรื่องการคุ้มครอง ทรัพย์สินทางปัญญามาเป็น

ข้ออ้างในการตัดสิทธิพิเศษทางศุลกากรโดยทั่วไป  (Generalized System of Preferences : GSP) ตลอดจนน าเรื่องแรงงานและ

สิ่งแวดล้อมมาผูกโยงกับประเด็นการค้าญี่ปุุนก็มีการเข้มงวด ด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้าโดยเฉพาะอาหารต้อง

ติดฉลากสินค้า (Genetically Modified Organisms) GMOs หรือปลอด GMOs ส่วนสหภาพยุโรปก็มีมาตรการเข้มงวดเกี่ยวกับ

นโยบายความปลอดภัยด้านอาหาร การควบคุมมาตรฐานสุขอนามัย และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

6.2      กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF)

เป็นสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นเพื่อท าหน้าที่เป็นแกนกลางของระบบการเงินระหว่างประเทศ เริ่มด าเนินงาน

เดือนมีนาคม ค.ศ. 1947 ส านักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี สหรัฐอเมริกา

6.2.1      วัตถุประสงค์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ

กองทุนการเงินระหว่างประเทศมีฐานะเป็นทบวงการช านัญพิเศษของสหประชาชาติ โดยมีวัตถุประสงค์

หลักดังนี้

1)        ส่งเสริมให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีเสถียรภาพและปูองกันการแข่งขันในการ

ลดค่าเงิน

2)        ช่วยแก้ไขปัญหาขาดดุลการช าระเงินของประเทศสมาชิกเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อระบบ

การเงินโลก

3)        ดูแลให้ประเทศสมาชิกมีระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพ

4)        อ านายความสะดวกและส่งเสริมการขยายตัวทางการค้าระหว่างประเทศอย่างสมดุล เพื่อให้

เกิดการจ้างงาน รายได้และพัฒนการผลิตในระดับสูงรวมทั้งการพัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่ของประเทศสมาชิก

6.2.2      เงื่อนไขในการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ

เมื่อประเทศสมาชิกประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรงถึงขั้นต้องขอความช่วยเหลือ ผู้กู้จะต้องท า

ความตกลง เกี่ยวกับแผนการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ หลักการส าคัญที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศใช้เป็น

เงื่อนไขกับประเทศผู้ขอกู้ สรุปได้ดังนี้

1)              การท าให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินมีเสถียรภาพทั้งภายในและต่างประเทศ  (Stabilization) 

โดยการลดการขาดดุลการช าระเงินดุลบัญชีเดินสะพัด และการด าเนินการให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่เหมาะสม

2)        การสนับสนุนแนวคิดการเปิดเสรีทางด้านการเงินและการค้าระหว่างประเทศ  (Liberalization)

3)        การผ่อนคลายกฎระเบียบที่เข้มงวด (Deregulation) ส าหรับธุรกิจบางประเภทเพื่อปล่อยให้กลไก

ของตลาดท างานอย่างมีประสิทธิภาพ

4)        การโอนกิจการของรัฐให้แก่เอกชนเป็นผู้ด าเนินการแทน (Privatization)

6.3      ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนา  (The International Bank for Reconstruction and Development : IBRD)                            ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนาหรือธนาคารโลกมีเปูาหมายให้ประเทศสมาชิก ได้

กู้ยืมเงินทุนเพื่อใช้ในการด าเนินโครงการบูรณะและพัฒนาประเทศ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการ

เกี่ยวกับโครงการ ลงทุนเพื่อการพัฒนาต่าง ๆ ส านักงานตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา

6.3.1      วัตถุประสงค์ การด าเนินงานของธนาคารโลกมีดังนี้

1)        เพื่อฟื้นฟูบูรณะและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก โดยการให้กู้ยืมเงินระยะยาวในการ

พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนต่าง ๆ 

2)        เพื่อส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศของภาคเอกชน ธนาคารโลกจะช่วยเหลือส่งเสริมโดย

เป็นผู้ค้ าประกันการลงทุน หรือร่วมกับองค์กรอื่น ในการกู้ยืมของเอกชน

3)        เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

6.3.2      หลักการพิจารณาเงินกู้แก่ประเทศสมาชิก ก่อนที่จะให้เงินกู้ธนาคารโลกจะศึกษาระบบ

เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกเสียก่อนเพื่อพิจารณาโครงการที่มีความส าคัญอันดับสูง หากประเทศสมาชิกมีปัญหา

ในการจัดหาและเตรียมโครงการที่เหมาะสม ธนาคารจะส่งผู้เชี่ยวชาญไปให้ความช่วยเหลือ โดยจะส่งผู้แทน

ออกไปส ารวจและวิเคราะห์เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอย่างสม่ าเสมอ หลังจากมีการเสนอโครงการอย่างเป็น

ทางการและธนาคารโลกได้พิจารณารายละเอียดทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ และการเงิน ธนาคารโลกอาจมีการ

ปรับปรุงแก้ไขโครงการเพื่อลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพ ปรับปรุงระบบบริหารงานเพิ่มหรือลดขนาดของโครงการ

ให้เหมาะสม 

6.4     ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (The Asian Development Bank : ADB)

ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียเป็นสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาประเทศในแถบภูมิภาคเอเชีย ด าเนินการ

เมื่อปี ค.ศ. 1966 มีส านักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงมะนิลา มีสมาชิก  56 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศก าลังพัฒนาในภูมิภาค

เอเชียแปซิฟิก และประเทศนอกภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้ว

วัตถุประสงค์

1)      เพื่อการส่งเสริมทางเศรษฐกิจ และความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียและตะวันออกไกล

2)        ช่วยเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกที่ก าลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย

6.4.1      บทบาทการด าเนินการของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย

1)        บทบาทในการช่วยเหลือและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิก โดย

ให้ความส าคัญกับโครงการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอีกทั้งยังให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ ทั้งใน

ลักษณะการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและการให้ค าแนะน าในเรื่องต่าง ๆ แก่สมาชิก

2)        บทบาทด้านความร่วมมือของประเทศสมาชิก โดยสมาชิกร่วมลงทุนด้วยเงินทุนจดทะเบียน

การค้า เงินทุนบริจาคจากประเทศสมาชิก และเงินกู้ยืมโดยการออกพันธบัตรเพื่อจ าหน่ายในตลาดทุนระหว่าง

ประเทศ นับเป็นความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือแก่กลุ่มประเทศในเอเชียเมื่อเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ

6.5 องค์การตลาดร่วมยุโรป (Common Market) ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (European Economic Community : E.E.C) และ

สหภาพยุโรป (European Union : E.U)

สหภาพยุโรปได้พัฒนามาจากแผนการชูมอง ประกอบด้วยสมาชิก  6 ประเทศประกอบด้วย เบลเยียม 

เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบอร์ก อิตาลี เยอรมนีตะวันตก และฝรั่งเศส ให้ชื่อว่า องค์กรชุมนุมถ่านหินและเหล็กกล้าของ

ยุโรป (The European Coal and Steel Community = ECSC) ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1950 ต่อมาในปี ค.ศ. 1957 ลงนามในสนธิสัญญากรุงโรม มี

การรับสมาชิกเพิ่มอีก 6 ประเทศ คือ สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ เดนมาร์ก กรีซ สเปน และโปรตุเกส รวม  12 

ประเทศ ใน ค.ศ. 1991 ผู้น าประเทศยุโรป 12 ประเทศ ได้ร่วมประชุมที่เมืองมาสทริคซ์  (Masstricht) ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีข้อตกลงเกี่ยวกับรูปแบบของความร่วมมือด้านการเงิน การเมือง ต่อมาในปี ค .ศ. 1995 ได้พิจารณารับสมาชิกใหม่เพิ่ม 

3 ประเทศ คือ ออสเตรีย สวีเดน และฟินแลนด์ รวมสมาชิกภาพ ของสหภาพยุโรป  15 ประเทศ

วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 สหภาพยุโรป มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 10 ประเทศ ซึ่งเป็นการบรรลุวัตถุประสงค์อีก

ระดับหนึ่ง ของกลุ่มประเทศในยุโรป ที่ต้องการสร้างความแข็งแกร่ง ทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และ

วัฒนธรรม การผนึก EU. เข้าเป็นหนึ่งเดียว จะเป็นพลังขับเคลื่อนให้กลุ่มสหภาพยุโรปมีบทบาทโดดเด่นในเวทีโลก

เพิ่มขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากกระแสโลกาภิวัตน์ และการเปิดเสรีทางการค้า

ประเทศสมาชิกใหม่ 10 ประเทศได้แก่ สาธารณรัฐเชก ฮังการี โปแลนด์ สโลวัก สโลวีเนีย ลัตเวีย 

ลิทัวเนีย เอสโตเนีย ไซปรัส และมอลตา

การร่วมใช้เงินสกุลยูโร

เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1998 ผู้น าประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 15 ประเทศ ได้จัดการประชุม ณ กรุงบรัส

เซล ประเทศเบลเยียม มีมติเห็นชอบ 3 ประเด็น ดังนี้

1)        สมาชิก 11 ประเทศน าร่อง ประกอบด้วยสมาชิกสหภาพยุโรปทุกประเทศ ยกเว้น สหราชอาณาจักร 

เดนมาร์ก สวีเดน และกรีซ จะเริ่มใช้เงินยูโรตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1999

2)        ก าหนดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างกัน มีเงินสกุลยูโรเพียงสกุลเดียว คือเงินสกุลยูโร  (Eurpean Currency Unit : 

ECU)

3)        ให้มีธนาคารกลางของสหภาพยุโรป (European Central Bank : ECB) มีที่ท าการ่อยู่ที่เมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศ

เยอรมนี

เพื่อบรรลุการมีเงินตราสกุลเดียวกันในปี ค.ศ. 1999 ประเทศสมาชิกจะต้องสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ซึ่ง

พิจารณาจากการขาดดุลงบประมาณไม่เกินร้อยละ  3 ของรายได้ประชาชาติมวลรวมภายในประเทศ เงินเฟูอไม่เกิน

ร้อยละ 1.5 ของอัตราเงินเฟูอเฉลี่ยของ 3 ประเทศที่มีอัตราเงินเฟูอต่ าสุดหนี้สาธารณะต้องไม่เกินร้อยละ  60 ของ

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ

จากเงื่อนไขดังกล่าวท าให้กรีซไม่สามารถผ่านเกณฑ์ได้ ส่วนอังกฤษ เดนมาร์กและสวีเดนไม่ยอมเข้าใน

รอบแรก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังมีท่าทีต่อต้านและไม่เห็นด้วยเพราะเห็นว่าจะเป็นการเสียอธิปไตยทาง

การเงิน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังมีท่าทีต่อต้านและไม่เห็นด้วยเพราะเห็นว่าจะเป็นการเสียอธิปไตยทาง

การเงิน นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1999 ประเทศสมาชิก EU 11 ประเทศ จึงได้ประกาศใช้เงินตราสกุลเดียวกัน ซึ่งมี

ชื่อว่า เงินยูโร (EURO) เป็นตัวแทนชื่อเงินสกุลใหม่ของโลก ต่อมาวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2001 ประเทศกรีซได้ประกาศเข้า

ร่วมรวมเป็น 12 ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2002 สมาชิก EU ทุกประเทศได้ใช้เงินยูโรทั้งในรูปเงินเหรียญ และ

ธนบัตร

6.6 สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(The Association of Southeast Asian Nations : ASEAN)

ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1967 มีสมาชิกได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และไทยได้ลงนามในปฏิญญา

กรุงเทพ ต่อมา บรูไน เวียดนาม ลาว พม่า เข้ามาเป็นสมาชิก และกัมพูชาได้เข้าเป็นสมาชิกของอาเซียนเมื่อปี ค .ศ. 

1999 ท าให้อาเซียนเป็นองค์กรของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริง ประเทศสมาชิกมีความหลากหลาย

ทางด้านวัฒนธรรม เชื้อชาติ ศาสนา และประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอินโดจีน ซึ่งเคย

เป็นปรปักษ์กันทางการเมืองในยุคสงครามเย็นเข้ามาเป็นสมาชิกสมดังเจตนารมณ์ของผู้น าในการก่อตั้ง และรอการ

เข้ามาเป็นสมาชิกอันดับที่ 11 ของติมอร์ตะวันออกในโอกาสต่อไป อาเซียนมีส านักงานเลขาธิการตั้งอยู่ที่กรุงจาร์กา

ตา ประเทศอินโดนีเซีย

6.6.1 วัตถุประสงค์ของอาเซียน มีสาระส าคัญดังนี้

1)        เพื่อเร่งรัดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางสังคม และวัฒนธรรมของภูมิภาค2)        เพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสรีภาพของภูมิภาค ยึดมั่นในหลักการของสหประชาชาติ

3)        ส่งเสริมให้มีความร่วมมือและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม 

วัฒนธรรม วิชาการ วิทยาศาสตร์ และการบริหารอย่างจริงจัง

4)        เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปของการฝึกอบรม การวิจัยในด้านการศึกษา วิชาชีพและการบริหาร

6.2.2 ประเทศไทยกับอาเซียน ประเทศไทยในฐานะที่มีบทบาทส าคัญในการก่อตั้งอาเซียนไทยได้รับ

ประโยชน์จากอาเซียนในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1)        ด้านการเมืองและความมั่นคง ไทยได้ใช้กลไกของอาเซียนในการรักษาอธิปไตยของชาติได้อย่างมี

ประสิทธิภาพ ในช่วงของสงครามเย็น โดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐอเมริกาถอนทหารออกจากเวียดนาม การยึดครอง

กัมพูชาของเวียดนามท าให้ประเทศกลุ่มอาเซียนหันมาร่วมมือกันมากขึ้น โดยมีไทยเป็นแรงผลักดันส าคัญเนื่องจาก

เป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่มีพรมแดนติดกับกัมพูชาอาเซียนสามารถร่วมกันผลักดันในกรอบของ

สหประชาชาติและเวทีระหว่างประเทศอื่น ๆ จนสามารถกดดันให้เวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชา พลังความ

ร่วมมือของอาเซียนก่อให้เกิดสันติภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

2)        ด้านเศรษฐกิจ ไทยได้มีส่วนเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจภายในกลุ่มอาเซียนและกลุ่มอินโด

จีนอย่างจริงจัง เห็นได้จากนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบให้เป็นตลาดการค้า” แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันยาวไกลของ

ผู้น าไทยในการที่จะพัฒนาเศรษฐกิจและศักยภาพของประเทศในภูมิภาคนี้ เนื่องจาก  10 ประเทศอาเซียนรวมกันเป็น

ตลาดใหญ่ มีประชากรถึง 500 ล้านคน มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์และมีแรงงานขยันขันแข็งที่เอื้อต่อการลงทุนเพื่อ

การผลิต

3)        ด้านสังคม ไทยนับว่ามีบทบาทส าคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อ

ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรในภูมิภาคเอเชียให้ได้รับการศึกษา การฝึกอบรมมีสุขภาพสมบูรณ์ มีฐานะความ

เป็นอยู่ที่มั่นคง

การด าเนินงานด้านการศึกษา ไทยได้ร่วมมือกับประเทศอาเซียนตั้งเครือข่าย มหาวิทยาลัยอาเซียน  (ASEAN 

University Network) ในด้านสาธารณสุขไทยและสมาชิกอาเซียน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ด้านเภสัชกรรม ในส่วน

ของเยาวชนไทยมีบทบาทส าคัญในการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อเยาวชน เช่น การให้ความรู้ด้านเกษตรกรรมส าหรับ

เยาวชนในชนบท โครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือกับญี่ปุุนเพื่อสร้างความเข้าใจอันดี 

ไทยยังได้ริเริ่มจัดตั้งศูนย์อบรมเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด และโครงการควบคุมโรคเอดส์ร่วมกับอาเซียน อีกทั้ง

ยังผลักดันให้อาเซียนยกระดับความร่วมมือด้านพัฒนาสังคม โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งสอดคล้อง

กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่  9 ของไทย

ภายหลังจากการเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในไทย ซึ่งได้ขยายไปยังประเทศอื่นๆ ไทยได้เสนอการจัดท า

โครงข่ายรองรับทางสังคม (Social Safety Nets) ที่จะให้อาเซียนร่วมกันแก้ไขผลกระทบทางด้านสังคม มีการจัดตั้งมูลนิธิ

อาเซียนเพื่อส่งเสริมแลกเปลี่ยนนักศึกษา นักวิชาการตลอดจนการมีส่วนร่วม ของประชาชนในกิจกรรมต่าง ๆ ของ

อาเซียน

6.7 เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA)

เขตการค้าเสรีอาเซียน เกิดจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่  4 เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 1992 ณ สิงคโปร์ 

ผู้น าอาเซียนได้มีมติเห็นสมควรจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน  (AFTA) ขึ้น ตามข้อเสนอของนายอานันท์ ปันยารชุน 

นายกรัฐมนตรีของไทยและได้มีการลงนามในกรอบความตกลงขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ตกลงอัตราภาษี

พิเศษที่เท่ากัน ส าหรับอาเซียนและการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันให้สินค้าอาเซียนในตลาดโลก 

รวมทั้งจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน

6.7.1           วัตถุประสงค์ของเขตการค้าเสรีอาเซียน

1)        เพื่อให้การค้าสินค้าภายในอาเซียนเป็นไปโดยเสรี มีอัตราภาษีต่ าสุด และปราศจากข้อจ ากัดที่มิใช่

ภาษี2)        เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในอาเซียน

3)        เพื่อเสริมสร้างสถานการณ์แข่งขันของอาเซียน

4)        เพื่อรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าโลกที่จะเสรียิ่งขึ้น จากผลการเจรจาของแกตต์รอบอุรุกวัย

6.7.2           เปูาหมายของเขตการค้าเสรีอาเซียน

ประเทศสมาชิกจะต้องลดภาษีน าเข้าระหว่างกันให้เหลือร้อยละ  0.5 ภายใน 15 ปี (เริ่ม ค.ศ. 1993) รวมทั้ง

ยกเลิกมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร จากเดิม  15 ปี ให้เหลือ 10 ปี ให้เสร็จสิ้นภายใน ค.ศ. 2003 สินค้าที่อยู่ในกลุ่มการ

ด าเนินการลดภาษี ได้แก่ ประเภทสินค้าเร่งลดภาษี มี  15 สาขาสินค้ามีกว่า 100 รายการ ที่เร่งลดภาษีภายในเดือน

มกราคม ค.ศ. 2000 ดังเช่น เครื่องใช้ไฟฟูา เคมีภัณฑ์ ปูนซีเมนต์ ประเภทสินค้าลดภาษีปกติ ลดภาษีลงภายใน  5 ปี 

โดยเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1996-2003 ทั้งสินค้าอุตสาหกรรมแลเกษตรกรรมแปรรูปและไม่แปรรูป ส่วนสินค้าอ่อนไหว ได้แก่ 

สินค้าเกษตรไม่แปรรูปจะลดภาษีลงตั้งแต่ ค.ศ. 2001 ยกเว้นข้าวและน้ าตาล ที่จะใช้มาตรการพิเศษโดยเฉพาะ

6.8 องค์การของประเทศผู้ส่งน้ ามันเป็นสินค้าส่งออก (Organization of Petroleum Exporting Countries : OPEC)

องค์การโอเปคก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1960 เกิดจากความเคลื่อนไหวของประเทศที่ผลิตน้ ามันเป็นสินค้า

ส่งออก 5 ประเทศ คือ อิหร่าน อิรัก คูเวต ซาอุดิอาระเบีย และ เวเนซูเอลา ได้ร่วมกันจัดตั้งองค์การของประเทศผู้ส่ง

น้ ามันเป็นสินค้าออก มีส านักงานเลขาธิการตั้งอยู่ที่กรุงเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาได้ย้ายไปตั้งที่กรุง

เวียนนา ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกโอเปค

ปัจจุบันสมาชิกโอเปคเพิ่มเป็น 13 ประเทศ จากทวีปต่าง ๆ ตามล าดับดังนี้

1.     ทวีปเอเชีย จ านวน 7 ประเทศ ได้แก่ อิหร่าน อิรัก คูเวต กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรต 

และอินโดนีเซีย

2.     ทวีปแอฟริกา จ านวน 4 ประเทศ ได้แก่ ลิเบีย ไนจีเรีย กาบอง และแอลจีเรีย

3.     ทวีปอเมริกาใต้ จ านวน 2 ประเทศ ได้แก่ เวเนซูเอลา และเอกวาดอร์ ต่อมา ค.ศ. 1992 มีประเทศสมาชิก

ถอนตัวออก 2 ประเทศ คือ แอลจีเรีย และกาบอง เนื่องจากไม่พอใจการจัดสรรโควตาไม่เป็นธรรม

6.8.1           วัตถุประสงค์ของโอเปค

1)      เพื่อปกปูองพิทักษ์ผลประโยชน์ทั้งปวงของประเทศสมาชิก

2)      เพื่อรักษาราคาน้ ามันให้มีเสถียรภาพ

3)      เพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้อย่างสม่ าเสมอส าหรับประเทศผู้ผลิตน้ ามัน ในขณะเดียวกันก็จัดหาน้ ามัน

ให้แก่ชาติที่ซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพและอย่างสม่ าเสมอ

6.9 ความตกลงทางการค้าเสรีอเมริกาเหนือ  (North American Free Trade Agreement : NAFTA)

เป็นเขตการค้าเสรีที่ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา แคนาดา และแม็กซิโก ก่อตั้งขึ้นในเดือนมกราคม ค .ศ. 1992 

ต่อมาชิลีได้เข้าเป็นสมาชิกเมื่อต้นปี ค.ศ. 1996 พร้อมกับขยายความร่วมมือไปครอบคลุมด้านอื่น ๆ เช่น พลังงาน 

บริการทางการเงิน การขนส่ง การลงทุน โทรคมนาคม กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งแวดล้อม และปัญหา

พลังงาน

6.9.1 วัตถุประสงค์ของเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ1)    ร่วมมือทางเศรษฐกิจด้วยการก าจัดภาษีศุลกากรที่เป็นอุปสรรคทางการค้าในเวลา  5 ปี โดยให้มีการ

ยกเว้นภาษีศุลกากรในสินค้าบางประเภท และค่อย ๆ ลดภาษีจนไม่เก็บอีกต่อไปภายในเวลาที่ก าหนด

2)    ส่งเสริมให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม และขยายโอกาสในการลงทุน จัดตั้งกลไกการยุติข้อพิพาททาง

การค้าที่ยุติธรรม

3)    คุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ประเทศที่ได้รับประโยชน์จากเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือมาก

ที่สุดคือ เม็กซิโก เพราะประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ า ซึ่งสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะได้รับความช่วยเหลือ

จากสหรัฐอเมริกา แต่สหรัฐอเมริกาก็ได้รับผลประโยชน์สามารถแก้ปัญหาแรงงานอพยพจากเม็กซิโกและมีตลาด

สินค้าที่แน่นอน ส่วนแคนาดาสามารถหาแหล่งแรงงานและวัตถุดิบราคาถูกซึ่งใช้เป็นปัจจัยการผลิตสนับสนุน

อุตสาหกรรมในประเทศ

ประเทศไทยเป็นฝุายได้เปรียบดุลการค้าต่อเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดสินค้าอันดับ  2 ของ

ไทยรองจากญี่ปุุน ในปี ค.ศ. 1996 ไทยส่งออกประมาณร้อยละ  19.2 ของมูลค่าส่งออกรวมโดยมีสินค้าส าคัญคือ เสื้อผ้า

ส าเร็จรูป เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟูา อาหารกระป๋อง กุ้งแช่แข็ง อัญมณีและเครื่องประดับ 

รองเท้า ตลอดจนเครื่องรับวิทยุและส่วนประกอบ

6.10 ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia Pacific Economic Cooperation : APEC)

ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1989 จากข้อเสนอของนายบ๊อบ ฮอว์ก  (Bob Hawke) อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียโดยได้รับ

การสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุุน และประเทศอื่นๆ จนกลายเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีประชากรร่วมกันมากที่สุด

กว่า 2,000 ล้านคน ครอบคลุม 3 ทวีป คือเอเชีย ออสเตรเลีย และอเมริกามีสมาชิกเริ่มก่อตั้ง  12 ประเทศ ได้แก่ กลุ่ม

ประเทศอาเซียน 6 ประเทศ คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และสหรัฐอเมริกา แคนาดา 

ญี่ปุุน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ต่อมาจีนฮ่องกง ไต้หวันเข้าเป็นสมาชิกในปี ค .ศ. 1991 เม็กซิโก ปาปัวนิวกีนี 

ค.ศ. 1993 ซิลี ค.ศ. 1994 เวียดนาม เปรู รัสเซีย ค.ศ. 1998 รวมเป็น 21 ประเทศ และมีส านักเลขาธิการ APEC ตั้งอยู่ที่ประเทศ

สิงคโปร์

6.10.1       วัตถุประสงค์ของความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

1)        สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และของโลก

2)        พัฒนาและส่งเสริมระบบการค้าพหุพาคี บนรากฐานการเปิดเสรีการค้า

3)        ลดอุปสรรคการค้าสินค้าและการค้าบริการ ตลอดจนการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก โดย

ให้สอดคล้องกับกฎของแกตต์

4)        ส่งเสริมการค้าเสรีระหว่างประเทศสมาชิก ปรับปรุงกฎเกณฑ์ทางการค้าให้เกิดความเป็น

ธรรมในหมู่ประเทศสมาชิก

6.10.2       พัฒนาการความร่วมมือของกลุ่มเอเปค ความร่วมมือของสมาชิกในกลุ่มเอเปคได้

พัฒนาขึ้นมาเป็นล าดับ ซึ่งได้มีการประชุมระดับผู้น าทุกปีเป็นประจ า เพื่อร่างข้อตกลงร่วมกันและจะประชุมผู้น า

เศรษฐกิจควบคู่ไปกับการประชุมระดับรัฐมนตรี การประชุมแต่ละครั้งได้ข้อสรุปดังนี้

1)        การวางกรอบการด าเนินงานของเอเปค ได้มีการประชุมสมาชิกขึ้นเป็น ครั้งแรกที่ออสเตรเลีย 

ระหว่างปี ค.ศ. 1989-1993 ที่ประชุมเสนอแนวคิดที่จะสร้างประชาคมเอเชีย-แปซิฟิก เป็นภูมิภาคแบบเปิด

2)        ให้มีการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ผลสืบเนื่องมาจากการประชุม

สุดยอดผู้น า ครั้งที่ 2 ที่อินโดนีเซีย ในปี ค.ศ. 1994 ที่ประชุมได้ยอมรับหลักการที่จะมีเขตการค้าเสรี แต่ต้องค านึงถึง

ความแตกต่างในระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกและความพร้อมของแต่ละประเทศ โดย

ก าหนดให้ประเทศสมาชิกที่พัฒนาแล้วเปิดเสรีภายในปี ค.ศ. 2010 แต่ประเทศที่ก าลังพัฒนาให้เปิดเสรีในปี ค.ศ. 20203)        การประกาศวาระปฏิบัติการเปิดเสรี ในปี ค.ศ. 1995 ประเทศญี่ปุุนเป็น เจ้าภาพจัดประชุมสุด

ยอดผู้น าเอเปคครั้งที่ 3 ได้จัดท าแผนปฏิบัติการโอซาก้า เพื่อเป็นต้นแบบในการท างานให้บรรลุเปูาหมายในการเป็น

เขตการค้าเสรี

4)        ร่วมกันผลักดันมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ จากการประชุมสุดยอดครั้งที่  4 ที่

ฟิลิปปินส์ สมาชิกตกลงร่วมกันผลักดันมาตรการหลายอย่าง เช่น การเปิดเสรีการค้า บริการการลงทุนและ

สาธารณูปโภค ให้ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและวิชาการ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สนับสนุนการลงทุน

ในธุรกิจขนาดกลางและเล็ก

5)        การเปิดเสรีล่วงหน้ารายสาขาตามความสมัครใจ ในที่ประชุมที่ประเทศ แคนาดาในปี ค .ศ. 

1997 ตกลงกันให้เปิดเสรีล่วงหน้าตามความสมัครใจถึง 15 สาขา ประกอบด้วยสินค้าและการบริการด้านสิ่งแวดล้อม 

เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ พลังงาน ผลิตภัณฑ์จากปุา เป็นต้น ซึ่งไทยมีท่าทีคัดค้านการเปิดเสรีด้านผลิตภัณฑ์

จากปุาและการประมง ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อผู้ผลิตภายในประเทศ

6)        ความล้มเหลวในการประชุมสุดยอดผู้น าเอเปค สืบเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย ท า

ให้การประชุมสุดยอดผู้น าเอเปคต่อมาอีก  4 ครั้ง ไม่ประสบความส าเร็จ ครั้งที่ 6 ประชุมที่มาเลเซีย ผู้เข้าประชุมมุ่ง

อภิปรายวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและหาแนวทางแก้ปัญหา ครั้งที่  7 ที่ประเทศนิวซีแลนด์ และครั้งที่ 8 ที่บรูไน 

ความสนใจอยู่ที่เรื่องปัญหาติมอร์ตะวันออก การรับจีนเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก ส่วนครั้งที่  9 ที่

สาธารณรัฐประชาชนจีน หัวข้อประชุมเป็นเรื่องผลกระทบจากการก่อวินาศกรรมในสหรัฐอเมริกา จากพฤิตกรรม

ดังกล่าวท าให้การเปิดเสรีทางการค้าของกลุ่มเอเปค ชะลอตัว แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาประเทศผู้น าก็ได้ลด

ความส าคัญของเอเปคหันไปสนใจการเจรจาในกรอบขององค์การการค้าโลก

6.10.3  ประเทศไทยกับเอเปค ประเทศไทยในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งเอเปคจึงได้รับประโยชน์

หลายประการโดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการจากโครงการต่าง ๆ ของเอเปคเพื่อส่งเสริม การ

พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลางตลอดจนการ

แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร

การเป็นสมาชิกยังเปิดโอกาสให้ไทยเสริมสร้างอ านาจในการต่อรอง เพื่อช่วยปกปูองผลประโยชน์ทางการ

ค้า ในขณะเดียวกันการเปิดเสรีทางการค้า ย่อมส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบางสาขาของไทยที่ยังด้อย

ประสิทธิภาพในการผลิต ฉะนั้นเพื่อให้ไทยได้เปรียบในการแข่งขันอุตสหกรรมของไทยจ าเป็นต้องปรับโครงสร้าง

การผลิต ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น ไทยจึงจะได้ประโยชน์จากการเปิดเสรี ในปี ค .ศ. 2003 ประเทศไทย

ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคหลายระดับ ดังนี้

1)      การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส

-          ครั้งที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ ที่จังหวัดเชียงราย

-          ครั้งที่ 2 เดือนพฤษภาคม ที่จังหวัดขอนแก่น

-          ครั้งที่ 3 เดือนกันยายน ที่จังหวัดภูเก็ต

2)      การประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 5 เดือนมิถุนายน ที่จังหวัดขอนแก่น

3)      การประชุมระดับผู้น าเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่  1 เดือนตุลาคม ที่กรุงเทพฯ

6.11 การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conferences on Trade and Development : 

UNCTAD)

ความเป็นมาของอังค์ถัด เป็นองค์การระหว่างประเทศภายใต้กรอบ ขององค์การ สหประชาชาติ 

เกิดขึ้นจากความพยายามและความร่วมมือของกลุ่มประเทศก าลังพัฒนาซึ่งรวมกัน เรียกว่ากลุ่ม  77 (G77) มีการประชุม

ครั้งแรกที่นครเจนีวาในปี ค.ศ. 1964 เพื่อเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาแล้วร่วมมือหาทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับการค้าและการพัฒนาของประเทศที่ก าลังพัฒนา โดยให้ประเทศที่ก าลังพัฒนามีส่วนในการพิจารณาตัดสินปัญหา

เกี่ยวกับการค้าและการเงินระหว่างประเทศ

6.11.1       วัตถุประสงค์ของอังค์ถัด

1)         เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่มีระดับการพัฒนาแตกต่างกัน และมุ่งขจัด

อุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศที่ก าลังพัฒนาได้รับผลประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศอย่างเต็มที่ โดยการ

ร่วมมือกับองค์การต่าง ๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกที่มีอยู่อย่างใกล้ชิด

2)         เพื่อด าเนินงานด้านต่าง ๆ เช่น การเจรจาและต่อรองปัญหากฎหมายอันเกี่ยวกับ

การค้าระหว่างประเทศ โดยร่วมมือกับหน่วยงานอื่นของสหประชาชาติ

3)         เป็นศูนย์กลางระดับโลกในการด าเนินงานเพื่อให้นโยบายการค้าและการพัฒนาของ

ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งกลุ่มเศรษฐกิจระดับภูมิภาคต่าง ๆ มีความสอดคล้องซึ่งกันและกัน

6.11.2       บทบาทและผลงานขององค์การอังค์ถัด

การประชุม UNCTAD เริ่มจัดเป็นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1964 จนถึงปัจจุบันมีการประชุมใหญ่ ไป

แล้ว 10 ครั้ง มีผลงานที่ส าคัญดังนี้

1)    ริเริ่มให้มีระบบสิทธิประโยชน์ทางการค้า โดยจัดท าโครงการให้สิทธิพิเศษทางภาษี

ศุลกากร (Generalized System of Preference : GSP) ที่ประเทศพัฒนาแล้วให้แก่ประเทศก าลังพัฒนา

GSP หมายถึง ระบบการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรทั่วไป ที่ประเทศพัฒนาแล้วให้แก่สินค้าที่มี

แหล่งก าเนิดในประเทศก าลังพัฒนา โดยการยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้าแก่สินค้าที่อยู่ในข่ายได้รับสิทธิพิเศษ

ทางการค้า ทั้งนี้โดยประเทศผู้ให้สิทธิพิเศษฯ จะเป็นผู้ให้ฝุายเดียว โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่มี

การเลือกปฏิบัติ การด าเนินงานปัจจุบันมีระบบการให้ GSP ทั้งหมด 16 ระบบ โดยประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษฯ จะได้รับ

การยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีขาเข้าภายใต้ GSP ในอัตราต่ ากว่าภาษีขาเข้าทั่วไป มีผลประโยชน์ต่อประเทศผู้ได้รับใน

ด้านการส่งเสริมการพัฒนาสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มรายได้จากการส่งออกและเร่งรัดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

2)    การให้สิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างประเทศก าลังพัฒนาด้วยกัน โดยการจัดท า

โครงการให้สิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างประเทศก าลังพัฒนา ทั้งทางด้านภาษีศุลกากรและไม่ใช่ภาษีศุลกากร 

(Global System of Trade Preference Among Developing Countries : GSTP) ซึ่งเป็นโครงการที่ประเทศก าลังพัฒนาให้สิทธิพิเศษระหว่างกัน 

สมาชิกกลุ่ม 77 ได้ยื่นรายการขอลดหย่อนสินค้าซึ่งกันและกัน รวม  1,627 รายการ ข้อตกลงแลกเปลี่ยนสินค้านี้มีผล

บังคับใช้ ตั้งแต่ ค.ศ. 1987 โครงการนี้ช่วยให้ประเทศก าลังพัฒนาพึ่งพาตนเองได้มากขึ้นและเกิดการขยายการค้า

ระหว่างประเทศก าลังพัฒนา

3)    บทบาทในการแก้ปัญหาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเป็นผู้ริเริ่มจัดท าโครงการจัดท าข้อตกลง

ระหว่างประเทศว่าด้วยสินค้าโภคภัณฑ์จากการประชุมอังค์ถัด สมัยที่  4 ค.ศ. 1976 ที่ประชุมมีมติให้จัดตั้งโครงการร่วม

เพื่อสินค้าโภคภัณฑ์ โดยวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการผลิตอยู่ในระดับที่เหมาะสมทั้งระดับราคา การปรับปรุง

ประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ส่งเสริมการขยายตัวด้านการค้า สินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกลงมี  8 ประเภท ได้แก่ กาแฟ น้ าตาล 

โกโก้ เนื้อโค นม ปอ และผลิตภัณฑ์ปอไม้เขตร้อน และยางธรรมชาติ

เพื่อให้การด าเนินงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ข้อตกลงสินค้าโภคภัณฑ์ ได้ก าหนดที่จะ

ด าเนินการที่ส าคัญ คือ

1)      จัดตั้งองค์กรข้อตกลงสินค้าโภคภัณฑ์ระหว่างประเทศ

2)        ให้มีกลไกต่าง ๆ ในการเข้าแทรกแซงตลาด

3)        ให้มีการด าเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการผลิต4)        จัดตั้งกองทุนร่วมเพื่อสินค้าโภคภัณฑ์

6.11.3       ประเทศไทยกับอังค์ถัด

ไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุมองค์การอังค์ถัดครั้งที่  10 ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 การ

ประชุมครั้งนี้เป็นรูปแบบใหม่ได้ให้ภาคประชาสังคม (Civil Society) ซึ่งประกอบด้วย ภาคเอกชนองค์การเอกชนและ

นักวิชาการ เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐ ผลการประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ สรุปได้ดังนี้

1)    ปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) เป็นแผนแม่บทในการก าหนดยุทธศาสตร์การ

พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก เป็นการก าหนดบทบาทของอังค์ถัดในสหัสวรรษใหม่ ให้อ านวยประโยชน์ต่อ

กลุ่มประเทศสมาชิก

2)    แผนปฏิบัติการกรุงเทพ (Bangkok Plan of Action) เป็นการน าวิธีการไปสู่การปฏิบัติให้ประเทศ

สมาชิกมีความเท่าเทียมกัน มีโอกาสที่จะรับการปฏิวัติทางเทคโนโลยี การเปิดตลาดการค้าสาขาต่าง ๆ และส่งเสริม

การพัฒนาที่ยั่งยืนบทบาทขององค์การอังค์ถัดที่ผ่านมายังไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาผลประโยชน์ของประเท

สมาชิกในกลุ่มที่ก าลังพัฒนา การประชุมในประเทศไทยจึงเป็นความหวังที่จะประสานประเทศที่พัฒนาแล้วกับ

ประเทศก าลังพัฒนาให้มีโอกาสเท่าเทียมกันเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

7. องค์การระหว่างประเทศทางด้านการเมือง

นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ได้มีการประชุมสันติภาพขึ้น ณ พระราชวังแวร์ซายส์ ค.ศ. 1918 ตกลง

จัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติ เพื่อรักษาสันติภาพและแก้ไขข้อขัดแย้งโดยสันติวิธี แต่สันนิบาตชาติก็ไม่สามารถ

รักษาสันติภาพของโลกได้ หลังสงครามโลกครั้งที่  2 จึงได้มีความพยายามจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศขึ้นอีก 

องค์การระหว่างประเทศทางการเมืองที่ส าคัญมีดังนี้

7.1 องค์การสหประชาชาติ (The United Nations Organization)

ตึกส านักงานองค์การสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก

logo UNESCO logo UNนายโคฟี่ อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ

Logo APEC

Logo IMF

Logo UNHCR

องค์การสหประชาชาติ เป็นองค์การระหว่างประเทศระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค .ศ. 1945 ภายหลัง

สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง โดยมีส านักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสมาชิกประกอบด้วย

ประเทศเอกราชต่าง ๆ จากทุกภูมิภาคของโลก จากจ านวนสมาชิกก่อตั้ง  51 ประเทศในปี ค.ศ. 1945 ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

ในปี ค.ศ. 2002 สหประชาชาติมีมติรับสมาชิกเพิ่มเติมดังนี้

ทูวาลู (Tuvalu) เมื่อ 5 กันยายน ค.ศ. 2002 เป็นสมาชิกอันอับที่ 189

สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ 10 กันยายน ค.ศ. 2002 เป็นสมาชิกอันดับที่ 190

ติมอร์ตะวันออก เมื่อ 27 กันยายน ค.ศ. 2002 เป็นสมาชิกอันดับที่ 191

7.1.1 วัตถุประสงค์ขององค์การสหประชาชาติ

องค์การสหประชาชาติได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่  24 ตุลาคม ค.ศ. 1945 เมื่อกฎบัตร

สหประชาชาติมีผลบังคับใช้ กฎบัตรสหประชาชาติได้ก าหนดวัตถุประสงค์ขององค์การสหประชาชาติไว้ดังนี้

1)      เพื่อธ ารงไว้ซึ่งสันติ และความมั่นคงระหว่างประเทศ

2)        เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประชาชาติทั้งปวง โดยยึดการเคารพต่อหลักการ

แห่งสิทธิอันดับเท่าเทียมกัน

3)        เพื่อให้บรรลุถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ ในอันที่จะแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศทาง

เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม หรือมนุษยธรรมและการส่งเสริมสนับสนุนการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้น

มูลฐานส าหรับทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติในเรื่องเชื้อชาติ เพศ ภาษา หรือศาสนา4)        เพื่อเป็นศูนย์กลางส าหรับการประสานงานของประชาชาติทั้งหลายให้กลมกลืนกันในอันที่จะ

บรรลุจุดหมายปลายทางร่วมกันกล่าวได้ว่าองค์การสหประชาชาติก่อตั้งขึ้นมาด้วย เจตนารมณ์ที่จะขจัดภัยพิบัติอัน

เกิดจากสงคราม ประกันสิทธิมนุษยชน ตลอดจนส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของมลมนุษยชาติ

7.1.2 หลักการขององค์การสหประชาชาติ

เพื่อให้องค์การสหประชาชาติสามารถด าเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ กฎบัตร

สหประชาชาติได้วางหลักการที่องค์การสหประชาชาติ และประเทศสมาชิกจะพึงยึดถือเป็นแนวทางในการ

ด าเนินการระหว่างประเทศ ดังนี้

1)      หลักความเสมอภาคในอธิปไตย รัฐย่อมมีอ านาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์

2)        หลักความมั่นคงร่วมกัน เพื่อธ ารงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงร่วมกัน ด าเนินมาตรการ

ร่วมกัน เพื่อปูองกันและขจัดการคุกคามระต่อสันติภาพ

3)        หลักเอกภาพระหว่างมหาอ านาจ ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน

4)        หลักการไม่ใช้ก าลัง และการระงับกรณีพิพาทโดยสันติวิธี

5)        หลักความเป็นสากลขององค์การ เปิดกว้างแก่รัฐที่รักสันติทั้งปวง

6)       หลักการเคารพของอ านาจศาลภายใน ปัญหาใดที่ประเทศสมาชิกอ้างว่าเป็นกิจการภายใน

สหประชาชาติจะไม่มีสิทธิหรืออ านาจเข้าแทรกแซง

องค์การหลักขององค์การสหประชาชาติ

สหประชาชาติมีการด าเนินงานเกือบทั่วทั้งโลกโดยผ่านหน่วยงานหลัก  6 องค์กร คือ

1)    สมัชชา สมัชชาเป็นที่รวมของประเทศสมาชิกทั้งหมดของสหประชาชาติ ซึ่งทุกประเทศมีสิทธิออก

เสียงได้ 1 เสียง มีหน้าที่พิจารณาและให้ค าแนะน าในเรื่องต่าง ๆ ภายในกรอบของกฎบัตรสหประชาชาติ แม้ว่า

สมัชชาก าหนดเปูาหมายและกิจกรรมเพื่อการพัฒนาต่าง ๆ เรียกร้องให้มีการประชุมระดับโลกในหัวข้อส าคัญ ๆ และ

ก าหนดปีสากลเพื่อเน้นความสนใจในประเด็นที่ส าคัญ ๆ ของโลก สมัชชามีการประชุมสมัยสามัญปีละครั้ง การ

ลงคะแนนเสียงในเรื่องทั่วไป ใช้เสียงข้างมาก แต่ถ้าเป็นปัญหาส าคัญจะต้องได้คะแนน  2 ใน 3 ของสมาชิกที่เข้าร่วม

ประชุมและออกเสียง

2)    คณะมนตรีความมั่นคงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการธ ารงรักษาสันติภาพ และความมั่นคง

ระหว่างประเทศ ประกอบด้วยสมาชิก  15 ประเทศ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือสมาชิกถาวร มี 5 ประเทศ คือ จีน ฝรั่งเศส 

รัสเซีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และสมาชิกชั่วคราว มี  10 ประเทศ อยู่ในต าแหน่งครั้งละ 2 ปี ในกรณีประเทศสมาชิก

ถาวร ประเทศใดประเทศหนึ่งออกเสียงคัดค้านถือว่าเป็นการใช้สิทธิยับยั้ง  (Veto) อันจะมีผลท าให้เรื่องนั้น ๆ ตกไปใน

ยุคของสงครามเย็นการด าเนินงานของคณะมนตรีความมั่นคงประสบกับสภาวะชะงักงัน เนื่องจากการใช้สิทธิยับยั้ง

ของประเทศมหาอ านาจ สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นสมาชิกประจ าหรือไม่ก็ตาม จะต้องงดเว้นออก

เสียง เมื่อมีการพิจารณาปัญหาข้อพิพาทที่ตนเป็นคู่กรณีด้วย

3)    คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม มีหน้าที่ส าคัญคือการส่งเสริมและจัดท าข้อเสนอแนะกิจกรรม ที่

มุ่งเน้นความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงเรื่องการค้า การขนส่ง การพัฒนา

อุตสาหกรรม การพัฒนาเศรษฐกิจ ประชากรและการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของมนุษย์ คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม

ประกอบด้วยสมาชิก 54 ประเทศ อยู่ในต าแหน่งคราวละ 3 ปี การลงคะแนนเสียงใช้คะแนนเสียงข้างมาก ภายใต้คณะ

มนตรีเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการประจ าภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ

และสังคมส าหรับเอเชียและแปซิฟิก  (The Economic and Social Commission for Asia and The Pacific : ESCAP) ส านักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่

กรุงเทพมหานคร4)    คณะมนตรีภาวะทรัสตี ประกอบด้วย จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกามีหน้าที่ดูแล

ดินแดนในภาวะทรัสตีที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ รับผิดชอบอยู่เพื่อให้มีการด าเนินงานเป็นขั้นตอนอันจะน าไปสู่

การปกครองตนเอง หรือการได้รับเอกราช เดิมดินแดนในภาวะทรัสตีมี  11 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในแอฟริกา และ

มหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งได้รับเอกราชไปหมดแล้ว ปาเลา  (Palau) เป็นดินแดนในภาวะทรัสตีแห่งสุดท้าย เดิมอยู่ในความ

ดูแลของสหรัฐอเมริกาได้รับเอกราชเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1994 ส่งผลให้คณะมนตรีภาวะทรัสตีหยุดการปฏิบัติงาน

อย่างเป็นทางการและจะประชุม เฉพาะเรื่องพิเศษตามความจ าเป็น

5)    ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ “ศาลโลก” ตั้งอยู่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นองค์กรตุลา

การที่ส าคัญของสหประชาชาติ ประกอบด้วยผู้พิพากษา จ านวน  15 นาย อยู่ในต าแหน่งคราวละ 9 ปี คู่ความที่จะน า

คดีขึ้นสู่ศาลได้จะต้องเป็นรัฐคู่กรณีซึ่งเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ถ้ามิใช่สมาชิกจะต้องได้รับความเห็นชอบ

จากสมัชชา เอกชน จะน าคดีมาสู่ศาลนี้ไม่ได้

6)    ส านักเลขาธิการ ท าหน้าที่ บริหารงานของสหประชาชาติ ภายใต้การน าของเลขาธิการ เลขาธิการ

สหประชาชาติเลือกตั้งโดยสมัชชาด้วยคะแนนเสียงไม่ต่ ากว่าสองในสามทั้งนี้โดยค าแนะน าของคณะมนตรีความ

มั่นคง เลขาธิการมีวาระอยู่ในต าแหน่งคราวละ 5 ปี โดยหลักการเลขาธิการจะมาจากประเทศที่เป็นกลางหรือไม่

ฝักใฝุฝุายใด หน้าที่ส าคัญของเลขาธิการ คือ การรายงานสถานการณ์ระหว่างประเทศที่กระทบต่อความมั่นคง

ระหว่างประเทศให้คณะมนตรีความมั่นคงทราบ และท าหน้าที่ทางการทูตของสหประชาชาติ

เลขาธิการสหประชาชาติตั้งแต่เริ่มก่อตั้งองค์การสหประชาชาติมาจนถึงปัจจุบันมี ดังนี้

1.         นายทริกเว ลี (Trygve Lie) จากประเทศนอร์เวย์ (ค.ศ. 1946-1953)

2.         นายดั๊ก ฮัมมาร์โชลด์ (Dag Hammarskjold) จากประเทศสวีเดน (ค.ศ. 1953-1961)

3.         นายอูถั่น (U Thant) จากประเทศพม่า (ค.ศ. 1961-1971)

4.         นายคูร์ต วอลด์ไฮม์ (Kurt Waldheim) จากประเทศออสเตรีย (ค.ศ. 1972-1981)

5.         นายฮาเวียร์ เปเรส เดอ เควยาร์ (Javier Perez de Quellar) จากประเทศเปรู (ค.ศ. 1982-1991)

6.         นายบรูโทรส บรูโทรส กาลี (Boutros Boutros Ghali) จากประเทศอียิปต์ (ค.ศ. 1992-1996)

7.         นายโคฟีอันนัน (Kofi Annan) จากประเทศกานา เข้ารับต าแหน่ง วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1997 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2001 

ต่อมาได้รับเลือกเป็นเลขาธิการสหประชาชาติสมัยที่  2 ด ารงต าแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2002 ถึง 31 

ธันวาคม ค.ศ. 2006

นอกจากนั้นยังมีองค์กรพิเศษที่ท างานในฐานะองค์การสหประชาชาติอีกหลายองค์การ เช่น ทบวงการ

ช านาญพิเศษแห่งสหประชาชาติ (Specialized Agencies) ซึ่งเป็นองค์การอิสระและปฏิบัติงานเฉพาะด้าน ท าหน้าที่ในการ

ส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิกซึ่งจัดตั้งขึ้นตามความตกลงของรัฐบาล ในปัจจุบันมี  16 องค์การ 

ได้แก่ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ  (ILO) องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ  (FAO) องค์การศึกษา

วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ  (UNESCO) องค์การบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ธนาคารระหว่าง

ประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนาหรือธนาคารโลก  (IBRD/World Bank) กองทุนการเงินระหว่างประทศ (IMF) องค์การ

อนามัยโลก (WHO) สหภาพไปรษณีย์สากล (UPU) สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) สมาคมพัฒนาระหว่าง

ประเทศ (IDA) บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) องค์การกิจการทางทะเลระหว่าง

ประเทศ (IMO) องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก  (WIPO) กองทุนระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาเกษตรกรรม  (IFAD) 

องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ  (UNIDO) และมีองค์กรอิสระซึ่งมิใช่ทบวงช านัญพิเศษ ได้แก่ ข้อตกลง

ทั่วไปว่าด้วยการพิกัดอัตราภาษีศุลกากรและการค้า  (GATT) และส านักงานพลังปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เป็นต้น

ในปัจจุบันองค์การสหประชาชาติ ได้จัดตั้งทบวงการช านัญพิเศษของสหประชาชาติ เพื่อปฏิบัติงานอันใด

อันหนึ่งหรือเฉพาะด้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการส่งเสริมทางเศรษฐกิจ สังคมและการศึกษา ในบรรดาประเทศ

สมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศด้อยพัฒนา เช่น ส านักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ  (UNHCR) ซึ่งได้ด าเนินการในสิ่งที่เป็นระโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติมากมาย ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง องค์การ

สหประชาชาติ จึงเป็นองค์การหลักที่มีความส าคัญ

ผลงานขององค์การสหประชาชาติ ตลอดระยะเวลา  50 กว่าปีที่ผ่านมา สหประชาชาติได้สร้าง

วิวัฒนาการของความร่วมมือระหว่างประเทศที่ครอบคลุมการด าเนินงานในด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ผลงานของ

สหประชาชาติสรุปได้ดังนี้

1)        ด้านการรักษาสันติภาพ โดยคณะมนตรีความมั่นคงได้ด าเนินมาตรการบีบบังคับทั้งที่ไม่ใช้

ก าลังอาวุธและใช้ก าลังทางอาวุธโดยความร่วมมือจากประเทศสมาชิกมาแล้ว  2 ครั้ง คือครั้งแรกในสงครามเกาหลีปี 

ค.ศ. 1950 และสงครามอ่าวเปอร์เซียในกรณีที่อิรักส่งทหารเข้ายึดครองคูเวต ค .ศ. 1991 สหประชาชาติยังรับหน้าที่เจรจา

แก้ไขความขัดแย้ง เช่น การยุติสงครามอิรัก-อิหร่าน การถอนทหารโซเวียตออกจากอัฟกานิสถาน การยุติความ

ขัดแย้งในกัมพูชา การยุติสงครามกลางเมืองในเอลซัลวาดอร์ สหประชาชาติยังได้ด าเนินการทูตหลังฉากในการ

ปูองกันความขัดแย้งกว่า 50 กรณี ไม่ให้ขยายตัวเป็นสงคราม ปัจจุบันเกิดกระแสชาตินิยมท้องถิ่นท าให้เกิดความ

ขัดแย้งทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาล ในขณะเดียวกัน

ลักษณะความขัดแย้งได้เพิ่มความสลับซับซ้อนมากขึ้น ท าให้สหประชาชาติต้องส่งกองก าลังรักษาสินติภาพเข้าไป

ปฏิบัติงาน

2)        การส่งเสริมประชาธิปไตย สหประชาชาติได้ช่วยให้ประชาชนกว่า  45 ประเทศมีสิทธิออกเสียง

ในการเลือกตั้งที่เสรี และยุติธรรม เช่น ในนามิเบีย กัมพูชา เอลซัลวาดอร์ เอริเทรีย โมแซมบิค นิการากัว และ

ล่าสุดในติมอร์ตะวันออก โดยสหประชาชาติได้ให้ค าปรึกษา ความช่วยเหลือและตรวจสอบผลการเลือกตั้ง

3)        การส่งเสริมการพัฒนา โดยจัดสรรเงินทั้งเงินกู้และเงินให้เปล่าให้กับโครงการพัฒนาแห่ง

สหประชาชาติ (UNDP) และองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ได้วางแผนและด าเนินโครงการด้านการเกษตร 

อุตสาหกรรม การศึกษา และสิ่งแวดล้อมกว่า  5,000 โครงการ

4)        การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน โดยคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนได้สืบสวนเรื่องร้องเรียน

เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน และได้กระตุ้นให้ประชาคมโลกสนใจในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ

ต่าง ๆ จนก่อให้เกิดแรงกดดันระหว่างประเทศ เพื่อน าไปสู่การปรับปรุงเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศนั้น ๆ 

5)        การปกปูองสิ่งแวดล้อมและชั้นโอโซน สหประชาชาติได้จัดประชุมนานาชาติว่าด้วย

สิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ที่ริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล ใน ค .ศ. 1992 ที่ประชุมได้รับรองอนุสัญญาว่าด้วยการ

เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อรักษาระดับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโลกไม่ให้ร้อนขึ้น และลงนามใน

อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่ออนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน รับรองแผนปฏิบัติการ  21 

(Agenda 21) สร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่าง สิ่งแวดล้อมกับการพัฒนา เพื่อบรรลุถึงการพัฒนาแบบยั่งยืนและได้จัด

ประชุมนานาชาติชี้ให้เห็นอันตรายจากการสูญเสียชั้นโอโซน ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะที่

ผ่านมา

6)        การให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา โดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก  (WIPO) 

ได้ให้ความคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ และมีการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเกือบ  3 ล้านชิ้น กฎบัตรดังกล่าวยัง

มีผลให้มีการคุ้มครองผลงานของศิลปิน นักประพันธ์เพลง และนักเขียนทั่วโลก

7)        การอนุรักษ์และบูรณะสถานที่ส าคัญทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม โดย

องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ  (UNESCO) ได้ด าเนินการอนุรักษ์โบราณสถานใน 81 

ประเทศ เช่น กรีซ อียิปต์ อินโดนีเซีย กัมพูชา และไทย นอกจากนี้ยังได้จัดประชุมนานาชาติเพื่ออนุรักษ์ทรัพย์สิน

ทางวัฒนธรรม

ประเทศไทยกับองค์การสหประชาชาติ

ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติล าดับที่  55 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ.1946 คนไทยที่

ได้รับเกียรติให้ด ารงต าแหน่งส าคัญคือ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงได้รับเลือกเป็น

ประธานสมัชชาสมัยสามัญที่ 11 เมื่อปี ค.ศ. 1956 ประเทศไทยมีบทบาทส าคัญในการให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติ

ในด้านต่าง ๆ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้1)        บทบาทด้านการส่งเสริมสันติภาพและรักษาความมั่นคงระหว่างประเทศ ไทยได้ส่งทหารเข้า

ร่วมปฏิบัติการกับกองก าลังสหประชาชาติ เมื่อเกิดสงครามเกาหลีในปี ค .ศ. 1950 จนสามารถสงบศึกได้ ในช่วง

ทศวรรษ 1980 เข้าช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในกัมพูชาจนส าเร็จเกิดความสงบและไทยยังได้มีบทบาทเข้าร่วม

ปฏิบัติการในการรักษาสันติภาพในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก เช่น ในปัจจุบันได้ส่งทหารปีละ  5 นาย เข้าร่วมรักษา

สันติภาพบริเวณชายแดนอิรักกับคูเวต ส่งเจ้าหน้าที่ต ารวจปีละ  5 นายร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพในบอสเนีย-

เฮอร์เซโกวินา ส่งทหาร 1,581 นาย ร่วมปฏิบัติการในติมอร์ตะวันออก นอกจากภารกิจทางการทหารแล้ว ทหารไทย

ยังได้รับค าแนะน าทางการเกษตรตามแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียงแก่ชาวติมอร์ตะวันออก อีกทั้งยังมีโครงการ

ฝึกอบรมการจัดตั้งหมู่บ้านปูองกันตนเอง การฝึกอบรมด้านสาธารณสุขตลอดจนการให้ความช่วยเหลือด้าน

มนุษยธรรม บทบาทของไทยในครั้งนี้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติและเป็นที่ชื่นชมของชาวติมอร์ตะวันออกอย่าง

มาก

2)        บทบาทและความร่วมมือในด้านสังคม ไทยให้ที่พักพิงแก่ผู้อพยพชาวลาว กัมพูชาและ

เวียดนาม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ในระยะที่มีการสู้รบในประเทศเพื่อนบ้าน ได้รณรงค์ให้ประชาคมระหว่างประเทศสนใจ

ปัญหาผู้อพยพ ปัจจุบันไทยยังรับภาระดูแลผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในพม่ากว่าแสนคน 

ไทยยังได้พัฒนามาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น การเข้า

เป็นภาคอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อรับพันธกรณีที่จะคุ้มครองสิทธิของประชาชนด้านต่าง ๆ 

ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในด้านการพัฒนา เช่น ปัญหาความยากจน การค้ามนุษย์ ยาเสพติด 

การฟอกเงิน การระบาดของเชื้อเอชไอวีและโรคอื่น ๆ 

7.2    องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization : NATO)

เป็นองค์การพันธมิตรทางทหารระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ก่อตั้งเมื่อ ค .ศ. 1949 

ประกอบด้วยประเทศสมาชิก 16 ประเทศ คือ นอร์เวย์ เดนมาร์ก เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบอร์ก ฝรั่งเศส 

เยอรมนี สเปน โปรตุเกส อิตาลี กรีซ ตุรกี อังกฤษ ไอซ์แลนด์ สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ต่อมา ค .ศ. 1999 มีการรับ

สมาชิกใหม่เพิ่มอีก 3 ประเทศ คือ โปแลนด์ เช็ค และฮังการี รวมเป็น  19 ประเทศ องค์การนาโต้มีส านักงานใหญ่

ตั้งอยู่ ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม

วัตถุประสงค์ขององค์การนาโต้

1)      ต่อต้านอ านาจของสหภาพโซเวียต สกัดกั้นการขายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ในยุโรป

2)        สร้างความมั่นคงร่วมกันระหว่างกลุ่มประเทศประชาธิปไตยในยุโรป โดยมีสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ

3)        รักษาเสถียรภาพของยุโรป เป็นกลไกส าคัญในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในยุโรป

บทบาทและการด าเนินงานขององค์การนาโต้

1)         บทบาทในการปูองกันภัยคุกคามภูมิภาคยุโรป จากฝุายคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีสหภาพโซเวียตเป็นผู้น า 

ตลอดช่วงเวลาของสงครามเย็นองค์การนาโต้มีบทบาทส าคัญยิ่ง สามารถปูองกันยุโรปตะวันตกให้ปลอดภัยจาก

ลัทธิคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งสหภาพโซเวียตล่มสลาย สงครามเย็นสิ้นสุดลง

2)         บทบาทในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงให้เกิดขึ้นในสังคมโลก เนื่องจากการได้รับเอกราชของ

ประเทศบริวารคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่รุนแรง ในอดีตยูโกสลาเวีย และ

ในดินแดนสาธารณรัฐต่าง ๆ ของอดีตสหภาพโซเวียตจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง องค์การนาโต้ได้แสดง

บทบาทในการรักษาสันติภาพด้วยการปฏิบัติการของกองก าลังนาโต้ เช่นเมื่อเกิดสงครามในบอสเนีย และสงคราม

ในโคโซโว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย การปฏิบัติการทหารเต็มรูปแบบของนาโต้ ท าให้ยูโกสลาเวียยอม

จ านน ความสงบจึงได้กลับสู่ดินแดนยุโรป

3)         บทบาทในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นการกระชับความร่วมมือทางทหารกับรัสเซียและ

ยุโรปตะวันออก จึงได้จัดตั้งมาตรการความร่วมมือที่เรียกว่า หุ้นส่วนเพื่อสันติภาพ  (Partership for Peace) ขึ้นในปี ค.ศ. 1994 ส่งผลให้จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และวลาติเมียร์ ปูติน  (Vladimir Putin) 

ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ลงนามสัญญามอสโก ตกลงลดอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหญ่ที่สุด ในเดือนพฤษภาคม ค .ศ. 2002 

โดยแต่ละฝุายจะลดหัวรบนิวเคลียร์ ลง 2 ใน 3 ในระยะเวลา 10 ปี ผู้น ารัสเซียยังได้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือ

ในฐานะหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกันด้วยการจัดตั้งสภานาโต้-รัสเซียขึ้นในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน มีผลท าให้รัสเซีย

เข้าไปมีส่วนในการตัดสินใจร่วมกันในเรื่องต่าง ๆ เช่น การปราบปรามผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ การแก้ไขปัญหาความ

ขัดแย้งทางเชื้อชาติ การรักษาสิ่งแวดล้อมของโลก การปรับเปลี่ยนบทบาทขององค์การนาโต้ นับว่าสอดคล้องกับ

สถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไปหลังยุคสงครามเย็น

บทสรุป  

สงครามโลกครั้งที่ 2  ซึ่งสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1945  เป็นจุดเปลี่ยนที่ส าคัญของการเมืองโลก  ประเทศ

มหาอ านาจที่เคยแสดงบทบาทก่อนสงคราม เช่น  อังกฤษ ฝรั่งเศส  เยอรมนี  และญี่ปุุนได้ลดบทบาทลง เนื่องจาก

ได้รับความบอบช้ าและเสียหายจากสงคราม ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ได้ก้าวเข้ามามีบทบาท

เป็นมหาอ านาจแทนที่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ  มี

แสนยานุภาพทางทหาร  มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง กลายเป็นมหาอ านาจที่โดดเด่น สหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือ

กับประเทศพันธมิตรฝุายชนะสงครามจัดระเบียบโลกใหม่ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเมือง และความมั่งคั่งทาง

เศรษฐกิจ อีกทั้งยังหาทางปูองกันไม่ให้เกิดสงครามโลกขึ้นมาอีก ด้วยการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้น โดยหวัง

ว่าจะช่วยจรรโลงให้เกิดสันติภาพในโลก แต่ปรากฏว่าความหวาดระแวงระหว่างมหาอ านาจทั้งสอง  ที่มีความ

แตกต่างทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองและระบบเศรษฐกิจน าไปสู่ความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่าง

สหรัฐอเมริกา  และสหภาพโซเวียตจนกลายเป็น   “สงครามเย็น”  ใน ค.ศ. 1947  เป็นเหตุให้สังคมโลกตกอยู่ใน

ภาวะตึงเครียดในช่วงเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา  อันเป็นผลมาจากการแข่งขันการขยายอิทธิพลและการแทรกแซง 

ของมหาอ านาจตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก 

ปลายทศวรรษที่ 1980  บรรยากาศความตึงเครียดได้ผ่อนคลายลง  เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงใน

ความสัมพันธ์ของมหาอ านาจจากความขัดแย้งสู่ความร่วมมือ  อีกทั้งยังมีการพังทลายของระบอบคอมมิวนิสต์ใน

ยุโรปตะวันออก  ติดตามด้วยการท าลายก าแพงเบอร์ลิน  การรวมเยอรมนีและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน

ที่สุด กล่าวได้ว่าสงครามเย็นได้สิ้นสุดลงพร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในต้นทศวรรษที่  1990  เมื่อ

ประเทศรัสเซียซึ่งเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในอดีตสหภาพโซเวียต   ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ 

ปัญหาเชื้อชาติ  จนไม่สามารถก้าวขึ้นมาแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาได้

อย่างไรก็ตามแม้สงครามเย็นจะยุติลงแล้ว  แต่ไม่ได้หมายความว่าสังคมโลกจะได้พบกับสันติภาพที่ถาวร  

สังคมโลกยุคใหม่ที่เรียกว่า ยุคโลกาภิวัตน์ แท้ที่จริงแล้วกระบวนการโลกาภิวัตน์  คือการครอบง าโลกทางเศรษฐกิจ  

สังคม  และวัฒนธรรมของอภิมหาอ านาจ  ซึ่งสามารถแผ่อิทธิพลของตนผ่านสื่ออีเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบต่างๆ  

ผลกระทบของกระบวนการโลกาภิวัตน์โดยตรงต่อชาติที่เจริญทางเทคโนโลยีการสื่อสารที่ด้อยกว่าคือ  การท าลาย

ก าแพงวัฒนธรรม  เอกลักษณ์ของประชาชาติทั้งหลาย  ในขณะเดียวกันพบว่าหลายส่วนของโลกยังมีสงคราม

ภายในรุนแรง  อันเกิดจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติ  ศาสนา  และวัฒนธรรมตลอดจนการแย่งชิงผลประโยชน์  

สังคมโลกยังต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายใหม่ๆ เช่น  ปัญหาโรคเอดส์ที่ยังไม่มีตัวยาชนิดใดจะเยียวยาได้  ปัญหา

สิ่งแวดล้อมตลอดจนปัญหาการก่อการร้ายข้ามชาติ  ปัญหาเหล่านี้ได้กลายเป็นปัญหาไร้พรมแดน  ซึ่งเป็นเรื่องที่

ประชาคมโลกจะต้องร่วมมือกันหาทางแก้ไข

ในขณะเดียวกันเราได้เห็นความพยายามขององค์การระหว่างประเทศ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์การ

สหประชาชาติและทบวงการช านัญพิเศษต่างๆ  ที่ได้พยายามเข้าไปแก้ปัญหาของสังคมโลกทั้งทางด้านเศรษฐกิจ  

สังคม  และการเมือง  ประเทศในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกไทยได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การระหว่าง

ประเทศทั้งในระดับโลก  และระดับภูมิภาค  ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติอีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้าง

บทบาทของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

สังคมโลกในอนาคตจะพบกับสันติสุขได้  หากทุกประเทศให้ความร่วมมือกันไม่เอารัดเอาเปรียบเน้นการ

พัฒนาอย่างมีทิศทางสมดุลและยั่งยืน

ค าถาม 

1.FTA คืออะไร

2.ท้องถิ่นนิยม (Localism) หมายถึงอะไร 

3.เงินสกุลที่มีความเข้มแข็งและมั่นคงมากที่สุด 3 อันดับแรกของโลกในปัจจุบัน คือ

4.NEW World Order (การจัดระเบียบโลกใหม่) เน้น 4 ด้าน คือ

5.สหภาพโซเวียตรุสเซียล่มสลายในสมัยของประธานาธิบดีคนใด 

6.องค์การระหว่างประเทศที่มีบทบาททางเศรษฐกิจได้แก่

7.VETO หมายถึงอะไร

8.สงครามเย็น (Cold War) เกิดจากอะไร

- สงครามเย็นมีลักษณะพิเศษคือ

- สงครามเย็นสิ้นสุดเมื่อใด9.จงเขียนชื่อประเทศในทวีปยุโรปเป็นภาษาอังกฤษ (ห้ามเปิดแผนที่และต ารา)

องค์กรทั่วโลกมีอะไรบ้าง

องค์กรระดับโลกเหล่านี้ใหญ่แค่ไหน? และต่างกันอย่างไร?.
UN. สหประชาชาติ UN มีชื่อเต็มว่า United Nations. ... .
2.UNICEF. องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ... .
WHO. องค์การอนามัยโลก ... .
4.UNHCR. สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ... .
5.WWF. องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ... .
6.UNEP. โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ.

องค์การระหว่างประเทศในระดับภูมิภาค มีอะไรบ้าง

ข้อมูลความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคและภูมิภาค : กรอบภูมิภาค.
แผนโคลัมโบ (Colombo Plan) ... .
กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) Asia-Pacific Economic Cooperation (APEC) ... .
การประชุมเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Meeting – ASEM) ... .
กรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD).

องค์การระหว่างประเทศคืออะไร

องค์การระหว่างประเทศ หมายถึง องค์การที่ประเทศหรือรัฐ ตั้งแต่สองรัฐขึ้นไปรวมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการดาเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือและพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐสมาชิกและมวลมนุษยชาติ

องค์กรทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่สําคัญมีอะไรบ้าง

องค์การการค้าโลก (World Trade Organization) เขตการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) องค์กรระหว่างประเทศ (International Organization)